เขาเป็นเด็กที่เกิดมาท่ามกลางสภาวะสงคราม แม้ผ่านมาเพียงสองปีมันจะจบลงทว่ามันไม่แปลว่าเศรษฐกิจจะฟื้นฟูขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะมันเป็นช่วงเวลาอันไกลพ้นและสั้นกุด เขาจึงไม่สามารถจำหน้าพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองได้ ญาติหลายต่อหลายคนที่มาร่วมงานศพขนาดย่อมในวัดเล็ก ๆ กลางพระนครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพ่อแม่ซึ่งป่วยออด ๆ แอด ๆ ของเขาตั้งใจเลี้ยงดูลูกชายเพียงคนเดียวมากแค่ไหน สิ่งที่พวกท่านหลงเหลืออยู่คงจะเป็นเลือดที่ไหลเวียนอยู่และชื่อสกุล
พูนไม่อาจจำได้ว่าตัวเองเมื่อครั้งอายุสิบขวบรู้สึกเศร้าโศกขนาดไหน บางทีอาจจะไม่สมควรเป็นวัยที่รู้จักความเศร้าจากความสูญเสียด้วยซ้ำไป งานวันนั้นเขาถูกจับแต่งตัวจากคุณย่าที่ยังไม่คุ้นหน้า และถูกจูงมางานเมื่อถึงเวลา ร่วมงานสีดำตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ในหัวมันรู้สึกว่างเปล่าพิกล รู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลย
‘น่าสงสาร เด็กตัวแค่นี้เอง’
‘แล้วใครจะรับไปเลี้ยงต่อล่ะ’
‘วัยกำลังโตเสียด้วย’
พูนในวัยเด็กพร้อมชุดเสื้อสีดำนั่งแกว่งขามองพื้นศาลาขณะรอกลับในช่วงค่ำหลังจากร้องไห้จนไม่มีน้ำตาหลงเหลืออยู่ เขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าต่อจากนี้เขาจะไปอยู่กับใคร เขาได้ยินญาติเหล่านั้นพูดว่าเขาอาจจะถูกส่งตัวไปอยู่กับปู่ซึ่งไม่ได้ติดต่อกับพ่อมานานมากแล้ว พ่อแม่เขาเองก็พอมีสินทรัพย์มรดกอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ขึ้นชื่อว่าอยู่ในภาวะหลังสงคราม เงินทองที่ว่านั้นไม่ได้มีมากมายนักหรอก ป้าเหล่านั้นพูดออกมา
มีคนเข้ามาทักทายบ้าง แสดงความเสียใจบ้าง แม้มันจะเป็นงานของพ่อแม่แท้ ๆ แต่เขาก็เริ่มง่วงงุนขึ้นมาจนอยากจะกลับบ้านไปนอนแล้วสิ
“หนูจ๊ะ”
‘?’
เสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้น พูนในวัยเยาว์จึงเงยหน้ามามองอย่างเบื่อหน่าย แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าทำให้เขาสงสัยขึ้นมาแทน ทำไมเสียงเหมือนผู้ชายแต่แต่งหน้าทาปากเหมือนผู้หญิง
“ต่อจากนี้มาอยู่กับน้านะจ๊ะ”
พูนกำลังงงงวยในหลาย ๆ ความหมาย เมื่อสักครู่เขาได้ยินแล้วว่าอีกฝ่ายคือเจ้าของเสียง และเมื่อสังเกตดูดี ๆ แม้ภายนอกจะรวบผมเป็นมวย หน้าตาสะสวย แต่ฝ่ามือเต็มไปด้วยเส้นเลือดพร้อมข้อนิ้วชัดเจน ไม่นานก็มีคุณลุงร่างท้วมอีกคนเดินเข้ามาย่อตัวลงอีกคนตรงหน้าเขา
“ไม่ต้องกลัวหรอก ลุงเป็นพี่ชายของพ่อหนูเอง ต่อจากนี้มาอยู่ด้วยกันนะ”
คืนนั้นแทนที่ตัวเขาจะถูกคุณย่าที่ไหนก็ไม่รู้เดินจูงมือกลับไปอยู่บ้านหลังเก่าคนเดียว กลายเป็นว่ามือทั้งสองข้างถูกจับจูงโดยพ่อใหม่ทั้งสองคน และเขาจะไม่บอกว่าตัวเองขณะเดินทางบนรถไฟเผลออาเจียนเพราะเมารถหรอกนะ เกิดมาทั้งชีวิตพึ่งรู้นี่แหละว่าตัวเองอยู่บนยานพาหนะทำนองนี้ไม่ได้
พ่อเทียบ ทำงานเป็นพ่อค้าขายบะหมี่หมูแดงอยู่ที่พิษณุโลกซึ่งเป็นบ้าน เมื่อน้องชายเสียชีวิตจึงปิดร้านมาร่วมงานในพระนครเป็นการชั่วคราว และป๊าอำพัน อดีตนักแสดงงิ้ว ปัจจุบันผันตัวมาเป็นลูกมือของพ่อเทียบ
เพราะความไม่คุ้นเคยเขาจึงได้แต่เก็บข้อสงสัยเอาไว้ในใจ ว่าทำไมพ่อกับป๊าถึงเป็นผู้ชายทั้งคู่ รวมไปถึงเหตุผลว่าทำไมถึงมารับเลี้ยงเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนคนได้รางวัลอย่างไรอย่างนั้น
เขาถูกพาตัวมาอยู่ในใจกลางเมืองพิษณุโลกซึ่งไม่ได้มีโคมไฟระย้า หรือรถรามากมายเหมือนในเมืองกรุง ซ้ำยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้และบ้านหลังเล็กหลังน้อยที่ตั้งห่างออกจากกันเพื่อปลูกผักสวนครัวเอาไว้กินกันในบ้าน
แรกเริ่มเดิมทีเขาไม่ใช่คนพูดน้อย ทว่าอาทิตย์แรกที่มาอยู่บ้านเขาทำได้แต่ชะเง้อดูว่าพวกผู้ใหญ่เขาทำอะไรกัน และมองเหล่าลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามานั่งตามโต๊ะที่ถูกจัดเอาไว้ตามคันร่มยักษ์
เด็กชายพูนนอกจากจะได้เห็นยังได้ยินสำเนียงการพูดแปร่งหูที่ต่างไปจากชาวพระนครนิดหน่อย คงเพราะเป็นช่วงที่ยังพูดไม่คล่องจะพูดคำใหม่จึงต้องอิงตามสิ่งที่ได้ยินมา
“พูนจ๊ะ”
“เฮือก!?”
