เขาเป็นเด็กที่เกิดมาท่ามกลางสภาวะสงคราม แม้ผ่านมาเพียงสองปีมันจะจบลงทว่ามันไม่แปลว่าเศรษฐกิจจะฟื้นฟูขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะมันเป็นช่วงเวลาอันไกลพ้นและสั้นกุด เขาจึงไม่สามารถจำหน้าพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองได้ ญาติหลายต่อหลายคนที่มาร่วมงานศพขนาดย่อมในวัดเล็ก ๆ กลางพระนครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพ่อแม่ซึ่งป่วยออด ๆ แอด ๆ ของเขาตั้งใจเลี้ยงดูลูกชายเพียงคนเดียวมากแค่ไหน สิ่งที่พวกท่านหลงเหลืออยู่คงจะเป็นเลือดที่ไหลเวียนอยู่และชื่อสกุล
พูนไม่อาจจำได้ว่าตัวเองเมื่อครั้งอายุสิบขวบรู้สึกเศร้าโศกขนาดไหน บางทีอาจจะไม่สมควรเป็นวัยที่รู้จักความเศร้าจากความสูญเสียด้วยซ้ำไป งานวันนั้นเขาถูกจับแต่งตัวจากคุณย่าที่ยังไม่คุ้นหน้า และถูกจูงมางานเมื่อถึงเวลา ร่วมงานสีดำตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ในหัวมันรู้สึกว่างเปล่าพิกล รู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลย
‘น่าสงสาร เด็กตัวแค่นี้เอง’
‘แล้วใครจะรับไปเลี้ยงต่อล่ะ’
‘วัยกำลังโตเสียด้วย’
พูนในวัยเด็กพร้อมชุดเสื้อสีดำนั่งแกว่งขามองพื้นศาลาขณะรอกลับในช่วงค่ำหลังจากร้องไห้จนไม่มีน้ำตาหลงเหลืออยู่ เขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าต่อจากนี้เขาจะไปอยู่กับใคร เขาได้ยินญาติเหล่านั้นพูดว่าเขาอาจจะถูกส่งตัวไปอยู่กับปู่ซึ่งไม่ได้ติดต่อกับพ่อมานานมากแล้ว พ่อแม่เขาเองก็พอมีสินทรัพย์มรดกอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ขึ้นชื่อว่าอยู่ในภาวะหลังสงคราม เงินทองที่ว่านั้นไม่ได้มีมากมายนักหรอก ป้าเหล่านั้นพูดออกมา
มีคนเข้ามาทักทายบ้าง แสดงความเสียใจบ้าง แม้มันจะเป็นงานของพ่อแม่แท้ ๆ แต่เขาก็เริ่มง่วงงุนขึ้นมาจนอยากจะกลับบ้านไปนอนแล้วสิ
“หนูจ๊ะ”
‘?’
เสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้น พูนในวัยเยาว์จึงเงยหน้ามามองอย่างเบื่อหน่าย แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าทำให้เขาสงสัยขึ้นมาแทน ทำไมเสียงเหมือนผู้ชายแต่แต่งหน้าทาปากเหมือนผู้หญิง
“ต่อจากนี้มาอยู่กับน้านะจ๊ะ”
พูนกำลังงงงวยในหลาย ๆ ความหมาย เมื่อสักครู่เขาได้ยินแล้วว่าอีกฝ่ายคือเจ้าของเสียง และเมื่อสังเกตดูดี ๆ แม้ภายนอกจะรวบผมเป็นมวย หน้าตาสะสวย แต่ฝ่ามือเต็มไปด้วยเส้นเลือดพร้อมข้อนิ้วชัดเจน ไม่นานก็มีคุณลุงร่างท้วมอีกคนเดินเข้ามาย่อตัวลงอีกคนตรงหน้าเขา
“ไม่ต้องกลัวหรอก ลุงเป็นพี่ชายของพ่อหนูเอง ต่อจากนี้มาอยู่ด้วยกันนะ”
คืนนั้นแทนที่ตัวเขาจะถูกคุณย่าที่ไหนก็ไม่รู้เดินจูงมือกลับไปอยู่บ้านหลังเก่าคนเดียว กลายเป็นว่ามือทั้งสองข้างถูกจับจูงโดยพ่อใหม่ทั้งสองคน และเขาจะไม่บอกว่าตัวเองขณะเดินทางบนรถไฟเผลออาเจียนเพราะเมารถหรอกนะ เกิดมาทั้งชีวิตพึ่งรู้นี่แหละว่าตัวเองอยู่บนยานพาหนะทำนองนี้ไม่ได้
พ่อเทียบ ทำงานเป็นพ่อค้าขายบะหมี่หมูแดงอยู่ที่พิษณุโลกซึ่งเป็นบ้าน เมื่อน้องชายเสียชีวิตจึงปิดร้านมาร่วมงานในพระนครเป็นการชั่วคราว และป๊าอำพัน อดีตนักแสดงงิ้ว ปัจจุบันผันตัวมาเป็นลูกมือของพ่อเทียบ
เพราะความไม่คุ้นเคยเขาจึงได้แต่เก็บข้อสงสัยเอาไว้ในใจ ว่าทำไมพ่อกับป๊าถึงเป็นผู้ชายทั้งคู่ รวมไปถึงเหตุผลว่าทำไมถึงมารับเลี้ยงเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนคนได้รางวัลอย่างไรอย่างนั้น
เขาถูกพาตัวมาอยู่ในใจกลางเมืองพิษณุโลกซึ่งไม่ได้มีโคมไฟระย้า หรือรถรามากมายเหมือนในเมืองกรุง ซ้ำยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้และบ้านหลังเล็กหลังน้อยที่ตั้งห่างออกจากกันเพื่อปลูกผักสวนครัวเอาไว้กินกันในบ้าน
แรกเริ่มเดิมทีเขาไม่ใช่คนพูดน้อย ทว่าอาทิตย์แรกที่มาอยู่บ้านเขาทำได้แต่ชะเง้อดูว่าพวกผู้ใหญ่เขาทำอะไรกัน และมองเหล่าลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามานั่งตามโต๊ะที่ถูกจัดเอาไว้ตามคันร่มยักษ์
เด็กชายพูนนอกจากจะได้เห็นยังได้ยินสำเนียงการพูดแปร่งหูที่ต่างไปจากชาวพระนครนิดหน่อย คงเพราะเป็นช่วงที่ยังพูดไม่คล่องจะพูดคำใหม่จึงต้องอิงตามสิ่งที่ได้ยินมา
“พูนจ๊ะ”
“เฮือก!?”
เด็กชายเสื้อโปโลกางเกงขาสั้นสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองปะป๊าที่เดินมาทัก หลังไปล้างไม้ล้างมือมา อำพันย่อตัวมองเด็กน้อยตัวเกร็ง เขาเข้าใจได้ถึงความรู้สึกอันไม่คุ้นเคย
ที่ผ่านมาเขากับพี่เทียบด้วยความตื่นเต้นที่จะมีสมาชิกใหม่เป็นเด็กชายตัวน้อยเข้ามาร่วมชายคาจึงพาหนูพูนไปห้างร้านซื้อของยกใหญ่โดยไม่ทันได้สังเกตว่าเด็กน้อยกำลังกลัวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันแบบนี้
“ป๊าเห็นว่ามีคนย้ายมาอยู่ที่บ้านตรงหัวมุม ป๊าฝากพูนเอาบะหมี่ไปให้ได้ไหมจ๊ะ?”
