ข้อสรุปนี้ทำให้เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว บุรุษผู้นี้อาจจะรักนางจริง แต่เขาจะไม่ยอมให้นางจากไปอย่างแน่นอนและเมื่อเขารู้ว่านางไม่ได้รักเขา ด้วยความหยิ่งทะนงของเขาและบทเรียนจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน เขาก็จะไม่บังคับฝืนใจนางอีกเขาเป็นคนเผด็จการ ขี้หวาดระแวง และไม่ยอมให้เกิดเรื่องที่เขาควบคุมไม่ได้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางเป็นสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้ และการที่นางหนีไปอีกครั้งก็เป็นสิ่งที่เขาควบคุมนางไม่ได้...ดังนั้นครั้งนี้นางจะต้องตายอย่างแน่นอนนางรู้มาตลอดว่านิสัยของเขามีความหมกมุ่นและบ้าคลั่ง และตอนนี้เขาก็แค่นำสองสิ่งนี้มาใช้กับนางอย่างสมบูรณ์แบบนางเข้าใจนิสัยของเขาดี ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะฆ่านางแล้ว เขาจะไม่มีวันใจอ่อนอีกเพราะในใจของเขา เขาถือว่านางเป็นสตรีที่เหมือนกับพระสนมสวี่ และเขาจะไม่ยอมให้เรื่องราวระหว่างฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับพระสนมสวี่เกิดขึ้นซ้ำรอยกับเขาอีกนางไม่อยากตาย จึงต้องดิ้นรนหาทางช่วยเหลือตัวเองแต่ตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยได้เอาข้าวของทุกอย่างบนตัวนางไปหมดแล้ว นางไม่มียันต์ ไม่มีกำไลมิติ แม้แต่ปิ่นปักผมหรือเครื่องประดับก็ไม่มีติดตัวสักชิ้นอีกทั้งเมื่อ
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนองของแท้เลย!จิ่งโม่เยี่ยติดยันต์ที่นางวาดเองไว้ที่ประตูและหน้าต่าง ตัดขาดปิดกั้นโอกาสที่เฉี่ยวหลิงจะช่วยเหลือนางได้แม้เฉี่ยวหลิงจะสามารถมุดดินหลบยันต์เข้ามาได้ ก็ไม่มีทางพานางออกไปจากห้องเก็บฟืนนี้ได้เฉี่ยวหลิงลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ถามว่า "คุณหนู ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?"เฟิ่งชูอิ่งกลั้นความขมขื่นและความเสียใจไว้ สูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวว่า "อย่าเพิ่งร้อนใจไป มันต้องมีทางออกแน่ ให้เวลาข้าคิดก่อน"หลังจากจิ่งโม่เยี่ยขังเฟิ่งชูอิ่งไว้ในห้องเก็บฟืน อารมณ์ของเขาก็ตกต่ำด่ำดิ่งลงอย่างมากไทเฮาถูกวางยาจนสิ้นพระชนม์ ว่าที่ภรรยาสดๆ ร้อนๆ ของเขาก็อยากจะหนีจากเขาไปในวันแต่งงาน เขากลับกลายเป็นคนโดดเดี่ยวอีกครั้งเขาหัวเราะเยาะตัวเองขณะยืนอยู่กลางลานกว้าง ทั้งร่างราวกับกลมกลืนไปกับความมืด หยาดน้ำค้างค่อยๆ หยดลงมาบนตัวเขาฉินจื๋อเจี้ยนเดินเข้ามาถามว่า "ท่านอ๋อง ท่านทะเลาะกับพระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ?"เขาได้ยินองครักษ์บอกว่าจิ่งโม่เยี่ยขังเฟิ่งชูอิ่งไว้ในห้องเก็บฟืน ด้วยความตกใจจึงรีบมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามของเขา เพียงแต่กล่าวว่า "ข้า