เด็กชายเสื้อโปโลกางเกงขาสั้นสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองปะป๊าที่เดินมาทัก หลังไปล้างไม้ล้างมือมา อำพันย่อตัวมองเด็กน้อยตัวเกร็ง เขาเข้าใจได้ถึงความรู้สึกอันไม่คุ้นเคย
ที่ผ่านมาเขากับพี่เทียบด้วยความตื่นเต้นที่จะมีสมาชิกใหม่เป็นเด็กชายตัวน้อยเข้ามาร่วมชายคาจึงพาหนูพูนไปห้างร้านซื้อของยกใหญ่โดยไม่ทันได้สังเกตว่าเด็กน้อยกำลังกลัวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันแบบนี้
“ป๊าเห็นว่ามีคนย้ายมาอยู่ที่บ้านตรงหัวมุม ป๊าฝากพูนเอาบะหมี่ไปให้ได้ไหมจ๊ะ?”
“ดะ...ได้จ้ะ”
อำพันยิ้มกว้างก่อนจะขอตัวไปบอกพี่เทียบให้ตระเตรียมของใส่ปิ่นโตสำหรับเยี่ยมเพื่อนบ้านคนใหม่ พวกเขาอยู่ที่นี่มานานจึงอยากทำอะไรเป็นของขวัญต้อนรับ และก็เผื่อว่าอาหารจะถูกปากจนบ้านนั้นแวะเวียนมาซื้อ
พูนซึ่งได้รับภารกิจจึงมานั่งรอหน้าบ้าน มีพวกลุงเมาแต่หัววันเดินมาทักทายตามประสา นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ได้ลองคุยกับคนอื่นนอกจากพ่อกับป๊า
“บ้านตรงหัวมุม แถวศาล...”
พูนท่องประโยคในหัว มันไม่ได้ไกลจากระยะสายตามากเพียงแต่เขากลัวว่าตัวเองจะลืมจนหลงทาง
จนในที่สุดเขาก็มาถึง มันเป็นบ้านหลังเก่าที่โครงทำจากไม้และใช้สังกะสีเป็นผนัง หรือจะเรียกว่ากระต๊อบเลยก็ยังได้
“เอ้า! เจ้าหนู มาหาใครล่ะเนี่ย”
“ป๊าให้เอาบะหมี่มาให้จ้ะ”
“ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะ”
คุณป้าคนนั้นเอาปิ่นโตไปเปิดดูก่อนจะแสดงสีหน้าดีใจ เขาบอกที่อยู่ร้านไปเมื่อเจ้าหล่อนถามก่อนจะได้เวลากลับ พูนเดินตัวเปล่าเตะฝุ่นไปเรื่อยก่อนจะเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งวิ่งสวนเข้าไปทางกระต๊อบหลังนั้น คงจะเป็นลูกของคุณป้าคนนั้นกระมัง
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เขาอยู่ด้วยอารมณ์เนือย ๆ มาตลอดสองปีมันไม่ง่ายที่จะเปิดใจทั้งหมด จนเข้าเรียนชั้น ม.๑ นั่นจึงพอทำให้เขาเริ่มมีสังคมมีเพื่อนขึ้นมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะบ้าง และมันก็ทำให้เขาไม่หวาดกลัวเมืองพิษณุโลกอย่างที่เคยเป็น
แต่ด้วยความที่ไม่ใช่คนชอบเที่ยวเล่นเมื่อเรียนเสร็จตอนบ่ายสาม หากไม่มีนัดเตะตะกร้อก็จะตรงกลับบ้านมาช่วยงานร้านบะหมี่ของพ่อทันที ช่วยจดรายการอาหารบ้าง ช่วยล้างจานหลังครัวบ้างแล้วแต่วันไหนลูกค้าเยอะลูกค้าน้อย รวมไปถึงเป็นคนคุ้มกันพ่อเทียบไม่ให้เอาอีโต้สับหัวลูกค้าที่แอบแต๊ะอั๋งป๊าอำพัน เป็นงานที่เหนื่อยพอสมควรเลยเชียว
“พูน พ่อฝากเอาขยะไปทิ้งทีนะ”
“จ้ะ”
หลังปิดร้านในช่วงเย็นประมาณห้าโมงเย็นจะมีขยะสดบางส่วนจากการปรุงอาหาร จึงเป็นเขาที่รับหน้าที่เดินเอามันไปทิ้งลงถังหน้าปากซอย
“อันนี้ ใช่ของพี่รึเปล่าจ๊ะ?”
“หือ?”
พูนวัยสิบสองขวบหันไปมองเด็กชายตัวจิ๋วซึ่งเดินเตาะแตะ ก้มหยิบเหรียญสตางค์ยื่นมาทางเขา เมื่อตรวจสอบดูในกระเป๋ากางเกงตัวโคร่งมันก็หายไปจริง ๆ
“ใช่ ขอบใจนะ”
“พี่ย้ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอจ๊ะ ฉันไม่เคยเห็นเลย?”
อีกฝ่ายเป็นเด็กซึ่งอายุห่างจากเขาประมาณปีสองปีเห็นจะได้ ถ้าจำไม่ผิดคงจะเป็นเด็กจิ๋วที่วิ่งสวนทางเขาไปทางกระต๊อบหลังนั้น
“ฉันย้ายมาเมื่อสองปีที่แล้ว”
“อ๋อ พี่ชายร้านบะหมี่ใช่ไหมจ๊ะ?”
“ใช่”
พูนได้ยินเด็กน้อยถามเจื้อยแจ้วก็ชักจะทำตัวไม่ถูก ปกติเจอแต่เพื่อนที่โรงเรียน และเพราะเป็นม.๑ จึงไม่มีรุ่นน้องให้สนทนาพาที ไหนจะสายตากลมแป๋วที่จ้องมาอย่างแปลก ๆ อีก หรือหน้าเขาจะยังมีเศษผักชีติดอยู่หลังมื้อเย็น
“พี่ชาย เป็นลูกของเจ้าของร้านบะหมี่เหรอจ๊ะ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“แต่คุณน้าเขาเป็นผู้ชาย มีลูกกันไม่ได้นะจ๊ะ”
“ฉันเป็นลูกเลี้ยงน่ะ”
พูนตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะใช่ว่าเขาจะเจอคำถามแบบนี้เป็นครั้งแรก เรียกได้ว่าตั้งแต่เพื่อนทั้งห้องรู้เรื่องครอบครัวก็ตีได้เลยว่าตลอดปีการศึกษาเขาจะสามารถมีเพื่อนได้สักกี่คน ไม่เกี่ยวหรอกว่าตัวเขาจะเป็นมิตรแค่ไหน
การที่มีพ่อเป็นผู้ชายและแม่เป็นกะเทยอย่างที่ใครเขาเรียก มันคงไม่เจริญหูเจริญตาและเป็นที่ขบขันในสายตาคนอื่น แต่เขาพอจะชินแล้ว เพราะก็เห็นอยู่ว่าคนที่ล้อเลียนมันก็มานั่งกินที่ร้านเพื่อมองป๊าอำพันออกจะบ่อย
พูนคิดว่านั่นจะเป็นบทสนทนาเพียงแค่ครั้งเดียว ทว่าหลังจากนั้นทุกวันเขาก็จะเห็นเจ้าเด็กจิ๋ววิ่งต๊อก ๆ ถือห่อขยะมาทิ้งในถังเดียวกันทุกวันพร้อมพูดคุย แม้เขาจะคิดว่าการคุยหน้าถังขยะมันออกจะฉุนจมูกไปสักหน่อย แต่มันก็แค่ครู่เดียว
นับวันความสนิทก็คล้ายจะเพิ่มมากขึ้น จนเขาต้องพากันย้ายมานั่งเล่นกันในบ้านทุกเย็นแทน ซึ่งพ่อกับป๊าก็ยินดีต้อนรับทั้งยังมีฝากกับข้าวให้ไปฝากที่บ้านทุกครั้ง
“จะออกจากโรงเรียนเหรอ?”
