บ้าระห่ำจั๋วซือหรานชอบคนบ้าระห่ำเช่นนี้ นางรู้สึกเจอคนประเภทเดียวและเกิดความรู้สึกการเอ็นดูเฟิงเหยียนเดินจากไปแล้ว และนางคิดชื่อจากคำพูดของเขา “จั๋วเสี่ยวจิ่ว(จิ่วหมายถึง เลข เก้า ในภาษาไทย)หรือ ดีแล้วข้าไม่ได้เปิดเป็นบุตรคนที่สองของตระกูล...ไม่อย่างนั้น ก็จะดูเหมือนคนรับใช้ที่ร้านแล้ว”“จิ่ว...คุณหญิงจิ่วขอรับ” คนขับรถม้าเดินเข้ามาอย่างสั่นเทา “กลับ..กลับตอนนี้หรือขอรับ”"เจ้าค่ะ กลับเถอะ" จั๋วซือหรานเห็นคนขับรถม้าไสั่นเช่นนี้ นางอดไม่ได้ที่ต้องสงสายและถาม"เจ้าหนาวหรือ"คนขับหดคอลงจนเกือบจะร้องไห้ "เมื่อครู่นั้น ท่านอ๋องเฟิงทำเช่นนั้น...ข้า..ข้าน้อยกลัวแทบจะตาย"จั๋วซือหรานนึกถึงเจตนาฆ่าของเฟิงเหยียนที่เขาประกายในเมื่อครู่ คนทั่วไปรับพลังนั้นไม่ไหวเสียจริงนางยกมือขึ้นแล้วโบกมือให้คนขับรถม้า คนขับรถม้ารู้สึกมีสายลมพัดมาบนใบหน้าของเขา และความรู้สึกการกดขี่ที่น่ากลัวก่อนหน้านี้ก็หายไป*ในห้องส่วนตัวจั๋วซือหรานหรี่ตาลงและจ้องมองไปที่แหวนสีแดงเข้มที่เรียบง่ายบนนิ้วชี้ของมือขวาของนาง มันคือแหวนเสวียนเหยียนจริง ๆแต่นางไม่เข้าใจ“ทำไมถึงตามข้ามา” จั๋วซือหรานพึมพำจิตวิญญาณเ
บรรยากาศอันแสนอบอุ่นแตกสลายทันทีสีหน้าของจั๋วซือหรานแข็งค้าง ใช่แล้ว เจ้าของร่างเดิมและจั๋วหวายต่างก็เป็นลูกของผู้บัญชาการทหาร และพวกเขาไม่สนใจเรื่องเรียนเลยจริง ๆ หากให้พวกเขาเขียนหนังสือเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม( 1 ชั่วยาม=2 ชั่วโมง) พวกเขายอมฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาสามชั่วยามมากกว่า"ไม่เอาก็ต้องเอา" ความอ่อนโยนบนใบหน้าของจั๋วซือหรานในก่อนหน้านี้หายไป “เจ้าคิดว่าข้าชิงโอกาสเข้าเรียนในวังได้ ง่ายมากเลยหรือ คนอื่นอยากไปเรียนแต่ไปไม่ได้ แต่เจ้าต้องไป ไม่เช่นนั้น ฮึม ๆ ”จั๋วซือหรานกำหมัดของนาง ข้อต่อนิ้วของนางมีเสียง กร๊อบ ตั้งขึ้นจั๋วหวายเป็นผู้ที่หากไม่ใช้ความรุนแรงกับเขา เขาจะไม่ร่วมมือ เวลานี้ เขาถูกพี่สาวสั่งสนอย่างเชื่อง เขาจึงทำได้เพียงขมวดคิ้วตอบตกลงไป“ข้าจะไปบอกท่านแม่เรื่องนี้ หากพวกเราสองคนได้ไปเรียนที่วังได้ ท่านแม่ต้องดีใจแน่นอน”อวิ๋นเหนียงดีใจมากจริง ๆ แม้ว่าตระกูลทางบ้านนางจะไม่มีชื่อเสียงมากนัก แต่ก็เป็นตระกูลที่สืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเภณีอันดีงามจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานทว่านางแต่งงานกับผู้รู้ศิลปะการต่อสู้ และนางให้กำเนิดลูกชายและลูกสาวที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ โดยเ
