Share

บทที่ ๒ แผนเพิ่มพูนความรัก

เขาเป็นเด็กที่เกิดมาท่ามกลางสภาวะสงคราม แม้ผ่านมาเพียงสองปีมันจะจบลงทว่ามันไม่แปลว่าเศรษฐกิจจะฟื้นฟูขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะมันเป็นช่วงเวลาอันไกลพ้นและสั้นกุด เขาจึงไม่สามารถจำหน้าพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองได้ ญาติหลายต่อหลายคนที่มาร่วมงานศพขนาดย่อมในวัดเล็ก ๆ กลางพระนครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพ่อแม่ซึ่งป่วยออด ๆ แอด ๆ ของเขาตั้งใจเลี้ยงดูลูกชายเพียงคนเดียวมากแค่ไหน สิ่งที่พวกท่านหลงเหลืออยู่คงจะเป็นเลือดที่ไหลเวียนอยู่และชื่อสกุล

พูนไม่อาจจำได้ว่าตัวเองเมื่อครั้งอายุสิบขวบรู้สึกเศร้าโศกขนาดไหน บางทีอาจจะไม่สมควรเป็นวัยที่รู้จักความเศร้าจากความสูญเสียด้วยซ้ำไป งานวันนั้นเขาถูกจับแต่งตัวจากคุณย่าที่ยังไม่คุ้นหน้า และถูกจูงมางานเมื่อถึงเวลา ร่วมงานสีดำตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ในหัวมันรู้สึกว่างเปล่าพิกล รู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลย

‘น่าสงสาร เด็กตัวแค่นี้เอง’

‘แล้วใครจะรับไปเลี้ยงต่อล่ะ’

‘วัยกำลังโตเสียด้วย’

พูนในวัยเด็กพร้อมชุดเสื้อสีดำนั่งแกว่งขามองพื้นศาลาขณะรอกลับในช่วงค่ำหลังจากร้องไห้จนไม่มีน้ำตาหลงเหลืออยู่ เขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าต่อจากนี้เขาจะไปอยู่กับใคร เขาได้ยินญาติเหล่านั้นพูดว่าเขาอาจจะถูกส่งตัวไปอยู่กับปู่ซึ่งไม่ได้ติดต่อกับพ่อมานานมากแล้ว พ่อแม่เขาเองก็พอมีสินทรัพย์มรดกอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ขึ้นชื่อว่าอยู่ในภาวะหลังสงคราม เงินทองที่ว่านั้นไม่ได้มีมากมายนักหรอก ป้าเหล่านั้นพูดออกมา

มีคนเข้ามาทักทายบ้าง แสดงความเสียใจบ้าง แม้มันจะเป็นงานของพ่อแม่แท้ ๆ แต่เขาก็เริ่มง่วงงุนขึ้นมาจนอยากจะกลับบ้านไปนอนแล้วสิ

“หนูจ๊ะ”

‘?’

เสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้น พูนในวัยเยาว์จึงเงยหน้ามามองอย่างเบื่อหน่าย แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าทำให้เขาสงสัยขึ้นมาแทน ทำไมเสียงเหมือนผู้ชายแต่แต่งหน้าทาปากเหมือนผู้หญิง

“ต่อจากนี้มาอยู่กับน้านะจ๊ะ”

พูนกำลังงงงวยในหลาย ๆ ความหมาย เมื่อสักครู่เขาได้ยินแล้วว่าอีกฝ่ายคือเจ้าของเสียง และเมื่อสังเกตดูดี ๆ แม้ภายนอกจะรวบผมเป็นมวย หน้าตาสะสวย แต่ฝ่ามือเต็มไปด้วยเส้นเลือดพร้อมข้อนิ้วชัดเจน ไม่นานก็มีคุณลุงร่างท้วมอีกคนเดินเข้ามาย่อตัวลงอีกคนตรงหน้าเขา

“ไม่ต้องกลัวหรอก ลุงเป็นพี่ชายของพ่อหนูเอง ต่อจากนี้มาอยู่ด้วยกันนะ”

คืนนั้นแทนที่ตัวเขาจะถูกคุณย่าที่ไหนก็ไม่รู้เดินจูงมือกลับไปอยู่บ้านหลังเก่าคนเดียว กลายเป็นว่ามือทั้งสองข้างถูกจับจูงโดยพ่อใหม่ทั้งสองคน และเขาจะไม่บอกว่าตัวเองขณะเดินทางบนรถไฟเผลออาเจียนเพราะเมารถหรอกนะ เกิดมาทั้งชีวิตพึ่งรู้นี่แหละว่าตัวเองอยู่บนยานพาหนะทำนองนี้ไม่ได้

