เฟนด์ขมวดคิ้วและวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะอย่างเบามือ “คุณกำลังบอกว่าสำนักของเรายังคงวางแผนที่จะจะทำสงครามต่อไป?”นั่นเป็นคำอธิบายที่น่าเชื่อถือที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมพวกเขาถึงต้องรีบร้อนให้เหล่าศิษย์เรียนรู้รูปแบบการต่อสู้แบบผสมผสานเช่นนี้ด้วย? สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณโดยนัยว่าสงครามครั้งใหญ่กำลังจะปะทุขึ้นในไม่ช้า ในช่วงเวลาแบบนี้เท่านั้นที่รูปแบบการต่อสู้แบบผสมผสานจะมีประโยชน์มากที่สุดมีเหตุผลหลายประการในการฝึกรูปแบบการต่อสู้แบบผสมผสาน ตัวอย่างเช่น หากกลุ่มศิษย์ออกไปฝึก การต่อสู้รูปแบบการต่อสู้แบบผสมผสานมันจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต หากพวกเขาเผชิญกับอันตรายใด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นการต่อสู้แบบผสมผสานจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อใช้ในสงครามระหว่างสำนักเฟนด์สูดลมหายใจลึก เขาไม่ได้เชื่อมโยงสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเผ่าปฐมหายนะ แต่กลับถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “มีศิษย์คนอื่นไปที่ป่าดงอสูรในช่วงเวลาเดียวกับที่ผมไปอยู่ที่นั่นหรือเปล่า? โดยเฉพาะศิษย์ที่เป็นญาติของผู้อาวุโสภายในหรือผู้อาวุโสภายนอก?”ในสำนักมีผู้อาวุโสหลายคนและหากพวกเขาบริสุทธิ์ใจ พวกเขาจะยอมรับศิษย์ของเขาบางคนเข้าสู
โนเอลมองไปที่เฟนด์ด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เขาก็ถามถึงผู้อาวุโสก็อดฟรีย์แต่เขายังคงตอบคำถามของเขา “เรามีผู้อาวุโสทั้งหมดสิบเอ็ดคน ตามการจัดอันดับ ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์เป็นผู้อาวุโสคนที่สิบเอ็ด แต่เขามีพรสวรรค์มาก การจัดอันดับของผู้อาวุโสจะจัดอันดับตามความแข็งแกร่งของพวกเขา คาดว่าอีกไม่นานผู้อาวุโสก็อดฟรีย์จะกลายเป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสอันดับสูงสุด”เฟนด์พยักหน้าและหลังจากถอนหายใจเบา ๆ เขายังคงถามต่อไปว่า "แล้วผู้อาวุโสมีความขัดแย้งกันบ้างหรือเปล่า?"โนเอลหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ "นายถามเรื่องนี้ทำไม? นายรู้จักผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ได้ยังไงกัน์”เฟนด์กระแอมในลำคอ จับจมูกแล้วพูดว่า “ผมได้พบกับผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ขณะอยู่ในเมืองสองกษัตริย์ เพราะคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็ตลกดี ผมรู้ว่าเขาเป็นผู้อาวุโสจากการแต่งกายของเขา แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้อาวุโสคนไหน ผมได้รู้ชื่อของเขาก็ตอนที่มีคนข้าง ๆ บอกมาเท่านั้น”โนเอลดูเหมือนจะพอใจกับคำอธิบายและไม่ได้กดดันอะไรเพิ่มอีก เขาตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเฟนด์แทน “ถ้านายกำลังมองหาสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างผู้อาวุโส ฉันก็เดาว่าน่าจะเป็นการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนั
มันจะอธิบายได้ว่าทำไมสำนักสหัสบรรณถึงฝ่าฝืนกฎตามปกติของพวกเขาเพื่อแทรกแซงให้เผ่าปฐมหายนะและตำหนักสองกษัตริย์ยับยั้งสงครามระหว่างพวกเขา ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ เป็นการดีที่สุดที่จะรักษาทรัพยากรของพวกเขาไว้เพื่อใช้ต่อสู้กับศัตรูตัวฉกาจอย่างสำนักวายชนม์เฟนด์จำได้ว่าเขาเคยได้ยินข่าวที่ตำหนักสองกษัตริย์ต้องการรับสมัครศิษย์ใหม่ ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปยังป่าดงอสูร จากเหตุผลข้อนี้เพียงอย่างเดียว เขาก็สามารถเดาได้ว่าที่พวกระดับสูงของตำหนักสองกษัตริย์คงรู้กันหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในป่าดงอสูรนอกจากนี้มันยังจะอธิบายการแสดงออกอย่างแปลก ๆ ของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์และน้ำเสียงแปลก ๆ ของเขาได้อีกด้วย ไม่มีใครบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นในป่าดงอสูร และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาถูกซุ่มโจมตีอยู่ที่นั่น เขาระแวงในตัวเฟนด์เพราะเฟนด์เป็นศิษย์จากตำหนักสองกษัตริย์ และมีคนระดับสูงบางคนใน สำนักต้องการให้เขาตาย! ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ก็กล้ำกลืนเก็บงำความขุ่นเคืองใจต่อตำหนักสองกษัตริย์เอาไว้ในที่สุด เฟนด์ก็เข้าใจได้ถึงความลึกลับเหล่านี้ สิ่งที่ยังต้องคิดให้ตกก็คือฝ่ายใดกันแน่ที่ต้องการให้ผู้อาวุโสก็อดฟรี
โนเอลจ้องไปที่เฟนด์อย่างพูดไม่ออกก่อนที่จะกลอกตามาที่เขา “นายได้ยินในสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาหรือเปล่า? การทำสงครามกับเผ่าปฐมหายนะ กับการทำสงครามกับสำนักวายชนม์นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เข้าใจไหม? ฝ่ายหนึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเรา ในขณะที่อีกพวกคือสำนักระดับสี่! พอถึงเวลานั้น ต่อให้เราจะอยากเข้าร่วมสนามรบด้วยหรือเปล่าก็ไม่สำคัญ เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาจะบังคับให้เราเข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอน!”เฟนด์ขมวดคิ้วและพูดเชิงโต้แย้งว่า “ไม่ใช่ว่าสำนักวายชนม์จะพุ่งเป้ามาที่พวกเราโดยเฉพาะเสียหน่อย! จะมีสำนักอื่นต่อสู้กับพวกเขาด้วย นอกจากนี้ เป้าหมายหลักของพวกเขาคือต้องกำจัดสำนักสหัสบรรณก่อน หมายความว่าสำนักสหัสบรรณจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในเรื่องนี้ ในขณะที่เราจะทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนเท่านั้น”โนเอลยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ แต่ริมฝีปากของเขาก็เม้มแน่น “นายไร้เดียงสากว่าที่ฉันคิดนะ จริงอยู่ สำนักสหัสบรรณจะเป็นกำลังหลัก แต่นายคิดว่าพวกเขาจะสละศิษย์ของตัวเองเพื่อปกป้องเราหรือ? ไม่ต้องแปลกใจล่ะถ้าพวกเขาปฏิบัติกับเราเหมือนเบี้ยในเกมกระดาน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะเป็นคนที่โชคร้าย ในฐานะศิษย์ภายนอก ฉันอาจไม
อย่างที่โนเอลกล่าวไว้ ถ้าแหล่งทรัพยากรลับนี้ค่อนข้างล้ำค่า สำนักสหัสบรรณจะไม่อนุญาตให้สำนักระดับสามทั้งสองแย่งชิงกันอย่างนี้แน่นอน พวกเขาจะเอาไปเป็นของตัวเองไม่ผิดแน่!บรู๊คตัดพ้อในทันที "บางทีพวกเขาอาจค้นพบบางสิ่งที่มีค่ามากในแหล่งทรัพยากรลับ และข่าวนี้ไปถึงหูของสำนักวายชนม์เข้า นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขายอมแลกทุกอย่างเพื่อมาที่นี่และเอามันไปเป็นของตัวเอง"โนเอลพยักหน้า ที่บรู๊คพูดฟังดูมีเหตุผล แต่แล้วเขาก็ถามกลับไปว่า “แล้วทำไมสำนักสหัสบรรณถึงไม่ทำอะไรพวกเขาเลยล่ะ? ตามที่ศิษย์น้องเฟนด์กล่าวไว้ แนวค่ายกลรอบป่าดงอสูรอยู่ที่นั่นมานานกว่าสิบวันแล้ว!“ไม่มีใครออกมาจากที่นั่นได้เลยนอกจากศิษย์น้องเฟนด์ ใครก็ตามที่มีมันสมองสักนิดก็จะรู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องและจะต้องส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องค้นพบบางสิ่งหากพวกเขาทำเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะพลาดกันได้ง่าย ๆ แล้วทำไมสำนักสหัสบรรณและตำหนักสองกษัตริย์ของเราถึงไม่ได้ทำอะไรเลย? นายไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ? พวกเขากำลังวางแผนอะไรกันแน่?”ทั้งเฟนด์และบรู๊คต่างก็อึ้งไปกับคำถามของเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเว้นแต่จะมีข้