องค์ชายเจ็ดของปัจจุบัน ซือคงเซี่ยน เป็นถึงท่านชินอ๋องที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุดท่านแม่เป็นนางสนมผู้สูงศักดิ์ เขามีฐานะสูงส่งตั้งแต่เกิด เขาคงไม่เคยคิดหรอกว่รา สักวันหนึ่ง เขาจะถูกห้ามไว้หน้าประตูเรือนซือคงเซี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้น เคาะประตูของสวนจี๋หย่าย่วนเบา ๆหลังจากนั้นไม่นาน มีคนเปิดประตูออก และมีหัวของผู้คนยื่นออกจากด้านใน คนนั้นถามด้วยความสงสัย “ท่านเป็นใคร ท่านต้องมาพบใครเจ้าคะ”“ไม่ทราบว่าคุณหนูจั๋วจิ่วอยู่หรือเปล่า” ซือคงเซี่ยนถามอย่างอ่อนโยนฝูซูเป็นคนโง่เขลา นางก็ลืมถามถึงตัวตนของอีกฝ่าย เมื่อได้ยินว่าตามหาคุณหนูง นางรีบโบกมือแล้วพูดว่า “คุณหนูป่วย ไม่พบใครเจ้าค่ะ”ซือคงเซี่ยนยังไม่ทันพูดอะไรอีก ประตูลานก็ถูกปิดลงซือคงเซี่ยนตกตะลึง ยืนอยู่ที่นั่นและขำในสวนจี๋หย่าย่วน ฝูซังเดินออกจากห้องครัวแล้วถามฝูซูว่า "นั่นใคร"“ไม่รู้สิ คนนั้นหาคุณหนู”ฝูซังขมวดคิ้ว "อย่างน้อย เจ้าควรถามหน่อยว่า เขาเป็นใคร"นางรีบไปเปิดประตูลาน และเห็นคุณชายที่สง่างามบังคงยืนอยู่ข้างนอก "ท่านเป็นใครเจ้าคะ มาหาคุณหนูมีธุระอันใดหรือเจ้าคะ"“ข้าแซ่ซือคง ซือคงเซี่ยน
ทันทีที่พระราชกฤษฎีกานี้ออกมา สิทธิ์ทั้งสองที่สัญญาไว้กับจั๋วซือหรานนั้นเป็นสิทธิ์ของพวกเขาอย่างแน่นอน แม้ว่านางตั้งใจจะมอบสิทธิ์นั้นกับคนอื่นก้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถ้าคนอื่นต้องการแย่งสิทธิ์นั้น อย่างหวังเลยดังนั้นเมื่อจั๋วซือหรานมาที่ห้องโถงด้านหน้าเพื่อรับพระราชโองการ สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสก็ซีดขาวเมื่อจั๋วซือหรานเห็นพวกเขาไม่สบายใจ จั๋วซือหรานก็รู้สึกมีสบายใจขึ้น ในที่สุดความโกรธที่นางได้รับในห้องโถงนี้ในตอนเช้าก็บรรเทาลบุคคลที่มาประกาศกฤษฎีกาคือองค์ชายเจ็ด ซือคงเซี่ยน ซึ่งนางได้พบเขาในตอนเช้าหลังจากที่เขาประกาศกฤษฎีกาแล้ว เขาก็ยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า "คุณจั๋วจิ่ว รับพระราชโองการขอรับ"“หน่อมฉันขอขอบพระคุณในกรุณาธิดา” จั๋วซือหรานกล่าวซือคงเซี่ยนให้นางไม่ต้องทำพิธีเคารพ “เอาล่ะ เจ้าสัญญาว่าจะรักษาไทเฮา ตอนนี้เจ้าได้รับพระราชโองการแล้ว ยังรู้สึกไม่สบายเหมือนตอนเช้าหรือเปล่า”เขาพูดสิ่งนี้ต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโส ซึ่งทำให้กลายเป็นว่า สร้างปัญหาแก่จั๋วซือหรานโดยตรงปรากฎว่า นางแกล้งทำเป็นไม่สบาย และจงใจไม่เข้าไปรักษาไทเฮาที่วังจั๋วซือหรานไม่สนใจคนอื่นจะคิดอย่างไรกับนาง และ