“ดะ...ได้จ้ะ”
อำพันยิ้มกว้างก่อนจะขอตัวไปบอกพี่เทียบให้ตระเตรียมของใส่ปิ่นโตสำหรับเยี่ยมเพื่อนบ้านคนใหม่ พวกเขาอยู่ที่นี่มานานจึงอยากทำอะไรเป็นของขวัญต้อนรับ และก็เผื่อว่าอาหารจะถูกปากจนบ้านนั้นแวะเวียนมาซื้อ
พูนซึ่งได้รับภารกิจจึงมานั่งรอหน้าบ้าน มีพวกลุงเมาแต่หัววันเดินมาทักทายตามประสา นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ได้ลองคุยกับคนอื่นนอกจากพ่อกับป๊า
“บ้านตรงหัวมุม แถวศาล...”
พูนท่องประโยคในหัว มันไม่ได้ไกลจากระยะสายตามากเพียงแต่เขากลัวว่าตัวเองจะลืมจนหลงทาง
จนในที่สุดเขาก็มาถึง มันเป็นบ้านหลังเก่าที่โครงทำจากไม้และใช้สังกะสีเป็นผนัง หรือจะเรียกว่ากระต๊อบเลยก็ยังได้
“เอ้า! เจ้าหนู มาหาใครล่ะเนี่ย”
“ป๊าให้เอาบะหมี่มาให้จ้ะ”
“ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะ”
คุณป้าคนนั้นเอาปิ่นโตไปเปิดดูก่อนจะแสดงสีหน้าดีใจ เขาบอกที่อยู่ร้านไปเมื่อเจ้าหล่อนถามก่อนจะได้เวลากลับ พูนเดินตัวเปล่าเตะฝุ่นไปเรื่อยก่อนจะเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งวิ่งสวนเข้าไปทางกระต๊อบหลังนั้น คงจะเป็นลูกของคุณป้าคนนั้นกระมัง
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เขาอยู่ด้วยอารมณ์เนือย ๆ มาตลอดสองปีมันไม่ง่ายที่จะเปิดใจทั้งหมด จนเข้าเรียนชั้น ม.๑ นั่นจึงพอทำให้เขาเริ่มมีสังคมมีเพื่อนขึ้นมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะบ้าง และมันก็ทำให้เขาไม่หวาดกลัวเมืองพิษณุโลกอย่างที่เคยเป็น
แต่ด้วยความที่ไม่ใช่คนชอบเที่ยวเล่นเมื่อเรียนเสร็จตอนบ่ายสาม หากไม่มีนัดเตะตะกร้อก็จะตรงกลับบ้านมาช่วยงานร้านบะหมี่ของพ่อทันที ช่วยจดรายการอาหารบ้าง ช่วยล้างจานหลังครัวบ้างแล้วแต่วันไหนลูกค้าเยอะลูกค้าน้อย รวมไปถึงเป็นคนคุ้มกันพ่อเทียบไม่ให้เอาอีโต้สับหัวลูกค้าที่แอบแต๊ะอั๋งป๊าอำพัน เป็นงานที่เหนื่อยพอสมควรเลยเชียว
“พูน พ่อฝากเอาขยะไปทิ้งทีนะ”
“จ้ะ”
หลังปิดร้านในช่วงเย็นประมาณห้าโมงเย็นจะมีขยะสดบางส่วนจากการปรุงอาหาร จึงเป็นเขาที่รับหน้าที่เดินเอามันไปทิ้งลงถังหน้าปากซอย
“อันนี้ ใช่ของพี่รึเปล่าจ๊ะ?”
“หือ?”
พูนวัยสิบสองขวบหันไปมองเด็กชายตัวจิ๋วซึ่งเดินเตาะแตะ ก้มหยิบเหรียญสตางค์ยื่นมาทางเขา เมื่อตรวจสอบดูในกระเป๋ากางเกงตัวโคร่งมันก็หายไปจริง ๆ
“ใช่ ขอบใจนะ”
“พี่ย้ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอจ๊ะ ฉันไม่เคยเห็นเลย?”
อีกฝ่ายเป็นเด็กซึ่งอายุห่างจากเขาประมาณปีสองปีเห็นจะได้ ถ้าจำไม่ผิดคงจะเป็นเด็กจิ๋วที่วิ่งสวนทางเขาไปทางกระต๊อบหลังนั้น
“ฉันย้ายมาเมื่อสองปีที่แล้ว”
“อ๋อ พี่ชายร้านบะหมี่ใช่ไหมจ๊ะ?”
“ใช่”
พูนได้ยินเด็กน้อยถามเจื้อยแจ้วก็ชักจะทำตัวไม่ถูก ปกติเจอแต่เพื่อนที่โรงเรียน และเพราะเป็นม.๑ จึงไม่มีรุ่นน้องให้สนทนาพาที ไหนจะสายตากลมแป๋วที่จ้องมาอย่างแปลก ๆ อีก หรือหน้าเขาจะยังมีเศษผักชีติดอยู่หลังมื้อเย็น
“พี่ชาย เป็นลูกของเจ้าของร้านบะหมี่เหรอจ๊ะ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“แต่คุณน้าเขาเป็นผู้ชาย มีลูกกันไม่ได้นะจ๊ะ”
“ฉันเป็นลูกเลี้ยงน่ะ”
พูนตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะใช่ว่าเขาจะเจอคำถามแบบนี้เป็นครั้งแรก เรียกได้ว่าตั้งแต่เพื่อนทั้งห้องรู้เรื่องครอบครัวก็ตีได้เลยว่าตลอดปีการศึกษาเขาจะสามารถมีเพื่อนได้สักกี่คน ไม่เกี่ยวหรอกว่าตัวเขาจะเป็นมิตรแค่ไหน
การที่มีพ่อเป็นผู้ชายและแม่เป็นกะเทยอย่างที่ใครเขาเรียก มันคงไม่เจริญหูเจริญตาและเป็นที่ขบขันในสายตาคนอื่น แต่เขาพอจะชินแล้ว เพราะก็เห็นอยู่ว่าคนที่ล้อเลียนมันก็มานั่งกินที่ร้านเพื่อมองป๊าอำพันออกจะบ่อย
พูนคิดว่านั่นจะเป็นบทสนทนาเพียงแค่ครั้งเดียว ทว่าหลังจากนั้นทุกวันเขาก็จะเห็นเจ้าเด็กจิ๋ววิ่งต๊อก ๆ ถือห่อขยะมาทิ้งในถังเดียวกันทุกวันพร้อมพูดคุย แม้เขาจะคิดว่าการคุยหน้าถังขยะมันออกจะฉุนจมูกไปสักหน่อย แต่มันก็แค่ครู่เดียว
นับวันความสนิทก็คล้ายจะเพิ่มมากขึ้น จนเขาต้องพากันย้ายมานั่งเล่นกันในบ้านทุกเย็นแทน ซึ่งพ่อกับป๊าก็ยินดีต้อนรับทั้งยังมีฝากกับข้าวให้ไปฝากที่บ้านทุกครั้ง
“จะออกจากโรงเรียนเหรอ?”