จากนั้นยังมีความจริงที่ว่าเขาบังเอิญไปพบสัตว์อสูรเหล่านี้ในพื้นที่ของสัตว์อสูรระดับติดตัวซึ่งพวกเขาไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าสัตว์อสูรระดับติดตัวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบหนีไปยังบริเวณรอบนอกของป่า เพราะถิ่นที่อยู่ตามปกติของพวกมันถูกสำนักวายชนม์ยึดครองเอาไว้แล้วเฟนด์หัวเราะแห้ง ๆ และพูดว่า “ผมเดาว่าผมคงโชคดีอยู่บ้าง… หรือบางทีฉันอาจจะแข็งแกร่งขนาดนั้นก็ได้ ฮ่า ๆ”บรู๊คพูดไม่ออกเล็กน้อย “ฮ่า! ผมไม่ชอบเลยที่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคุณ แต่ผมจะไม่ไปที่ป่าผืนนั้นคนเดียวแน่นอน! เพราะนั่นจะไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย! ผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณจะฆ่าสัตว์อสูรเหล่านี้ได้เพียงลำพัง จากการประเมินคร่าว ๆ ของผม คุณน่าจะได้รับคะแนนสนับสนุนอย่างน้อยสี่ร้อยคะแนน!”การประมาณการของบรู๊คนั้นถูกต้อง โดยรวมแล้วเฟนด์ได้รับคะแนนสนับสนุนสี่ร้อยสามสิบคะแนน ซึ่งมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้ คะแนนสะสมน่าจะใช้ได้อีกนานพอสมควรหากเขาใช้มันอย่างชาญฉลาด ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ต้องใช้มันในหอทักษะยุทธและหอทักษะศิลปยุทธ หรือใช้การปรึกษาหารือกับผู้อาวุโส ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว คะแนนสนับสนุนเห
วงเวทย์อัญเชิญเปิดออกพร้อมเสียง 'แกร็ก' และคลื่นพลังวิญญาณก็พุ่งเข้าหาเฟนด์โดยไม่รั้งรอเฟนด์หายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มทำสมาธิ เขายังคงร่ายผนึกมือต่อไป และพลังที่เหลือจากผลึกวิญญาณสลายที่ผนึกอยู่ในร่างกายของเขาก็ถูกเปิดใช้งานการสร้างดาบวิญญาณภายใต้การสนับสนุนของพลังที่เหลือจากผลึกวิญญาณสลายมันนับว่าง่ายกว่าเดิมมาก ช่วงเวลาสิบวันผ่านไปภายในพริบตาและเฟนด์ก็สามารถสร้างดาบวิญญาณได้สำเร็จเพิ่มอีกห้าเล่มหลังจากใช้พลังที่เหลือจากผลึกวิญญาณสลาย นั่นหมายความว่าเฟนด์สามารถสร้างดาบวิญญาณได้สิบห้าเล่มเพื่อโจมตีศัตรูในระหว่างการต่อสู้ เพราะฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการต่อสู้กับศัตรูนานนัก และโรบินจะถูกเฟนด์ฆ่าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากในตอนนี้เขาได้เผชิญหน้ากับโรบินเฟนด์หายใจออกลึก ๆ และตัดสินใจหยุดการบ่มเพาะตัวเอง อย่างไรเสียการต่อสู้ในสถานการณ์จริงก็เป็นเพียงมาตรฐานเดียวสำหรับการทดสอบพละกำลัง และเขาวางแผนที่จะทำการต่อสู้เดิมพันสองครั้งหลังจากที่เขาออกจากประตูเรียงเนตรและเฟนด์เดินออกไปทีละก้าวเขาเพิ่งกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงเมื่อเขาได้ยินโนเอลพูดอย่างเย็นชาและไร้สติ “แล้วมัน
เซนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเฟนด์และผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยท่าทีที่สงสัยเล็กน้อย “ฉันแค่รู้สึกว่าผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ในตอนนี้คงเริ่มปล่อยวางได้แล้ว เมื่อก่อนเขาทุ่มเทกับการบ่มเพาะตัวเองมาก แต่ตอนนี้เขาคงรู้สึกว่าชีวิตของเขาคงจะน่าเบื่อเกินไปหากเขาเอาแต่จดจ่อไปที่การบ่มเพาะตัวเองเพียงอย่างเดียว การฝึกความพร้อมตัวเองคงไม่คุ้มค่าเท่ากับการมีลูกศิษย์และได้สั่งสอนทุกอย่างที่เขารู้ให้กับศิษย์คนนั้น”โนเอลกลอกตาไปที่เซน “นี่ นายหยุดคาดเดาความคิดของผู้อาวุโสด้วยมุมมองของตัวนายเองได้ไหม? ยังไงซะพวกเขาทุกคนต่างก็มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง”เซนหัวเราะแห้ง ๆ “นายพูดถูก ตอนนี้ ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์กลายเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสภายในแล้ว และตามกฎของเรา เราควรเรียกเขาว่าผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ด”โดยปกติพวกเขาจะไม่เรียกผู้อาวุโสภายในด้วยนามสกุล แต่จะกล่าวถึงพวกเขาตามการจัดอันดับ ตอนนี้ ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์อยู่ในอันดับที่สิบเอ็ด ดังนั้นพวกเขาจึงควรเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ดเฟนด์ตกอยู่ในความงุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะถามขึ้น “แล้วคนที่หนุนหลังเวสลีย์ล่ะ ผู้
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