“บังอาจ พวกเจ้าอยากทำอะไร” ซือคงเซี่ยนพูดด้วยความโกรธจั๋วซือหรานไม่คาดคิดว่า จะมีคนกล้าทำเช่นนี้ต่อหน้าพระราชวัง และกล้าทำเช่นนี้ภายใต้สายตาขององค์ชายเจ็ด ท่านอ๋องเซี่ยน ดังนั้นนางจึงไม่ได้เตรียมพร้อมเมื่อนางตระหนักถึงอันตราย มือของนางก็ถูกจับไว้อยู่ข้างหลังแล้วเสียง คะตะ ดังขึ้นขั้นแรก มีแหวนโลหะคล้อมมือของนางไว้ด้านหลัง และแหวนโลหะอีกวงคล้องคอของนางไว้จั๋วซือหรานไม่รู้แหวนโลหะนั้นทำจากวัสดุอะไร มันช่างเย็นเหลือเกิน"พวกเจ้า..." แววตาของจั๋วซือหรานเป็นประกาย นางพยายามดิ้นรน แต่นางกลับไม่สามารถใช้พลังจิตและศิลปะการต่อสู้โบราณของตนเองได้เลย ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดชายที่สวมชุดดำพูดอย่างเย็นชา "อย่าเสียแรงเปล่า ๆ เลย ไปกับพวกเราเลย"เขาเอามือของตัวเองกดหลังของจัวซือหรานอย่างแรง และมีพลังภายในอะไรบางอย่างทะลุเข้าไปในร่างกายของจั๋วซือหราน"อื้อนางถอนหายใจเข้าและฮึมเสียงหนึ่งที ทันใดนั้น ลำคอของนางมีรสหวานและรสคาวก็พรั่งพรูออกมา และรอยเลือดสีสดก็ไหลออกจากมุมริมฝีปากของนาง“พวกเจ้าช่างกล้าเสียจริง” ซือคงเซี่ยนเกรี้ยวโกรธ แต่ชั่วพริลตาเดียว เขามองไปที่แหวนโลหะที่อยู่รอบคอของจั๋ว
“อื้อ...” นางกลั้นเสียงร้องอันเจ็บปวดในลำคอ ริมฝีปากถูกนางกัดจนเป็นเศษชิ้นเล็ก ๆ และมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของนางท่านอ๋องเซี่ยนพูดจริงด้วย หน่วยสืบสวนพิเศษชอบใช้วิธีโหดเหี้ยมมาสอบสวนคนเสียจริงทันทีที่เม็ดยาละลายในปากของจั๋วซือหราน นางก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า มันเป็นยาที่ช่วยให้ผู้คนตื่นตัวและเพิ่มการรับรู้ความรู้สึกทางประสาทสัมผัสทั้งห้า โดยปกติแล้ว ยานี้สามารถช่วยกระตุ้นสมอง ให้สมองสดชื่นและฉลาดแต่หากใช้ก่อนการลงโทษ คนที่ได้รับการลงโทษจะต้องรับความเจ็บไว้ขณะที่ยังมีสติอยู่ เพราะยานี้ทำให้คนมีสติตลอดและขยายความรู้สึกเจ็บปวดให้เป็นร้อย ๆ เท่าพลังที่กำเริบในร่างกายของนางดั่งไฟที่โหมกระหน่ำ ราวกับว่าพลังนั้นจะเผานางให้ไหม้มีผู้ชายที่สวมชุดดำเดินเข้ามา และในมือของเขา เขาได้ถือดาบที่รนด้วยเพลิงเสียงไร้อารมณ์“จั๋วซือหราน มีคนฟ้องเจ้าทำการรักษาโรคให้กับไทเฮาโดยไม่ได้รับป้ายอนุญาตหมอ เรื่องนี้จริงหรือไม่”จั๋วซือหรานกระตุกริมฝีปากของนางแล้วตอบ "จริง"อย่างที่นางเดาไว้เสียจริง นางเงยหน้ามองดูชายที่สวมชุดดำตรงหน้านาง “เหยียนชางอยู่ที่ใด ช่างกล้าฟ้องเรื่องเท็จ แต่กลับไม่กล้ามา
“...อยากทรมานข้าจนให้ข้ายอมแพ้หรือ เจ้าฝันไปเถิด” จั๋วซือหรานกัดฟันเพื่ออดความเจ็บปวดอันแสนสาหัสไว้ ดวงตาของนางแดงก่ำ แต่นางไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวไหลออก“เจ้าบังอาจ” เหยียนชางโกรธและตะโกน เขารีบไปาถามซือหลี่ฉือหางด้วยความกังวล “ท่านสบายดีไหมขอรับ เด็กคนนี้ไม่มีมารยาทและไม่รู้จักความผิด ท่านอย่าอ่อนมือกับนางเลย”ซือหลี่ฉือหางเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดของสกปรกที่อยู่ใบนบหน้าของเขา เขามีสีหน้าที่แย่มาก เขามองชายชุดดำที่อยู่ด้านข้างเขาและพยักหน้า"หึ--!"