เขาเป็นเด็กที่เกิดมาท่ามกลางสภาวะสงคราม แม้ผ่านมาเพียงสองปีมันจะจบลงทว่ามันไม่แปลว่าเศรษฐกิจจะฟื้นฟูขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะมันเป็นช่วงเวลาอันไกลพ้นและสั้นกุด เขาจึงไม่สามารถจำหน้าพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองได้ ญาติหลายต่อหลายคนที่มาร่วมงานศพขนาดย่อมในวัดเล็ก ๆ กลางพระนครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพ่อแม่ซึ่งป่วยออด ๆ แอด ๆ ของเขาตั้งใจเลี้ยงดูลูกชายเพียงคนเดียวมากแค่ไหน สิ่งที่พวกท่านหลงเหลืออยู่คงจะเป็นเลือดที่ไหลเวียนอยู่และชื่อสกุล
พูนไม่อาจจำได้ว่าตัวเองเมื่อครั้งอายุสิบขวบรู้สึกเศร้าโศกขนาดไหน บางทีอาจจะไม่สมควรเป็นวัยที่รู้จักความเศร้าจากความสูญเสียด้วยซ้ำไป งานวันนั้นเขาถูกจับแต่งตัวจากคุณย่าที่ยังไม่คุ้นหน้า และถูกจูงมางานเมื่อถึงเวลา ร่วมงานสีดำตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ในหัวมันรู้สึกว่างเปล่าพิกล รู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลย
‘น่าสงสาร เด็กตัวแค่นี้เอง’
‘แล้วใครจะรับไปเลี้ยงต่อล่ะ’
‘วัยกำลังโตเสียด้วย’
พูนในวัยเด็กพร้อมชุดเสื้อสีดำนั่งแกว่งขามองพื้นศาลาขณะรอกลับในช่วงค่ำหลังจากร้องไห้จนไม่มีน้ำตาหลงเหลืออยู่ เขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าต่อจากนี้เขาจะไปอยู่กับใคร เขาได้ยินญาติเหล่านั้นพูดว่าเขาอาจจะถูกส่งตัวไปอยู่กับปู่ซึ่งไม่ได้ติดต่อกับพ่อมานานมากแล้ว พ่อแม่เขาเองก็พอมีสินทรัพย์มรดกอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ขึ้นชื่อว่าอยู่ในภาวะหลังสงคราม เงินทองที่ว่านั้นไม่ได้มีมากมายนักหรอก ป้าเหล่านั้นพูดออกมา
มีคนเข้ามาทักทายบ้าง แสดงความเสียใจบ้าง แม้มันจะเป็นงานของพ่อแม่แท้ ๆ แต่เขาก็เริ่มง่วงงุนขึ้นมาจนอยากจะกลับบ้านไปนอนแล้วสิ
“หนูจ๊ะ”
‘?’
เสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้น พูนในวัยเยาว์จึงเงยหน้ามามองอย่างเบื่อหน่าย แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าทำให้เขาสงสัยขึ้นมาแทน ทำไมเสียงเหมือนผู้ชายแต่แต่งหน้าทาปากเหมือนผู้หญิง
“ต่อจากนี้มาอยู่กับน้านะจ๊ะ”
พูนกำลังงงงวยในหลาย ๆ ความหมาย เมื่อสักครู่เขาได้ยินแล้วว่าอีกฝ่ายคือเจ้าของเสียง และเมื่อสังเกตดูดี ๆ แม้ภายนอกจะรวบผมเป็นมวย หน้าตาสะสวย แต่ฝ่ามือเต็มไปด้วยเส้นเลือดพร้อมข้อนิ้วชัดเจน ไม่นานก็มีคุณลุงร่างท้วมอีกคนเดินเข้ามาย่อตัวลงอีกคนตรงหน้าเขา
“ไม่ต้องกลัวหรอก ลุงเป็นพี่ชายของพ่อหนูเอง ต่อจากนี้มาอยู่ด้วยกันนะ”
คืนนั้นแทนที่ตัวเขาจะถูกคุณย่าที่ไหนก็ไม่รู้เดินจูงมือกลับไปอยู่บ้านหลังเก่าคนเดียว กลายเป็นว่ามือทั้งสองข้างถูกจับจูงโดยพ่อใหม่ทั้งสองคน และเขาจะไม่บอกว่าตัวเองขณะเดินทางบนรถไฟเผลออาเจียนเพราะเมารถหรอกนะ เกิดมาทั้งชีวิตพึ่งรู้นี่แหละว่าตัวเองอยู่บนยานพาหนะทำนองนี้ไม่ได้
พ่อเทียบ ทำงานเป็นพ่อค้าขายบะหมี่หมูแดงอยู่ที่พิษณุโลกซึ่งเป็นบ้าน เมื่อน้องชายเสียชีวิตจึงปิดร้านมาร่วมงานในพระนครเป็นการชั่วคราว และป๊าอำพัน อดีตนักแสดงงิ้ว ปัจจุบันผันตัวมาเป็นลูกมือของพ่อเทียบ
เพราะความไม่คุ้นเคยเขาจึงได้แต่เก็บข้อสงสัยเอาไว้ในใจ ว่าทำไมพ่อกับป๊าถึงเป็นผู้ชายทั้งคู่ รวมไปถึงเหตุผลว่าทำไมถึงมารับเลี้ยงเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนคนได้รางวัลอย่างไรอย่างนั้น
เขาถูกพาตัวมาอยู่ในใจกลางเมืองพิษณุโลกซึ่งไม่ได้มีโคมไฟระย้า หรือรถรามากมายเหมือนในเมืองกรุง ซ้ำยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้และบ้านหลังเล็กหลังน้อยที่ตั้งห่างออกจากกันเพื่อปลูกผักสวนครัวเอาไว้กินกันในบ้าน
แรกเริ่มเดิมทีเขาไม่ใช่คนพูดน้อย ทว่าอาทิตย์แรกที่มาอยู่บ้านเขาทำได้แต่ชะเง้อดูว่าพวกผู้ใหญ่เขาทำอะไรกัน และมองเหล่าลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามานั่งตามโต๊ะที่ถูกจัดเอาไว้ตามคันร่มยักษ์
เด็กชายพูนนอกจากจะได้เห็นยังได้ยินสำเนียงการพูดแปร่งหูที่ต่างไปจากชาวพระนครนิดหน่อย คงเพราะเป็นช่วงที่ยังพูดไม่คล่องจะพูดคำใหม่จึงต้องอิงตามสิ่งที่ได้ยินมา
“พูนจ๊ะ”
“เฮือก!?”