“จ้ะ ช่วงนี้แม่เขาบอกไม่ค่อยมีลูกค้า เลยต้องหยุดไปก่อน”
พูนไม่รู้ว่ามารดาของเด็กชายทำอะไรแต่มันคงไม่ได้มั่นคงมากมายนัก ทีแรกเขานึกว่าเมื่อเวลาผ่านไปเราจะได้มาเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกันเมื่อเจ้าน้องขึ้นมัธยมเสียอีก
ด้วยว่าเขามีน้องคนนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเกือบจะทุกเย็น มื้อเที่ยงก็กลับมากินข้าวร้านพ่อ ส่วนค่าขนมเขาจะพยายามเก็บเพื่อหาซื้ออะไรมาเผื่อ
รวมไปถึงก็เป็นเด็กคนนี้ที่ช่วยให้เขามีความกล้ามากขึ้นในการอยู่ร่วมกับครอบครัวที่ถือว่าเป็นสังคมใหม่ กล่าวกันตามตรงแม้ปากจะเรียกพ่อ-ป๊าทุกเช้าเย็นที่มันก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ ๆ คล้ายกับเสี้ยนชิ้นเล็ก แม้ไม่เจ็บมากมายแต่ชวนให้รำคาญใจ การได้สนทนากับน้องถือเป็นตัวต่อชิ้นสำคัญในชีวิตช่วงนั้น
‘ทำไมไม่ลองถามไปตรง ๆ ล่ะจ๊ะ คุณลุงสองคนนั้นเขาใจดีจะตาย’
‘พี่ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง’
‘เรื่องยังไม่เกิดเลยนะจ๊ะ แค่ลองเอง ไม่เสียหายหรอก’
‘พี่ขอบคุณเรามากจริง ๆ ถ้าไม่มี___ พี่คงไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟัง’
ไม่ว่าจะนึกเท่าไรก็ยังนึกไม่ออก ชื่อชื่อนั้น คงจะมีแต่แววตาสดใสราวดอกทานตะวันและความซื่อตรงที่เขาจดจำได้มาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากเรื่องจริงจังแล้วส่วนใหญ่ที่พวกเขาสนทนากันก็มักจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องราวสามัญทั่วไปที่เห็นกันได้ทุกเช้าที่ตื่นมา แต่น่าแปลกที่มันไม่เคยทำให้เขารู้สึกเบื่อขึ้นมาได้เลย
‘เราว่าเป็นตำรวจแล้วเท่เหรอ?’
‘จ้ะ ใส่เครื่องแบบ ตามจับโจรบนหลังม้า เท่จะตายไป พี่ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?’
‘กะ... ก็เท่ดีนะ เราเลยอยากเป็นเหรอ?’
‘ใช่จ้ะ แล้วพี่อยากทำอะไรเหรอจ๊ะ?’
‘เป็นนักล้างจานล่ะมั้ง’
พูนกล่าวตามความเป็นจริง เขายังไม่มีความฝันอยากจะทำอะไรหรอก เพราะจะอาชีพไหน ๆ มันก็คล้ายคลึงและดูเหน็ดเหนื่อยมันไปเสียหมด ก็จะมีแต่ล้างจานร้านบะหมี่นี่แหละที่แม้จะปวดตูดตอนนั่งสักหน่อย แต่พอลากพัดลมมาเป่าคลายร้อนก็สบายแล้ว
แต่ตำรวจ...ลองพยายามดูสักหน่อยก็ไม่เลว
พออยู่กับเจ้าน้องนานวันเข้า เขารู้สึกว่าจะได้นิสัยตรงแหน็วไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดติดมาด้วยเลยเชียว มารู้ตัวอีกทีเขาก็สามารถเรียกพ่อทั้งสองว่าเป็นครอบครัวได้อย่างเต็มปาก กล้ามองโลกในแง่บวกมากขึ้นจนถึงกับหันไปสงสัยตัวเองที่เคยระแวงไปเสียทุกสิ่ง
“แล้วเรามาบ้านพี่ทุกวัน พ่อกับแม่จะไม่ว่าเอาเหรอ?”
“ไม่ว่าหรอกจ้ะ เพราะมาทีไรได้ของฝากกลับไปตลอดเลย”
“ฮ่า ๆ งั้นเหรอ”
พูนหัวเราะในคำตอบอันใสซื่อของเด็กชาย อีกฝ่ายก็พูดมากมายไป ที่พ่อกับป๊าเขาให้ก็เป็นเพียงบะหมี่ส่วนหนึ่งที่เหลือจากการขายเท่านั้นเอง ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย แต่บ้านเจ้าตัวก็ยังจะฝากมาขอบคุณอยู่เป็นนิจ
พูนใช้ชีวิตแบบนี้มาเรื่อย ๆ มีแวะเอาของไปฝากที่กระต๊อบสังกะสีบ้างเป็นบางครั้งบางคราวจนได้เจอเหล่าน้องคนเล็กของเจ้าตัว ได้เล่นด้วยกันจนเรียกได้ว่ามันกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว
“วันนี้น้องเขาก็ไม่มาเหรอจ๊ะ?”
“จ้ะป๊า ฉันไปดูที่บ้านแล้ว แต่เงียบกริบเลย”
เข้าสัปดาห์ที่สองที่เจ้าน้องไม่มาเล่นด้วย ไปที่กระต๊อบก็ไร้วี่แวว เขาอุตส่าห์เตรียมซื้อขนมมารอทุกวัน แต่สุดท้ายก็ต้องเก็บกินเอง และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่ต้องทำเช่นนั้น
“พ่อลองไปถามกำนันมา เห็นว่าย้ายออกไปแล้วนะ”
“จริงเหรอ...”
พูนตกใจเล็กน้อยแต่ที่ยิ่งกว่าคือความว่างเปล่าที่ปรากฏขึ้น ต่อให้จะเคยเสียคนที่รักไปแล้วแต่มันก็ไม่สามารถทำใจยอมรับได้เร็วเลย ถึงมีเพื่อนที่โรงเรียนคอยพูดคุยเล่นกีฬาสนุกสนานแต่คล้ายว่ามันขาดอะไรไปบางอย่าง ตอนนอนเขาจึงได้แต่ครุ่นคิดนอนพลิกตัวไปมาหลายคืนจนป๊าอำพันเป็นห่วงขึ้นมา
“พูนลูก อยากเจอน้องเขามากเลยเหรอจ๊ะ?”
“จ้ะ”
“เหมือนพ่อสมัยหนุ่ม ๆ เลยนะ ตอนอำพันบอกจะย้ายคณะ”
“พี่! ลูกชายเขาเครียดอยู่ พูดจาเดี๋ยวเถอะ”
“ฮ่า ๆ จะเครียดไปทำไม เดี๋ยวสักวันถ้าเป็นเนื้อคู่ก็ต้องได้เจออยู่ดี เหมือนพ่อกับป๊าไง”
คงเพราะมีพ่อเทียบซึ่งพื้นฐานเป็นคนอารมณ์ดี เขาจึงไม่ได้มองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับโลกแตก กลับกันยังอยากเชื่อคำว่า ‘เนื้อคู่’ ที่พ่อพูดขึ้นมาทั้งที่ไม่เชื่อในเรื่องโชคชะตามาก่อนเสียด้วยซ้ำ
“ลูกบอกว่าน้องชอบอะไรที่มันเท่ใช่ไหมล่ะ ลองทำแบบนั้นดูสิ”
“อืม...”