“จ้ะ ช่วงนี้แม่เขาบอกไม่ค่อยมีลูกค้า เลยต้องหยุดไปก่อน”
พูนไม่รู้ว่ามารดาของเด็กชายทำอะไรแต่มันคงไม่ได้มั่นคงมากมายนัก ทีแรกเขานึกว่าเมื่อเวลาผ่านไปเราจะได้มาเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกันเมื่อเจ้าน้องขึ้นมัธยมเสียอีก
ด้วยว่าเขามีน้องคนนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเกือบจะทุกเย็น มื้อเที่ยงก็กลับมากินข้าวร้านพ่อ ส่วนค่าขนมเขาจะพยายามเก็บเพื่อหาซื้ออะไรมาเผื่อ
รวมไปถึงก็เป็นเด็กคนนี้ที่ช่วยให้เขามีความกล้ามากขึ้นในการอยู่ร่วมกับครอบครัวที่ถือว่าเป็นสังคมใหม่ กล่าวกันตามตรงแม้ปากจะเรียกพ่อ-ป๊าทุกเช้าเย็นที่มันก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ ๆ คล้ายกับเสี้ยนชิ้นเล็ก แม้ไม่เจ็บมากมายแต่ชวนให้รำคาญใจ การได้สนทนากับน้องถือเป็นตัวต่อชิ้นสำคัญในชีวิตช่วงนั้น
‘ทำไมไม่ลองถามไปตรง ๆ ล่ะจ๊ะ คุณลุงสองคนนั้นเขาใจดีจะตาย’
‘พี่ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง’
‘เรื่องยังไม่เกิดเลยนะจ๊ะ แค่ลองเอง ไม่เสียหายหรอก’
‘พี่ขอบคุณเรามากจริง ๆ ถ้าไม่มี___ พี่คงไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟัง’
ไม่ว่าจะนึกเท่าไรก็ยังนึกไม่ออก ชื่อชื่อนั้น คงจะมีแต่แววตาสดใสราวดอกทานตะวันและความซื่อตรงที่เขาจดจำได้มาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากเรื่องจริงจังแล้วส่วนใหญ่ที่พวกเขาสนทนากันก็มักจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องราวสามัญทั่วไปที่เห็นกันได้ทุกเช้าที่ตื่นมา แต่น่าแปลกที่มันไม่เคยทำให้เขารู้สึกเบื่อขึ้นมาได้เลย
‘เราว่าเป็นตำรวจแล้วเท่เหรอ?’
‘จ้ะ ใส่เครื่องแบบ ตามจับโจรบนหลังม้า เท่จะตายไป พี่ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?’
‘กะ... ก็เท่ดีนะ เราเลยอยากเป็นเหรอ?’
‘ใช่จ้ะ แล้วพี่อยากทำอะไรเหรอจ๊ะ?’
‘เป็นนักล้างจานล่ะมั้ง’
พูนกล่าวตามความเป็นจริง เขายังไม่มีความฝันอยากจะทำอะไรหรอก เพราะจะอาชีพไหน ๆ มันก็คล้ายคลึงและดูเหน็ดเหนื่อยมันไปเสียหมด ก็จะมีแต่ล้างจานร้านบะหมี่นี่แหละที่แม้จะปวดตูดตอนนั่งสักหน่อย แต่พอลากพัดลมมาเป่าคลายร้อนก็สบายแล้ว
แต่ตำรวจ...ลองพยายามดูสักหน่อยก็ไม่เลว
พออยู่กับเจ้าน้องนานวันเข้า เขารู้สึกว่าจะได้นิสัยตรงแหน็วไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดติดมาด้วยเลยเชียว มารู้ตัวอีกทีเขาก็สามารถเรียกพ่อทั้งสองว่าเป็นครอบครัวได้อย่างเต็มปาก กล้ามองโลกในแง่บวกมากขึ้นจนถึงกับหันไปสงสัยตัวเองที่เคยระแวงไปเสียทุกสิ่ง
“แล้วเรามาบ้านพี่ทุกวัน พ่อกับแม่จะไม่ว่าเอาเหรอ?”
“ไม่ว่าหรอกจ้ะ เพราะมาทีไรได้ของฝากกลับไปตลอดเลย”
“ฮ่า ๆ งั้นเหรอ”
พูนหัวเราะในคำตอบอันใสซื่อของเด็กชาย อีกฝ่ายก็พูดมากมายไป ที่พ่อกับป๊าเขาให้ก็เป็นเพียงบะหมี่ส่วนหนึ่งที่เหลือจากการขายเท่านั้นเอง ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย แต่บ้านเจ้าตัวก็ยังจะฝากมาขอบคุณอยู่เป็นนิจ
พูนใช้ชีวิตแบบนี้มาเรื่อย ๆ มีแวะเอาของไปฝากที่กระต๊อบสังกะสีบ้างเป็นบางครั้งบางคราวจนได้เจอเหล่าน้องคนเล็กของเจ้าตัว ได้เล่นด้วยกันจนเรียกได้ว่ามันกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว
“วันนี้น้องเขาก็ไม่มาเหรอจ๊ะ?”
“จ้ะป๊า ฉันไปดูที่บ้านแล้ว แต่เงียบกริบเลย”
เข้าสัปดาห์ที่สองที่เจ้าน้องไม่มาเล่นด้วย ไปที่กระต๊อบก็ไร้วี่แวว เขาอุตส่าห์เตรียมซื้อขนมมารอทุกวัน แต่สุดท้ายก็ต้องเก็บกินเอง และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่ต้องทำเช่นนั้น
“พ่อลองไปถามกำนันมา เห็นว่าย้ายออกไปแล้วนะ”
“จริงเหรอ...”
พูนตกใจเล็กน้อยแต่ที่ยิ่งกว่าคือความว่างเปล่าที่ปรากฏขึ้น ต่อให้จะเคยเสียคนที่รักไปแล้วแต่มันก็ไม่สามารถทำใจยอมรับได้เร็วเลย ถึงมีเพื่อนที่โรงเรียนคอยพูดคุยเล่นกีฬาสนุกสนานแต่คล้ายว่ามันขาดอะไรไปบางอย่าง ตอนนอนเขาจึงได้แต่ครุ่นคิดนอนพลิกตัวไปมาหลายคืนจนป๊าอำพันเป็นห่วงขึ้นมา
“พูนลูก อยากเจอน้องเขามากเลยเหรอจ๊ะ?”
