นางจะช่วยเขาเอาชนะคนที่มาล้อมโจมตีจวนอ๋อง และจะช่วยหากองกำลังเสริมมาให้เขาอีกกองหนึ่งนางมองดูตราพยัคฆ์ที่จิ่งสือเยี่ยนให้นางมา การลากจิ่งสือเยี่ยนเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้อาจจะดูไม่ค่อยยุติธรรมนัก แต่เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับจิ่งสือเยี่ยนนางไม่รู้ว่าในนิยายต้นฉบับ จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยกลายเป็นศัตรูกันเพราะอะไร แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขายังดีอยู่การที่จิ่งโม่เยี่ยก่อการปฏิวัติในวังครั้งนี้ ถ้าสามารถระดมกำลังทหารกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนมาช่วยได้ ก็เท่ากับผูกจิ่งสือเยี่ยนให้ลงเรือลำเดียวกับจิ่งโม่เยี่ยเมื่อไทเฮาสิ้นพระชนม์ จิ่งสือเยี่ยนก็จะเป็นเชื้อพระวงศ์เพียงคนเดียวในเมืองหลวงที่มีความสัมพันธ์ดีกับจิ่งโม่เยี่ย เฟิ่งชูอิ่งไม่อยากให้ทั้งสองคนนี้เป็นศัตรูกันเฉี่ยวหลิงถามนางว่า "แต่ตอนนี้จวนอ๋องฉู่ถูกล้อมแน่นหนาราวกับปราการเหล็ก คุณหนูจะออกไปได้อย่างไรเจ้าคะ?"มุมปากของเฟิ่งชูอิ่งยกขึ้นเล็กน้อย "ตอนที่ข้าสั่งการให้ทหารรักษาการณ์พวกนี้ไปจัดการจิ่งสือเฟิง จริงๆ แล้วข้ากำลังดูแผนการปฏิบัติงานของพวกเขา และมองหาจุดอ่อนในการผลัดเปลี่ยนเวรยามของพวกเขา"เฉี่ยวหลิงถ
เฟิ่งชูอิ่งสูดลมหายใจลึกๆ หยิบตราพยัคฆ์ออกมาดู แล้วเก็บใส่อกเสื้อตามความเคยชิน เตรียมตัวจะปีนข้ามกำแพงนางเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าจึงหยิบบันไดออกมาจากกำไลมิติของนาง แล้วปีนขึ้นกำแพงอย่างรวดเร็วระหว่างที่นางปีนขึ้นไปนั้น นางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอิสรภาพตอนนี้ระหว่างนางและอิสรภาพ มีเพียงกำแพงตรงหน้าขวางกั้นเอาไว้อย่างเดียวเมื่อนางหันไปจะหยิบบันไดไปวางอีกด้าน ก็เหลือบไปเห็นจิ่งโม่เยี่ยยืนอยู่บนกำแพง จ้องมองมาที่นางอย่างเย็นชาเฟิ่งชูอิ่ง "!!!!!!"นางตกใจจนเกือบพลัดตกจากกำแพง!มือแกร่งข้างหนึ่งคว้าจับคอเสื้อของนางไว้จากนั้นก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ กดร่างของนางไว้กับขอบกำแพงจิ่งโม่เยี่ยมองนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่คล้ายการยิ้มและกล่าวว่า "ชายารัก เจ้าจะไปไหนหรือ?"เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้ก็ขนลุกขนพองไปทั่วร่างวันนี้หลังจากพวกเขากราบไหว้ฟ้าดินกันเรียบร้อย ก่อนที่เขาจะแยกตัวออกไป เขาก็ไม่ได้เรียกนางเช่นนี้เสียหน่อยตอนนี้ใบหน้าของเขาปกคลุมไปด้วยความเย็นชาเหมือนมีเกล็ดน้ำแข็งเคลือบทับ ดวงตาดอกท้อแม้จะยิ้มแย้ม แต่กลับไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด เขาแผ่บรรยากาศเย็นชาจนเหมือนก้อ
หลังจากเขาได้ยินคำตอบของนางก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย "เมื่อครู่นี้ข้ามองผิดไป ตรงนี้คือทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจวน ไม่ใช่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ"เฟิ่งชูอิ่ง “......”รอยยิ้มบนใบหน้านางแข็งค้าง สายตาว่างเปล่ามองไปที่จิ่งโม่เยี่ยนางกระจ่างแจ้งเลยว่าถูกจิ่งโม่เยี่ยหลอกปั่นหัวแล้วนางสูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยถามว่า "ท่านอ๋อง ท่านกำลังหยอกเย้าข้าอยู่หรือ?"จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเสียงเย็นชา "ชายารักกำลังรู้สึกหวั่นใจหรือ?"เฟิ่งชูอิ่งไม่รู้จะตอบคำกล่าวของเขาอย่างไรพวกเขาทั้งสองคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ เหลือเพียงการเปิดเผยความลับที่ซ่อนเอาไว้เท่านั้นมือของเฟิ่งชูอิ่งกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ใคร่ครวญในใจว่านางควรจะสารภาพความจริงกับอีกฝ่ายดีไหมแต่จิ่งโม่เยี่ยกลับยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อของนาง นางตกใจมากจึงคว้ามือของเขาไว้นางรู้ว่าหากเขาเห็นตราพยัคฆ์ในอกเสื้อของนางขึ้นมา ด้วยนิสัยขี้หวาดระแวงของเขา ไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไรก็คงจะไร้ผลนางหัวเราะเสียงหวาน "ท่านอ๋อง แม้ว่าคืนนี้จะเป็นคืนแต่งงานร่วมหอของพวกเรา แต่สถานที่นี้ไม่เหมาะสมนัก ท่านอย่าทำแบบนี้เลยเพคะ!"จิ่งโม่เยี่ยแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา ใช้มือหยิบต
เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเข้าใจแล้ว ไม่ว่านางจะกล่าวอะไรตอนนี้ เขาก็ไม่คิดจะเชื่อนางทั้งนั้นอีกอย่างคำกล่าวหาของเขาก็ได้เปิดเผยข้อมูลมากมาย นั่นคือเขารู้เรื่องกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนอยู่แล้วถ้าอย่างนั้นเนื้อเรื่องในนิยาย เขาจะไม่เตรียมการป้องกันกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนได้อย่างไร?หากจะคิดแบบนั้น ก็คงสรุปได้เพียงอย่างเดียวว่าเขาทราบทุกอย่างดี เพียงแต่ไม่คิดจะป้องกันเพราะตั้งใจจะตายอยู่แล้วนางรู้สึกสับสนและซับซ้อนจนทำอะไรไม่ถูกแล้วจิ่งโม่เยี่ยยื่นมือมาบีบคางของนาง กล่าวว่า "ทำไม? ข้ากล่าวแทงใจดำของเจ้า จนเจ้าพูดไม่ออกเลยหรือ?"เฟิ่งชูอิ่งเก็บงำความรู้สึกในแววตา กล่าวเสียงเรียบว่า "ถ้าท่านอ๋องปักใจไปแล้วว่าข้ามีความสัมพันธ์กับเขา ไม่ว่าข้าจะกล่าวอะไรท่านก็ไม่เชื่ออยู่ดี""ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้ายังจะกล่าวอะไรได้อีกล่ะ?"ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยแดงก่ำ วันนี้เขาดีใจมากที่ได้แต่งงานกับนาง แต่ใจของนางไม่เคยอยู่ที่เขาเลยสักครั้งเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าในใจของนางไม่มีเขาอยู่ นางยอมแต่งงานกับเขาเพราะสถานการณ์บังคับเขาคิดว่าถ้าเขาปฏิบัติต่อนางอย่างดี สักวันจะต้องทำให้นางมีใจ
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า "ใช่ ข้าต้องไป"จิ่งโม่เยี่ยหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เสียงหัวเราะของเขาจะดังขึ้นเรื่อยๆเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาแล้วรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย จึงขยับตัวออกห่างโดยไม่รู้ตัวผ่านไปสักพัก จิ่งโม่เยี่ยก็หยุดหัวเราะ "ข้าช่างน่าสมเพชเสียจริง""ที่แท้การมอบหัวใจให้ใครสักคนแล้วถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี มันเป็นความรู้สึกแบบนี้นี่เอง""ที่แท้ความรู้สึกของเสด็จพ่อที่ทุ่มเทให้กับพระสนมสวี่ แต่กลับไม่ได้รับความอบอุ่นกลับคืนมาสักคำ มันเป็นเช่นนี้นี่เอง""ข้าไม่ใช่เสด็จพ่อ ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องในอดีตเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก"เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางคลุ้มคลั่งของเขาแล้วยิ่งรู้สึกกลัว นางลองเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง "แปลว่าท่านอ๋องจะปล่อยข้าไปหรือเพคะ?""ปล่อยเจ้าไป?" จิ่งโม่เยี่ยหัวเราะลั่น "เจ้าฝันไปเถอะ!""เมื่อเจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว ไม่ว่าเป็นหรือตาย เจ้าก็ต้องเป็นของข้า!""หากเจ้าอยากไป ก็ทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่!"กล่าวจบเขาก็คว้าตัวนางขึ้นแล้วโยนลงจากกำแพงทันทีการกระทำของเขาไม่มีความปรานีเลยแม้แต่น้อย เฟิ่งชูอิ่งไม่ทันตั้งตัวจึงร่วงกระแทกพื้นอย่างแรงตอนที่ตกลงมาก
