เซวียนหยวนเชาเห็นมู่จิ่วซีไม่พูด ราวกับคิดว่าสองอย่างนี้อันไหนสำคัญกว่า"เจ้าคงไม่ได้อยากให้ข้าช่วยทั้งสองเรื่องหรอกใช่ไหม?" มู่จิ่วซีเบิกตากลมโตมองเขา"การเดิมพันประลองสำคัญมาก หวางชิวก็สำคัญมากเช่นกัน" เซวียนหยวนเชาทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมาอย่างขมขื่น"ดูเหมือนสถานการณ์ขององค์มกุฎราชกุมารจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก" มู่จิ่วซีมองออกเซวียนหยวนเชาพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวอย่างขุ่นเคือง : "หากไม่ใช่เจ้า ข้าจะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำและตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้งั้นเหรอ""เดาว่าต่อให้ฆ่าข้าไปก็คงไม่อาจระบายความโกรธได้" มู่จิ่วซียิ้มอย่างขมขื่นเช่นกัน "งั้นมาดูกันว่าจะให้ช่วยยังไง""ใช่ คงได้แต่ต้องให้เจ้าช่วย ไม่งั้นข้าคงไม่อาจปล่อยให้เจ้ารอดกลับไปได้" เซวียนหยวนเชาพอนึกถึงเรื่องทุกอย่างที่มู่จิ่วซีทำลาย เขาก็เข็ดฟันขึ้นมาอย่างมาก"ได้ๆๆ ข้าก็ไม่ได้อยากตาย งั้นเจ้าจะให้ทำอะไรล่ะ ข้าไม่มีเรี่ยวแรง ข้าขอนอนก่อนได้ไหม?" มู่จิ่วซีพูดอย่างขอไปทีพร้อมกับแสร้งไม่สบอารมณ์ ในใจก็คิดว่าเขาเห็นนางโง่หรือไง เกลียดจนอยากจะฆ่านาง คิดจริงๆ เหรอว่านางเองจะช่วยเขา?เซวียนหยวนเชาพอเห็นอารมณ์อันหลากหลายบนใบ
มู่จิ่วซีตกใจไม่ใช่น้อยๆ ข้างในนี้ยังมีคนอยู่อีก ก่อนหน้านี้นางไม่ทันได้สังเกตเลยแต่ว่าลมหายใจนี้ดูจะแผ่วเบาเกินไป เหมือนกับว่าไม่ได้อยู่ในห้องอุโมงค์หิน แต่ว่าอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องอุโมงค์หินนางรีบเดินไปยังห้องข้างๆ ที่แท้ก็อยู่ตรงเตียงด้านนั้นนางหลับตาลงอีกครั้งและฟัง ตอนแรกไม่ได้ยินเสียง แต่ผ่านไปนานเข้าเสียงลมหายใจนั้นก็ดังขึ้นมา มู่จิ่วซีลืมตาอีกครั้งและมองไปยังด้านในเตียงหินนางรีบใช้มือผลักออกไป ก้อนหินนั้นหนักอย่างมาก เป็นไปไม่ได้จะผลักให้เปิดออก นางเลยเอาหูแนบด้านบนและตั้งใจฟังอย่างเสียงลมหายใจฝั่งตรงข้ามเหมือนจะแรงขึ้นนิดหน่อย แต่นางได้ยินฝั่งตรงข้ามเหมือนกับกำลังบาดเจ็บ เป็นเสียงลมหายใจปกติที่ไม่ได้แผ่วเบางั้นฝั่งตรงข้ามคือตรงไหน? ฝั่งตรงข้ามอีกด้านนั้นเป็นใครมู่จิ่วซีคิดอยู่ครู่ก่อนจะยื่นมือออกไปลองเคาะเสียงลมหายใจอีกด้านหยุดลงในทันที มู่จิ่วซีเลิกคิ้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝั่งได้ยินเสียงของนางไม่นานนักอีกฝั่งก็เคาะมา เสียงค่อนข้างเบา แต่มู่จิ่วซีกลับยิ้ม ดูเหมือนว่าอีกฝั่งจะไม่ใช่ศัตรู ไม่งั้นคงจะมีคนกรูกันเข้ามาหาแล้วมู่จิ่วซีเคาะไปอีก 2 ครั้ง อีกฝั่งก็เคาะ