“อย่าไปเชื่อพ่อเขามากนะจ๊ะพูน เราทำเพราะตัวเองอยากทำก็พอแล้ว ส่วนเรื่องน้องเขาก็ปล่อยใจสบาย ๆ นะจ๊ะ”
“จ้ะ!”
ถึงจะเป็นฤดูหนาวที่ภายนอกเย็นเฉียบ หรือที่ผ่านมาเขาจะเจอเรื่องราวมากมายแต่เพราะมีไออุ่นจากพ่อทั้งสองคนเขาจึงรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมากพอที่จะมองทุกปัญหาเป็นความท้าทายมากกว่าอุปสรรค แม้มันจะเป็นส่วนเล็ก ๆ ใต้จิตสำนึก แต่เขาก็หวังว่าสักวันเราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
“พ่อ ฉันวางจานเอาไว้ตรงนี้นะจ๊ะ”พูนในวัยสิบห้าย่างสิบหกหยิบยกตะแกรงซึ่งเต็มไปด้วยจานที่ล้างเสร็จหมาด ๆ มาวางไว้บนโต๊ะหินหน้าบ้าน จนถึงตอนนี้ผ่านมาหลักปีเขาก็ยังนึกถึงน้องชายคนนั้นอยู่ตลอด ด้วยว่ายกให้เป็นเพื่อนสนิทคนแรกหลังต้องย้ายมาจากพระนครเด็กหนุ่มยืนจัดเรียงจานให้เข้าที่ แม้เป็นเวลาเพียงสามปีส่วนสูงกลับเพิ่มขึ้นจนจะเท่าคนเป็นพ่ออยู่แล้วเชียว กิจการช่วงนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเช่นเคย รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องคอยปรามพ่อไม่ให้เอาเขียงทุบหัวลูกค้า“เฮ้อ...”พูนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย หากน้องเจ้ายังอยู่ละก็เขาคงมีที่ระบายเพิ่มขึ้น เพราะตั้งแต่วางแผนว่าจะสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ชีวิตเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะเมืองพิษณุโลกไม่มีโรงเรียนตำรวจ มีเพียงสถานีไม้เล็ก ๆ ให้ชาวบ้านไปไกล่เกลี่ยกับตำรวจไม่กี่นาย หากจะเรียนก็ต้องเตรียมตัวสอบข้อเขียนประกอบกับวัดสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะหนักแค่ไหน หรือเขาต้องรู้อะไรก่อนไปสอบบ้าง“ป๊าจ๊ะ ฉันออกไปวิ่งก่อนนะจ๊ะ”“ช่วงนี้มืดเร็ว กลับมาก่อนค่ำนะจ๊ะ”“จ้า”
“ก็บอกว่าผมไม่ใช่คนที่คุณพูดถึงไงครับ”“ไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรหรอก~” ท่ามกลางแสงรำไรจากโคมไฟสีนวลเหนือโต๊ะสูงมีลูกค้าท่านหนึ่งซึ่งเหมือนจะพึ่งเข้ามาร้านนี้เป็นครั้งแรกกำลังนั่งเมามายไม่ได้สติ เอาหน้าไถไปกับโต๊ะไม้คล้ายจะหลอมรวมเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวกันผู้จัดการร้านควบตำแหน่งมือชงซึ่งเช็ดแก้วอยู่ฝั่งตรงข้ามมองพ่อหนุ่มเสียงเหน่ออย่างละเหี่ยใจ ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นไปมองเจ้าแผนซึ่งกำลังวกกลับมาเติมเครื่องดื่มให้ลูกค้า“อย่าลามปามครับ กินของคุณไปเลย”“พูดอย่างนี้พี่น้อยใจนะ~”พูนซึ่งขอสถานที่ดื่มมาจากพ่อเทียบว่าจะมาเดินเล่นเอาสนุกจนมาลงเอยที่ร้านนี้ ไม่น่าเชื่อว่าดื่มไปแค่ไม่กี่แก้วมันจะทำให้เขาที่มั่นใจในลำคอตัวเองเมามายได้ถึงขนาดนี้ภาพตรงหน้าคล้ายจะพร่ามัว ถึงไม่อาจมองอะไรชัดเจนแต่ทุกอย่างเหมือนจะสวยขึ้นผิดหูผิดตา กลิ่นหอมฟุ้งกำจายมากยิ่งกว่าเก่า พอมีเสียงเพลงเอื่อย ๆ จากแผ่นเสียงเข้ามาประกอบยิ่งชวนให้เขาเคลิบเคลิ้มไปกับรสสุรานายตำรวจในชุดไปรเวทเหมือนเมื่อเช้
“ฮะ! ฉันเหรอ!?”พูนซึ่งนั่งฟังวาระการประชุมแผนจับโจรอยู่ถึงกับลั่นขึ้นมาด้วยสำเนียงเสียงเหน่อ พร้อมกวาดสายตามองไปยังเหล่าเพื่อนร่วมงานชาวพระนครที่ต่างเห็นพ้องต้องกันให้เขาที่เป็นน้องใหม่เป็นคนแฝงตัวเข้าไปหนึ่งในชุมโจรเจ้าของคดีที่สน.เขาได้รับมาทำต่อย้อนกลับไปอีกสักนิดก่อนจะเกิดมตินี้ขึ้น สน.พระนครแห่งนี้ขึ้นชื่อว่ารวมตัวคนมีฝีมือโดยเฉพาะท่านผู้กำกับการ พันตำรวจเอกไกรวิชญ์ ก้องภัชรกุลซึ่งตอนนี้ถือเป็นเพื่อนซี้หนึ่งเดียวของไอ้พูน ที่ทำคุณูปการเอาไว้มากมายเกินกว่าตำรวจบ้านนอกอย่างเขาจะทราบได้ทั้งหมด จึงไม่แปลกเลยที่สน.นี้จะได้แต่งานยาก ๆ มาทำรวมถึงงานนี้ที่ต้องจับสามโจรพันธุ์เสือที่ล่อจะขโมยของชาวบ้านลูกเดียว!ซึ่งวิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือการส่งคนแฝงตัวเข้าไปในกองโจรสักกลุ่มเพื่อไล่ตามเบาะแสความเชื่อมโยงกันกับกลุ่มที่เหลือจะได้รวบรัดจับกุมในทีเดียว แต่ด้วยความที่ทุกคนในสน.ต่างถูกเห็นหน้ากันมาหมดแล้ว ส่วนไอ้ไกรนี่ไม่ต้องพูดถึง ก็จะมีแต่ตำรวจบ้านนอกคอกนาอย่างเขาที่เหมาะสม‘ไกร...ฉันไม่ทำได้ไหม’พูนกระเถิบเข้าไปกระซิบกระซาบข้างหูหัว