ข้อสรุปนี้ทำให้เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว บุรุษผู้นี้อาจจะรักนางจริง แต่เขาจะไม่ยอมให้นางจากไปอย่างแน่นอนและเมื่อเขารู้ว่านางไม่ได้รักเขา ด้วยความหยิ่งทะนงของเขาและบทเรียนจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน เขาก็จะไม่บังคับฝืนใจนางอีกเขาเป็นคนเผด็จการ ขี้หวาดระแวง และไม่ยอมให้เกิดเรื่องที่เขาควบคุมไม่ได้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางเป็นสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้ และการที่นางหนีไปอีกครั้งก็เป็นสิ่งที่เขาควบคุมนางไม่ได้...ดังนั้นครั้งนี้นางจะต้องตายอย่างแน่นอนนางรู้มาตลอดว่านิสัยของเขามีความหมกมุ่นและบ้าคลั่ง และตอนนี้เขาก็แค่นำสองสิ่งนี้มาใช้กับนางอย่างสมบูรณ์แบบนางเข้าใจนิสัยของเขาดี ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะฆ่านางแล้ว เขาจะไม่มีวันใจอ่อนอีกเพราะในใจของเขา เขาถือว่านางเป็นสตรีที่เหมือนกับพระสนมสวี่ และเขาจะไม่ยอมให้เรื่องราวระหว่างฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับพระสนมสวี่เกิดขึ้นซ้ำรอยกับเขาอีกนางไม่อยากตาย จึงต้องดิ้นรนหาทางช่วยเหลือตัวเองแต่ตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยได้เอาข้าวของทุกอย่างบนตัวนางไปหมดแล้ว นางไม่มียันต์ ไม่มีกำไลมิติ แม้แต่ปิ่นปักผมหรือเครื่องประดับก็ไม่มีติดตัวสักชิ้นอีกทั้งเมื่อ
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนองของแท้เลย!จิ่งโม่เยี่ยติดยันต์ที่นางวาดเองไว้ที่ประตูและหน้าต่าง ตัดขาดปิดกั้นโอกาสที่เฉี่ยวหลิงจะช่วยเหลือนางได้แม้เฉี่ยวหลิงจะสามารถมุดดินหลบยันต์เข้ามาได้ ก็ไม่มีทางพานางออกไปจากห้องเก็บฟืนนี้ได้เฉี่ยวหลิงลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ถามว่า "คุณหนู ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?"เฟิ่งชูอิ่งกลั้นความขมขื่นและความเสียใจไว้ สูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวว่า "อย่าเพิ่งร้อนใจไป มันต้องมีทางออกแน่ ให้เวลาข้าคิดก่อน"หลังจากจิ่งโม่เยี่ยขังเฟิ่งชูอิ่งไว้ในห้องเก็บฟืน อารมณ์ของเขาก็ตกต่ำด่ำดิ่งลงอย่างมากไทเฮาถูกวางยาจนสิ้นพระชนม์ ว่าที่ภรรยาสดๆ ร้อนๆ ของเขาก็อยากจะหนีจากเขาไปในวันแต่งงาน เขากลับกลายเป็นคนโดดเดี่ยวอีกครั้งเขาหัวเราะเยาะตัวเองขณะยืนอยู่กลางลานกว้าง ทั้งร่างราวกับกลมกลืนไปกับความมืด หยาดน้ำค้างค่อยๆ หยดลงมาบนตัวเขาฉินจื๋อเจี้ยนเดินเข้ามาถามว่า "ท่านอ๋อง ท่านทะเลาะกับพระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ?"เขาได้ยินองครักษ์บอกว่าจิ่งโม่เยี่ยขังเฟิ่งชูอิ่งไว้ในห้องเก็บฟืน ด้วยความตกใจจึงรีบมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามของเขา เพียงแต่กล่าวว่า "ข้า
จิ่งโม่เยี่ยไม่กล่าวอะไร เขาหันหลังเดินจากไปฉินจื๋อเจี้ยนรู้ว่าเขาไม่ควรถามเรื่องนี้ต่อ แต่ในใจก็รู้สึกกังวลจนร้อนใจอยู่ไม่สุขเมื่อวานทั้งสองคนยังดีๆ กันอยู่เลย แต่ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้เขาถอนหายใจยาวเหยียดแล้วขมวดคิ้วเป็นปมเรื่องนี้เขาอยากช่วยแต่ก็ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร เพราะเรื่องความรักมักเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง หากคนนอกสอดมือเข้าไปช่วย อาจจะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงแต่เขาก็รู้จักนิสัยของจิ่งโม่เยี่ยดี การให้จิ่งโม่เยี่ยลดตัวไปง้อเฟิ่งชูอิ่งก่อน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยแต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้จิ่งโม่เยี่ยขังเฟิ่งชูอิ่งไว้ในโรงเก็บฟืนแบบนี้ตลอดไป เพราะถ้าขังไว้แบบนี้ จากความเข้าใจผิดในตอนแรกอาจกลายเป็นความบาดหมางที่ยากจะแก้ไขได้ในภายภาคหน้าเขาครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงเดินไปปลอบเฟิ่งชูอิ่งที่ข้างๆ โรงเก็บฟืน "พระชายา ท่านอ๋องกำลังโกรธ ท่านอย่าไปถือสาเขาเลย""ในใจเขาห่วงใยท่านมาก ท่านเป็นคนฉลาดมากถึงเพียงนี้ คงจะเข้าใจเรื่องนี้ดี""ตอนนี้ท่านอย่าเพิ่งปะทะคารมกับท่านอ๋องเลย รอให้เขาหายโกรธก่อน แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง"เฟิ่งชูอิ่งเอนตัวพิงกองฟืน กล่าวเส
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท