เฟิ่งชูอิ่งสูดลมหายใจลึกๆ หยิบตราพยัคฆ์ออกมาดู แล้วเก็บใส่อกเสื้อตามความเคยชิน เตรียมตัวจะปีนข้ามกำแพงนางเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าจึงหยิบบันไดออกมาจากกำไลมิติของนาง แล้วปีนขึ้นกำแพงอย่างรวดเร็วระหว่างที่นางปีนขึ้นไปนั้น นางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอิสรภาพตอนนี้ระหว่างนางและอิสรภาพ มีเพียงกำแพงตรงหน้าขวางกั้นเอาไว้อย่างเดียวเมื่อนางหันไปจะหยิบบันไดไปวางอีกด้าน ก็เหลือบไปเห็นจิ่งโม่เยี่ยยืนอยู่บนกำแพง จ้องมองมาที่นางอย่างเย็นชาเฟิ่งชูอิ่ง "!!!!!!"นางตกใจจนเกือบพลัดตกจากกำแพง!มือแกร่งข้างหนึ่งคว้าจับคอเสื้อของนางไว้จากนั้นก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ กดร่างของนางไว้กับขอบกำแพงจิ่งโม่เยี่ยมองนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่คล้ายการยิ้มและกล่าวว่า "ชายารัก เจ้าจะไปไหนหรือ?"เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้ก็ขนลุกขนพองไปทั่วร่างวันนี้หลังจากพวกเขากราบไหว้ฟ้าดินกันเรียบร้อย ก่อนที่เขาจะแยกตัวออกไป เขาก็ไม่ได้เรียกนางเช่นนี้เสียหน่อยตอนนี้ใบหน้าของเขาปกคลุมไปด้วยความเย็นชาเหมือนมีเกล็ดน้ำแข็งเคลือบทับ ดวงตาดอกท้อแม้จะยิ้มแย้ม แต่กลับไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด เขาแผ่บรรยากาศเย็นชาจนเหมือนก้อ
หลังจากเขาได้ยินคำตอบของนางก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย "เมื่อครู่นี้ข้ามองผิดไป ตรงนี้คือทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจวน ไม่ใช่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ"เฟิ่งชูอิ่ง “......”รอยยิ้มบนใบหน้านางแข็งค้าง สายตาว่างเปล่ามองไปที่จิ่งโม่เยี่ยนางกระจ่างแจ้งเลยว่าถูกจิ่งโม่เยี่ยหลอกปั่นหัวแล้วนางสูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยถามว่า "ท่านอ๋อง ท่านกำลังหยอกเย้าข้าอยู่หรือ?"จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเสียงเย็นชา "ชายารักกำลังรู้สึกหวั่นใจหรือ?"เฟิ่งชูอิ่งไม่รู้จะตอบคำกล่าวของเขาอย่างไรพวกเขาทั้งสองคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ เหลือเพียงการเปิดเผยความลับที่ซ่อนเอาไว้เท่านั้นมือของเฟิ่งชูอิ่งกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ใคร่ครวญในใจว่านางควรจะสารภาพความจริงกับอีกฝ่ายดีไหมแต่จิ่งโม่เยี่ยกลับยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อของนาง นางตกใจมากจึงคว้ามือของเขาไว้นางรู้ว่าหากเขาเห็นตราพยัคฆ์ในอกเสื้อของนางขึ้นมา ด้วยนิสัยขี้หวาดระแวงของเขา ไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไรก็คงจะไร้ผลนางหัวเราะเสียงหวาน "ท่านอ๋อง แม้ว่าคืนนี้จะเป็นคืนแต่งงานร่วมหอของพวกเรา แต่สถานที่นี้ไม่เหมาะสมนัก ท่านอย่าทำแบบนี้เลยเพคะ!"จิ่งโม่เยี่ยแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา ใช้มือหยิบต
เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเข้าใจแล้ว ไม่ว่านางจะกล่าวอะไรตอนนี้ เขาก็ไม่คิดจะเชื่อนางทั้งนั้นอีกอย่างคำกล่าวหาของเขาก็ได้เปิดเผยข้อมูลมากมาย นั่นคือเขารู้เรื่องกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนอยู่แล้วถ้าอย่างนั้นเนื้อเรื่องในนิยาย เขาจะไม่เตรียมการป้องกันกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนได้อย่างไร?หากจะคิดแบบนั้น ก็คงสรุปได้เพียงอย่างเดียวว่าเขาทราบทุกอย่างดี เพียงแต่ไม่คิดจะป้องกันเพราะตั้งใจจะตายอยู่แล้วนางรู้สึกสับสนและซับซ้อนจนทำอะไรไม่ถูกแล้วจิ่งโม่เยี่ยยื่นมือมาบีบคางของนาง กล่าวว่า "ทำไม? ข้ากล่าวแทงใจดำของเจ้า จนเจ้าพูดไม่ออกเลยหรือ?"เฟิ่งชูอิ่งเก็บงำความรู้สึกในแววตา กล่าวเสียงเรียบว่า "ถ้าท่านอ๋องปักใจไปแล้วว่าข้ามีความสัมพันธ์กับเขา ไม่ว่าข้าจะกล่าวอะไรท่านก็ไม่เชื่ออยู่ดี""ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้ายังจะกล่าวอะไรได้อีกล่ะ?"ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยแดงก่ำ วันนี้เขาดีใจมากที่ได้แต่งงานกับนาง แต่ใจของนางไม่เคยอยู่ที่เขาเลยสักครั้งเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าในใจของนางไม่มีเขาอยู่ นางยอมแต่งงานกับเขาเพราะสถานการณ์บังคับเขาคิดว่าถ้าเขาปฏิบัติต่อนางอย่างดี สักวันจะต้องทำให้นางมีใจ