“จ้ะ”
“เหมือนพ่อสมัยหนุ่ม ๆ เลยนะ ตอนอำพันบอกจะย้ายคณะ”
“พี่! ลูกชายเขาเครียดอยู่ พูดจาเดี๋ยวเถอะ”
“ฮ่า ๆ จะเครียดไปทำไม เดี๋ยวสักวันถ้าเป็นเนื้อคู่ก็ต้องได้เจออยู่ดี เหมือนพ่อกับป๊าไง”
คงเพราะมีพ่อเทียบซึ่งพื้นฐานเป็นคนอารมณ์ดี เขาจึงไม่ได้มองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับโลกแตก กลับกันยังอยากเชื่อคำว่า ‘เนื้อคู่’ ที่พ่อพูดขึ้นมาทั้งที่ไม่เชื่อในเรื่องโชคชะตามาก่อนเสียด้วยซ้ำ
“ลูกบอกว่าน้องชอบอะไรที่มันเท่ใช่ไหมล่ะ ลองทำแบบนั้นดูสิ”
“อืม...”
“อย่าไปเชื่อพ่อเขามากนะจ๊ะพูน เราทำเพราะตัวเองอยากทำก็พอแล้ว ส่วนเรื่องน้องเขาก็ปล่อยใจสบาย ๆ นะจ๊ะ”
“จ้ะ!”
ถึงจะเป็นฤดูหนาวที่ภายนอกเย็นเฉียบ หรือที่ผ่านมาเขาจะเจอเรื่องราวมากมายแต่เพราะมีไออุ่นจากพ่อทั้งสองคนเขาจึงรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมากพอที่จะมองทุกปัญหาเป็นความท้าทายมากกว่าอุปสรรค แม้มันจะเป็นส่วนเล็ก ๆ ใต้จิตสำนึก แต่เขาก็หวังว่าสักวันเราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
“พ่อ ฉันวางจานเอาไว้ตรงนี้นะจ๊ะ”พูนในวัยสิบห้าย่างสิบหกหยิบยกตะแกรงซึ่งเต็มไปด้วยจานที่ล้างเสร็จหมาด ๆ มาวางไว้บนโต๊ะหินหน้าบ้าน จนถึงตอนนี้ผ่านมาหลักปีเขาก็ยังนึกถึงน้องชายคนนั้นอยู่ตลอด ด้วยว่ายกให้เป็นเพื่อนสนิทคนแรกหลังต้องย้ายมาจากพระนครเด็กหนุ่มยืนจัดเรียงจานให้เข้าที่ แม้เป็นเวลาเพียงสามปีส่วนสูงกลับเพิ่มขึ้นจนจะเท่าคนเป็นพ่ออยู่แล้วเชียว กิจการช่วงนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเช่นเคย รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องคอยปรามพ่อไม่ให้เอาเขียงทุบหัวลูกค้า“เฮ้อ...”พูนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย หากน้องเจ้ายังอยู่ละก็เขาคงมีที่ระบายเพิ่มขึ้น เพราะตั้งแต่วางแผนว่าจะสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ชีวิตเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะเมืองพิษณุโลกไม่มีโรงเรียนตำรวจ มีเพียงสถานีไม้เล็ก ๆ ให้ชาวบ้านไปไกล่เกลี่ยกับตำรวจไม่กี่นาย หากจะเรียนก็ต้องเตรียมตัวสอบข้อเขียนประกอบกับวัดสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะหนักแค่ไหน หรือเขาต้องรู้อะไรก่อนไปสอบบ้าง“ป๊าจ๊ะ ฉันออกไปวิ่งก่อนนะจ๊ะ”“ช่วงนี้มืดเร็ว กลับมาก่อนค่ำนะจ๊ะ”“จ้า”
“ก็บอกว่าผมไม่ใช่คนที่คุณพูดถึงไงครับ”“ไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรหรอก~” ท่ามกลางแสงรำไรจากโคมไฟสีนวลเหนือโต๊ะสูงมีลูกค้าท่านหนึ่งซึ่งเหมือนจะพึ่งเข้ามาร้านนี้เป็นครั้งแรกกำลังนั่งเมามายไม่ได้สติ เอาหน้าไถไปกับโต๊ะไม้คล้ายจะหลอมรวมเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวกันผู้จัดการร้านควบตำแหน่งมือชงซึ่งเช็ดแก้วอยู่ฝั่งตรงข้ามมองพ่อหนุ่มเสียงเหน่ออย่างละเหี่ยใจ ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นไปมองเจ้าแผนซึ่งกำลังวกกลับมาเติมเครื่องดื่มให้ลูกค้า“อย่าลามปามครับ กินของคุณไปเลย”“พูดอย่างนี้พี่น้อยใจนะ~”พูนซึ่งขอสถานที่ดื่มมาจากพ่อเทียบว่าจะมาเดินเล่นเอาสนุกจนมาลงเอยที่ร้านนี้ ไม่น่าเชื่อว่าดื่มไปแค่ไม่กี่แก้วมันจะทำให้เขาที่มั่นใจในลำคอตัวเองเมามายได้ถึงขนาดนี้ภาพตรงหน้าคล้ายจะพร่ามัว ถึงไม่อาจมองอะไรชัดเจนแต่ทุกอย่างเหมือนจะสวยขึ้นผิดหูผิดตา กลิ่นหอมฟุ้งกำจายมากยิ่งกว่าเก่า พอมีเสียงเพลงเอื่อย ๆ จากแผ่นเสียงเข้ามาประกอบยิ่งชวนให้เขาเคลิบเคลิ้มไปกับรสสุรานายตำรวจในชุดไปรเวทเหมือนเมื่อเช้
“ฮะ! ฉันเหรอ!?”พูนซึ่งนั่งฟังวาระการประชุมแผนจับโจรอยู่ถึงกับลั่นขึ้นมาด้วยสำเนียงเสียงเหน่อ พร้อมกวาดสายตามองไปยังเหล่าเพื่อนร่วมงานชาวพระนครที่ต่างเห็นพ้องต้องกันให้เขาที่เป็นน้องใหม่เป็นคนแฝงตัวเข้าไปหนึ่งในชุมโจรเจ้าของคดีที่สน.เขาได้รับมาทำต่อย้อนกลับไปอีกสักนิดก่อนจะเกิดมตินี้ขึ้น สน.พระนครแห่งนี้ขึ้นชื่อว่ารวมตัวคนมีฝีมือโดยเฉพาะท่านผู้กำกับการ พันตำรวจเอกไกรวิชญ์ ก้องภัชรกุลซึ่งตอนนี้ถือเป็นเพื่อนซี้หนึ่งเดียวของไอ้พูน ที่ทำคุณูปการเอาไว้มากมายเกินกว่าตำรวจบ้านนอกอย่างเขาจะทราบได้ทั้งหมด จึงไม่แปลกเลยที่สน.นี้จะได้แต่งานยาก ๆ มาทำรวมถึงงานนี้ที่ต้องจับสามโจรพันธุ์เสือที่ล่อจะขโมยของชาวบ้านลูกเดียว!ซึ่งวิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือการส่งคนแฝงตัวเข้าไปในกองโจรสักกลุ่มเพื่อไล่ตามเบาะแสความเชื่อมโยงกันกับกลุ่มที่เหลือจะได้รวบรัดจับกุมในทีเดียว แต่ด้วยความที่ทุกคนในสน.ต่างถูกเห็นหน้ากันมาหมดแล้ว ส่วนไอ้ไกรนี่ไม่ต้องพูดถึง ก็จะมีแต่ตำรวจบ้านนอกคอกนาอย่างเขาที่เหมาะสม‘ไกร...ฉันไม่ทำได้ไหม’พูนกระเถิบเข้าไปกระซิบกระซาบข้างหูหัว