จิ่งโม่เยี่ยไม่กล่าวอะไร เขาหันหลังเดินจากไปฉินจื๋อเจี้ยนรู้ว่าเขาไม่ควรถามเรื่องนี้ต่อ แต่ในใจก็รู้สึกกังวลจนร้อนใจอยู่ไม่สุขเมื่อวานทั้งสองคนยังดีๆ กันอยู่เลย แต่ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้เขาถอนหายใจยาวเหยียดแล้วขมวดคิ้วเป็นปมเรื่องนี้เขาอยากช่วยแต่ก็ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร เพราะเรื่องความรักมักเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง หากคนนอกสอดมือเข้าไปช่วย อาจจะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงแต่เขาก็รู้จักนิสัยของจิ่งโม่เยี่ยดี การให้จิ่งโม่เยี่ยลดตัวไปง้อเฟิ่งชูอิ่งก่อน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยแต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้จิ่งโม่เยี่ยขังเฟิ่งชูอิ่งไว้ในโรงเก็บฟืนแบบนี้ตลอดไป เพราะถ้าขังไว้แบบนี้ จากความเข้าใจผิดในตอนแรกอาจกลายเป็นความบาดหมางที่ยากจะแก้ไขได้ในภายภาคหน้าเขาครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงเดินไปปลอบเฟิ่งชูอิ่งที่ข้างๆ โรงเก็บฟืน "พระชายา ท่านอ๋องกำลังโกรธ ท่านอย่าไปถือสาเขาเลย""ในใจเขาห่วงใยท่านมาก ท่านเป็นคนฉลาดมากถึงเพียงนี้ คงจะเข้าใจเรื่องนี้ดี""ตอนนี้ท่านอย่าเพิ่งปะทะคารมกับท่านอ๋องเลย รอให้เขาหายโกรธก่อน แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง"เฟิ่งชูอิ่งเอนตัวพิงกองฟืน กล่าวเส
จิ่งโม่เยี่ยไม่กล่าวอะไร ฉินจื๋อเจี้ยนครุ่นคิดสักครู่แล้วตัดสินใจเปิดประตูเดินเข้าไปเขาเห็นเครื่องประดับตกกระจายอยู่บนพื้น ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจึงกล่าวว่า "เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงพระชายาร้องไห้อยู่ในโรงเก็บฟืน เมื่อไปสอบถามจึงทราบว่าขาของพระชายาหัก""ตอนนี้นางเจ็บปวดมาก อยากให้ข้าเชิญหมอมารักษาสักหน่อย ท่านอ๋องจะไปดูอาการนางหรือไม่?"จิ่งโม่เยี่ยได้ยินดังนั้นก็เดินออกไปทันที แต่เพิ่งก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว เท้าของเขาก็เหยียบเครื่องประดับที่ตกอยู่บนพื้นเขาก้มมองเครื่องประดับชิ้นนั้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน "นางคงอยากให้เจ้าเปิดประตูด้วยสินะ?"ฉินจื๋อเจี้ยนงงไปเล็กน้อยแล้วแล้วตอบ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ"ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยฉายแววเย้ยหยันหนักกว่าเดิม "นางกำลังโกหกเจ้า จุดประสงค์ของนางก็แค่หลอกให้เจ้าเปิดประตู แล้วให้เฉี่ยวหลิงพานางหนีออกจากจวนอ๋อง"ฉินจื๋อเจี้ยน “......”เท้าของจิ่งโม่เยี่ยลงน้ำหนักเหยียบเครื่องประดับแรงขึ้น เครื่องประดับที่เคยงดงามก็กลายเป็นก้อนทองคำบิดเบี้ยวเขากล่าวเสียงเย็นชา "นางชอบโกหก ไม่เคยพูดความจริงสักคำ""ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาจัดการกับนาง รอข้
หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน เฟิ่งชูอิ่งก็ปรับสภาพจิตใจของตัวเองได้แล้วเมื่อคืนนางแทบไม่ได้นอนเลย ตอนนี้นางจึงรู้สึกเหนื่อยล้ามาก นางตัดสินใจนอนพักสักครู่ก่อนแล้วค่อยหาทางหนีออกไปหลังจากตื่นนอนแล้วแต่ขณะที่นางกำลังงีบหลับ นางกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติมีกระแสลมเย็นยะเยือกพัดวนเวียนในโรงเก็บฟืน และนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเฉี่ยวหลิงนางตื่นขึ้นมาทันที และเห็นเฉี่ยวหลิงกำลังต่อสู้โรมรันอยู่กับเทียนซือแม้เฉี่ยวหลิงจะไม่สามารถเข้ามาทางประตูหรือหน้าต่างได้ แต่นางสามารถมุดขึ้นมาจากใต้ดินได้เนื่องจากมียันต์ติดอยู่ที่ประตูและหน้าต่างทั้งหมด เฉี่ยวหลิงจึงไม่สามารถพานางออกจากโรงเก็บฟืนได้เมื่อเฟิ่งชูอิ่งเห็นเทียนซือ นางก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ไอ้สุนัขตัวนี้ไม่ยอมเลิกตามรังควานกันเสียที!ที่สำคัญคือ ครั้งที่แล้วนางจับมือกับเฉี่ยวหลิงรุมซ้อมเทียนซือจนเกือบพิการแท้ๆ แต่ผ่านไปเพียงไม่นานเท่าไหร่ เขาก็สามารถสู้กับเฉี่ยวหลิงได้อย่างสูสีแล้วหรือ?ไม่ใช่สิ เขายังเป็นฝ่ายได้เปรียบด้วยซ้ำ!เฉี่ยวหลิงเห็นนางตื่นแล้วจึงรีบบอก "คุณหนู ไอ้สารเลวคนนี้ ตอนนี้เก่งขึ้นมากแล้ว! มันต้องการจะฆ่าท่าน!"เฟิ่งช
เขาด่าด้วยความโกรธจัด "นังแพศยา นังคนถ่อย!"เฉี่ยวหลิงทั้งตีทั้งด่าในคราเดียวกัน "ไอ้ขันทีไม่มีไข่ ไอ้เศษสวะ!"เทียนซือโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม แล้วเขาก็โดนเฉี่ยวหลิงข่วนซ้ำอีกที พอเขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เฟิ่งชูอิ่งก็ใช้แขนเสื้อฟาดใส่เขาอย่างแรงเทียนซือร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วกระเด็นออกไปอีกครั้งเขารู้สึกว่านายบ่าวคู่นี้ช่างยากรับมือเสียจริง พวกนางสองคนบ้าบอพอกันเลย!เขากัดฟันกล่าวว่า "เฟิ่งชูอิ่ง วันนี้ถ้าข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า ข้าจะไม่ขอเป็นคนอีกต่อไป!"เฟิ่งชูอิ่งโบกแขนเสื้อพลางยิ้มตาหยี กล่าวว่า "เทียนซือ เจ้าไม่รู้จักตัวเองดีพอนะ! เจ้าไม่ใช่คนมานานแล้ว!"เทียนซือ “......”จริงอย่างที่นางว่า เขาตายไปนานแล้ว ไม่อาจนับว่าเป็นคนได้อีกต่อไปเขาตะโกนด้วยความโกรธ "ที่ข้าเป็นแบบนี้ ก็เพราะเจ้าทั้งนั้น!"เฟิ่งชูอิ่งเอามือเท้าเอวแล้วกล่าวว่า "ใช่แล้ว ข้าทำกับเจ้าไว้หนักหนาถึงเพียงนี้ จะยอมอดทนอยู่ได้อย่างไรกัน เจ้ารีบเข้ามาฉีกร่างข้าสิ”เทียนซือ “......”ถ้าเขาฉีกนางได้ ป่านนี้คงฉีกนางเป็นแปดส่วนแล้ว!แต่เฟิ่งชูอิ่งดูเหมือนจะยังยั่วโมโหเขาไม่พอ "เจ้ากลายเป็นผีไปแล้ว แต่ยังฆ่าคนที่ทำให้เจ้า
เขากล่าวกับทหารยามอีกคนว่า "ข้างในเอะอะวุ่นวายมากเลย พวกเราควรเข้าไปดูหรือไม่?"ทหารยามอีกคนตอบว่า "ท่านอ๋องมีคำสั่งเด็ดขาด ห้ามใครเข้าไปด้านใน""พระชายาเป็นคนมีความสามารถอย่างมาก คงไม่เป็นอะไรหรอก""แต่ถ้าพวกเราไม่ฟังคำสั่งของท่านอ๋องแล้วเข้าไป เผลอปล่อยพระชายาหนีไปได้ ท่านอ๋องคงโกรธแน่"ตอนนั้นข้างในมีเสียงดังสนั่นอีกครั้ง ทหารยามคนนั้นแม้จะรู้สึกกังวล แต่ก็รู้ว่าคำกล่าวของทหารยามอีกคนมีเหตุผลทหารยามในจวนท่านอ๋องฉู่ล้วนปฏิบัติตามระเบียบของกองทัพ พวกเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่เคยเห็นจิ่งโม่เยี่ยโกรธขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้ง พวกเขาจึงไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเขายันต์ที่ประตูตอนนี้สั่นไหวโดยไม่มีลมพัด พลังอาถรรพ์ชั่วร้ายอันเข้มข้นพวยพุ่งออกมาแม้จะเป็นกลางวันแสกๆ แต่ทหารยามที่หน้าประตูกลับรู้สึกหนาวเย็นจนสุดขีดเฟิ่งชูอิ่งตะโกน "เฉี่ยวหลิง!"ในทันใดนั้น เฉี่ยวหลิงก็โผล่ขึ้นมา ถือปิ่นขจัดมารแทงเข้าที่อกของเทียนซือเทียนซือ “!!!!!!”ครั้งนี้เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง เขาไม่คิดเลยว่าเฉี่ยวหลิงจะใช้ปิ่นขจัดมารโจมตีเขา!เป็นการย
เฟิ่งชูอิ่งกล่าวเสียงเครียด "ไอ้สารเลวผู้นี้แม้จะตายไปแล้ว แต่กลไกที่เขาทำไว้ตอนมีชีวิตก็ยังใช้ได้ คราวนี้พวกเจองานยากจริงๆ แล้ว"ถ้านางมียันต์คาถาอยู่ล่ะก็ นางแค่ใช้ยันต์น้ำแผ่นเดียวก็สามารถดับไฟพวกนี้ได้แต่ตอนนี้นางไม่มียันต์อยู่ในมือ ยันต์คุ้มครองวาดบนเสื้อผ้าได้ผล แต่ยันต์น้ำมีระดับสูงกว่านั้นมาก แม้แต่นางเองก็ไม่น่าจะวาดยันต์น้ำบนเสื้อผ้าได้แต่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ นางก็ต้องลองดูสักตั้งห้องนี้เต็มไปด้วยท่อนฟืนหลากหลายประเภท เพียงประกายไฟเล็กๆ ก็ลุกไหม้และลามได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เทียนซือจุดไฟหลายสิบแห่งพร้อมกันเฉี่ยวหลิงเป็นวิญญาณร้าย กลัวฟ้าผ่าและไฟมากที่สุด พอไฟลุกไหม้ขึ้น นางก็ทรมานอย่างมากนางร้องอย่างร้อนรน "คุณหนู ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?"เฟิ่งชูอิ่งสูดหายใจลึกๆ กล่าวว่า "เจ้าออกไปก่อน ข้าจะหาทางหนีเอง"ร่างของเฉี่ยวหลิงถูกไฟแผดเผาจนเริ่มไม่มั่นคงแล้ว "ถ้าข้าออกไป คุณหนูจะทำอย่างไรเจ้าคะ?"เฟิ่งชูอิ่งวาดยันต์ไปพลางกล่าวไปพลาง "เจ้าอยู่ก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้ ยังอาจจะต้องสูญสลายไปด้วย""เจ้าต้องเชื่อมั่นเรื่องหนึ่ง ข้าต้องหาทางรอดให