เซวียนหยวนเชาเกือบจะสะดุดคานประตู จากนั้นเขาก็หันมายิ้มอย่างเจิดจรัสและพูดกับมู่จิ่วซี : "รอสักครู่ เดี๋ยวข้าจะให้คนทำอาหารมื้อดึกมาให้""ขอบพระทัยองค์มกุฎราชกุมาร บางทีหากข้าอารมณ์ดีก็อาจช่วยเจ้าก็ได้" มู่จิ่วซีพูดเสริมอีกประโยค เพื่อหลีกเลี่ยงจะทำห้เขาโมโหอย่างรุนแรงจนไม่อาจรับมือจัดการได้เซวียนหยวนเชาเดินออกไปอย่างเร็ว เขาต้องการสูดอากาศอย่างมาก ส่วนมู่จิ่วซีพอเห็นเขากระโดดพรวดออกไป มุมปากของนางก็ยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชาในมือพลิกเข็มเงินออกมาพร้อมกับฝังลงในจุดฝังเข็มต่างๆ บนร่างกายอย่างแรง จากนั้นก็เริ่มโคจรลมปราณเฟิงเหยียนหยูเฟย เพื่อขับเคลื่อนกำลังภายในแต่ตอนแรกเห็นได้ชัดว่าไม่เกิดผลลัพธ์อะไร ทว่ามู่จิ่วซีเชื่อมั่นอย่างมากในความมุ่งมั่นของตนเอง หลังจากนางลองพยายามไปมาหลายครั้ง ในที่สุดกำลังภายในก็เริ่มขับเคลื่อนพอกำลังภายในขับเคลื่อน ความรู้สึกอ่อนล้าทั่วตัวก็เริ่มจางหายไป พละกำลังเริ่มค่อยๆ กลับเข้าสู่ร่างกาย รอยยิ้มตรงมุมปากของมู่จิ่วซีค่อยๆ กว้างขึ้นแต่ขั้นตอนทั้งหมดไม่ได้รวดเร็วขนาดนั้น การจะใช้กำลังภายในสยบฤทธิ์ของยาทั้งหมดได้ มู่จิ่วซีคาดว่าคงจะต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั
"เจ้าต้องการประลองธนูกับเสด็จพี่ของเจ้าหรอ?" มู่จิ่วซีถาม"คนของแคว้นเป่ยจิ้นล้วนเชี่ยวชาญการยิงธนู แน่นอนการประลองกำลังภายในก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ในฐานะว่าที่จักรพรรดิแคว้นเป่ยจิ้น แน่นอนว่าต้องการความโดดเด่นเป็นเลิศ ต่อให้ตัวเองไม่ดีเลิศพอ คนข้างกายก็จำเป็นต้องโดดเด่นเป็นที่หนึ่งของที่หนึ่ง ดังนั้นข้าจำเป็นต้องการให้เจ้าช่วย" เซวียนหยวนเชาพูดต่อ"ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้า คงโดนฆ่าตายแน่นอนใช่ไหม?" มู่จิ่วซีเบ้ปากกล่าวเซวียนหยวนเชาจ้องไปที่นางและกล่าว : "มู่จิ่วซี อันที่จริงข้าไม่ได้หวังให้เจ้าตาย แต่เจ้าก็รู้ เจ้าไม่ได้อยากเป็นฮองเฮาของข้า อีกทั้งเจ้าก็เป็นคนของแคว้นเกาอวิ๋น ไม่อาจปล่อยให้รอดไปได้ เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่มีประโยชน์กับพวกเราแล้ว ข้ายังจะปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตมาทำลายแคว้นเป่ยจิ้นงั้นหรือ?""ดูเหมือนถ้าข้าไม่ช่วยเจ้าประลองเดิมพันคงจะไม่ได้" มู่จิ่วซียิ้มกล่าวอย่างแหยงๆ"หวังว่าคุณหนูใหญ่มู่จะเข้าใจสถานการณ์ ในที่แบบนี้ไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้ ต่อให้ตายก็ไม่มีใครหาเจอ" เซวียนหยวนเชากล่าวอย่างมั่นใจมู่จิ่วซีในใจก็นึกถึงข้าวดำของนางที่โรยไว้ตรงพื้น โม่จุนคงจะหาเจอ แต่ใต้ดินนี้ลึกลับ