“เพียง ไปอ่านที่สถานีพี่ก็ได้ พี่ด้วงเขาอยู่วันนี้”“นั่นมันที่ทำงานพี่นี่จ๊ะ แล้วสถานีมันไม่ได้เงียบอยู่ตลอดด้วย”เด็กสาวกล่าวเสียงเนิบ นอกจากที่สถานีรถไฟจะมีผู้คนพลุกพล่านแล้ว จะให้ไปรบกวนพื้นที่ห้องประชาสัมพันธ์ที่มีอยู่ไม่กี่ตารางเมตรแล้วเธอขอไปนั่งอ่านตรงลานกว้างดีกว่า ถึงจะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือได้ยินเสียงคนทะเลาะ เสียงเด็กวิ่งพล่านมาบ้างแต่ก็ถือว่าดีกว่าอยู่ในบ้านที่ไม่รู้ว่าบิดาจะตื่นมาอาละวาดเมื่อไหร่“แล้วเราไม่ร้อนเหรอ?”“ช่วงนี้หน้าฝนนี่จ๊ะ ฉันไม่เป็นไรหรอก”“พี่ว่าจะเก็บเงินเช่าห้องให้เราไปอยู่”“มันแพงนะจ๊ะ แล้วครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะสอบติดรึเปล่าอีก”แผนได้ฟังสิ่งที่น้องสาวพูดก็ปวดใจ เพียงเรียนจนจบม.๖ ไม่คิดจะต่อม.๗ เพราะเห็นว่าอายุถึงเกณฑ์การรับสมัครสอบพยาบาล ทว่าการสอบครั้งแรกที่ผ่านมาของน้องสาวนั้นไม่ประสบผลสำเร็จแม้จะตั้งใจอ่านหนังสือจนกระดาษเปื่อยยุ่ยก็ตามที“ถ้าอย่างนั้นพี่จะพยายามหาครูมาสอนตัวต่อตัว”“นั่นแพงกว่าอีกนะจ๊ะ”“มันคุ้มค่าหรอก”วันนี้เป็นเช้าวันพุธซึ่งเขามีนัด
‘ถ้าเฮียไว้หนวด เฮียกลัวว่าจะไม่หล่อในสายตาเราน่ะสิ’แผนหน้าขึ้นสี ไม่รู้มาจากความขวยเขินหรือความกริ้วโกรธที่พี่ตำรวจแกใช้เวลาคิดเป็นนาทีเพื่อให้ได้ประโยคหยอกเย้ามาประโยคเดียว!ลืมไปแล้วหรือไรว่าพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อนำเสื้อพวกนี้ไปเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของตัวเฮียเอง แต่ดูจากหน้าระรื่นนั่นแล้วงานคงจะไม่อยู่ในหัวเลยสินะ!นายสถานีเห็นพี่ตำรวจไม่พูดอะไรต่อเสียทีก็นึกสงสัยจึงถอยมาสบตา คล้ายว่าอีกฝ่ายอยากให้เขาพูดอะไรต่อ แล้วอย่างเฮียพูนมันจะเป็นอะไรไปได้นอกจากคำชมล่ะ“เฮ้อ...เอาเถอะ เฮียจะแต่งตัวแบบไหนมันก็-อึก!”จู่ ๆ หน้าแก้มบริเวณที่ช้ำก็ปวดขึ้นมาอย่างกะทันหันส่งให้เนื้อเสียงขาดห้วง แผนยกมือขึ้นกุมแผลอย่างเป็นไปเองโดยลืมไปว่าคนตรงหน้ากำลังจ้องอยู่“เฮีย...ลองใส่เสื้อเก่า ๆ น่าจะดูเหมือนมากขึ้นนะ ลองเลือกจากที่ผมยื่นให้ก็แล้วกัน”“เฮียเอาตัวนี้แหละครับ ถ้าเรามีตัวไหนอยากได้หรือเอาไปให้น้องสาวก็เลือกได้เลยนะ”“อือ...”เพราะไม่รู้จะหนีออกไปจากสถานการณ์อันกระอักกระอ่วนนี้อย่างไรเขาจึงเลือกผละออกมาดูในส่วนเสื้อผ้าผ
นายตำรวจพูนจำต้องจากลาน้องนายสถานีมาเพื่อทำภารกิจปลอมตัว ช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยว่าต้องตระเตรียมแผนการการแสดงให้พร้อมสำหรับลงมือปฏิบัติจริงเขาจึงไม่มีโอกาสแวะมาหาน้องแผนในตอนเช้า (ถึงจะมีแวะมาอ้อล้อตอนพักบ้างก็ตามที) ยิ่งเป็นวันลงมืออย่างวันนี้เขาจึงไม่มีโอกาสพายเรือไปส่งน้องแผนเลยนอกจากพูนจะไม่ได้กลับบ้านกลับช่องไปนอนแล้ว ในขั้นตอนการเดินทางไปบ้านเศรษฐีเป้าหมายถัดไปของพวกโจรร้ายยังต้องมานั่งเมามายกับยานยนต์สี่ล้อ หนุ่มบ้านนอกที่คุ้นชินกับการขี่ม้าขึ้นลงภูเขาได้แต่มองเจ้าไกรเพื่อนซี้มันนั่งกอดอกหน้านิ่งมองท้องฟ้าบรรยากาศยามราตรี คุณพี่ก็เท่เกิ๊น! ในขณะที่เขานั้นเมามายตาลายกับกลิ่นหนัง กลิ่นน้ำมันและแรงเหวี่ยงของรถจนอยากจะเอนตัวนอนไหลไปกับเบาะยิ่งช่วงนี้ไอ้ไกรมันชอบนั่งเหม่อไม่รู้คิดอะไรของมัน จากที่สงบคำพูดอยู่แล้วก็แทบจะกลายเป็นใบ้ไปเลยเมื่อนั่งโต๊ะทำงาน“เอ็งเป็นอะไร เห็นนั่งท่าแปลก ๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?”“เมารถ”“หือ?”ไม่ต้องมาหงมาหือเลยไอ้หนุ่มพระนคร! ฉันสิแปลกใจมากกว่าที่เอ็งทนกลิ่นเหม็นพวกนี้ได้ โอย...พอถึงหน้างานเขาจ