จั๋วซือหรานเม้มริมฝีปากของนางไว้แน่น แต่นางเจ็บเหลือเกินจนนางต้องครวญครางเหยียนชางเห็นแผนการเลวร้ายของเขาประสบความสำเร็จแล้ว เขาดีใจและยิ้ม เขาดูร่างกายของจั๋วซือหรานถูกผ่าเป็นรอยแผลหลายเส้นวิธีการสอบสวนของหน่วยสืบสวนพิเศษไม่ธรรมดาจริง ๆ พวกเขาใช้มีดร้อนแดงบาดแผลออก และแผลจะออกเลือดไม่มาก ฉะนนั้น ผู้ต้องสงสัยจะไม่มีเสียชีวิตจากการเสียเลือดจั๋วซือหรานในฐานะที่เป็นผู้ที่มีความสารมารถชั้นนำของตระกูลจั๋ว นางมีความสามารถการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง และบาดแผลของนางก็ตกสะเก็ดอย่างรวดเร็ว คนมักรู้สึกว่าแผลของนางหายสนิทในเวลาอันสั้น ดังนั้นเพชฌฆาตจึง
เหยียนชางรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย เขารู้ตำแหน่งของผู้นี้ได้ จึงรีบก้มหัวและพูดอย่างสุภาพ "ท่านซือเจิ้งขอรับ"เหยียนชางไม่คาดคิดว่า เรื่องเล็กน้อยเพียงเช่นนี้ ทำไมผู้ใหญ่ท่านนี้ต้องมาด้วยชายที่สวมชุดคลุมสีดำและสวมหน้ากากลายเปลวไฟโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เขาถามจั๋วซือหราน “ทำไมเจ้าไม่ยิมรับผิดล่ะ เพียงแค่เจ้าณพยักหน้าและสารภาพ เจ้าก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีก แค่ประดยคเดียว”เสียงนั้นถูกหน้ากากบังไว้ ซึ่งทำให้คนรู้สึกเสียงทุ้มนั้นไม่ใช่เสียงจริงจั๋วซือหรานก้มศีรษะลง เลือดไหลออกจากปากของนาง และไหลลงบนพื้น นางหายใจเข้าและพูดด้วยเสียงแหบแห้ง ” วิชาการรักษาโรคคือความสามารถในการช่วยชีวิตผู้คน เดิมทีวิชานี้ควรรวบรวมจากหลายที่หลายสาย ตระกูลเหยียนปิดบังวิชานี้ ความสามารถสู้คนอื่มิได้ ยังกลับใส่ร้ายคนอื่นอีก เหตุใดข้าต้องยอมรับผิด “จั๋วซือหรานยกมุมปากของนางาขึ้นและเย้ยหยัน "เพียงเพราะ เหยียนชางมาฟ้องร้องกับพวกเจ้า..ก่อนข้าหรือ"“เจ้าหมายความว่า พวกข้าฟังความข้างเดียวเช่นนั้นหรือ” ซือเจิ้งของหน่วยงานสืบสวนพิเศษผู้นี้ถาม “เช่นนั้น ข้าจะให้โอกาสเจ้าครางหนึ่ง เจ้าจะได้แก้ตัว เจ้าจะพิสูจน์ได้อย่า
พอได้ยินคำนี้ของนาง เฉวียนคุนก็เอียงตามองนาง ยิ้มขึ้นมาจั๋วซือหรานเห็นสายตาที่เอียงมากับรอยยิ้มเขา ก็เอ่ยขึ้นอย่างจนใจว่า "สายตาอะไรของเจ้ากัน ข้าพูดเรื่องจริงนะ"เฉวียนคุนโบกไม้โบกมือ "นายท่านไม่ต้องมาขู่ข้า"จั๋วซือหราน "..."เฉวียนคุนเอ่ยด้วยรอยิ้ม "ด้วยความฉลาดหลักแหลมกับการวางแผนได้ละเอียดรอบของของท่าน ในเมื่อวางใจไปที่หลวนหนาน ก็อธิบายได้แล้วว่าในเมืองหลวง ท่านไม่ได้มีแค่เฉวียนคุนคนเดียวเท่านั้น""ข้าเป็นแค่คนไม่สำคัญ ติดตามนายท่านคอยดูแลเรื่องในเรือนยังพอไหว แต่จะให้ข้าไปวุ่นกับเรื่องธุรกิจนี่ ข้าคงไม่ไหว ข้ารู้ตัวเองดี"เฉวียนคุนยิ้มๆ มองจั๋วซือหราน "ดังนั้น ข้าจะติดตามนายท่านไปหลวนหนานด้วย ไม่ว่าจะยอู่ในเรือนเล็กหรือว่าใหญ่ ข้าก็ยังมองท่านเป็นนายท่านอยู่วันยังค่ำ "จั๋วซือหรานหลังจากได้ยินคำพูดของเฉวียนคุน ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากนิ่งงันไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นว่า "ช่างเถอะ แล้วแต่เจ้าละกัน"นางเบ้ปาก "เจ้าคนไม่ยอมก้าวหน้า"เฉวียนคุนตอบกลับอย่างเริงร่า "เดิมทีข้าก็แค่อยากจะอยู่ข้างกายนายท่านเท่านั้น ไม่ได้อยากจะก้าวหน้าอะไร"จั๋วซือหรานมองเขา "แต่ว่าเจ้าพูดผิดไปคำหนึ
หลงซ่งประสานมือกับจั๋วซือหราน เอ่ยขึ้นว่า "แม่นางจิ่ว พวกเราเองวันนี้ก็เพิ่งทราบ ว่าน้องชายท่านจะถูกพากลับไปที่สำนักเมฆาวารีแล้ว"พอสิ้นเสียงหลงซ่ง ก็ได้ยินเสียงกร๊อบดังขึ้น!ถ้วยชาในมือจั๋วซือหรานแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สีหน้านางไม่เหลือความอบอุ่นใดอีก ถามขึ้นว่า "เจ้าว่าอะไรนะ"หลงซ่องเองก็มองออกถึงอารมณ์ของจั๋วซือหราน เขาชะงักไป จากนั้นจึงเอ่ยซ้ำขึ้นอีกครั้ง "น้องชายของท่านจะถูกพากลับสำนักเมฆาวารีแล้ว"จั๋วซือหรานนิ่งงันไปพักหนึ่ง จึงถามขึ้นเสียงต่ำว่า "เรื่องนี้...เป็นข่าวตั้งแต่ตอนไหน ถ้าคำนวณจากความเร็วในการส่งสารของหอเฟิ่งเสวี่ย"หลงซ่งรู้ว่านางพบจุดสำคัญของเรื่องนี้แล้วในชั่วพริบตาหลงซ่งตอบว่า "อย่างช้าสุดคือไม่เกินสามวัน ด้วยความเร็วการส่งสารของหอเฟิ่งเสวี่ย"จั๋วซือหรานหัวเราะเย็นชาขึ้นมา "สามวัน...ตอนนั้นแม่ของข้าคงเพิ่งจะออกเดินทางจากอวิ๋นหลิวมาเมืองหลวง หรือก็คือ พอแม่ข้าออกจากอวิ๋นหลิว ตระกูลเซี่ยอย่างพวกเขาก็จัดแจงให้น้องชายข้าทันทีสินะ"หลงซ่งขานรับคำหนึ่ง "น่าจะเป็นอย่างที่แม่นางคาดการณ์""ดี ดีเหลือเกิน" สายตาจั๋วซือหรานไม่เหลืออุณหภูมิใดอีก นางลุกขึ้นยืน "ข
"ท่านกับเสี่ยวหวายกินยาลูกกลอนที่ข้าหลอม ถ้าหากบอกว่าเป็นโรคอะไร ข้าเองก็ยังเชื่ออยู่ แต่นี่...ไม่คุ้นกับสภาพแวดล้อมรึ? เป็นไปไม่ได้" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "และไม่รู้ว่าเสี่ยวหวายถูกใครวางแผนอะไรใส่ ถึงต้องใช้วิธีนี้เพื่อให้เขาอยู่ในเมืองอวิ๋นหลิว ไม่ให้เขากลับมาเมืองหลวง"จั๋วซือหรานพูด ดวงตาหรี่ลง "ข้าสงสัยว่า ต่อให้ตระกูลเซี่ยที่อวิ๋นหลิว คงจะไม่รู้จักความเจ้าอารมณ์ของจั๋วซือหรานอย่างข้า แต่ตระกูลของคุณหนูป่วยคนนั้น หรือก็คือเจ้าพวกสำนักกะโหลกกะลา บางทีอาจจะเคยได้ยินชื่อข้าบ้าง อาจจะรู้ว่าข้ารับมือยาก เสี่ยวหวายถ้าหากกลับมาถึงเมืองหลวง ไม่นานข้าคงจะสังเกตเห็นความผิดปกติ ดังนั้นจึงให้ตระกูลเซี่ยหาเหตุผลให้เสี่ยวหวายอยู่ที่อวิ๋นหลิวต่อ"ความเร็วการพูดของจั๋วซือหรานไม่รีบไม่ร้อน พูดมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะแค่การคาดเดา แต่ในการคาดเดานาง เส้นตรรกะทั้งหมดก็แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ"ถ้ารู้แต่แรกก็ไม่ไปแล้ว" คิ้วของเซี่ยอวิ๋นเหนียงขมวดขึ้นมา"ท่านแม่อย่าโทษตัวเอง""ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?" เซี่ยอวิ๋นเหนียงถามขึ้นจั๋วซือหรานคิดๆ "ท่านแม่ ท่านเล่ากับข้าให้ละเอียดหน่อย ถึงเรื่องหลังจากพาเส