พ่อเทียบ ทำงานเป็นพ่อค้าขายบะหมี่หมูแดงอยู่ที่พิษณุโลกซึ่งเป็นบ้าน เมื่อน้องชายเสียชีวิตจึงปิดร้านมาร่วมงานในพระนครเป็นการชั่วคราว และป๊าอำพัน อดีตนักแสดงงิ้ว ปัจจุบันผันตัวมาเป็นลูกมือของพ่อเทียบ

เพราะความไม่คุ้นเคยเขาจึงได้แต่เก็บข้อสงสัยเอาไว้ในใจ ว่าทำไมพ่อกับป๊าถึงเป็นผู้ชายทั้งคู่ รวมไปถึงเหตุผลว่าทำไมถึงมารับเลี้ยงเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนคนได้รางวัลอย่างไรอย่างนั้น

เขาถูกพาตัวมาอยู่ในใจกลางเมืองพิษณุโลกซึ่งไม่ได้มีโคมไฟระย้า หรือรถรามากมายเหมือนในเมืองกรุง ซ้ำยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้และบ้านหลังเล็กหลังน้อยที่ตั้งห่างออกจากกันเพื่อปลูกผักสวนครัวเอาไว้กินกันในบ้าน

แรกเริ่มเดิมทีเขาไม่ใช่คนพูดน้อย ทว่าอาทิตย์แรกที่มาอยู่บ้านเขาทำได้แต่ชะเง้อดูว่าพวกผู้ใหญ่เขาทำอะไรกัน และมองเหล่าลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามานั่งตามโต๊ะที่ถูกจัดเอาไว้ตามคันร่มยักษ์

เด็กชายพูนนอกจากจะได้เห็นยังได้ยินสำเนียงการพูดแปร่งหูที่ต่างไปจากชาวพระนครนิดหน่อย คงเพราะเป็นช่วงที่ยังพูดไม่คล่องจะพูดคำใหม่จึงต้องอิงตามสิ่งที่ได้ยินมา

“พูนจ๊ะ”

“เฮือก!?”

เด็กชายเสื้อโปโลกางเกงขาสั้นสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองปะป๊าที่เดินมาทัก หลังไปล้างไม้ล้างมือมา อำพันย่อตัวมองเด็กน้อยตัวเกร็ง เขาเข้าใจได้ถึงความรู้สึกอันไม่คุ้นเคย

ที่ผ่านมาเขากับพี่เทียบด้วยความตื่นเต้นที่จะมีสมาชิกใหม่เป็นเด็กชายตัวน้อยเข้ามาร่วมชายคาจึงพาหนูพูนไปห้างร้านซื้อของยกใหญ่โดยไม่ทันได้สังเกตว่าเด็กน้อยกำลังกลัวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันแบบนี้

“ป๊าเห็นว่ามีคนย้ายมาอยู่ที่บ้านตรงหัวมุม ป๊าฝากพูนเอาบะหมี่ไปให้ได้ไหมจ๊ะ?”

“ดะ...ได้จ้ะ”

อำพันยิ้มกว้างก่อนจะขอตัวไปบอกพี่เทียบให้ตระเตรียมของใส่ปิ่นโตสำหรับเยี่ยมเพื่อนบ้านคนใหม่ พวกเขาอยู่ที่นี่มานานจึงอยากทำอะไรเป็นของขวัญต้อนรับ และก็เผื่อว่าอาหารจะถูกปากจนบ้านนั้นแวะเวียนมาซื้อ

พูนซึ่งได้รับภารกิจจึงมานั่งรอหน้าบ้าน มีพวกลุงเมาแต่หัววันเดินมาทักทายตามประสา นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ได้ลองคุยกับคนอื่นนอกจากพ่อกับป๊า

“บ้านตรงหัวมุม แถวศาล...”

พูนท่องประโยคในหัว มันไม่ได้ไกลจากระยะสายตามากเพียงแต่เขากลัวว่าตัวเองจะลืมจนหลงทาง

จนในที่สุดเขาก็มาถึง มันเป็นบ้านหลังเก่าที่โครงทำจากไม้และใช้สังกะสีเป็นผนัง หรือจะเรียกว่ากระต๊อบเลยก็ยังได้

“เอ้า! เจ้าหนู มาหาใครล่ะเนี่ย”

“ป๊าให้เอาบะหมี่มาให้จ้ะ”

“ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะ”

คุณป้าคนนั้นเอาปิ่นโตไปเปิดดูก่อนจะแสดงสีหน้าดีใจ เขาบอกที่อยู่ร้านไปเมื่อเจ้าหล่อนถามก่อนจะได้เวลากลับ พูนเดินตัวเปล่าเตะฝุ่นไปเรื่อยก่อนจะเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งวิ่งสวนเข้าไปทางกระต๊อบหลังนั้น คงจะเป็นลูกของคุณป้าคนนั้นกระมัง

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

เขาอยู่ด้วยอารมณ์เนือย ๆ มาตลอดสองปีมันไม่ง่ายที่จะเปิดใจทั้งหมด จนเข้าเรียนชั้น ม.๑ นั่นจึงพอทำให้เขาเริ่มมีสังคมมีเพื่อนขึ้นมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะบ้าง และมันก็ทำให้เขาไม่หวาดกลัวเมืองพิษณุโลกอย่างที่เคยเป็น

แต่ด้วยความที่ไม่ใช่คนชอบเที่ยวเล่นเมื่อเรียนเสร็จตอนบ่ายสาม หากไม่มีนัดเตะตะกร้อก็จะตรงกลับบ้านมาช่วยงานร้านบะหมี่ของพ่อทันที ช่วยจดรายการอาหารบ้าง ช่วยล้างจานหลังครัวบ้างแล้วแต่วันไหนลูกค้าเยอะลูกค้าน้อย รวมไปถึงเป็นคนคุ้มกันพ่อเทียบไม่ให้เอาอีโต้สับหัวลูกค้าที่แอบแต๊ะอั๋งป๊าอำพัน เป็นงานที่เหนื่อยพอสมควรเลยเชียว

“พูน พ่อฝากเอาขยะไปทิ้งทีนะ”

“จ้ะ”

หลังปิดร้านในช่วงเย็นประมาณห้าโมงเย็นจะมีขยะสดบางส่วนจากการปรุงอาหาร จึงเป็นเขาที่รับหน้าที่เดินเอามันไปทิ้งลงถังหน้าปากซอย

“อันนี้ ใช่ของพี่รึเปล่าจ๊ะ?”

“หือ?”

พูนวัยสิบสองขวบหันไปมองเด็กชายตัวจิ๋วซึ่งเดินเตาะแตะ ก้มหยิบเหรียญสตางค์ยื่นมาทางเขา เมื่อตรวจสอบดูในกระเป๋ากางเกงตัวโคร่งมันก็หายไปจริง ๆ

“ใช่ ขอบใจนะ”

“พี่ย้ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอจ๊ะ ฉันไม่เคยเห็นเลย?”

อีกฝ่ายเป็นเด็กซึ่งอายุห่างจากเขาประมาณปีสองปีเห็นจะได้ ถ้าจำไม่ผิดคงจะเป็นเด็กจิ๋วที่วิ่งสวนทางเขาไปทางกระต๊อบหลังนั้น

“ฉันย้ายมาเมื่อสองปีที่แล้ว”

“อ๋อ พี่ชายร้านบะหมี่ใช่ไหมจ๊ะ?”

“ใช่”

พูนได้ยินเด็กน้อยถามเจื้อยแจ้วก็ชักจะทำตัวไม่ถูก ปกติเจอแต่เพื่อนที่โรงเรียน และเพราะเป็นม.๑ จึงไม่มีรุ่นน้องให้สนทนาพาที ไหนจะสายตากลมแป๋วที่จ้องมาอย่างแปลก ๆ อีก หรือหน้าเขาจะยังมีเศษผักชีติดอยู่หลังมื้อเย็น

“พี่ชาย เป็นลูกของเจ้าของร้านบะหมี่เหรอจ๊ะ?”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“แต่คุณน้าเขาเป็นผู้ชาย มีลูกกันไม่ได้นะจ๊ะ”

“ฉันเป็นลูกเลี้ยงน่ะ”

พูนตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะใช่ว่าเขาจะเจอคำถามแบบนี้เป็นครั้งแรก เรียกได้ว่าตั้งแต่เพื่อนทั้งห้องรู้เรื่องครอบครัวก็ตีได้เลยว่าตลอดปีการศึกษาเขาจะสามารถมีเพื่อนได้สักกี่คน ไม่เกี่ยวหรอกว่าตัวเขาจะเป็นมิตรแค่ไหน

การที่มีพ่อเป็นผู้ชายและแม่เป็นกะเทยอย่างที่ใครเขาเรียก มันคงไม่เจริญหูเจริญตาและเป็นที่ขบขันในสายตาคนอื่น แต่เขาพอจะชินแล้ว เพราะก็เห็นอยู่ว่าคนที่ล้อเลียนมันก็มานั่งกินที่ร้านเพื่อมองป๊าอำพันออกจะบ่อย

พูนคิดว่านั่นจะเป็นบทสนทนาเพียงแค่ครั้งเดียว ทว่าหลังจากนั้นทุกวันเขาก็จะเห็นเจ้าเด็กจิ๋ววิ่งต๊อก ๆ ถือห่อขยะมาทิ้งในถังเดียวกันทุกวันพร้อมพูดคุย แม้เขาจะคิดว่าการคุยหน้าถังขยะมันออกจะฉุนจมูกไปสักหน่อย แต่มันก็แค่ครู่เดียว

นับวันความสนิทก็คล้ายจะเพิ่มมากขึ้น จนเขาต้องพากันย้ายมานั่งเล่นกันในบ้านทุกเย็นแทน ซึ่งพ่อกับป๊าก็ยินดีต้อนรับทั้งยังมีฝากกับข้าวให้ไปฝากที่บ้านทุกครั้ง

“จะออกจากโรงเรียนเหรอ?”

“จ้ะ ช่วงนี้แม่เขาบอกไม่ค่อยมีลูกค้า เลยต้องหยุดไปก่อน”

พูนไม่รู้ว่ามารดาของเด็กชายทำอะไรแต่มันคงไม่ได้มั่นคงมากมายนัก ทีแรกเขานึกว่าเมื่อเวลาผ่านไปเราจะได้มาเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกันเมื่อเจ้าน้องขึ้นมัธยมเสียอีก

ด้วยว่าเขามีน้องคนนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเกือบจะทุกเย็น มื้อเที่ยงก็กลับมากินข้าวร้านพ่อ ส่วนค่าขนมเขาจะพยายามเก็บเพื่อหาซื้ออะไรมาเผื่อ

รวมไปถึงก็เป็นเด็กคนนี้ที่ช่วยให้เขามีความกล้ามากขึ้นในการอยู่ร่วมกับครอบครัวที่ถือว่าเป็นสังคมใหม่ กล่าวกันตามตรงแม้ปากจะเรียกพ่อ-ป๊าทุกเช้าเย็นที่มันก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ ๆ คล้ายกับเสี้ยนชิ้นเล็ก แม้ไม่เจ็บมากมายแต่ชวนให้รำคาญใจ การได้สนทนากับน้องถือเป็นตัวต่อชิ้นสำคัญในชีวิตช่วงนั้น

‘ทำไมไม่ลองถามไปตรง ๆ ล่ะจ๊ะ คุณลุงสองคนนั้นเขาใจดีจะตาย’

‘พี่ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง’

‘เรื่องยังไม่เกิดเลยนะจ๊ะ แค่ลองเอง ไม่เสียหายหรอก’

‘พี่ขอบคุณเรามากจริง ๆ ถ้าไม่มี___ พี่คงไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟัง’

ไม่ว่าจะนึกเท่าไรก็ยังนึกไม่ออก ชื่อชื่อนั้น คงจะมีแต่แววตาสดใสราวดอกทานตะวันและความซื่อตรงที่เขาจดจำได้มาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากเรื่องจริงจังแล้วส่วนใหญ่ที่พวกเขาสนทนากันก็มักจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องราวสามัญทั่วไปที่เห็นกันได้ทุกเช้าที่ตื่นมา แต่น่าแปลกที่มันไม่เคยทำให้เขารู้สึกเบื่อขึ้นมาได้เลย

‘เราว่าเป็นตำรวจแล้วเท่เหรอ?’

‘จ้ะ ใส่เครื่องแบบ ตามจับโจรบนหลังม้า เท่จะตายไป พี่ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?’

‘กะ... ก็เท่ดีนะ เราเลยอยากเป็นเหรอ?’

‘ใช่จ้ะ แล้วพี่อยากทำอะไรเหรอจ๊ะ?’

‘เป็นนักล้างจานล่ะมั้ง’

พูนกล่าวตามความเป็นจริง เขายังไม่มีความฝันอยากจะทำอะไรหรอก เพราะจะอาชีพไหน ๆ มันก็คล้ายคลึงและดูเหน็ดเหนื่อยมันไปเสียหมด ก็จะมีแต่ล้างจานร้านบะหมี่นี่แหละที่แม้จะปวดตูดตอนนั่งสักหน่อย แต่พอลากพัดลมมาเป่าคลายร้อนก็สบายแล้ว

แต่ตำรวจ...ลองพยายามดูสักหน่อยก็ไม่เลว

พออยู่กับเจ้าน้องนานวันเข้า เขารู้สึกว่าจะได้นิสัยตรงแหน็วไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดติดมาด้วยเลยเชียว มารู้ตัวอีกทีเขาก็สามารถเรียกพ่อทั้งสองว่าเป็นครอบครัวได้อย่างเต็มปาก กล้ามองโลกในแง่บวกมากขึ้นจนถึงกับหันไปสงสัยตัวเองที่เคยระแวงไปเสียทุกสิ่ง

“แล้วเรามาบ้านพี่ทุกวัน พ่อกับแม่จะไม่ว่าเอาเหรอ?”

“ไม่ว่าหรอกจ้ะ เพราะมาทีไรได้ของฝากกลับไปตลอดเลย”

“ฮ่า ๆ งั้นเหรอ”

พูนหัวเราะในคำตอบอันใสซื่อของเด็กชาย อีกฝ่ายก็พูดมากมายไป ที่พ่อกับป๊าเขาให้ก็เป็นเพียงบะหมี่ส่วนหนึ่งที่เหลือจากการขายเท่านั้นเอง ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย แต่บ้านเจ้าตัวก็ยังจะฝากมาขอบคุณอยู่เป็นนิจ

พูนใช้ชีวิตแบบนี้มาเรื่อย ๆ มีแวะเอาของไปฝากที่กระต๊อบสังกะสีบ้างเป็นบางครั้งบางคราวจนได้เจอเหล่าน้องคนเล็กของเจ้าตัว ได้เล่นด้วยกันจนเรียกได้ว่ามันกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว

“วันนี้น้องเขาก็ไม่มาเหรอจ๊ะ?”

“จ้ะป๊า ฉันไปดูที่บ้านแล้ว แต่เงียบกริบเลย”

เข้าสัปดาห์ที่สองที่เจ้าน้องไม่มาเล่นด้วย ไปที่กระต๊อบก็ไร้วี่แวว เขาอุตส่าห์เตรียมซื้อขนมมารอทุกวัน แต่สุดท้ายก็ต้องเก็บกินเอง และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่ต้องทำเช่นนั้น

“พ่อลองไปถามกำนันมา เห็นว่าย้ายออกไปแล้วนะ”

“จริงเหรอ...”

พูนตกใจเล็กน้อยแต่ที่ยิ่งกว่าคือความว่างเปล่าที่ปรากฏขึ้น ต่อให้จะเคยเสียคนที่รักไปแล้วแต่มันก็ไม่สามารถทำใจยอมรับได้เร็วเลย ถึงมีเพื่อนที่โรงเรียนคอยพูดคุยเล่นกีฬาสนุกสนานแต่คล้ายว่ามันขาดอะไรไปบางอย่าง ตอนนอนเขาจึงได้แต่ครุ่นคิดนอนพลิกตัวไปมาหลายคืนจนป๊าอำพันเป็นห่วงขึ้นมา

“พูนลูก อยากเจอน้องเขามากเลยเหรอจ๊ะ?”

“จ้ะ”

“เหมือนพ่อสมัยหนุ่ม ๆ เลยนะ ตอนอำพันบอกจะย้ายคณะ”

“พี่! ลูกชายเขาเครียดอยู่ พูดจาเดี๋ยวเถอะ”

“ฮ่า ๆ จะเครียดไปทำไม เดี๋ยวสักวันถ้าเป็นเนื้อคู่ก็ต้องได้เจออยู่ดี เหมือนพ่อกับป๊าไง”

คงเพราะมีพ่อเทียบซึ่งพื้นฐานเป็นคนอารมณ์ดี เขาจึงไม่ได้มองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับโลกแตก กลับกันยังอยากเชื่อคำว่า ‘เนื้อคู่’ ที่พ่อพูดขึ้นมาทั้งที่ไม่เชื่อในเรื่องโชคชะตามาก่อนเสียด้วยซ้ำ

“ลูกบอกว่าน้องชอบอะไรที่มันเท่ใช่ไหมล่ะ ลองทำแบบนั้นดูสิ”

“อืม...”

“อย่าไปเชื่อพ่อเขามากนะจ๊ะพูน เราทำเพราะตัวเองอยากทำก็พอแล้ว ส่วนเรื่องน้องเขาก็ปล่อยใจสบาย ๆ นะจ๊ะ”

“จ้ะ!”

ถึงจะเป็นฤดูหนาวที่ภายนอกเย็นเฉียบ หรือที่ผ่านมาเขาจะเจอเรื่องราวมากมายแต่เพราะมีไออุ่นจากพ่อทั้งสองคนเขาจึงรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมากพอที่จะมองทุกปัญหาเป็นความท้าทายมากกว่าอุปสรรค แม้มันจะเป็นส่วนเล็ก ๆ ใต้จิตสำนึก แต่เขาก็หวังว่าสักวันเราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status