ผ่านมาจวนจะครบสี่สัปดาห์ซึ่งเข้าใกล้กำหนดการที่เขาต้องส่งเรื่องลงไปให้สน. พูนซึ่งทีแรกไม่คิดจะไว้หนวดแต่พอขี้เกียจเข้าหน่อยก็ปล่อยหน้าปล่อยตา ไหนเขาจะลืมซื้อมีดโกนติดมือมาด้วยอีกพ่อโจรกำมะลอนั่งแกว่งขาบนแคร่ไผ่ใต้หลังคามุงจาก มองฟ้าฝนที่คล้ายจะตกถี่ขึ้นทุกวี่ทุกวัน ไม่รู้ป่านนี้ใจกลางพระนครน้ำจะลดแล้วหรือยัง ที่เขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองมันก็เพราะฝนตกหนักจนลุงขามแกลงไปปล้นไม่สะดวก จากแผนปล้นกลายเป็นการนัดรวมตัวหารือในหมู่เสือด้วยกันเอง ซึ่งเข้าทางเขาเห็น ๆ แค่นี้ก็จะได้กลับไปนอนบ้านเร็วขึ้นแล้วอยู่มาหลายสัปดาห์ในหมู่บ้านนี้ไม่ได้ข้อมูลสิแปลก ที่เห็นว่าตั้งแง่กับเด็กใหม่นั่นมันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่หน่อยคนที่นี่ก็คล้อยตามใจเหลวใจอ่อนเล่าเรื่องราวความเป็นมาให้เขาฟังหมดเปลือกแล้ว ไอ้ไกรมันคงวางแผนไว้ว่าภารกิจนี้ง่ายพอจะส่งตำรวจแฝงตัวมาคนเดียว แต่ถ้าไม่เป็นเขาจะดีกว่านี้ ฮือ...“พี่พูนจ๊ะ ฝรั่งจ้ะ ฉันฝานมาให้”เจ้าของชื่อหลุดออกจากภวังค์เมื่อเสียงหวานใสเอ่ยเรียกชื่อ หญิงสาวในเสื้อแขนกุดนุ่งผ้าถ
แผนเดินขนาบข้างทนายร่างสูงในชุดสูทภูมิฐานท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนในย่านกินดื่ม เขายังได้ยินเสียงพูดคุยสังสรรค์แว่วมาจากร้านอื่นโดยรอบ รวมถึงการได้เห็นแสงสีที่พ้นออกมาจากบานประตูกว้าง บางทีเขาก็เคยคิดว่าตัวเองสมควรผ่อนปรนการทำงานลงมาได้แล้วหรือยัง ทว่าเขากลัวเหลือเกินหากสักวันเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันให้เงินที่สั่งสมมาหายไปในพริบตาต่อให้ต้องเตรียมใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะสามารถก้าวขาออกมาทำงานกลางคืนที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเต็มใจหรือไม่ เขาก็ต้องทำ แต่หากเลือกได้ตอนนี้เขาอยากจะนอนอยู่เฉย ๆ อยากพักผ่อนอยู่บ้านไม่ใช่มาเดินตามคนอื่นต้อย ๆ เพื่อไปขึ้นเตียง“เธอดูคิดมากนะ”คุณทนายถามไถ่คนตัวเล็กข้าง ๆ หลังชำระเงินค่าห้อง ตลอดทางตั้งแต่ร้านเหล้ามาจนถึงโรงแรมเขาเห็นเจ้าตัวเหม่อลอย ไม่ก็หน้ามุ่ยคิดอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว“ผมก็เป็นแบบนี้แหละ”“ที่ไม่ยอมติดริบบิ้นเป็นเพราะเรื่องที่คิดอยู่รึเปล่า?”แผนเลือกที่จะไม่ตอบ พอได้ห้องนอนก็เดินสะบัดก้นไปวางกระเป๋า เข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวให้พร้อม นายสถานีถอนหายใจหนัก พลางบอกตัวเองว่าจะมัวแต่ใคร่ครวญเรื
เหตุผลที่พูนยังไม่ให้ศรีภรรยาไปพบพ่อกับป๊านั้นนอกจากอาการน้องน้อยไม่ค่อยจะสู้ดีแล้ว ทั้งสองคนเองก็ไม่ว่างเช่นกันเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาจบการศึกษาของโรงเรียนกลาง การไปมอบประกาศณีบัตรหรือการพูดสุนทรพจน์จึงจำเป็นต่อการส่งต่อเจตนารมณ์ ส่วนเขาก็ได้แต่นั่งทำงานงก ๆ อยู่ในห้อง การมาฟูเหรินได้วันละครั้งแบบนี้ก็ถือว่าบุญหัวแล้วตอนนี้เป็นยามเย็นของวันซึ่งเขาชวนภรรยามาเดินเล่นในสวนตำหนักมุกอันใกล้ถึงจะไม่ได้ใหญ่เมื่อเทียบกับสวนสาธารณะกลางหรือป่าเขาที่ชาวบ้านชอบไปเดินเก็บพืชผักแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอุดอู้อยู่ในตำหนักเขาทราบมาจากหัวหน้าช่างแต่งกายว่าฟูเหรินวันทั้งวันไม่ยอมออกมาจากนอกห้องเลยนอกจากจะมีอาจารย์มาสอนหนังสือ ซ้ำยังมีบางครั้งที่แอบไปร้องไห้อยู่คนเดียว พอชาวใช้จะขอเข้าไปทำความสะอาดเพื่อแอบดูอาการเจ้าตัวก็เงียบไม่ยอมเปิดห้อง ซ้ำยังบอกให้สาวใช้วางถังน้ำอุปกรณ์เอาทิ้งเอาไว้จะทำเองอีกต่างหากและวันนี้ตอนมาถึง ก่อนที่จะเอ่ยเรียกเขาพึ่งมาได้ยินเสียงร้องไห้นั้นชัด ๆ มันไม่มีคำตัดพ้อหรือเรื่องราวที่ถูกพูดออกมาระบายความเศร้า มีเพียงสะอื้นไห้แต่เพียงเท
สถานที่อันลึกลับและแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนจากไฟสลัวในอาคารไม้หลังเก่า ตกแต่งปิดบังอายุด้วยการตกแต่งด้วยผ้าหลากสีสัน เสียงดนตรีจีนวัยเยาว์ออกมาจากห้องซึ่งมีราคาสูงโดยที่แผนนั้นรู้ดีว่ามันกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางในไม่ช้าเขาเดินเข้ายังภายในร้านแน่นอนว่าหากไปพบขุนนางในสภาพชุดเก่าเยินแบบนี้ละก็จากที่จะได้เงินคงจะได้คำเหยียดหยามด่าทอมาแทน ดังนั้นเขาจึงมาขอยืมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มีสารร่างที่พอจะดูได้ขึ้นมาบ้าง กระนั้นที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีเงินถุงเงินถังมาซื้อเครื่องประดับหรือผ้าดี ๆ มาตัดเย็บนักหรอกผ้าเนื้อหยาบสีสดใสถูกสวมแทนที่เสื้อใยฝ้ายใกล้ขาด ใบหน้าเปื้อนดินเปื้อนผงถ่านถูกทำความสะอาดและแต่งแต้มด้วยผงสี จนในตอนนี้ตัวเขาในกระจกกลายเป็นคนละคนกับชาวนาทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินคนนั้นอย่างสิ้นเชิงพรมลายดอกไม้พื้นเก่าเกิดเสียงแผ่วเบาเมื่อฝ่าเท้าเปล่าคู่บางก้าวผ่านธรณีประตูออกมาจากห้อง ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับจงใจให้เวลาล่วงผ่านไปเพื่อสัมผัสความสงบตระเตรียมใจ ก่อนจะเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำ บรรยากาศที่เย็นเยือกยามราตรีส่งให้ทุกอย่างดู