“เพียง ไปอ่านที่สถานีพี่ก็ได้ พี่ด้วงเขาอยู่วันนี้”“นั่นมันที่ทำงานพี่นี่จ๊ะ แล้วสถานีมันไม่ได้เงียบอยู่ตลอดด้วย”เด็กสาวกล่าวเสียงเนิบ นอกจากที่สถานีรถไฟจะมีผู้คนพลุกพล่านแล้ว จะให้ไปรบกวนพื้นที่ห้องประชาสัมพันธ์ที่มีอยู่ไม่กี่ตารางเมตรแล้วเธอขอไปนั่งอ่านตรงลานกว้างดีกว่า ถึงจะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือได้ยินเสียงคนทะเลาะ เสียงเด็กวิ่งพล่านมาบ้างแต่ก็ถือว่าดีกว่าอยู่ในบ้านที่ไม่รู้ว่าบิดาจะตื่นมาอาละวาดเมื่อไหร่“แล้วเราไม่ร้อนเหรอ?”“ช่วงนี้หน้าฝนนี่จ๊ะ ฉันไม่เป็นไรหรอก”“พี่ว่าจะเก็บเงินเช่าห้องให้เราไปอยู่”“มันแพงนะจ๊ะ แล้วครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะสอบติดรึเปล่าอีก”แผนได้ฟังสิ่งที่น้องสาวพูดก็ปวดใจ เพียงเรียนจนจบม.๖ ไม่คิดจะต่อม.๗ เพราะเห็นว่าอายุถึงเกณฑ์การรับสมัครสอบพยาบาล ทว่าการสอบครั้งแรกที่ผ่านมาของน้องสาวนั้นไม่ประสบผลสำเร็จแม้จะตั้งใจอ่านหนังสือจนกระดาษเปื่อยยุ่ยก็ตามที“ถ้าอย่างนั้นพี่จะพยายามหาครูมาสอนตัวต่อตัว”“นั่นแพงกว่าอีกนะจ๊ะ”“มันคุ้มค่าหรอก”วันนี้เป็นเช้าวันพุธซึ่งเขามีนัด
‘ถ้าเฮียไว้หนวด เฮียกลัวว่าจะไม่หล่อในสายตาเราน่ะสิ’แผนหน้าขึ้นสี ไม่รู้มาจากความขวยเขินหรือความกริ้วโกรธที่พี่ตำรวจแกใช้เวลาคิดเป็นนาทีเพื่อให้ได้ประโยคหยอกเย้ามาประโยคเดียว!ลืมไปแล้วหรือไรว่าพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อนำเสื้อพวกนี้ไปเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของตัวเฮียเอง แต่ดูจากหน้าระรื่นนั่นแล้วงานคงจะไม่อยู่ในหัวเลยสินะ!นายสถานีเห็นพี่ตำรวจไม่พูดอะไรต่อเสียทีก็นึกสงสัยจึงถอยมาสบตา คล้ายว่าอีกฝ่ายอยากให้เขาพูดอะไรต่อ แล้วอย่างเฮียพูนมันจะเป็นอะไรไปได้นอกจากคำชมล่ะ“เฮ้อ...เอาเถอะ เฮียจะแต่งตัวแบบไหนมันก็-อึก!”จู่ ๆ หน้าแก้มบริเวณที่ช้ำก็ปวดขึ้นมาอย่างกะทันหันส่งให้เนื้อเสียงขาดห้วง แผนยกมือขึ้นกุมแผลอย่างเป็นไปเองโดยลืมไปว่าคนตรงหน้ากำลังจ้องอยู่“เฮีย...ลองใส่เสื้อเก่า ๆ น่าจะดูเหมือนมากขึ้นนะ ลองเลือกจากที่ผมยื่นให้ก็แล้วกัน”“เฮียเอาตัวนี้แหละครับ ถ้าเรามีตัวไหนอยากได้หรือเอาไปให้น้องสาวก็เลือกได้เลยนะ”“อือ...”เพราะไม่รู้จะหนีออกไปจากสถานการณ์อันกระอักกระอ่วนนี้อย่างไรเขาจึงเลือกผละออกมาดูในส่วนเสื้อผ้าผ
นายตำรวจพูนจำต้องจากลาน้องนายสถานีมาเพื่อทำภารกิจปลอมตัว ช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยว่าต้องตระเตรียมแผนการการแสดงให้พร้อมสำหรับลงมือปฏิบัติจริงเขาจึงไม่มีโอกาสแวะมาหาน้องแผนในตอนเช้า (ถึงจะมีแวะมาอ้อล้อตอนพักบ้างก็ตามที) ยิ่งเป็นวันลงมืออย่างวันนี้เขาจึงไม่มีโอกาสพายเรือไปส่งน้องแผนเลยนอกจากพูนจะไม่ได้กลับบ้านกลับช่องไปนอนแล้ว ในขั้นตอนการเดินทางไปบ้านเศรษฐีเป้าหมายถัดไปของพวกโจรร้ายยังต้องมานั่งเมามายกับยานยนต์สี่ล้อ หนุ่มบ้านนอกที่คุ้นชินกับการขี่ม้าขึ้นลงภูเขาได้แต่มองเจ้าไกรเพื่อนซี้มันนั่งกอดอกหน้านิ่งมองท้องฟ้าบรรยากาศยามราตรี คุณพี่ก็เท่เกิ๊น! ในขณะที่เขานั้นเมามายตาลายกับกลิ่นหนัง กลิ่นน้ำมันและแรงเหวี่ยงของรถจนอยากจะเอนตัวนอนไหลไปกับเบาะยิ่งช่วงนี้ไอ้ไกรมันชอบนั่งเหม่อไม่รู้คิดอะไรของมัน จากที่สงบคำพูดอยู่แล้วก็แทบจะกลายเป็นใบ้ไปเลยเมื่อนั่งโต๊ะทำงาน“เอ็งเป็นอะไร เห็นนั่งท่าแปลก ๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?”“เมารถ”“หือ?”ไม่ต้องมาหงมาหือเลยไอ้หนุ่มพระนคร! ฉันสิแปลกใจมากกว่าที่เอ็งทนกลิ่นเหม็นพวกนี้ได้ โอย...พอถึงหน้างานเขาจ
ผ่านมาจวนจะครบสี่สัปดาห์ซึ่งเข้าใกล้กำหนดการที่เขาต้องส่งเรื่องลงไปให้สน. พูนซึ่งทีแรกไม่คิดจะไว้หนวดแต่พอขี้เกียจเข้าหน่อยก็ปล่อยหน้าปล่อยตา ไหนเขาจะลืมซื้อมีดโกนติดมือมาด้วยอีกพ่อโจรกำมะลอนั่งแกว่งขาบนแคร่ไผ่ใต้หลังคามุงจาก มองฟ้าฝนที่คล้ายจะตกถี่ขึ้นทุกวี่ทุกวัน ไม่รู้ป่านนี้ใจกลางพระนครน้ำจะลดแล้วหรือยัง ที่เขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองมันก็เพราะฝนตกหนักจนลุงขามแกลงไปปล้นไม่สะดวก จากแผนปล้นกลายเป็นการนัดรวมตัวหารือในหมู่เสือด้วยกันเอง ซึ่งเข้าทางเขาเห็น ๆ แค่นี้ก็จะได้กลับไปนอนบ้านเร็วขึ้นแล้วอยู่มาหลายสัปดาห์ในหมู่บ้านนี้ไม่ได้ข้อมูลสิแปลก ที่เห็นว่าตั้งแง่กับเด็กใหม่นั่นมันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่หน่อยคนที่นี่ก็คล้อยตามใจเหลวใจอ่อนเล่าเรื่องราวความเป็นมาให้เขาฟังหมดเปลือกแล้ว ไอ้ไกรมันคงวางแผนไว้ว่าภารกิจนี้ง่ายพอจะส่งตำรวจแฝงตัวมาคนเดียว แต่ถ้าไม่เป็นเขาจะดีกว่านี้ ฮือ...“พี่พูนจ๊ะ ฝรั่งจ้ะ ฉันฝานมาให้”เจ้าของชื่อหลุดออกจากภวังค์เมื่อเสียงหวานใสเอ่ยเรียกชื่อ หญิงสาวในเสื้อแขนกุดนุ่งผ้าถ
แผนเดินขนาบข้างทนายร่างสูงในชุดสูทภูมิฐานท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนในย่านกินดื่ม เขายังได้ยินเสียงพูดคุยสังสรรค์แว่วมาจากร้านอื่นโดยรอบ รวมถึงการได้เห็นแสงสีที่พ้นออกมาจากบานประตูกว้าง บางทีเขาก็เคยคิดว่าตัวเองสมควรผ่อนปรนการทำงานลงมาได้แล้วหรือยัง ทว่าเขากลัวเหลือเกินหากสักวันเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันให้เงินที่สั่งสมมาหายไปในพริบตาต่อให้ต้องเตรียมใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะสามารถก้าวขาออกมาทำงานกลางคืนที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเต็มใจหรือไม่ เขาก็ต้องทำ แต่หากเลือกได้ตอนนี้เขาอยากจะนอนอยู่เฉย ๆ อยากพักผ่อนอยู่บ้านไม่ใช่มาเดินตามคนอื่นต้อย ๆ เพื่อไปขึ้นเตียง“เธอดูคิดมากนะ”คุณทนายถามไถ่คนตัวเล็กข้าง ๆ หลังชำระเงินค่าห้อง ตลอดทางตั้งแต่ร้านเหล้ามาจนถึงโรงแรมเขาเห็นเจ้าตัวเหม่อลอย ไม่ก็หน้ามุ่ยคิดอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว“ผมก็เป็นแบบนี้แหละ”“ที่ไม่ยอมติดริบบิ้นเป็นเพราะเรื่องที่คิดอยู่รึเปล่า?”แผนเลือกที่จะไม่ตอบ พอได้ห้องนอนก็เดินสะบัดก้นไปวางกระเป๋า เข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวให้พร้อม นายสถานีถอนหายใจหนัก พลางบอกตัวเองว่าจะมัวแต่ใคร่ครวญเรื
นับเป็นโชคดีของพูนที่เย็นวันนั้นป๊าเข้ามาในห้องทันก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายทั้งยังช่วยไกล่เกลี่ยอธิบายให้สองพี่น้องเข้าใจกัน ในสายตาเขาน้องเพียงก็แค่ไปกินข้าวตามที่เพื่อนชวนเท่านั้นทั้งทุกอย่างยังอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ไม่คิดเลยว่าน้องแผนจะหวงน้องเพียงมากขนาดนี้ส่วนเรื่องตั๋วเข้าพักสถานตากอากาศที่พวกเขาได้รับมานั้นจะต้องไปในวันพฤหัสบดีอาทิตย์หน้าเท่านั้น พูนจึงใช้สิทธิ์ลาพักผ่อนต่ออีกหนึ่งสัปดาห์เพื่อเดินทางขึ้นรถไฟมายังจังหวัดชะอำ แต่ตัวเขาที่ขึ้นรถไฟมาตอนเช้าโดยไร้ซึ่งยาดมนั้นก็ได้แต่นั่งคุดคู้เอนพิงเบาะอยู่ ขนาดเป็นตู้ชั้น ๑ ที่สบายกว่าคนอื่นโขแผนในขณะที่จัดแจงกระเป๋าภาระก็นึกเห็นใจเจ้าพี่ที่ยังอุตส่าห์ตามมาทั้งที่ต้องใช้เวลาอยู่บนตู้กว่า ๔ ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ เขาอยากจะจองรถไฟรอบกลางคืนอยู่หรอก พี่เจ้าจะได้นอนหลับไม่ต้องมานั่งพะอืดพะอมอยู่แบบนี้ หรือเขาควรจะเรียกเพื่อนนายสถานีมาดึงเตียงให้ดีตู้รถไฟนั้นมีด้วยกันทั้งหมด ๓ ชั้นเรียงลำดับขึ้นไปตามความสะดวกและสายและความหรูหราเท่าที่กรมรถไฟในสภาวะสงครามจะสามารถมอบให้แก่ผู้โดยสารได้โดย
“พี่...ขอโทษจริง ๆ ครับ”“ไม่ให้อภัย”แผนกล่าวขึ้นด้วยเสียงสะลึมสะลือเหล่มองพี่ตำรวจในชุดไปรเวทเดินถือถาดอาหารเช้าเข้ามาในห้องหลังเห็นว่าเขาตื่น เมื่อคืนหลังจากจบบนเตียงลงไปเข้าห้องน้ำรอบที่สี่ก็ได้เริ่มขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แล้วเขาก็ดันบ้าจี้ยอมพี่ไปหมดเสียทุกอย่างจนร่างกายสลบเหมือดทันทีเมื่อเอาหัวลงหมอนดีนะที่วันนี้เป็นวันหยุดของเขาพอดีไม่เช่นนั้นเขาได้โดนหักเงินเดือนเพราะไปทำงานสายแน่ ๆ เพราะแค่ตื่นก็ปาไปจะสิบโมงแล้ว“แต่ถ้ามาทาให้จะยกโทษให้ก็ได้”“จริงเหรอ!?”พี่พูนกล่าวด้วยความดีใจรีบจัดแจงวางมื้อเช้าของน้องแผนไว้ยังโต๊ะข้างเตียง รีบหาหยูกยามาตระเตรียมไว้ นึกภาพไม่ออกเลยว่าหากเขาตื่นขึ้นมาตอนตีสี่ตีห้าที่ทุกคนอยู่กันเต็มบ้านและลงไปอาบน้ำในสภาพนี้จะเป็นเช่นไรแค่บนเตียงก็ทำเขาแทบทรุดไปต่อในห้องน้ำยิ่งไปกันใหญ่ เป็นคนบ้าพลังอะไรขนาดนี้ ทำเอานึกถึงไอ้ความดุดันที่เจ้าแตงเคยพูดเลยเชียว หากจะแม่นขนาดนี้ดูท่าเด็กคนนั้นน่าจะไปเป็นหมอดูได้นะนี่“จะไปอาบน้ำเหรอครับ ให้พี่ช่วยอุ้ม-“ไม่ให้อุ้มแล้ว!”“
“เพียงวันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง?”“พี่วิภาให้ลองทำข้อสอบชุดเก่าอย่างเดียวแล้วจ้ะ”ยามกลางคืนเป็นเพียงเวลาเดียวที่พี่ชายอย่างเขาจะได้สนทนาถามไถ่น้องสาวอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ยิ่งเพียงโตเป็นสาวเรื่องที่ชายหญิงจะคุยได้ก็น้อยลง ไหนสาวเจ้ายังสุขุมขึ้นเป็นเท่าตัวจากแต่เดิมมีอะไรไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยมักจะเอามาเล่าสู่กันฟังเสมอ“แล้วครูเขาเอาข้อสอบมาจากไหนเหรอ?”“เห็นว่าขออาจารย์เก่ามาน่ะจ้ะ”“ของ่ายกันขนาดนั้นเลยเหรอ”“เห็นว่าสมัยก่อนพี่วิภาสนิทกับอาจารย์น่ะจ้ะ”แผนนั่งช่วยน้องพับผ้าไปก็คิดตาม พี่วิภาแกเองก็สดใสร่าเริงเป็นทุนเดิม การเข้าหาอาจารย์ที่ตนเองเคยเป็นศิษย์เก่าแล้วนั้นคงไม่เป็นการยากอะไรส่วนเรื่องในบ้านดูเหมือนเพียงจะชอบที่เขาย้ายตัวออกไปนอนห้องพี่พูน ไม่ใช่แค่ชอบที่ได้มีห้องนอนส่วนตัว แต่สาวเจ้าบอกว่าชอบเวลาเห็นพี่ชายสองคนเดินออกมาจากห้องด้วยกัน สมแล้วที่เคยอวยให้เขารีบคบหา รีบย้ายบ้านมาไว ๆ“ฉันไปนอนก่อนนะจ๊ะ”“อื้อ เดี๋ยวตรงนี้พี่เอาไปเก็บเองนะ”“จ้ะ ฝันดีล่วงหน้านะจ๊ะ”หากเป็นที่บ้
‘จันทร์หน้าพี่ต้องออกต่างจังหวัดลงพื้นที่นะครับ กลับน่าจะอีกเดือนสองเดือนเลย’‘อื้อ ไปทำงานสู้ ๆ นะ’เขากล่าวให้กำลังใจออกไปเช่นนั้นในกลางคืนขณะพวกเขากำลังจะเข้านอน จู่ ๆ พี่พูนมาบอกกันแบบนี้ทำเอาเขาใจหายจนเก็บอาการแทบไม่อยู่เหมือนกัน นึกว่าของพวกนี้ทางการต้องแจ้งให้เตรียมตัวเป็นเดือนเสียอีก แต่เรื่องขโมยขโจรแบบนี้เป็นที่รู้กันดีว่าต้องรีบสะสางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แผนเดินกลับเข้าห้องนอนมาด้วยความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวพิกล สงสัยคงเป็นเพราะเวลาสามย่างสี่ทุ่มแบบนี้จะมีพี่พูนเดินไปเดินมาไม่ก็จัดแจงเตียงนอนอยู่ ว่าแล้วนายสถานีในชุดนอนท่อนบนยาวจรดต้นขาก็เดินละจากตู้เสื้อผ้ามาตรวจทานสัมภาระสำหรับการทำงานในวันรุ่งก่อนจะดับตะเกียงหัวเตียงเตรียมตัวนอนในตอนที่พูดให้กำลังใจพี่พูน ใจจริงเขาไม่อยากให้พี่เจ้าไปที่ไหนไกลหรือนานหลักเดือนเลยเสียด้วยซ้ำ อยากให้พี่ยังคงอยู่ในสายตาตลอดเพราะตอนนี้แค่ได้มองเห็นก็ชวนให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาแล้ว แต่เขารู้ดีว่านั่นคือความเห็นแก่ตัว ตำรวจถือเป็นของหลวงจำต้องทำหน้าที่ปกป้องช่วยเหลือประชาชนโดยในบางครั้งอาจต้องแลกมา
เย็นวันนี้มีเรื่องเกิดขึ้น ไม่ใช่กับตัวเขา ไม่ใช่กับเพียง และไม่ใช่กับครอบครัวพี่พูน แต่เป็นไอ้ด้วงที่ดันโชคร้ายเดินไปเจอนักโทษหลบหนีเข้าจนต้องเข้าโรงพยาบาลมาในสภาพสะบักสะบอมไม่ได้สติ ดังนั้นตัวเขาจึงขอพี่ว่าจะไปรอดูอาการไอ้ด้วงในโรงพยาบาลก่อน แต่คนอย่างพี่พูนย่อมเดินตามหลังมาด้วยอยู่แล้วที่นี่เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ไกรวิชญ์พี่ชายไอ้ด้วงวิ่งหอบร่างพามา ต่อให้เขาจะเคยมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนแต่คราวนั้นเขาหาได้สังเกตอะไรมากมาย มาคราวนี้ระหว่างรอดูอาการเพื่อนสนิทเขาก็ได้รับการบริการให้ข้อมูลจากพยาบาลเป็นอย่างดี จนได้มานั่งรอข้างกับพี่ชายไอ้ด้วงที่เลือดเปื้อนเสื้อเปื้อนตัวเต็มไปหมดทั้งยังตัวเปียกปอนเพราะวิ่งตากฝนมา ไม่อยากนึกเลยว่าก่อนหน้าที่ไอ้ด้วงจะมาที่นี่มันเกิดอะไรขึ้น แผนนั่งรอไปเรื่อย ๆ จนเกือบชั่วโมงแต่คุณหมอก็ไม่มีท่าทีจะออกมาพร้อมคำตอบ ยิ่งทำคนเป็นเพื่อนอย่างเขารู้สึกใจไม่ดีเข้าไปใหญ่‘แผนครับ วันนี้เรากลับกันก่อนดีกว่าไหม’พูนซึ่งเห็นน้องนายสถานีแววตาสั่นไหวอยู่ไม่เป็นสุขก็เข้าใจหัวอกคนเป็นเพื่อน แต่นี่มันดึกแล้วรวมไปถึงตัวของน้องด้ว
หากมีครั้งแรกแล้วย่อมมีครั้งที่สองตามมาก่อนมันจะลามไปยังครั้งที่สามสี่ห้าและกลายเป็นกิจวัตรในที่สุด การหลับนอนในห้องของพี่พูนก็เช่นกัน โดยครั้งที่สองเขาหลงเชื่อว่าพี่ตำรวจกลับมาไข้ขึ้นตัวร้อนจึงพลอยได้นอนด้วยกัน ก่อนที่ครั้งที่สามพี่พูนจะมากล่าวขอโทษที่หลอกกันก่อนจะขอเขานอนด้วยอีกคืนตรง ๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าพี่พูนจะขอทุกคืน และเขาเองก็โอนอ่อนตามในทุกค่ำคืนเช่นกันทว่าเมื่อคืนนั้นทำเอาเขาอยากจะขนย้ายเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายกลับไปกบดานอยู่ห้องน้องสาวเมื่อจู่ ๆ พี่เจ้าก็ดันละเมอเรื่องลามก กอดเขาอยู่ดี ๆ ดันล้วงมือจับนู่นจับนี่ไปทั่วจนเสื้อเอยอะไรเอยหลุดลุ่ยจนคล้ายเรื่องราวอย่างว่าเข้าไปทุกที คราวจะแกะออกก็ไม่ได้เพราะก็รู้กันอยู่ว่าผู้ชายคนนี้แรงเยอะขนาดไหน ในท้ายที่สุดเขาก็ต้องตะโกนปลุกพี่ขึ้นมาดูผลงานตัวเองที่ทำเขาเกือบนอนไม่หลับต่อให้จะไม่มีปากเสียงแต่เขาก็ไม่พอใจอยู่ดี แถมตื่นมายังบอกอีกว่า ‘ขอโทษครับ พี่ฝันดีไปหน่อย’ เขารู้ว่ายังไม่หายเมาดีจากที่ดื่มมากกับเพื่อนจะมีคิดเรื่องพิเรนทร์และบอกกล่าวมาอย่างเถรตรงบ้างนั้นไม่แปลก แต่เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าไ
ยามราตรีคืนนี้ยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากสถานบันเทิงและร้านอาหารเครื่องดื่มรอบข้าง ทว่าเพียงแค่แผนเดินถัดมาอีกซอยเสียงพูดคุยครึกครื้นต่างกลายเป็นความสงบเงียบคลอไปกับสายลมเย็นซึ่งพัดพาเหล่าใบไม้แห้งผ่านร่างไปนายสถานีในบทบาทผู้จัดการร้านสุราเปิดกระเป๋าขึ้นตรวจสอบเงินในซองอย่างอารมณ์ดี ในช่วงรอยต่อระหว่างหน้าที่บริกรกับผู้จัดการร้านแม้จะเหนื่อยกายยกเครื่องแก้วหนัก เหนื่อยใจกับความครัดเคร่งละเอียดถี่ถ้วนกับตัวเลขบนหน้ากระดาษทว่าผลที่ได้รับกลับสมน้ำสมเนื้อเมื่อลุงเจ้าของร้านเริ่มให้ความไว้วางใจหลังจากการตรวจบัญชีประเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดแล้ว ดังนั้นเขาต้องการใช้วันว่างอย่างเต็มที่โดยไม่ให้งานใด ๆ เข้ามาแทรก ยิ่งมีแรงใจจากการมองเงินก้อนวันนี้แล้วยิ่งชื่นใจดังนั้นสมุดบัญชีใหม่ที่ได้มา ทำให้เสร็จภายในคืนนี้เลยเสียดีกว่า ผู้จัดการบอกเขาด้วยว่าหากทำได้ดีต่อไปแบบนี้จะแบ่งสัดส่วนกำไรให้ ถึงไม่ได้มากมาย แต่เมื่อนำมารวมกันตลอดทั้งเดือนมันก็ใกล้แตะเลขเงินเดือนนายสถานีซึ่งเขาพอใจแล้ว*แกร๊ก* เดินคิดเรื่องราวผาสุกที่เกิดขึ้นไป ๆ มา ๆ ก็เดินถึงบ้านเส
แผนเมื่อตั้งสติเสร็จจึงตัดสินใจเดินเข้าสถานี ในวันนี้สติเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแต่เช้าเลย มีหวังถ้ามัวแต่คิดเรื่องพี่พูนคงไม่เป็นอันทำงานกันพอดีเนื่องจากหลายวันมานี้เขารับจ้างกับคุณปู่นายสถานีที่ต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาล ถึงจะเป็นไม่กี่นาทีแต่เขาสามารถมาสายได้นิดหน่อยเข้าไปในห้องประชาสัมพันธ์ก็เห็นพี่ ๆ นั่งพูดคุยบ้างก็ทำหน้าที่ขายตั๋วในช่องตัวเอง เห็นว่าตำรวจมากันแล้วสงสัยจะไปนั่งประจำอยู่จุดอื่นกระมัง“สวัสดีตอนเช้าครับพี่”น้องเล็กกล่าวทักทายพี่ ๆ ด้วยความสดใส ทำตัวให้ดูมีชีวิตชีวาเข้าไว้ทักคนอื่น ๆ คุยไปคุยมาเดี๋ยวเรื่องพี่พูนก็ออกไปจากหัวเองนั่นแหละ“จ้ะ สวัสดีจ้ะ สามีพี่ซื้อข้าวหลามมาฝากเราเอาไปกินสิ”“ขอบคุณคร้าบ”แผนกล่าวอย่างมั่นใจก่อนจัดแจงวางของ ปลดผ้าพันคอเสื้อกันหนาวพาดไว้กับเบาะเสร็จสรรพก่อนจะหย่อนก้นลงมานั่งข้างเพื่อนด้วงที่วันนี้ก็ยังมีบรรยากาศอึมครึมรายล้อมอยู่เหมือนเดิม เอื้อมมือหยิบกระบอกไม้ไผ่สั้นในกล่องใจกลางโต๊ะมามอง ๆ ก่อนจะเอ่ยถามเพื่อนคนสนิทไม่ให้เฉาจนเกินไป“ด้วง เอ็งได้กินไปรึยัง อร่
“ไหนบอกจะไม่ตามผม”“นี่เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ฉันแค่มาหาที่สูบบุหรี่”รัญชน์ว่าแล้วก็แสดงกล่องพกบุหรี่ไฟแช็กก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋า เพราะไหน ๆ นี่ก็เป็นเรื่องบังเอิญแล้วใช้มันให้พอเป็นประโยชน์สักหน่อยก็แล้วกัน“กำลังจะกลับบ้านใช่ไหม เดี๋ยวฉันไปส่ง”“ไม่เป็นไรครับ”“เธอก็รู้ว่าแถวบ้านเธอมันอันตรายจะตายไป”ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ส่งคนสะกดรอยตามเขาแล้วจริง ๆ จึงไม่ทราบว่าตอนนี้เขาย้ายบ้านไปอยู่กับคนอื่นแล้ว แต่มาทำแบบนี้ทั้งที่ไม่มีพันธะต่อกันอย่างไรเขาก็ไม่สบายใจอยู่ดี“ผมอยู่ได้มาตั้งนาน ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณสำหรับน้ำใจ”“ฉันแค่อยากจะขอโทษ”“ถ้ามีอะไรก็คุยกันตรงนี้เถอะครับ ผมไม่อยากถูกเข้าใจผิด”“ยังไงเธอก็จะเลือกตำรวจคนนั้นเหรอ?”“ผมเคยตอบคำถามนี้ไปแล้วนะครับ”คล้ายว่าคุณรัญชน์จะไม่พอใจกับคำตอบ สงสัยที่บอกว่ารักคงจะมีส่วนจริงอยู่นิดหน่อย ไม่เช่นนั้นคงไม่เอาแต่พูดเกลี้ยกล่อมเขาแบบนี้ทุกครั้งที่พบหน้าหรอก“ถ้าเธอเลิก-“คุณรัญชน์ครับ”ตัวเขาอาจจะเป็นฝ่ายผิดที่คิดจะยกเลิ