มู่จิ่วซีทันใดนั้นถลึงตาเบิกโพลงกว้างและกล่าวอย่างตกใจ : "เจ้าพูดว่าหอดาราจันทรางั้นเหรอ?"ทันใดนั้นในหัวสมองของนางก็เหมือนกับถูกกระแสไฟฟ้าช็อต นางรู้แล้วว่าฉินอวี่เยียนเป็นใคร! แต่ว่ามันเป็นไปได้หรอ?"ใช่ หอดาราจันทรา หากเจ้าออกไปได้ ได้โปรดช่วยข้าตามหาเจ้าสำนักของหอดาราจันทราด้วย เขาจะต้องมาช่วยข้าแน่นอน" ฉินอวี่เยียนรีบพูดขึ้นมา "เจ้าเองก็ถูกจับมาเหมือนกันงั้นเหรอ ทำไมเจ้าถึงมีของมีคมได้ พวกเขาไม่ได้ให้เจ้ากินยากระดูกอ่อนหรือไง?"มู่จิ่วซีรู้สึกมึนหัวขึ้นมาเล็กน้อยทันทีฉินอวี่เยียนที่แท้ก็เป็นเยียนเอ๋อร์ คนรักที่ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ของฮั้วอวิ๋นเทียน ส่วนน้องสาวของนางก็คืออาจื่อซึ่งมีนามว่าฉินหลานจื่อฮั้วอวิ๋นเทียนพูดมาตลอดว่าเยียนเอ๋อร์ได้ตายไปแล้ว ตายเพราะว่าช่วยเขา โดยทิ้งจดหมายสั่งเสียเอาไว้ให้เขาดูแลน้องสาวของนาง ตอนนี้เรื่องมันเป็นไงมาไงกันแน่?ฉินอวี่เยียนยังไม่ตาย อีกทั้งยังถูกอาจื่อทำร้าย นี่มันหักมุมครั้งใหญ่จริงๆแต่นางกลับถูกขังเอาไว้ในนี้นานมาก แล้วยังเป็นสถานที่ของท่านอ๋องสี่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?แต่ว่าสถานที่แห่งนี้จะต้องลึกลับมากแน่นอน นางตอนนี้สงสัยว่าต่
ฉินอวี่เยียนส่งเสียงอืม ทั้งสองด้านเอาหินมาอุด ทางมู่จิ่วซีด้านนี้ยังได้ยินเสียงสะอื้นไห้จนในใจรู้สึกเศร้าเพียงแต่แค่นางไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่าคราวนี้นางจะมาเจอเรื่องใหญ่เข้าทำไมท่านอ๋องสี่ถึงต้องเอาฉินอวี่เยียนมาขังที่นี่ด้วย? อาจื่อกับท่านอ๋องสี่เหมือนจะอยู่ฝ่ายเดียวกันเรื่องราวเหมือนกับว่าจะซับซ้อนมากกว่าที่เห็นเหมือนกับว่ารอบกายนางไม่มีใครเป็นคนดีบริสุทธิ์เลยสักคน ต่างล้วนถูกลากให้เข้ามาเกี่ยวข้อง น่าประหลาดมากจริงๆตอนนี้ถึงเวลารุ่งสางแล้ว มู่จิ่วซีเบาใจลงได้หลังจากจัดการผนังหินที่เจาะจนมองไม่ออก นางรีบกลับมาที่ห้องของตนเอง หลังจากดื่มชาก็จัดระเบียบความคิด จนในตอนท้ายนางก็กัดฟันถือกริชชิงหลงในมือเดินไปที่ประตูหินบานใหญ่บนประตูหินไม่มีกลไก มันจะต้องอาศัยพละกำลังในการผลักให้เปิดออกจริงๆ แต่นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าจะต้องทำให้เกิดเสียงดังแน่นอน ด้านนอกจะต้องได้ยินเสียงเปิดประตูแน่มู่จิ่วซียืดเส้นยืดสายมือและเท้า หลังจากนวดกดขมับแล้ว มุมปากของนางก็ยิ้มอย่างเย็นชาชั่วร้ายพร้อมกับเอื้อมมือเริ่มผลักประตูหินเสียงครืดดังก้องขึ้นมา มู่จิ่วซีใช้พละกำลังทั้งหมดเปิดประตูหินออกอย่างรวดเร็
ชายชุดดำคนนั้นตวาดอย่างโมโหอย่างที่คาดไว้ : "เป็นไปไม่ได้! ใต้หล้าผืนนี้ นอกจากจื่ออวิ๋นเฟยแล้วก็ไม่มีใครปรุงยาได้เก่งไปกว่าข้าอีก!""เหอะๆ กบในกะลา!" มู่จิ่วซียิ้มกล่าว "ต่อให้หมอเทวดาจื่ออวิ๋นเฟยอยู่ต่อหน้าข้า ก็ยังไม่กล้าคุยโวขนาดนี้เลย!""อะไรนะ เจ้า เจ้ารู้จักจื่ออวิ๋นเฟย?" ชายชุดดำกล่าวอย่างหวาดกลัว "ทำไมถึง?""พอเถอะ!" เซวียนหยวนเชาทันใดนั้นก็กล่าวอย่างโมโหเย็นชา "ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ จะปล่อยให้นางหนีไปไม่ได้"จากนั้นเซวียนหยวนเชาก็พูดกับมู่จิ่วซี : "มู่จิ่วซี เจ้าหนีไม่รอดหรอก ขอเพียงเจ้าโผล่หัวขึ้นมา เจ้าได้โดนยิงจนเป็นเม่นแน่!"มู่จิ่วซีเงยหน้ามองด้านบนซึ่งสามารถเห็นท้องฟ้าได้ แม้ว่าฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว แต่ยังมองเห็นดาวอยู่ อีกอย่างลมที่พัดมาทำให้นางรู้สึกถึงความเย็นสบายจนรู้สึกจิตใจผ่อนคลายขึ้นมาก"พวกเจ้าคิดว่าข้ามาคนเดียวงั้นเหรอ?" มู่จิ่วซียิ้มกล่าว "บางทีพวกเจ้าอาจถูกล้อมเอาไว้แล้ว""มู่จิ่วซี เจ้าคิดจะขู่ใคร! ข้าระมัดระวังตัวอย่างมาก ต่อให้เป็นโม่จุนก็อย่าคิดจะตามมาได้ ไม่ว่าเจ้าวางแผนอะไรไว้ ถ้าไม่เชื่อฟังกลับลงไปดีๆ งั้นก็ตายซะ!" เสียงของเซวียนหยวนเชาแฝ
เขาเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้ขอเพียงฟื้นฟูพละกำลังกลับคืนมาได้ นางจะไม่มีทางนั่งรอความตายเฉยๆ แน่ พอถึงตอนนั้นนางจะต้องมาหาเขาเองแน่นอนก็แค่เขาไม่คาดคิดว่าวิธีที่มู่จิ่วซีใช้ในการตามหาเขาจะไม่เหมือนกับคนอื่น นี่ไม่ใช่เป็นการตามหาเขา แต่มันเป็นการหาคนทั้งพระนครแล้วเสียงดังขนาดนี้ อย่างกับฟ้าผ่า กลัวทุกคนไม่รู้หรือไงว่าท่านผู้สำเร็จราชการแทนโม่จุนอยู่ที่นี่?ทว่าในใจของเขากลับรู้สึกมีความสุข นี่เป็นการแสดงว่าผู้หญิงคนนี้เชื่อมั่นในตัวเขา เชื่อว่าเขาจะตามมาถึงที่นี่ เชื่อว่าเขากำลังรอนางการรู้ใจกันระหว่างของคนทั้งสองฝ่ายก็มาถึงขั้นที่ใจตรงกันโม่จุนทันใดนั้นก็ส่งเสียงผิวปากยาวออกไป เสียงก้องยิ่งกว่าอะไร ราวกับเสียงพลุไฟสัญญาณเซวียนหยวนเชาซึ่งอยู่ในตำหนักพอได้ยินเสียงผิวปากก็สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ส่วนมู่จิ่วซีก็หัวเราะเฮฮาเสียงดังขึ้นมา"เซวียนหยวนเชา เจ้าแพ้แล้ว!" มู่จิ่วซีพอพูดจบก็พุ่งทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว"ยิง ยิงนางให้ตาย!" เซวียนหยวนเชาตะโกนเสียงดังในทันที ส่วนเขาก็ทะยานขึ้นไปกลางอากาศทั้งตัวขึ้นไปยังยอดอาคาร ธนูในมือถูกง้างจนสุดสายในพริบตาแน่นอนว่าเขาเล็งไปยังทิศของโม่จุน