แดนแห่งเสรีชน แดนอันเปิดกว้างสำหรับความคิดและการแสดงออกอย่างเสรีท่ามกลางวัฒนธรรมอันเคร่งครัดของสังคมจีน สถานที่ที่ผู้คนสามารถดำรงชีวิตตามวิถีทางของตนเองได้โดยปราศจากการกดขี่ ประหนึ่งสรวงสวรรค์ของผู้ที่ต้องการความเป็นอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง ความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้รับการยอมรับและเฉลิมฉลอง เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และให้โอกาสทุกคนในการเลือกทางเดินชีวิตของตนเองกระนั้นที่ใดมีปวงชนที่นั่นย่อมมีผู้นำ ดินแดนอันกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ถูกปกครองด้วยกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ถูกคัดเลือก เป็นผู้เดินนำหน้าทุกผู้ทุกคนมายังดินแดนอันเคยแร้นแค้นแห่งนี้และยืนหยัดเพื่ออุดมการณ์ของตนเอง กษัตริย์ปกครองเคียงคู่พระมเหสีเพียงพระองค์เดี๋ยวโดยไร้ซึ่งอนุ สำหรับอาณาจักรอื่นแล้วการมีสนมคือการถ่วงอำนาจ คือการคัดเลือกวัตถุดิบชั้นเลิศในด้านหน้าตาและคุณภาพขึ้นมาวางบนจานเพื่อให้รสชาติอาหารออกมากลมกล่อม แต่แดนเสรีชนไม่ใช่แบบนั้นหากสามัญชนผู้ใดมีชู้จะถูกประณาม หากเศรษฐีผู้มั่งคั่งมีอนุจะถูกผู้คนทอดท
เทียบ × อำพัน“ป๊า ฉันขอลาออกจากคณะ” คนเป็นพ่อซึ่งนั่งจิบเหล้าแกล้มยำแตงกวาถึงกับไอสำลักเมื่อไอ้ลูกชายหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานก็ดันมาขอลาออก พวกเขายังเหลืองานที่นี่อีกตั้งหลายวันกว่าจะหมดสัญญา แถมงานต่อไปยังเป็นการไปแสดงถึงใจกลางประเทศอย่างพระนคร อนาคตสดใสแบบนี้ทำไมอาไจ่มันถึงมาลาออก“ลื๊อมีคนมาทาบทามรึ?”“ไม่จ้ะ ฉันจะออกมีผัว”“แค่ก!...แค่ก!...”พ่อเฉิงคราวนี้นอกจากจะไอโขลกแล้วยังตกใจตาโตมองเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่แววตาไม่สั่นคลอนสักนิด ไอ้เขาอยู่กับมันมาก็หลายปี รู้หมดนั่นแหละว่ามันชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่จู่ ๆ มาบอกลาออกกะทันหันด้วยเหตุผลนั้นใครเขาจะไม่ตกใจกันบ้างเล่า!นอกจากพ่อเฉิงจื่อที่รู้เรื่องแล้วคนอื่น ๆ บางส่วนในคณะก็บังเอิญมาได้ยินบทสนทนาก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อน ๆ นักแสดงคนงานมาดูสถานการณ์ด้วยโดยมีหัวหอกคืออาเจ๊ใหญ่ไพลินที่จับตามองน้องชายผู้จะออกไปล่าฝัน เก่งมากอาตี๋! ขนาดเจ๊อยากมีผัวก็ยังไม่สามารถมุ่งมั่นได้ขนาดนี้เลย!“แล้วใครจะมาเป็นผ
เทียบ × อำพันแสงไฟจากโคมกระดาษสีแดงสดส่องสว่างรอบเวทีไม้ที่ถูกสร้างขึ้นซึ่งประดับประดาไปด้วยป้ายแขวนเครื่องเงินเครื่องทองเทียมเล่นแสงเติมเต็มความมีชีวิตชีวา กลิ่นธูปหอมอบอวลในอากาศสร้างบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนในชุมชนทั้งเด็กผู้ใหญ่ต่างนั่งล้อมวงกันบนเสื่อกกทอมือหรือเก้าอี้ไม้เก่า มองดูเวทีที่พาดแขวนตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสดพร้อมฉากหลังที่วาดภาพทิวทัศน์ในฝันอย่างวิจิตรถึงทิวทัศน์อันงดงามของสวนจีนโบราณซึ่งประกอบขึ้นมาจากเส้นหมึกอันละเอียดอ่อนของพู่กัน สร้างความลึกซึ้งซึ่งสื่อถึงความพิถีพิถันในทุกมุมของภาพวาดเสียงกลองและฉาบดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ผู้คนต่างพากันรวมตัวหน้าศาล บรรยากาศรอบเวทีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยที่เจือไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อม่านเปิดออก นักแสดงงิ้วในชุดเสื้อผ้าอันงดงามปักลวดลายทองคำสีสันสดใสดึงดูดสายตา ก้าวออกมาด้วยท่วงท่างามสง่า เสียงร้องของนักแสดงที่ไพเราะทรงพลังดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เรียกความสนใจจากผู้คนเดินไปมาและตรึงผู้ชมหน้าเวทีได้อย่างไม่ยากเย็น“林妹妹,你總是這麼憂愁,何必呢?”