พอได้ยินคำพูดจั๋วซือหราน สีหน้าเซี่ยอวิ๋นเหนียงก็เปลี่ยนไปทันทีต่อในนางจะพอเข้าใจคร่าวกับคำว่า 'ผู้ทดลองยา' ก็ตาม แต่จากท่าทีต่อตระกูลเซี่ยของจั๋วซือหราน เซี่ยอวิ๋นเหนียงเองก็พอคาดเดาได้ เช่นนั้นจะต้องไม่ดีเท่าไรแน่ ไม่ใช่เรื่องที่ดีกับจั๋วหวายนักเซี่ยอวิ๋นเหนียงถามเสียงขรึม "ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่จากชื่อแล้วก็พอจะเดาออก ดังนั้น หรานหราน...ความหมายของเจ้าคือ เสี่ยวหวายถูกคนวางแผนหลอกลวงจนกลายเป็น 'ผู้ทดลองยา' ที่ไร้ค่าหรือ?"ตาของจั๋วซือหรานลึกซึ้ง "นี่เป็นการคาดเดาที่เลวร้ายสุดของข้า"เซี่ยอวิ๋นเหนียงสีหน้าซีดไป "ข้าคลอดเจ้ามาข้าเข้าใจดี ว่าในใจเจ้าถ้าไม่มั่นไปแปดส่วน จะไม่มีทางพูดออกมา...ในเมื่อเจ้าพูดมาเช่นนี้ เช่นนั้นก็คงจริงไปกว่าครึ่งแล้ว"จั๋วซือหรานอ้าปาก แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาในเมื่อตามหลักการแล้ว ตนเองไม่ใช่เซี่ยอวิ๋นเหนียงคลอดออกมาหรอก แต่ก็ยังอดพูดไม่ได้ ว่าลึกแล้วก็มีวาสนาอยู่ระดับหนึ่ง ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นเหนียงพูดถึงนิสัยนางได้ถูกต้องพูดได้แค่ว่าแม่รู้จักลูกสาวดีที่สุดสินะจั๋วซือหรานก่อนหน้านี้เพราะกังวลอารมณ์ของแม่ ดังนั้นจึงพูดออกมาค่อนข้างอ้อมค้อมแต่ตอนนี้
"แต่พวกของลุงเจ้าบอกว่า ตระกูลของแม่นางทางนั้น เหมือนจะค่อนข้างกระตือรือร้นกับเรื่องนี้ บอกว่าถึงอย่างไรก็เป็นคุณหนูจากสำนัก เรื่องนี้ถ้ากำหนดแล้ว จะเป็นประโยชน์กับเสี่ยวหวาย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นประโยชน์กับเจ้าด้วย เจ้าเองก็รู้ ว่าน้องชายเจ้า..."เซี่ยอวิ๋นเหนียงส่ายหัวเอ่ยต่อว่า "ถ้าบอกว่าเพื่อตัวเขาเอง เขาก็จะไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่ถ้าบอกว่าเป็นประโยชน์กับเจ้า เขาก็จะไม่มีความเห็นอื่นอีก"พอฟังถึงตรงนี้ จั๋วซือหรานก็เม้มปาก นิ้วมือกำแน่นขึ้นมา กดเสียงต่ำลงถามว่า "จากนั้นล่ะ?""จากนั้นเด็กคนนี้เดิมทีคิดจะกลับมา เพื่อถามการตัดสินใจจากเจ้าด้วยตัวเอง เขาบอกว่าจะฟังเจ้า เขาไม่มีความเห็นอะไร" เซี่ยอวิ๋นเหนียงคิดๆ แล้วก็พูดคำพูดของจั๋วหวายตอนนั้นออกมาคำพูดเดิมของจั๋วหวายตอนนั้นคือ: 'ข้าเองไม่ใช่ว่าจะตัดสินใจหรือเลือกเองไม่ได้ แต่พี่สาวข้าฉลาดกว่าข้า สายตากว้างไกลกว่าข้า ดังนั้นต่อให้นางบอกว่าได้ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเหมาะกับข้า แต่ถ้านางบอกว่าไม่ เช่นนั้นก็คือไม่ ข้าจะฟังท่านพี่'จั๋วซือหรานสูดหายใจลึก ถามต่อว่า "ท่านแม่ เสี่ยวหวายเริ่มไม่สบายตั้งแต่ตอนไหน?"เซี่ยอวิ๋นเหนียงคิดอย่างละเอียด
จั๋วซือหรานเองก็พาแม่ไปนั่งบนรถม้าคันหนึ่งระหว่างทางที่รถม้าแล่นตรงไปยังจวน เซี่ยอวิ๋นเหนียงก็รีบถามขึ้นว่า "หรานหราน นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เสี่ยวหวายมีตรงไหนแย่ไหม?"เสียงของนางมีความร้อนรน "แม่ไม่ดีเอง แม่คิดไม่ถึงว่าบ้านตายายเจ้าจะแอบทำแบบนี้ เสี่ยวหวายมีอะไรไม่ดีกันแน่? แม่ได้ยินความหมายเจ้าก่อนหน้านี้ อาการป่วยของเสี่ยวหวาย มันไม่ถูกต้องใช่ไหม?"จั๋วซือหรานครุ่นคิดพักหนึ่ง นางเดิมทีไม่อยากให้แม่ตกใจแต่ก็เข้าใจดี ยิ่งตอนนี้พูดไม่ชัดเจน แม่ก็จะยิ่งถูกทำให้ตกใจง่ายขึ้นดังนั้นจั๋วซือหรนพอคิดไปครู่หนึ่ง จึงกลั่นกรองคำพูดแล้วเอ่ยว่า "ท่านแม่ยังไม่ต้องร้อนใจกังวล เป็นแค่การคาดการณ์ของข้าเท่านั้น ท่านตอบคำถามส่วนหนึ่งข้ามาก่อน ข้าจึงจะพิจารณาได้ว่าตอนนี้คือสถานการณ์แบบไหน"เซี่ยอวิ๋นเหนียงรู้ว่าลูกสาวเป็นคนฉลาด เรื่องทุกเรื่องอยู่ในการควบคุมหมด จึงรีบพยักหน้ารับ "เจ้าแค่ถามมา ถ้าแม่รู้ แม้จะบอกเจ้าให้หมด!""ตอนนี้ตระกูลเซี่ย...ยังเป็นท่านตาที่ดูแลหรือเปล่า?" จั๋วซือหรานถามขึ้นมาเซี่ยอวิ๋นเหนียงถอนหายใจเบาๆ "ข้าเองกลับไปถึงเพิ่งรู้ ว่าสุขภาพตาของเจ้าแย่ลงทุกปี ไม่กี่ปีน
เซี่ยหมิงอี้คิดๆ ยังเอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า "เดิมทีเรื่องงานแต่งงานของลูกต้องมีพ่อแม่เป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่พี่สายมาตัดสินนะ เจ้ากับเสี่ยวหวายถูกตระกูลจั๋วขับไล่ออกมา ไม่มีตระกูลจั๋วมาจัดการให้พวกเจ้า พวกเราในฐานะผู้อาวุโส จัดการเรื่องนี้ให้เสี่ยวหวายมันก็สมเหตุสมผลดี เจ้าทำไมถึงต้องโมโหเพราะเรื่องนี้..."จั๋วซือหรานหัวเราะเย็นชา "ความหมายก็คือ พวกท่านแค่จัดการให้เสี่ยวหวายยังไม่พอ แต่หลังจากนี้ยังคิดจะวางท่าทางเป็นผู้อาวุโสในตระกูล แล้วมาจัดแจงให้ข้าด้วยว่างั้น"เซี่ยหมิงอี้หน้าแข็งไปจั๋วซือหรานเอ่ยต่อ "ยิ่งไปกว่านั้นข้าเป็นพี่สาวคนโต ข้าตัดสินใจได้อยู่แล้ว ข้าตอนนี้ไม่ใช่แค่พี่สาวของจั๋วหวาย ลูกสาวของเซี่ยอวิ๋นซี ข้ายังเป็นผู้อาวุโสของตระกูลจั๋วอีกด้วย สามข้อนี้ ข้าจัดการงานแต่งงานที่ดีให้กับน้องชายข้าในอนาคตได้เหลือๆ ไม่ต้องลำบากพวกท่านแล้ว!"มือของจั๋วซือหรานออกแรงเพิ่มขึ้น!ดวงตาของเซี่ยหมิงอี้เบิกกว้างขึ้น ในสายตามีความตกตะลึงขึ้นมา!เพราะ...เขาพบว่า นางหยวนแม้จะถูกบีบคอไว้แต่ตอนที่จั๋วซือหรานออกแรงเพิ่ม คอของเขาก็ถูกรัดแน่นขึ้น เจ็บปวดตามขึ้นมาแล้ว!เซี่ยหมิงอี้กระทั่งในดวงต
การก่อเรื่องกะทันหันของจั๋วซือหราน บวกกับท่าทางของคนของหน่วยคุ้มกันกับองครักษ์เงาที่พุ่งเข้าไปควบคุมขบวนรถอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าทำให้คนอื่นๆ ในรถม้าตกใจลุงใหญ่ของจั๋วซือหราน หรือก็คือเซี่ยหมิงอี้พี่ชายคนโตของเซี่ยอวิ๋นเหนียง เดินลงมาจากรถม้าหน้าขรึม"อวิ๋นซี นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" เซี่ยหมิงอี้มองไปทางเซี่ยอวิ๋นเหนียง ถามเสียงขรึมจากนั้นสายตาก็เหลือบไปทางจั๋วซือหรานผาดหนึ่ง ถามขึ้นว่า "เข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า?"คอของนางหยวนยังคงถูกบีบอยู่ในมือจั๋วซือหราน ท่าทางนั้น เหมือนหิ้วไก่ตัวหนึ่งอยู่ไม่ผิดเพี้ยนเพียงแต่ว่า ยังพอส่งเสียงอะไรออกมาได้ เสียงของนางหยวนกับสายตานั้นพรั่นพรึงเหมือนกัน "พี่ พี่ใหญ่! ช่วยข้าด้วย!"เซี่ยหมิงอี้เอ่ยกับจั๋วซือหรานเสียงขรึม "หรานหราน นี่ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ เจ้าปล่อยป้ารองเจ้าลงก่อนเถอะ ครอบครัวเดียวกันอย่าทำร้ายกันให้ชาวเมืองเขาหัวเราะเยาะเลย"คำพูดนี้พูดไว้ถูกต้อง ถ้าหากเป็นเรื่องสำคัญของภาพรวม จั๋วซือหรานจะทำตามที่เซี่ยหมิงอี้ว่าแน่นอนแต่ว่านางไม่ใช่คนที่จะต้องเห็นภาพรวมเป็นเรื่องสำคัญเสียทุกเรื่องคนที่นางใส่ใจเดิมทีก็มีไม่เยอะอยู่แล้ว แม่แ
นางหยวนแน่นอนไม่คิดจะผิดใจกับหลานสาวคนนี้ แม้จะบอกว่าไม่รู้ว่าที่ลือกันเป็นจริงอยู่กี่ส่วน แต่คนผู้นี้ เป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง แล้วยังเป็นโหวหญิงอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีตำแหน่งขุนนางในตัวแน่นอนต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษนางหยวนหยุดไปครู่หนึ่ง จึงพูดว่า "หรานหราน เจ้าเข้าใจบ้านพวกเราผิดแล้ว เสี่ยวหวายไม่ได้ถูกขังไว้ในอวิ๋นหลิวไม่ให้กลับเมืองหลวง แต่หลังจากเขาไปที่อวิ๋นหลิว อาจจะเพราะการกินอยู่ไม่สบายหรืออะไรสักอย่าง ร่างกายก็ไม่ค่อยดีมาโดยตลอด เส้นทางกลับมาก็ไกลแล้วยังขรุขระด้วย ดังนั้นจึงให้เขาอยู่ที่อวิ๋นหลิว รอให้ร่างกายดีแล้วค่อยกลับมาเมืองหลวง"เดิมทีขณะที่พวกนางพูดกันก็กำลังเดินไปด้านในเมืองหลวงแต่พอนางหยวนพูดคำนี้ เท้าของจั๋วซือหรานก็หยุดลงทันทีนางหันมามองนางหยวนนิ่งๆนางหยวนถูกสายตาของนางมองจนลนลาน "หรานหราน เจ้า เจ้า...ทำไมมองข้าแบบนั้น?"จากนั้นนางจึงเห็นรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจบนใบหน้าจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานก็ถามนางเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มมาคำหนึ่ง "ท่านป้า ไม่รู้ว่าครั้งนี้มีแค่ท่านป้าที่มากับท่านแม่ใช่ไหม?"นางหยวนแม้จะถูกนางจ้องจนรู้สึกลนลาน แต่พอได้ยินคำถามท