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า "ใช่ ข้าต้องไป"จิ่งโม่เยี่ยหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เสียงหัวเราะของเขาจะดังขึ้นเรื่อยๆเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาแล้วรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย จึงขยับตัวออกห่างโดยไม่รู้ตัวผ่านไปสักพัก จิ่งโม่เยี่ยก็หยุดหัวเราะ "ข้าช่างน่าสมเพชเสียจริง""ที่แท้การมอบหัวใจให้ใครสักคนแล้วถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี มันเป็นความรู้สึกแบบนี้นี่เอง""ที่แท้ความรู้สึกของเสด็จพ่อที่ทุ่มเทให้กับพระสนมสวี่ แต่กลับไม่ได้รับความอบอุ่นกลับคืนมาสักคำ มันเป็นเช่นนี้นี่เอง""ข้าไม่ใช่เสด็จพ่อ ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องในอดีตเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก"เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางคลุ้มคลั่งของเขาแล้วยิ่งรู้สึกกลัว นางลองเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง "แปลว่าท่านอ๋องจะปล่อยข้าไปหรือเพคะ?""ปล่อยเจ้าไป?" จิ่งโม่เยี่ยหัวเราะลั่น "เจ้าฝันไปเถอะ!""เมื่อเจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว ไม่ว่าเป็นหรือตาย เจ้าก็ต้องเป็นของข้า!""หากเจ้าอยากไป ก็ทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่!"กล่าวจบเขาก็คว้าตัวนางขึ้นแล้วโยนลงจากกำแพงทันทีการกระทำของเขาไม่มีความปรานีเลยแม้แต่น้อย เฟิ่งชูอิ่งไม่ทันตั้งตัวจึงร่วงกระแทกพื้นอย่างแรงตอนที่ตกลงมาก
ข้อสรุปนี้ทำให้เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว บุรุษผู้นี้อาจจะรักนางจริง แต่เขาจะไม่ยอมให้นางจากไปอย่างแน่นอนและเมื่อเขารู้ว่านางไม่ได้รักเขา ด้วยความหยิ่งทะนงของเขาและบทเรียนจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน เขาก็จะไม่บังคับฝืนใจนางอีกเขาเป็นคนเผด็จการ ขี้หวาดระแวง และไม่ยอมให้เกิดเรื่องที่เขาควบคุมไม่ได้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางเป็นสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้ และการที่นางหนีไปอีกครั้งก็เป็นสิ่งที่เขาควบคุมนางไม่ได้...ดังนั้นครั้งนี้นางจะต้องตายอย่างแน่นอนนางรู้มาตลอดว่านิสัยของเขามีความหมกมุ่นและบ้าคลั่ง และตอนนี้เขาก็แค่นำสองสิ่งนี้มาใช้กับนางอย่างสมบูรณ์แบบนางเข้าใจนิสัยของเขาดี ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะฆ่านางแล้ว เขาจะไม่มีวันใจอ่อนอีกเพราะในใจของเขา เขาถือว่านางเป็นสตรีที่เหมือนกับพระสนมสวี่ และเขาจะไม่ยอมให้เรื่องราวระหว่างฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับพระสนมสวี่เกิดขึ้นซ้ำรอยกับเขาอีกนางไม่อยากตาย จึงต้องดิ้นรนหาทางช่วยเหลือตัวเองแต่ตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยได้เอาข้าวของทุกอย่างบนตัวนางไปหมดแล้ว นางไม่มียันต์ ไม่มีกำไลมิติ แม้แต่ปิ่นปักผมหรือเครื่องประดับก็ไม่มีติดตัวสักชิ้นอีกทั้งเมื่อ
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนองของแท้เลย!จิ่งโม่เยี่ยติดยันต์ที่นางวาดเองไว้ที่ประตูและหน้าต่าง ตัดขาดปิดกั้นโอกาสที่เฉี่ยวหลิงจะช่วยเหลือนางได้แม้เฉี่ยวหลิงจะสามารถมุดดินหลบยันต์เข้ามาได้ ก็ไม่มีทางพานางออกไปจากห้องเก็บฟืนนี้ได้เฉี่ยวหลิงลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ถามว่า "คุณหนู ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?"เฟิ่งชูอิ่งกลั้นความขมขื่นและความเสียใจไว้ สูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวว่า "อย่าเพิ่งร้อนใจไป มันต้องมีทางออกแน่ ให้เวลาข้าคิดก่อน"หลังจากจิ่งโม่เยี่ยขังเฟิ่งชูอิ่งไว้ในห้องเก็บฟืน อารมณ์ของเขาก็ตกต่ำด่ำดิ่งลงอย่างมากไทเฮาถูกวางยาจนสิ้นพระชนม์ ว่าที่ภรรยาสดๆ ร้อนๆ ของเขาก็อยากจะหนีจากเขาไปในวันแต่งงาน เขากลับกลายเป็นคนโดดเดี่ยวอีกครั้งเขาหัวเราะเยาะตัวเองขณะยืนอยู่กลางลานกว้าง ทั้งร่างราวกับกลมกลืนไปกับความมืด หยาดน้ำค้างค่อยๆ หยดลงมาบนตัวเขาฉินจื๋อเจี้ยนเดินเข้ามาถามว่า "ท่านอ๋อง ท่านทะเลาะกับพระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ?"เขาได้ยินองครักษ์บอกว่าจิ่งโม่เยี่ยขังเฟิ่งชูอิ่งไว้ในห้องเก็บฟืน ด้วยความตกใจจึงรีบมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามของเขา เพียงแต่กล่าวว่า "ข้า
จิ่งโม่เยี่ยไม่กล่าวอะไร เขาหันหลังเดินจากไปฉินจื๋อเจี้ยนรู้ว่าเขาไม่ควรถามเรื่องนี้ต่อ แต่ในใจก็รู้สึกกังวลจนร้อนใจอยู่ไม่สุขเมื่อวานทั้งสองคนยังดีๆ กันอยู่เลย แต่ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้เขาถอนหายใจยาวเหยียดแล้วขมวดคิ้วเป็นปมเรื่องนี้เขาอยากช่วยแต่ก็ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร เพราะเรื่องความรักมักเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง หากคนนอกสอดมือเข้าไปช่วย อาจจะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงแต่เขาก็รู้จักนิสัยของจิ่งโม่เยี่ยดี การให้จิ่งโม่เยี่ยลดตัวไปง้อเฟิ่งชูอิ่งก่อน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยแต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้จิ่งโม่เยี่ยขังเฟิ่งชูอิ่งไว้ในโรงเก็บฟืนแบบนี้ตลอดไป เพราะถ้าขังไว้แบบนี้ จากความเข้าใจผิดในตอนแรกอาจกลายเป็นความบาดหมางที่ยากจะแก้ไขได้ในภายภาคหน้าเขาครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงเดินไปปลอบเฟิ่งชูอิ่งที่ข้างๆ โรงเก็บฟืน "พระชายา ท่านอ๋องกำลังโกรธ ท่านอย่าไปถือสาเขาเลย""ในใจเขาห่วงใยท่านมาก ท่านเป็นคนฉลาดมากถึงเพียงนี้ คงจะเข้าใจเรื่องนี้ดี""ตอนนี้ท่านอย่าเพิ่งปะทะคารมกับท่านอ๋องเลย รอให้เขาหายโกรธก่อน แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง"เฟิ่งชูอิ่งเอนตัวพิงกองฟืน กล่าวเส
จิ่งโม่เยี่ยไม่กล่าวอะไร ฉินจื๋อเจี้ยนครุ่นคิดสักครู่แล้วตัดสินใจเปิดประตูเดินเข้าไปเขาเห็นเครื่องประดับตกกระจายอยู่บนพื้น ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจึงกล่าวว่า "เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงพระชายาร้องไห้อยู่ในโรงเก็บฟืน เมื่อไปสอบถามจึงทราบว่าขาของพระชายาหัก""ตอนนี้นางเจ็บปวดมาก อยากให้ข้าเชิญหมอมารักษาสักหน่อย ท่านอ๋องจะไปดูอาการนางหรือไม่?"จิ่งโม่เยี่ยได้ยินดังนั้นก็เดินออกไปทันที แต่เพิ่งก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว เท้าของเขาก็เหยียบเครื่องประดับที่ตกอยู่บนพื้นเขาก้มมองเครื่องประดับชิ้นนั้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน "นางคงอยากให้เจ้าเปิดประตูด้วยสินะ?"ฉินจื๋อเจี้ยนงงไปเล็กน้อยแล้วแล้วตอบ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ"ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยฉายแววเย้ยหยันหนักกว่าเดิม "นางกำลังโกหกเจ้า จุดประสงค์ของนางก็แค่หลอกให้เจ้าเปิดประตู แล้วให้เฉี่ยวหลิงพานางหนีออกจากจวนอ๋อง"ฉินจื๋อเจี้ยน “......”เท้าของจิ่งโม่เยี่ยลงน้ำหนักเหยียบเครื่องประดับแรงขึ้น เครื่องประดับที่เคยงดงามก็กลายเป็นก้อนทองคำบิดเบี้ยวเขากล่าวเสียงเย็นชา "นางชอบโกหก ไม่เคยพูดความจริงสักคำ""ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาจัดการกับนาง รอข้