เซวียนหยวนเชาเห็นมู่จิ่วซีไม่พูด ราวกับคิดว่าสองอย่างนี้อันไหนสำคัญกว่า"เจ้าคงไม่ได้อยากให้ข้าช่วยทั้งสองเรื่องหรอกใช่ไหม?" มู่จิ่วซีเบิกตากลมโตมองเขา"การเดิมพันประลองสำคัญมาก หวางชิวก็สำคัญมากเช่นกัน" เซวียนหยวนเชาทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมาอย่างขมขื่น"ดูเหมือนสถานการณ์ขององค์มกุฎราชกุมารจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก" มู่จิ่วซีมองออกเซวียนหยวนเชาพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวอย่างขุ่นเคือง : "หากไม่ใช่เจ้า ข้าจะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำและตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้งั้นเหรอ""เดาว่าต่อให้ฆ่าข้าไปก็คงไม่อาจระบายความโกรธได้" มู่จิ่วซียิ้มอย่างขมขื่นเช่นกัน "งั้นมาดูกันว่าจะให้ช่วยยังไง""ใช่ คงได้แต่ต้องให้เจ้าช่วย ไม่งั้นข้าคงไม่อาจปล่อยให้เจ้ารอดกลับไปได้" เซวียนหยวนเชาพอนึกถึงเรื่องทุกอย่างที่มู่จิ่วซีทำลาย เขาก็เข็ดฟันขึ้นมาอย่างมาก"ได้ๆๆ ข้าก็ไม่ได้อยากตาย งั้นเจ้าจะให้ทำอะไรล่ะ ข้าไม่มีเรี่ยวแรง ข้าขอนอนก่อนได้ไหม?" มู่จิ่วซีพูดอย่างขอไปทีพร้อมกับแสร้งไม่สบอารมณ์ ในใจก็คิดว่าเขาเห็นนางโง่หรือไง เกลียดจนอยากจะฆ่านาง คิดจริงๆ เหรอว่านางเองจะช่วยเขา?เซวียนหยวนเชาพอเห็นอารมณ์อันหลากหลายบนใบ
มู่จิ่วซีตกใจไม่ใช่น้อยๆ ข้างในนี้ยังมีคนอยู่อีก ก่อนหน้านี้นางไม่ทันได้สังเกตเลยแต่ว่าลมหายใจนี้ดูจะแผ่วเบาเกินไป เหมือนกับว่าไม่ได้อยู่ในห้องอุโมงค์หิน แต่ว่าอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องอุโมงค์หินนางรีบเดินไปยังห้องข้างๆ ที่แท้ก็อยู่ตรงเตียงด้านนั้นนางหลับตาลงอีกครั้งและฟัง ตอนแรกไม่ได้ยินเสียง แต่ผ่านไปนานเข้าเสียงลมหายใจนั้นก็ดังขึ้นมา มู่จิ่วซีลืมตาอีกครั้งและมองไปยังด้านในเตียงหินนางรีบใช้มือผลักออกไป ก้อนหินนั้นหนักอย่างมาก เป็นไปไม่ได้จะผลักให้เปิดออก นางเลยเอาหูแนบด้านบนและตั้งใจฟังอย่างเสียงลมหายใจฝั่งตรงข้ามเหมือนจะแรงขึ้นนิดหน่อย แต่นางได้ยินฝั่งตรงข้ามเหมือนกับกำลังบาดเจ็บ เป็นเสียงลมหายใจปกติที่ไม่ได้แผ่วเบางั้นฝั่งตรงข้ามคือตรงไหน? ฝั่งตรงข้ามอีกด้านนั้นเป็นใครมู่จิ่วซีคิดอยู่ครู่ก่อนจะยื่นมือออกไปลองเคาะเสียงลมหายใจอีกด้านหยุดลงในทันที มู่จิ่วซีเลิกคิ้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝั่งได้ยินเสียงของนางไม่นานนักอีกฝั่งก็เคาะมา เสียงค่อนข้างเบา แต่มู่จิ่วซีกลับยิ้ม ดูเหมือนว่าอีกฝั่งจะไม่ใช่ศัตรู ไม่งั้นคงจะมีคนกรูกันเข้ามาหาแล้วมู่จิ่วซีเคาะไปอีก 2 ครั้ง อีกฝั่งก็เคาะ
