เฟิ่งชูอิ่งกล่าวกับเฉี่ยวหลิงว่า "เรามาทำท่าเมื่อสักครู่ซ้ำอีกครั้งเถอะ"เฉี่ยวหลิงพยักหน้า นางหยิบลูกธนูขึ้นมาและยืนอยู่ตรงหน้าเฟิ่งชูอิ่ง เฟิ่งชูอิ่งแตะลูกธนูเบาๆ แล้วเฉี่ยวหลิงก็พลิกทิศทางของลูกธนูในทันทีจากนั้นนางก็ขว้างลูกธนูออกไปอย่างแรง ลูกธนูปักเข้าไปในลำต้นของต้นไม้ข้างๆ อย่างรุนแรงฉินจื๋อเจี้ยน “......”เอาล่ะ เขาเข้าใจแล้ว!แล้วก็ได้เปิดหูเปิดตาด้วย!มันเป็นเพียงการใช้ประโยชน์จากการที่คนอื่นมองไม่เห็นเฉี่ยวหลิง แล้วใช้กลวิธีดึงดูดความสนใจทางสายตาอย่างแยบยลเฟิ่งชูอิ่งถามว่า "ท่านฉินจ๋างสื่อมีคำถามอื่นอีกไหม?"เฉี่ยวหลิงยิ้มให้เขาแล้วดวงตาของนางก็หลุดออกมาจากเบ้าตา ก่อนนางจะกดมันกลับเข้าไปอย่างใจเย็นฉินจื๋อเจี้ยน "...ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"เฟิ่งชูอิ่งจึงพาเฉี่ยวหลิงกลับห้องฉินจื๋อเจี้ยนรู้ว่าเฉี่ยวหลิงไม่ใช่มนุษย์ และรู้ว่านางมักจะทำคางและลูกตาหลุดบ่อยๆ แต่ทุกครั้งที่เขาเห็น เขาก็ยังรู้สึกขวัญผวาทุกครั้งไปหลังจากเฟิ่งชูอิ่งกลับห้องแล้ว เฉี่ยวหลิงกล่าวอย่างมีความสุขว่า "วันนี้คุณหนูดูยิ่งใหญ่สุดๆ ไปเลย ทำให้คนพวกนั้นตกอกตกใจกันหมด!""คุณหนูไม่รู้หรอกว่า ข้านั่ง
นางจะช่วยเขาเอาชนะคนที่มาล้อมโจมตีจวนอ๋อง และจะช่วยหากองกำลังเสริมมาให้เขาอีกกองหนึ่งนางมองดูตราพยัคฆ์ที่จิ่งสือเยี่ยนให้นางมา การลากจิ่งสือเยี่ยนเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้อาจจะดูไม่ค่อยยุติธรรมนัก แต่เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับจิ่งสือเยี่ยนนางไม่รู้ว่าในนิยายต้นฉบับ จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยกลายเป็นศัตรูกันเพราะอะไร แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขายังดีอยู่การที่จิ่งโม่เยี่ยก่อการปฏิวัติในวังครั้งนี้ ถ้าสามารถระดมกำลังทหารกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนมาช่วยได้ ก็เท่ากับผูกจิ่งสือเยี่ยนให้ลงเรือลำเดียวกับจิ่งโม่เยี่ยเมื่อไทเฮาสิ้นพระชนม์ จิ่งสือเยี่ยนก็จะเป็นเชื้อพระวงศ์เพียงคนเดียวในเมืองหลวงที่มีความสัมพันธ์ดีกับจิ่งโม่เยี่ย เฟิ่งชูอิ่งไม่อยากให้ทั้งสองคนนี้เป็นศัตรูกันเฉี่ยวหลิงถามนางว่า "แต่ตอนนี้จวนอ๋องฉู่ถูกล้อมแน่นหนาราวกับปราการเหล็ก คุณหนูจะออกไปได้อย่างไรเจ้าคะ?"มุมปากของเฟิ่งชูอิ่งยกขึ้นเล็กน้อย "ตอนที่ข้าสั่งการให้ทหารรักษาการณ์พวกนี้ไปจัดการจิ่งสือเฟิง จริงๆ แล้วข้ากำลังดูแผนการปฏิบัติงานของพวกเขา และมองหาจุดอ่อนในการผลัดเปลี่ยนเวรยามของพวกเขา"เฉี่ยวหลิงถ
เฟิ่งชูอิ่งสูดลมหายใจลึกๆ หยิบตราพยัคฆ์ออกมาดู แล้วเก็บใส่อกเสื้อตามความเคยชิน เตรียมตัวจะปีนข้ามกำแพงนางเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าจึงหยิบบันไดออกมาจากกำไลมิติของนาง แล้วปีนขึ้นกำแพงอย่างรวดเร็วระหว่างที่นางปีนขึ้นไปนั้น นางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอิสรภาพตอนนี้ระหว่างนางและอิสรภาพ มีเพียงกำแพงตรงหน้าขวางกั้นเอาไว้อย่างเดียวเมื่อนางหันไปจะหยิบบันไดไปวางอีกด้าน ก็เหลือบไปเห็นจิ่งโม่เยี่ยยืนอยู่บนกำแพง จ้องมองมาที่นางอย่างเย็นชาเฟิ่งชูอิ่ง "!!!!!!"นางตกใจจนเกือบพลัดตกจากกำแพง!มือแกร่งข้างหนึ่งคว้าจับคอเสื้อของนางไว้จากนั้นก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ กดร่างของนางไว้กับขอบกำแพงจิ่งโม่เยี่ยมองนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่คล้ายการยิ้มและกล่าวว่า "ชายารัก เจ้าจะไปไหนหรือ?"เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้ก็ขนลุกขนพองไปทั่วร่างวันนี้หลังจากพวกเขากราบไหว้ฟ้าดินกันเรียบร้อย ก่อนที่เขาจะแยกตัวออกไป เขาก็ไม่ได้เรียกนางเช่นนี้เสียหน่อยตอนนี้ใบหน้าของเขาปกคลุมไปด้วยความเย็นชาเหมือนมีเกล็ดน้ำแข็งเคลือบทับ ดวงตาดอกท้อแม้จะยิ้มแย้ม แต่กลับไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด เขาแผ่บรรยากาศเย็นชาจนเหมือนก้อ
หลังจากเขาได้ยินคำตอบของนางก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย "เมื่อครู่นี้ข้ามองผิดไป ตรงนี้คือทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจวน ไม่ใช่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ"เฟิ่งชูอิ่ง “......”รอยยิ้มบนใบหน้านางแข็งค้าง สายตาว่างเปล่ามองไปที่จิ่งโม่เยี่ยนางกระจ่างแจ้งเลยว่าถูกจิ่งโม่เยี่ยหลอกปั่นหัวแล้วนางสูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยถามว่า "ท่านอ๋อง ท่านกำลังหยอกเย้าข้าอยู่หรือ?"จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเสียงเย็นชา "ชายารักกำลังรู้สึกหวั่นใจหรือ?"เฟิ่งชูอิ่งไม่รู้จะตอบคำกล่าวของเขาอย่างไรพวกเขาทั้งสองคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ เหลือเพียงการเปิดเผยความลับที่ซ่อนเอาไว้เท่านั้นมือของเฟิ่งชูอิ่งกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ใคร่ครวญในใจว่านางควรจะสารภาพความจริงกับอีกฝ่ายดีไหมแต่จิ่งโม่เยี่ยกลับยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อของนาง นางตกใจมากจึงคว้ามือของเขาไว้นางรู้ว่าหากเขาเห็นตราพยัคฆ์ในอกเสื้อของนางขึ้นมา ด้วยนิสัยขี้หวาดระแวงของเขา ไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไรก็คงจะไร้ผลนางหัวเราะเสียงหวาน "ท่านอ๋อง แม้ว่าคืนนี้จะเป็นคืนแต่งงานร่วมหอของพวกเรา แต่สถานที่นี้ไม่เหมาะสมนัก ท่านอย่าทำแบบนี้เลยเพคะ!"จิ่งโม่เยี่ยแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา ใช้มือหยิบต
เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเข้าใจแล้ว ไม่ว่านางจะกล่าวอะไรตอนนี้ เขาก็ไม่คิดจะเชื่อนางทั้งนั้นอีกอย่างคำกล่าวหาของเขาก็ได้เปิดเผยข้อมูลมากมาย นั่นคือเขารู้เรื่องกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนอยู่แล้วถ้าอย่างนั้นเนื้อเรื่องในนิยาย เขาจะไม่เตรียมการป้องกันกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนได้อย่างไร?หากจะคิดแบบนั้น ก็คงสรุปได้เพียงอย่างเดียวว่าเขาทราบทุกอย่างดี เพียงแต่ไม่คิดจะป้องกันเพราะตั้งใจจะตายอยู่แล้วนางรู้สึกสับสนและซับซ้อนจนทำอะไรไม่ถูกแล้วจิ่งโม่เยี่ยยื่นมือมาบีบคางของนาง กล่าวว่า "ทำไม? ข้ากล่าวแทงใจดำของเจ้า จนเจ้าพูดไม่ออกเลยหรือ?"เฟิ่งชูอิ่งเก็บงำความรู้สึกในแววตา กล่าวเสียงเรียบว่า "ถ้าท่านอ๋องปักใจไปแล้วว่าข้ามีความสัมพันธ์กับเขา ไม่ว่าข้าจะกล่าวอะไรท่านก็ไม่เชื่ออยู่ดี""ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้ายังจะกล่าวอะไรได้อีกล่ะ?"ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยแดงก่ำ วันนี้เขาดีใจมากที่ได้แต่งงานกับนาง แต่ใจของนางไม่เคยอยู่ที่เขาเลยสักครั้งเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าในใจของนางไม่มีเขาอยู่ นางยอมแต่งงานกับเขาเพราะสถานการณ์บังคับเขาคิดว่าถ้าเขาปฏิบัติต่อนางอย่างดี สักวันจะต้องทำให้นางมีใจ
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า "ใช่ ข้าต้องไป"จิ่งโม่เยี่ยหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เสียงหัวเราะของเขาจะดังขึ้นเรื่อยๆเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาแล้วรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย จึงขยับตัวออกห่างโดยไม่รู้ตัวผ่านไปสักพัก จิ่งโม่เยี่ยก็หยุดหัวเราะ "ข้าช่างน่าสมเพชเสียจริง""ที่แท้การมอบหัวใจให้ใครสักคนแล้วถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี มันเป็นความรู้สึกแบบนี้นี่เอง""ที่แท้ความรู้สึกของเสด็จพ่อที่ทุ่มเทให้กับพระสนมสวี่ แต่กลับไม่ได้รับความอบอุ่นกลับคืนมาสักคำ มันเป็นเช่นนี้นี่เอง""ข้าไม่ใช่เสด็จพ่อ ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องในอดีตเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก"เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางคลุ้มคลั่งของเขาแล้วยิ่งรู้สึกกลัว นางลองเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง "แปลว่าท่านอ๋องจะปล่อยข้าไปหรือเพคะ?""ปล่อยเจ้าไป?" จิ่งโม่เยี่ยหัวเราะลั่น "เจ้าฝันไปเถอะ!""เมื่อเจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว ไม่ว่าเป็นหรือตาย เจ้าก็ต้องเป็นของข้า!""หากเจ้าอยากไป ก็ทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่!"กล่าวจบเขาก็คว้าตัวนางขึ้นแล้วโยนลงจากกำแพงทันทีการกระทำของเขาไม่มีความปรานีเลยแม้แต่น้อย เฟิ่งชูอิ่งไม่ทันตั้งตัวจึงร่วงกระแทกพื้นอย่างแรงตอนที่ตกลงมาก
ข้อสรุปนี้ทำให้เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว บุรุษผู้นี้อาจจะรักนางจริง แต่เขาจะไม่ยอมให้นางจากไปอย่างแน่นอนและเมื่อเขารู้ว่านางไม่ได้รักเขา ด้วยความหยิ่งทะนงของเขาและบทเรียนจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน เขาก็จะไม่บังคับฝืนใจนางอีกเขาเป็นคนเผด็จการ ขี้หวาดระแวง และไม่ยอมให้เกิดเรื่องที่เขาควบคุมไม่ได้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางเป็นสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้ และการที่นางหนีไปอีกครั้งก็เป็นสิ่งที่เขาควบคุมนางไม่ได้...ดังนั้นครั้งนี้นางจะต้องตายอย่างแน่นอนนางรู้มาตลอดว่านิสัยของเขามีความหมกมุ่นและบ้าคลั่ง และตอนนี้เขาก็แค่นำสองสิ่งนี้มาใช้กับนางอย่างสมบูรณ์แบบนางเข้าใจนิสัยของเขาดี ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะฆ่านางแล้ว เขาจะไม่มีวันใจอ่อนอีกเพราะในใจของเขา เขาถือว่านางเป็นสตรีที่เหมือนกับพระสนมสวี่ และเขาจะไม่ยอมให้เรื่องราวระหว่างฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับพระสนมสวี่เกิดขึ้นซ้ำรอยกับเขาอีกนางไม่อยากตาย จึงต้องดิ้นรนหาทางช่วยเหลือตัวเองแต่ตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยได้เอาข้าวของทุกอย่างบนตัวนางไปหมดแล้ว นางไม่มียันต์ ไม่มีกำไลมิติ แม้แต่ปิ่นปักผมหรือเครื่องประดับก็ไม่มีติดตัวสักชิ้นอีกทั้งเมื่อ
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนองของแท้เลย!จิ่งโม่เยี่ยติดยันต์ที่นางวาดเองไว้ที่ประตูและหน้าต่าง ตัดขาดปิดกั้นโอกาสที่เฉี่ยวหลิงจะช่วยเหลือนางได้แม้เฉี่ยวหลิงจะสามารถมุดดินหลบยันต์เข้ามาได้ ก็ไม่มีทางพานางออกไปจากห้องเก็บฟืนนี้ได้เฉี่ยวหลิงลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ถามว่า "คุณหนู ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?"เฟิ่งชูอิ่งกลั้นความขมขื่นและความเสียใจไว้ สูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวว่า "อย่าเพิ่งร้อนใจไป มันต้องมีทางออกแน่ ให้เวลาข้าคิดก่อน"หลังจากจิ่งโม่เยี่ยขังเฟิ่งชูอิ่งไว้ในห้องเก็บฟืน อารมณ์ของเขาก็ตกต่ำด่ำดิ่งลงอย่างมากไทเฮาถูกวางยาจนสิ้นพระชนม์ ว่าที่ภรรยาสดๆ ร้อนๆ ของเขาก็อยากจะหนีจากเขาไปในวันแต่งงาน เขากลับกลายเป็นคนโดดเดี่ยวอีกครั้งเขาหัวเราะเยาะตัวเองขณะยืนอยู่กลางลานกว้าง ทั้งร่างราวกับกลมกลืนไปกับความมืด หยาดน้ำค้างค่อยๆ หยดลงมาบนตัวเขาฉินจื๋อเจี้ยนเดินเข้ามาถามว่า "ท่านอ๋อง ท่านทะเลาะกับพระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ?"เขาได้ยินองครักษ์บอกว่าจิ่งโม่เยี่ยขังเฟิ่งชูอิ่งไว้ในห้องเก็บฟืน ด้วยความตกใจจึงรีบมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามของเขา เพียงแต่กล่าวว่า "ข้า