"ซีเอ๋อร์" โม่จุนพุ่งทยานเข้ามาหา เขาเห็นเซวียนหยวนเชาพาลูกน้องชายชุดดำหนีไปแล้ว ทว่าเขาไม่ได้ตามไปแต่กลับรีบตามหามู่จิ่วซี เขาก้มมองจากยอดอาคารก็เห็นเงาคนกำลังลงมือสังหารคนอยู่ภายในเรือนเลือดสดๆ ย้อมเป็นสีแดงไปทั่วทั้งเรือนขนาดใหญ่ ด้านในมีชายชุดดำจำนวนนับไม่ถ้วน โม่จุนลองนับดูคร่าวๆ มีอยู่ประมาน 30-40 คน ทั้งหน้าทั้งตัวทั้งแขนของมู่จิ่วซีล้วนเต็มไปด้วยเลือด ราวกับว่าคลานออกมาจากนรกนางยังคงเข่นฆ่าไม่หยุด นางกำลังจะฆ่าพวกชุดดำที่เหลืออยู่ทิ้งให้หมดราวกับว่าไม่อาจหยุดได้เสียงเรียกซีเอ๋อร์ไม่อาจทำให้นางหยุดยอมแพ้จากเป้าหมายพวกชุดดำต้องการจะหนีแต่ก็ล้วนหนีไม่รอด ทั้งมีดบิน กริช ดาบวงพระจันทร์และแส้ ราวกับว่ามู่จิ่วซีมีวิธีในการใช้หยุดรั้งพวกเขาไม่ให้หนีได้"ซีเอ๋อร์!" โม่จุนรีบกระโจนเข้าไปพร้อมกับสังหารพวกชุดดำที่ตกใจและต้องการจะหนี จากนั้นก็หันมองมู่จิ่วซีอย่างกังวลและเป็นห่วงมู่จิ่วซียืนนิ่งพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมา ในแววตาทั้งสองข้างล้วนเป็นสีเลือด กลิ่นอายดำมืดรอบตัวอันครุกรุ่นทำเอาหัวใจของโม่จุนต้องสั่นสะท้านเหมือนกับตอนนั้นที่เขาถูกศัตรูล้อมเอาไว้ ตอนทุ่มกำลังฝ่าวงล้อม ด
"เกรงว่าจะหมดบุญไม่รอดเสียมากกว่า...""ถุย ปากเสีย คุณหนูใหญ่มู่เป็นถึงความภาคภูมิใจของแคว้นเกาอวิ๋น อย่าพูดซี้ซั้ว! ระวังข้าจะตบปากเจ้าให้""ใช่ๆๆ คุณหนูใหญ่มู่จะต้องไม่เป็นอะไร เรื่องที่เกิดกับนางล้วนเป็นปาฏิหาริย์ ครั้งนี้ก็จะต้องมีปาฏิหาริย์เช่นกัน"ทุกคนของแคว้นเกาอวิ๋นต่างรู้ชื่อเสียงเรียงนามของมู่จิ่วซี ไม่สิ ต้องบอกว่าตำนานมากกว่า!ทางด้านของโม่จุนก็อุ้มมู่จิ่วซีทะยานกลับไปยังพระราชวังโดยตรง เพราะหมอที่เก่งกาจนอกจากมู่จิ่วซีแล้ว ก็คือแพทย์หลวงของราชวงศ์ส่วนโม่จุนตอนนี้ไม่กล้าจะใช้รถม้าเพราะกลัวว่าความเร็วจะช้า เขาตอนนี้เหมือนม้าป่าที่ปลดบังเหียนออกและกำลังทะยานท่ามกลางยอดอาคารในพระนครตลอดทางถูกทหารตรวจตราของกรมพระราชวังนครบาลพบเข้าพร้อมกับตามเข้ามาต่อว่า แต่ก็ถูกโม่จุนปรามไปคำและถอยออกไปจากนั้นใต้เท้าโจวเหยาแห่งกรมพระราชวังนครบาลก็ทราบอย่างรวดเร็วว่ามู่จิ่วซีบาดเจ็บสาหัส สลบไม่รู้สึกตัวอยู่ในสถานการณ์ขั้นวิกฤติ ทำเอาเขาตกใจหน้าซีดพร้อมกับรีบให้คนไปรายงานมู่เทียนซิง เย่อู๋เหิงและคนอื่นๆพร้อมกับสั่งให้คนไปรายงานแจ้งฮั้วอวิ๋นเทียนเจ้าสำนักแห่งหอดาราจันทราโจวเหยาเห็นว