มู่จิ่วซีทันใดนั้นถลึงตาเบิกโพลงกว้างและกล่าวอย่างตกใจ : "เจ้าพูดว่าหอดาราจันทรางั้นเหรอ?"ทันใดนั้นในหัวสมองของนางก็เหมือนกับถูกกระแสไฟฟ้าช็อต นางรู้แล้วว่าฉินอวี่เยียนเป็นใคร! แต่ว่ามันเป็นไปได้หรอ?"ใช่ หอดาราจันทรา หากเจ้าออกไปได้ ได้โปรดช่วยข้าตามหาเจ้าสำนักของหอดาราจันทราด้วย เขาจะต้องมาช่วยข้าแน่นอน" ฉินอวี่เยียนรีบพูดขึ้นมา "เจ้าเองก็ถูกจับมาเหมือนกันงั้นเหรอ ทำไมเจ้าถึงมีของมีคมได้ พวกเขาไม่ได้ให้เจ้ากินยากระดูกอ่อนหรือไง?"มู่จิ่วซีรู้สึกมึนหัวขึ้นมาเล็กน้อยทันทีฉินอวี่เยียนที่แท้ก็เป็นเยียนเอ๋อร์ คนรักที่ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ของฮั้วอวิ๋นเทียน ส่วนน้องสาวของนางก็คืออาจื่อซึ่งมีนามว่าฉินหลานจื่อฮั้วอวิ๋นเทียนพูดมาตลอดว่าเยียนเอ๋อร์ได้ตายไปแล้ว ตายเพราะว่าช่วยเขา โดยทิ้งจดหมายสั่งเสียเอาไว้ให้เขาดูแลน้องสาวของนาง ตอนนี้เรื่องมันเป็นไงมาไงกันแน่?ฉินอวี่เยียนยังไม่ตาย อีกทั้งยังถูกอาจื่อทำร้าย นี่มันหักมุมครั้งใหญ่จริงๆแต่นางกลับถูกขังเอาไว้ในนี้นานมาก แล้วยังเป็นสถานที่ของท่านอ๋องสี่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?แต่ว่าสถานที่แห่งนี้จะต้องลึกลับมากแน่นอน นางตอนนี้สงสัยว่าต่
ฉินอวี่เยียนส่งเสียงอืม ทั้งสองด้านเอาหินมาอุด ทางมู่จิ่วซีด้านนี้ยังได้ยินเสียงสะอื้นไห้จนในใจรู้สึกเศร้าเพียงแต่แค่นางไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่าคราวนี้นางจะมาเจอเรื่องใหญ่เข้าทำไมท่านอ๋องสี่ถึงต้องเอาฉินอวี่เยียนมาขังที่นี่ด้วย? อาจื่อกับท่านอ๋องสี่เหมือนจะอยู่ฝ่ายเดียวกันเรื่องราวเหมือนกับว่าจะซับซ้อนมากกว่าที่เห็นเหมือนกับว่ารอบกายนางไม่มีใครเป็นคนดีบริสุทธิ์เลยสักคน ต่างล้วนถูกลากให้เข้ามาเกี่ยวข้อง น่าประหลาดมากจริงๆตอนนี้ถึงเวลารุ่งสางแล้ว มู่จิ่วซีเบาใจลงได้หลังจากจัดการผนังหินที่เจาะจนมองไม่ออก นางรีบกลับมาที่ห้องของตนเอง หลังจากดื่มชาก็จัดระเบียบความคิด จนในตอนท้ายนางก็กัดฟันถือกริชชิงหลงในมือเดินไปที่ประตูหินบานใหญ่บนประตูหินไม่มีกลไก มันจะต้องอาศัยพละกำลังในการผลักให้เปิดออกจริงๆ แต่นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าจะต้องทำให้เกิดเสียงดังแน่นอน ด้านนอกจะต้องได้ยินเสียงเปิดประตูแน่มู่จิ่วซียืดเส้นยืดสายมือและเท้า หลังจากนวดกดขมับแล้ว มุมปากของนางก็ยิ้มอย่างเย็นชาชั่วร้ายพร้อมกับเอื้อมมือเริ่มผลักประตูหินเสียงครืดดังก้องขึ้นมา มู่จิ่วซีใช้พละกำลังทั้งหมดเปิดประตูหินออกอย่างรวดเร็
ชายชุดดำคนนั้นตวาดอย่างโมโหอย่างที่คาดไว้ : "เป็นไปไม่ได้! ใต้หล้าผืนนี้ นอกจากจื่ออวิ๋นเฟยแล้วก็ไม่มีใครปรุงยาได้เก่งไปกว่าข้าอีก!""เหอะๆ กบในกะลา!" มู่จิ่วซียิ้มกล่าว "ต่อให้หมอเทวดาจื่ออวิ๋นเฟยอยู่ต่อหน้าข้า ก็ยังไม่กล้าคุยโวขนาดนี้เลย!""อะไรนะ เจ้า เจ้ารู้จักจื่ออวิ๋นเฟย?" ชายชุดดำกล่าวอย่างหวาดกลัว "ทำไมถึง?""พอเถอะ!" เซวียนหยวนเชาทันใดนั้นก็กล่าวอย่างโมโหเย็นชา "ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ จะปล่อยให้นางหนีไปไม่ได้"จากนั้นเซวียนหยวนเชาก็พูดกับมู่จิ่วซี : "มู่จิ่วซี เจ้าหนีไม่รอดหรอก ขอเพียงเจ้าโผล่หัวขึ้นมา เจ้าได้โดนยิงจนเป็นเม่นแน่!"มู่จิ่วซีเงยหน้ามองด้านบนซึ่งสามารถเห็นท้องฟ้าได้ แม้ว่าฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว แต่ยังมองเห็นดาวอยู่ อีกอย่างลมที่พัดมาทำให้นางรู้สึกถึงความเย็นสบายจนรู้สึกจิตใจผ่อนคลายขึ้นมาก"พวกเจ้าคิดว่าข้ามาคนเดียวงั้นเหรอ?" มู่จิ่วซียิ้มกล่าว "บางทีพวกเจ้าอาจถูกล้อมเอาไว้แล้ว""มู่จิ่วซี เจ้าคิดจะขู่ใคร! ข้าระมัดระวังตัวอย่างมาก ต่อให้เป็นโม่จุนก็อย่าคิดจะตามมาได้ ไม่ว่าเจ้าวางแผนอะไรไว้ ถ้าไม่เชื่อฟังกลับลงไปดีๆ งั้นก็ตายซะ!" เสียงของเซวียนหยวนเชาแฝ
เขาเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้ขอเพียงฟื้นฟูพละกำลังกลับคืนมาได้ นางจะไม่มีทางนั่งรอความตายเฉยๆ แน่ พอถึงตอนนั้นนางจะต้องมาหาเขาเองแน่นอนก็แค่เขาไม่คาดคิดว่าวิธีที่มู่จิ่วซีใช้ในการตามหาเขาจะไม่เหมือนกับคนอื่น นี่ไม่ใช่เป็นการตามหาเขา แต่มันเป็นการหาคนทั้งพระนครแล้วเสียงดังขนาดนี้ อย่างกับฟ้าผ่า กลัวทุกคนไม่รู้หรือไงว่าท่านผู้สำเร็จราชการแทนโม่จุนอยู่ที่นี่?ทว่าในใจของเขากลับรู้สึกมีความสุข นี่เป็นการแสดงว่าผู้หญิงคนนี้เชื่อมั่นในตัวเขา เชื่อว่าเขาจะตามมาถึงที่นี่ เชื่อว่าเขากำลังรอนางการรู้ใจกันระหว่างของคนทั้งสองฝ่ายก็มาถึงขั้นที่ใจตรงกันโม่จุนทันใดนั้นก็ส่งเสียงผิวปากยาวออกไป เสียงก้องยิ่งกว่าอะไร ราวกับเสียงพลุไฟสัญญาณเซวียนหยวนเชาซึ่งอยู่ในตำหนักพอได้ยินเสียงผิวปากก็สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ส่วนมู่จิ่วซีก็หัวเราะเฮฮาเสียงดังขึ้นมา"เซวียนหยวนเชา เจ้าแพ้แล้ว!" มู่จิ่วซีพอพูดจบก็พุ่งทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว"ยิง ยิงนางให้ตาย!" เซวียนหยวนเชาตะโกนเสียงดังในทันที ส่วนเขาก็ทะยานขึ้นไปกลางอากาศทั้งตัวขึ้นไปยังยอดอาคาร ธนูในมือถูกง้างจนสุดสายในพริบตาแน่นอนว่าเขาเล็งไปยังทิศของโม่จุน