ตั้งแต่รับสองเด็กเข้ามาพวกเขาก็มีโอกาสได้ตระเวนเที่ยวต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพิษณุโลกบ้านของพี่พูน นครปฐมซึ่งเป็นจังหวัดใกล้เคียง หรือจะทะเลที่สมุทรปราการพวกเขาก็พาเด็ก ๆ ไปเปิดหูเปิดตามาแล้วยิ่งในพระนครยิ่งไม่เหลือ รบรามที่ได้เข้าไปดูงานเขียน งานสถาปัตยกรรมในวัดวาอารามค่อนข้างตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงการได้วิ่งเล่นว่าวในสนามหลวงกับพ่อก็เป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ โปรดปรานเช่นกันในวันนี้เองก็เป็นการพักผ่อนอีกครั้งซึ่งพวกเขาจะเดินทางขึ้นเหนือไปเที่ยวดูธรรมชาติที่เชียงใหม่ ถึงคุณปู่จะสุขภาพถดถอยไปตามวัยแต่เด็ก ๆ ก็รับปากแล้วว่าจะซื้อโปสต์การ์ดซื้อของท้องถิ่นกลับมาฝากแน่นอน“เด็ก ๆ แปรงฟันมาแล้ว ห้ามกินขนมแล้วนะ”“จ้ะ/คร้าบ”รบตอบฉะฉานในขณะที่พี่ชายอย่างรามกล่าวด้วยความไม่สบายอารมณ์เท่าไรนักเพราะเจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากกินทองม้วนที่ซื้อมาเมื่อหลายวันก่อน แต่ด้วยเวลารถไฟที่ใกล้เข้ามา พวกเขาจึงไม่มีเวลามาเอ้อระเหยสุดท้ายสองเด็กก็ถูกจับให้แปรงฟันและออกมาในทันที แม้จะน่าเศร้าสำหรับลูกราม แต่เดี๋ยวเช้าพรุ่งนี้ก็กินขนมที่พกมาได้แล้วกา
คุณพ่อเล็กในชุดไปรเวทเดินไขประตูรั้วเข้ามาในบ้านหลังกลับมาจากการดูร้านเหล้าสาขา ๒ ของลุงเริง พวกเขาทำงานด้วยกันมานานจนจะเข้าปีที่ ๒๐ แล้วส่วนเรื่องหลานชายที่คิดว่าจะส่งต่อให้กลับล้มเหลว เพราะเจ้าตัวดันออกไปเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง ดังนั้นลุงเริงจึงเรียกเขาเข้าไปคุยถึงเรื่องการส่งต่อร้าน เพราะลุงแกก็อายุมากขึ้นทุกปีจึงอยากได้คนมาสานต่อธุรกิจที่ตนตั้งใจทำมาตั้งแต่ยังหนุ่ม และคนนั้นคือตัวเขาซึ่งเป็นพนักงานที่เก่าแก่และได้รับความไว้วางใจมากที่สุดการส่งต่อนั้นไม่สามารถทำให้จบได้ภายในวันเดียว ยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้เขาต้องเรียนรู้อีกเยอะ ดังนั้นวันนี้เขาจึงได้ทราบเรื่องและลงมาตรวจสอบโกดังสินค้าอีกนิดหน่อยแล้วก็สามารถกลับบ้านได้ด้วยเหตุนั้นก่อนที่แผนจะพักหลังจากทักทายคุณพ่อยามบ่ายจึงขึ้นมาหาเด็ก ๆ และพี่พูนที่กำลังช่วยกันถูบ้านเป็นอันดับแรกเพื่อจะบอกว่าปะป๊าอาจจะกลับดึกในช่วงนี้สักหน่อย เพราะมีภาระที่ต้องไปทำแต่หากสามารถจัดการได้แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เผลอ ๆ อาจจะได้เวลากลับมาเยอะกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ“จริงเหรอ!?” แต่
วันสงกรานต์ วันทรหดที่พนักงานทุกคนหัวหมุนแจกตั๋วโบกธงสัญญาณท่ามกลางผู้คนอันเบียดเสียด ไหนจะตัวเปียกตัวเปื้อนจากผู้โดยสารบางท่านที่ไปเล่นน้ำมาแล้วเดินมาชน หรือไม่บางคนก็ฝ่าฝืนกฎมาเล่นน้ำในเขตสถานีที่สถานีกรุงเทพฯ เส้นทางคมนาคมหลักแห่งนี้ ที่ผู้คนหลากหลายวัยต่างมุ่งหน้าเข้าสถานีเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดหรือไปเยี่ยมญาติพี่น้อง บรรยากาศในสถานีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้โดยสาร เสียงประกาศจากลำโพง และเสียงล้อรถไฟที่เสียดสีกับรางเหล็กเมื่อสิ้นเสียงหวูดภายในสถานี ผู้โดยสารนั่งกันเต็มพื้นที่ รอขึ้นรถไฟที่แน่นขนัด บางคนนั่งจับกลุ่มคุยกันบนพื้น บ้างก็กำลังยืนต่อแถวรอซื้อตั๋ว มีผู้คนมากมายที่ขนของพะรุงพะรัง ทั้งกระเป๋าเดินทาง ตะกร้าใส่ของกิน ของใช้ หรือแม้กระทั่งกรงสัตว์เล็ก ๆ ที่จะนำกลับไปด้วยแผนแทบไม่มีเวลามานั่งพักเสียด้วยซ้ำเมื่อรถไฟออกก็ต้องมาช่วยพี่ ๆ ตอบคำถามหรือถึงขั้นจัดแจงเอกสารจำหน่ายตั๋วแทนในกรณีที่บางคนไปเข้าห้องน้ำ เพราะการขาดใครไปแม้เพียงคนเดียวการสัญจรของผู้โดยสารจะติดขัดทันที และมันยิ่งวุ่นวายขึ้นเมื่อขบวนรถไฟมาถึง ผู้คนเร่งรีบเข้ามาแย่งชิงท
ในยามสายของวันหยุดปิดเทอมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูสดใสและชัดเจนจากแสงอาทิตย์ในหน้าร้อน ท้องฟ้าเข้มมีเมฆขาวลอยเป็นหย่อม ๆ อยู่ห่างไกลโดยลมพัดมาเป็นระยะ เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากผิวหนังแม้จะอยู่ในร่มยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมาอยู่หน้าเตาไฟในครัวควันหอมกรุ่นของน้ำเคี่ยวพริกแกงส้มลอยฟุ้งผ่านช่องหน้าต่างบานเกล็ดโชยพัดกลิ่นเครื่องปรุงขึ้นมาให้คุณพ่อตำรวจของบ้านได้รับรู้ พูนในชุดไปรเวทเสื้อคอกลมนั่งผ้าขาวม้าคว้าช้อนจากในตะแกรงตากมาตักน้ำแกงชิมรสชาติด้วยความชำนาญก่อนจะหันลงไปมองเด็กชายตัวจิ๋วที่ยืนเกาะโต๊ะครัวหลังช่วยเขาฉีกเนื้อปลาลงหม้อ“รบ ลงไปเรียกป๊ากับพี่ขึ้นมาได้เลย”“จ้ะ!”เสียงใสที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากร่างกายซึ่งเติบโตขึ้นตอบรับพร้อมแววตาเป็นประกายสดใส ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกจากครัวลงบ้านไปเมื่อปลายปีที่แล้วพวกเขาตัดสินใจได้ว่าจะรับเด็กมาเลี้ยงตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ จนได้มีเด็กเข้ามาอยู่ในบ้านถึงสองคนซึ่งเป็นพี่น้องที่อายุต่างกันหนึ่งปีเศษ โดยสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่พวกเขาไปมาเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรและกำลังอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมไ