จิ่งสือเฟิงคิดว่าการพังประตูเข้าไปในจวนจะเป็นเรื่องที่ยากมากแต่เรื่องนี้กลับผิดจากความคาดหมายของเขาไปมาก เพราะประตูบานนั้นเปิดออกได้ง่ายกว่าที่คิดไว้มากจิ่งสือเฟิงเพียงแค่สั่งให้คนบุกกระแทกเข้าไปหนึ่งครั้ง ประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกแล้วจิ่งสือเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววดูถูกเหยียดหยาม จวนของอ๋องฉู่ก็แค่นี้เองแต่เพื่อความปลอดภัย เขาจึงไม่ได้บุกเข้าไปเอง แต่สั่งให้คนบุกเข้าไปแทนจากนั้นเขาก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตคนที่บุกเข้าไปเหล่านั้น พอเข้าไปด้านในได้ก็มีสายฟ้าหลายสายฟาดลงมาจากด้านบน เผาพวกเขาเป็นเถ้าถ่านในทันทีจิ่งสือเฟิง "!!!!!!!"นี่มันอะไรกัน?หรือว่าคนของเขาถูกสวรรค์ลงโทษ?จิ่งสือเฟิงไม่ใช่คนกล้าหาญนัก เมื่อเห็นสายฟ้าหลายสายฟาดลงมา เขาก็ตกใจจนล้มนั่งลงกับพื้นประตูใหญ่ถูกเปิดออกกว้าง เขาจึงเห็นเฟิ่งชูอิ่งที่ยืนอยู่ข้างใน ทั้งสองคนมองจ้องตากันผ่านประตูใหญ่เฟิ่งชูอิ่งไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง ใช้นิ้วกระดิกเรียกเขาขณะคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยสีหน้าของนางแตกต่างจากท่าทางขี้ขลาดที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงในดวงตาของนางเจ
เพียงชั่วพริบตาเดียว พื้นที่รอบๆ ก็เกิดฟ้าผ่า เพลิงไหม้ ลมพายุ พุ่งเข้าใส่พวกเขาอย่างบ้าคลั่งบรรดาทหารในจวนไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ทุกคนจึงตกตะลึงไปหมด!พวกเขาร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัว พยายามหลบหลีกการโจมตีที่เหมือนภัยธรรมชาติซึ่งตกลงมาจากฟ้า แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นคนในยุคสมัยนี้ส่วนใหญ่มีความเชื่อเรื่องงมงายไสยศาสตร์อยู่บ้าง เมื่อเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจึงคิดไปเองโดยไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังถูกสวรรค์ลงโทษหรือไม่หลังจากเหตุการณ์มหันตภัยนี้ผ่านพ้นไป แม้พวกเขาจะไม่ถึงกับตกตายกันหมด แต่ผู้ที่รอดมาได้หากอาภรณ์ไม่ถูกเผาวอดก็เปียกโชกสภาพของพวกเขาสะบักสะบอมในพริบตาเดียวทันใดนั้นก็มีองครักษ์ของจวนอ๋องฉู่ตะโกนขึ้นว่า "อ๋องฉู่ได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์ ผู้ใดรังแกหรือดูหมิ่นพระองค์ย่อมถูกสวรรค์ลงโทษ!"เมื่อคำกล่าวนี้ลอยไปเข้าหูของทหารเหล่านั้น ก็ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกทันทีเพราะเหตุการณ์เหล่านี้ ในสายตาของพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจาฝีมือของมนุษย์นี่คือความโกรธแค้นของสวรรค์ จึงบันดาลให้เกิดสายฟ้าและลูกไฟตกลงมาจากเบื้องบนพวกเขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก และคิดจะหลบหนีโดยสัญชาตญา
เฟิ่งชูอิ่งยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย หัวคิ้วของนางยกสูงขึ้น แล้วกางนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ออก แล้วงอนิ้วที่เหลืออีกสามนิ้วในตอนนั้น จิ่งสือเฟิงได้ยินเสียงนางกล่าวคำว่า "ปัง" อย่างเลือนรางเขาไม่รู้ว่าคำนี้หมายความว่าอะไร แต่รู้ว่ามันเป็นท่าทางที่ยั่วยุท้าทายและดูอันตรายมากครั้งนี้จิ่งสือเฟิงตกใจจนปัสสาวะราดอุจจาระเล็ด สองขาอ่อนแรงจนยืนไม่อยู่โชคดีที่องครักษ์ของเขาทำงานอย่างเต็มความสามารถ แบกเขาขึ้นหลังแล้วรีบพุ่งตัวออกจากตรอกไปอย่างรวดเร็วฉินจื๋อเจี้ยนมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดจนมึนงงไปหมดเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบอกว่านางจะเป็นคนสั่งการองครักษ์ของจวนเอง เขาก็เห็นด้วยโดยไม่มีเงื่อนไข แต่หลังจากตกลง เขาก็ยังแอบรู้สึกกังวลอยู่บ้างเขารู้ว่านางเชี่ยวชาญด้านศาสตร์ลี้ลับ และมีความสามารถในการก่อเรื่องเป็นอันดับหนึ่ง แต่การบัญชาการต่อสู้ของคนหลายร้อยคนแบบนี้ นางอาจจะไม่ชำนาญนักแต่การจัดการและบัญชาการของนางวันนี้กลับคล่องแคล่วมากวันนี้นางควบคุมสั่งการคนจำนวนน้อย แม้จะไม่สามารถบ่งบอกได้ว่านางมีความสามารถทางทหาร แต่ความสามารถนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่สตรีในห้องหอจะมีกันได้เขาไม่ได้คิดว่าความผิดปกติของนาง
เฟิ่งชูอิ่งกล่าวกับเฉี่ยวหลิงว่า "เรามาทำท่าเมื่อสักครู่ซ้ำอีกครั้งเถอะ"เฉี่ยวหลิงพยักหน้า นางหยิบลูกธนูขึ้นมาและยืนอยู่ตรงหน้าเฟิ่งชูอิ่ง เฟิ่งชูอิ่งแตะลูกธนูเบาๆ แล้วเฉี่ยวหลิงก็พลิกทิศทางของลูกธนูในทันทีจากนั้นนางก็ขว้างลูกธนูออกไปอย่างแรง ลูกธนูปักเข้าไปในลำต้นของต้นไม้ข้างๆ อย่างรุนแรงฉินจื๋อเจี้ยน “......”เอาล่ะ เขาเข้าใจแล้ว!แล้วก็ได้เปิดหูเปิดตาด้วย!มันเป็นเพียงการใช้ประโยชน์จากการที่คนอื่นมองไม่เห็นเฉี่ยวหลิง แล้วใช้กลวิธีดึงดูดความสนใจทางสายตาอย่างแยบยลเฟิ่งชูอิ่งถามว่า "ท่านฉินจ๋างสื่อมีคำถามอื่นอีกไหม?"เฉี่ยวหลิงยิ้มให้เขาแล้วดวงตาของนางก็หลุดออกมาจากเบ้าตา ก่อนนางจะกดมันกลับเข้าไปอย่างใจเย็นฉินจื๋อเจี้ยน "...ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"เฟิ่งชูอิ่งจึงพาเฉี่ยวหลิงกลับห้องฉินจื๋อเจี้ยนรู้ว่าเฉี่ยวหลิงไม่ใช่มนุษย์ และรู้ว่านางมักจะทำคางและลูกตาหลุดบ่อยๆ แต่ทุกครั้งที่เขาเห็น เขาก็ยังรู้สึกขวัญผวาทุกครั้งไปหลังจากเฟิ่งชูอิ่งกลับห้องแล้ว เฉี่ยวหลิงกล่าวอย่างมีความสุขว่า "วันนี้คุณหนูดูยิ่งใหญ่สุดๆ ไปเลย ทำให้คนพวกนั้นตกอกตกใจกันหมด!""คุณหนูไม่รู้หรอกว่า ข้านั่ง
นางจะช่วยเขาเอาชนะคนที่มาล้อมโจมตีจวนอ๋อง และจะช่วยหากองกำลังเสริมมาให้เขาอีกกองหนึ่งนางมองดูตราพยัคฆ์ที่จิ่งสือเยี่ยนให้นางมา การลากจิ่งสือเยี่ยนเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้อาจจะดูไม่ค่อยยุติธรรมนัก แต่เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับจิ่งสือเยี่ยนนางไม่รู้ว่าในนิยายต้นฉบับ จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยกลายเป็นศัตรูกันเพราะอะไร แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขายังดีอยู่การที่จิ่งโม่เยี่ยก่อการปฏิวัติในวังครั้งนี้ ถ้าสามารถระดมกำลังทหารกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนมาช่วยได้ ก็เท่ากับผูกจิ่งสือเยี่ยนให้ลงเรือลำเดียวกับจิ่งโม่เยี่ยเมื่อไทเฮาสิ้นพระชนม์ จิ่งสือเยี่ยนก็จะเป็นเชื้อพระวงศ์เพียงคนเดียวในเมืองหลวงที่มีความสัมพันธ์ดีกับจิ่งโม่เยี่ย เฟิ่งชูอิ่งไม่อยากให้ทั้งสองคนนี้เป็นศัตรูกันเฉี่ยวหลิงถามนางว่า "แต่ตอนนี้จวนอ๋องฉู่ถูกล้อมแน่นหนาราวกับปราการเหล็ก คุณหนูจะออกไปได้อย่างไรเจ้าคะ?"มุมปากของเฟิ่งชูอิ่งยกขึ้นเล็กน้อย "ตอนที่ข้าสั่งการให้ทหารรักษาการณ์พวกนี้ไปจัดการจิ่งสือเฟิง จริงๆ แล้วข้ากำลังดูแผนการปฏิบัติงานของพวกเขา และมองหาจุดอ่อนในการผลัดเปลี่ยนเวรยามของพวกเขา"เฉี่ยวหลิงถ
เฟิ่งชูอิ่งสูดลมหายใจลึกๆ หยิบตราพยัคฆ์ออกมาดู แล้วเก็บใส่อกเสื้อตามความเคยชิน เตรียมตัวจะปีนข้ามกำแพงนางเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าจึงหยิบบันไดออกมาจากกำไลมิติของนาง แล้วปีนขึ้นกำแพงอย่างรวดเร็วระหว่างที่นางปีนขึ้นไปนั้น นางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอิสรภาพตอนนี้ระหว่างนางและอิสรภาพ มีเพียงกำแพงตรงหน้าขวางกั้นเอาไว้อย่างเดียวเมื่อนางหันไปจะหยิบบันไดไปวางอีกด้าน ก็เหลือบไปเห็นจิ่งโม่เยี่ยยืนอยู่บนกำแพง จ้องมองมาที่นางอย่างเย็นชาเฟิ่งชูอิ่ง "!!!!!!"นางตกใจจนเกือบพลัดตกจากกำแพง!มือแกร่งข้างหนึ่งคว้าจับคอเสื้อของนางไว้จากนั้นก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ กดร่างของนางไว้กับขอบกำแพงจิ่งโม่เยี่ยมองนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่คล้ายการยิ้มและกล่าวว่า "ชายารัก เจ้าจะไปไหนหรือ?"เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้ก็ขนลุกขนพองไปทั่วร่างวันนี้หลังจากพวกเขากราบไหว้ฟ้าดินกันเรียบร้อย ก่อนที่เขาจะแยกตัวออกไป เขาก็ไม่ได้เรียกนางเช่นนี้เสียหน่อยตอนนี้ใบหน้าของเขาปกคลุมไปด้วยความเย็นชาเหมือนมีเกล็ดน้ำแข็งเคลือบทับ ดวงตาดอกท้อแม้จะยิ้มแย้ม แต่กลับไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด เขาแผ่บรรยากาศเย็นชาจนเหมือนก้อ
หลังจากเขาได้ยินคำตอบของนางก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย "เมื่อครู่นี้ข้ามองผิดไป ตรงนี้คือทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจวน ไม่ใช่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ"เฟิ่งชูอิ่ง “......”รอยยิ้มบนใบหน้านางแข็งค้าง สายตาว่างเปล่ามองไปที่จิ่งโม่เยี่ยนางกระจ่างแจ้งเลยว่าถูกจิ่งโม่เยี่ยหลอกปั่นหัวแล้วนางสูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยถามว่า "ท่านอ๋อง ท่านกำลังหยอกเย้าข้าอยู่หรือ?"จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเสียงเย็นชา "ชายารักกำลังรู้สึกหวั่นใจหรือ?"เฟิ่งชูอิ่งไม่รู้จะตอบคำกล่าวของเขาอย่างไรพวกเขาทั้งสองคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ เหลือเพียงการเปิดเผยความลับที่ซ่อนเอาไว้เท่านั้นมือของเฟิ่งชูอิ่งกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ใคร่ครวญในใจว่านางควรจะสารภาพความจริงกับอีกฝ่ายดีไหมแต่จิ่งโม่เยี่ยกลับยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อของนาง นางตกใจมากจึงคว้ามือของเขาไว้นางรู้ว่าหากเขาเห็นตราพยัคฆ์ในอกเสื้อของนางขึ้นมา ด้วยนิสัยขี้หวาดระแวงของเขา ไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไรก็คงจะไร้ผลนางหัวเราะเสียงหวาน "ท่านอ๋อง แม้ว่าคืนนี้จะเป็นคืนแต่งงานร่วมหอของพวกเรา แต่สถานที่นี้ไม่เหมาะสมนัก ท่านอย่าทำแบบนี้เลยเพคะ!"จิ่งโม่เยี่ยแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา ใช้มือหยิบต
เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเข้าใจแล้ว ไม่ว่านางจะกล่าวอะไรตอนนี้ เขาก็ไม่คิดจะเชื่อนางทั้งนั้นอีกอย่างคำกล่าวหาของเขาก็ได้เปิดเผยข้อมูลมากมาย นั่นคือเขารู้เรื่องกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนอยู่แล้วถ้าอย่างนั้นเนื้อเรื่องในนิยาย เขาจะไม่เตรียมการป้องกันกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนได้อย่างไร?หากจะคิดแบบนั้น ก็คงสรุปได้เพียงอย่างเดียวว่าเขาทราบทุกอย่างดี เพียงแต่ไม่คิดจะป้องกันเพราะตั้งใจจะตายอยู่แล้วนางรู้สึกสับสนและซับซ้อนจนทำอะไรไม่ถูกแล้วจิ่งโม่เยี่ยยื่นมือมาบีบคางของนาง กล่าวว่า "ทำไม? ข้ากล่าวแทงใจดำของเจ้า จนเจ้าพูดไม่ออกเลยหรือ?"เฟิ่งชูอิ่งเก็บงำความรู้สึกในแววตา กล่าวเสียงเรียบว่า "ถ้าท่านอ๋องปักใจไปแล้วว่าข้ามีความสัมพันธ์กับเขา ไม่ว่าข้าจะกล่าวอะไรท่านก็ไม่เชื่ออยู่ดี""ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้ายังจะกล่าวอะไรได้อีกล่ะ?"ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยแดงก่ำ วันนี้เขาดีใจมากที่ได้แต่งงานกับนาง แต่ใจของนางไม่เคยอยู่ที่เขาเลยสักครั้งเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าในใจของนางไม่มีเขาอยู่ นางยอมแต่งงานกับเขาเพราะสถานการณ์บังคับเขาคิดว่าถ้าเขาปฏิบัติต่อนางอย่างดี สักวันจะต้องทำให้นางมีใจ