ฮ่องเต้เจาหยวนยังคงทรงประชวรและนอนอยู่บนพระแท่นบรรทม ไม่สามารถลุกขึ้นได้ พระวรกายซูบผอมลงอย่างมาก ราชกิจแทบทั้งหมดก็ไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเองกิจการในราชสำนักส่วนใหญ่ล้วนถูกตัดสินใจโดยจิ่งโม่เยี่ยด้วยเหตุนี้เอง ฮองเฮาจึงคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยต้องแอบใส่ยาพิษในอาหารให้ฮ่องเต้เจาหยวน ทำให้อาการของพระองค์ไม่ดีขึ้นสักทีเรื่องนี้ฮองเฮาได้ตรวจสอบอย่างละเอียดหลายครั้ง ขันทีและนางกำนัลที่รับใช้ฮ่องเต้เจาหยวนก็เปลี่ยนไปหลายชุดแล้ว แต่อาการของพระองค์ก็ยังไม่ดีขึ้นฮองเฮาร้อนใจแต่ก็ไม่มีทางออกต่อมาการตายของจิ่งสือเฟิงยิ่งทำให้ฮองเฮารู้สึกว่าสถานการณ์ของนางอับจนหนทางมากเข้าไปใหญ่จิ่งสือเฟิงมีทายาทหลงเหลืออยู่บนโลกนี้ แต่พวกเขายังเด็กเกินไป ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของจิ่งโม่เยี่ยได้หลังจากปรึกษาหารือกับมหาราชครู ฮองเฮาจึงตัดสินใจว่าจะยืนหยัดไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามตอนนี้พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากความคิดของขุนนางในเมืองหลวงที่อยู่ฝ่ายเดียวกับฮ่องเต้เจาหยวน รวบรวมพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อต่อต้านจิ่งโม่เยี่ยและวันนี้ นางจะหาวิธีสั่นคลอนรากฐานอำนาจของจิ่งโม่เยี่ยในเมืองหลวง
“ท่านมหาราชครูไม่ใช่หรือที่พูดอยู่เสมอว่า โอรสสวรรค์ทำผิดต้องได้รับโทษเช่นเดียวกับราษฎร พระนางหักล้างคำพูดของข้าไม่ได้ก็จะลงมือทำร้ายกัน เป็นพระนางที่ทำผิดก่อน ข้าตบสั่งสอนพระนางเล็กน้อยแค่นี้ จะเรียกว่าบังอาจได้อย่างไร”พูดจบนางก็มองไปที่ท่านมหาราชครู “ตัวท่านเองยังไม่ตั้งอยู่ในคุณธรรมเลย สั่งสอนลูกชายอย่างรองผู้ว่าราชการตู้ให้ออกมาเป็นคนชั่วช้า เลี้ยงดูลูกสาวอย่างพระนางให้ออกมาเป็นคนไร้เหตุผล...”นางหัวเราะเสียงเย็นชา “เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาสั่งสอนข้า”ก่อนหน้านี้ที่นางยังไม่ได้พ้นผิด นางจึงต้องยอมอดทนอดกลั้นยอมรับการใส่ร้ายป้ายสีจากมหาราชครูในเมื่อตอนนี้นางพ้นผิดแล้ว จะทนไปทำไมอีกล่ะ!ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางยังไม่ได้หย่ากับจิ่งโม่เยี่ย นางก็ยังคงเป็นพระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการจิ่งโม่เยี่ยกุมอำนาจทั้งแผ่นดิน หากนางไม่ทำตัวกร่างบ้าง ก็คงเสียเปล่าที่เขามีอำนาจอยู่ในมืออย่างไรจิ่งโม่เยี่ยก็ไม่ลงรอยกับพรรคพวกของมหาราชครูอยู่แล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็อยากจะกำจัดอีกฝ่ายให้สิ้นซาก หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ ก็ให้เขาไปจัดการเองแล้วกันวันนี้อารมณ์นางไม่ค่อยดี มีคนมาเสนอหน้าให้นางซ้อ
พูดจบเขาก็คำนับเฟิ่งชูอิ่งอีกครั้ง “เมื่อครู่ฮองเฮาได้ล่วงเกินพระชายา ข้าต้องขออภัยพระชายาไว้ ณ ที่นี้ด้วย”เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ขุนนางในจวนผู้ว่าราชการก็อดไม่ได้ที่จะคิดไปต่างๆ นาๆหรือว่าฮองเฮาจะทำเรื่องน่าอับอายอะไรบางอย่างไว้จริงๆ?มิฉะนั้น ท่านมหาราชครูคงจะไม่แสดงสีหน้าเช่นนี้ผู้ว่าราชการเมืองหลวงตัวสั่นเทา วันนี้เขารู้สึกว่าตัวเองรู้เรื่องมากเกินไปหน่อยเขาคิดว่าตอนนี้จะหาโอกาสหนีออกจากประตูหลังของจวนผู้ว่าราชการ ไม่รู้ว่าจะยังทันหรือไม่ด้วยฐานะของท่านมหาราชครู บัดนี้กลับยอมอ่อนข้อลงพูดจาไพเราะ และยังมองข้ามเรื่องที่นางตบฮองเฮา เฟิ่งชูอิ่งจึงไม่ถือสาเรื่องนี้อีกนางจึงหันไปยั่วโมโหฮองเฮา “ไม่ว่าจะมีการเข้าใจผิดหรือไม่ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าฮองเฮาถูกเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ล่วงเกินได้”“ให้ตายสิ ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด ฮองเฮาผู้แปดเปื้อนไม่บริสุทธิ์เช่นนี้ ยังมีหน้ามาเป็นฮองเฮาต่อไปได้อย่างไร”ฮองเฮากำมือแน่น พูดด้วยน้ำเย็นเยียบ “เรื่องของข้า ย่อมมีฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมาชี้นิ้วสั่งสอนได้!”เฟิ่งชูอิ่งเม้มริมฝีปาก อมยิ้มบางๆ “ฮองเฮาพูดถูก ฝ่
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน
หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้นเฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลยยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรีในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้ เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศา
เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะเหลือบมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนแดงเถือกไปทั้งตัวนางไม่อยากโดนแล่ จะต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้นางกรอกตาไปมา ก่อนจะกล่าวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “วันนี้ข้ากับเฉินเยี่ยนเซิงปรึกษาเรื่องหนีตามกันในห้องนี้จริงๆ“แต่ตอนนั้นข้าทำไปเพราะถูกเขาบีบบังคับ ก็เลยต้องยอมตามน้ำคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาไปก่อน“ท่านอ๋องก็ทราบ หลังจากบิดามารดาของข้าตายไป ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ต้องจำใจไปอยู่อาศัยที่จวนสกุลหลิน“แต่ผู้คนในจวนสกุลหลินกลับหวังฮุบสมบัติของบิดามารดาข้า คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงแก่ความตาย“พวกเขากลัวว่าหากข้าแต่งออกไปแล้ว จะขนทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวด้วย ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องของท่าน“ดังนั้นหลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงก็เลยวางแผนร่วมกัน พยายามพูดจาใส่ร้ายท่านอ๋องให้ข้าฟังบ่อยๆ หว่านล้อมให้ข้าหนีตามเขาไปพร้อมทรัพย์สิน จะได้ฉวยโอกาสนั้นจัดการปลิดชีพข้า“โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนของจวนกลางหุบเขา ข้าจึงปักใจอยากแต่งงานกับท่านตั้งแต
เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชาเจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอ
เฟิ่งชูอิ่งหนังตากระตุกเบาๆ หันมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามหรูหรา แววตาทอประกายเย็นชาผู้หญิงคนนี้คือฮว๋าซื่อ[footnoteRef:1] ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของนาง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งรังแกร่างเดิมจนแทบไม่มีชีวิตรอด [1: 氏 แปลว่าแซ่ คนจีนจะนิยมเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ(氏)] ฮว๋าซื่อเห็นนางยื่นนิ่งไม่ไหวติง จึงหันไปส่งสายตาให้สาวใช้มีอายุสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง สาวใช้สองคนนั้นรีบปรี่เข้ามา คิดจะจับตัวเฟิ่งชูอิ่งกดให้คุกเข่าเฟิ่งชูอิ่งที่เห็นว่าพวกนางตรงดิ่งเข้ามาหาตนเอง ล้วงหยิบมีดที่เพิ่งจะซื้อออกมาด้วยความว่องไว ก่อนจะใช้มันฟันมือของสาวใช้อาวุโสสองคนที่หมายจะคว้าตัวนางมีดเล่มนี้คมกริบมาก มันจึงตัดข้อมือของสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งจนขาดกระเด็นหลังจากเฟิ่งชูอิ่งตัดมือของสาวใช้อาวุโสคนแรกแล้ว นางก็ตวัดมีดแล้วแทงลงบนไหล่ของสาวใช้อีกคนหนึ่งเพียงพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วห้อง เลือดแดงฉานสาดกระจายฮว๋าซื่อตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?”เฟิ่งชูอิ่งรู้ว่