เด็กชายเสื้อโปโลกางเกงขาสั้นสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองปะป๊าที่เดินมาทัก หลังไปล้างไม้ล้างมือมา อำพันย่อตัวมองเด็กน้อยตัวเกร็ง เขาเข้าใจได้ถึงความรู้สึกอันไม่คุ้นเคย
ที่ผ่านมาเขากับพี่เทียบด้วยความตื่นเต้นที่จะมีสมาชิกใหม่เป็นเด็กชายตัวน้อยเข้ามาร่วมชายคาจึงพาหนูพูนไปห้างร้านซื้อของยกใหญ่โดยไม่ทันได้สังเกตว่าเด็กน้อยกำลังกลัวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันแบบนี้
“ป๊าเห็นว่ามีคนย้ายมาอยู่ที่บ้านตรงหัวมุม ป๊าฝากพูนเอาบะหมี่ไปให้ได้ไหมจ๊ะ?”
“ดะ...ได้จ้ะ”
อำพันยิ้มกว้างก่อนจะขอตัวไปบอกพี่เทียบให้ตระเตรียมของใส่ปิ่นโตสำหรับเยี่ยมเพื่อนบ้านคนใหม่ พวกเขาอยู่ที่นี่มานานจึงอยากทำอะไรเป็นของขวัญต้อนรับ และก็เผื่อว่าอาหารจะถูกปากจนบ้านนั้นแวะเวียนมาซื้อ
พูนซึ่งได้รับภารกิจจึงมานั่งรอหน้าบ้าน มีพวกลุงเมาแต่หัววันเดินมาทักทายตามประสา นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ได้ลองคุยกับคนอื่นนอกจากพ่อกับป๊า
“บ้านตรงหัวมุม แถวศาล...”
พูนท่องประโยคในหัว มันไม่ได้ไกลจากระยะสายตามากเพียงแต่เขากลัวว่าตัวเองจะลืมจนหลงทาง
จนในที่สุดเขาก็มาถึง มันเป็นบ้านหลังเก่าที่โครงทำจากไม้และใช้สังกะสีเป็นผนัง หรือจะเรียกว่ากระต๊อบเลยก็ยังได้
“เอ้า! เจ้าหนู มาหาใครล่ะเนี่ย”
“ป๊าให้เอาบะหมี่มาให้จ้ะ”
“ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะ”
คุณป้าคนนั้นเอาปิ่นโตไปเปิดดูก่อนจะแสดงสีหน้าดีใจ เขาบอกที่อยู่ร้านไปเมื่อเจ้าหล่อนถามก่อนจะได้เวลากลับ พูนเดินตัวเปล่าเตะฝุ่นไปเรื่อยก่อนจะเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งวิ่งสวนเข้าไปทางกระต๊อบหลังนั้น คงจะเป็นลูกของคุณป้าคนนั้นกระมัง
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เขาอยู่ด้วยอารมณ์เนือย ๆ มาตลอดสองปีมันไม่ง่ายที่จะเปิดใจทั้งหมด จนเข้าเรียนชั้น ม.๑ นั่นจึงพอทำให้เขาเริ่มมีสังคมมีเพื่อนขึ้นมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะบ้าง และมันก็ทำให้เขาไม่หวาดกลัวเมืองพิษณุโลกอย่างที่เคยเป็น
แต่ด้วยความที่ไม่ใช่คนชอบเที่ยวเล่นเมื่อเรียนเสร็จตอนบ่ายสาม หากไม่มีนัดเตะตะกร้อก็จะตรงกลับบ้านมาช่วยงานร้านบะหมี่ของพ่อทันที ช่วยจดรายการอาหารบ้าง ช่วยล้างจานหลังครัวบ้างแล้วแต่วันไหนลูกค้าเยอะลูกค้าน้อย รวมไปถึงเป็นคนคุ้มกันพ่อเทียบไม่ให้เอาอีโต้สับหัวลูกค้าที่แอบแต๊ะอั๋งป๊าอำพัน เป็นงานที่เหนื่อยพอสมควรเลยเชียว
“พูน พ่อฝากเอาขยะไปทิ้งทีนะ”
“จ้ะ”
หลังปิดร้านในช่วงเย็นประมาณห้าโมงเย็นจะมีขยะสดบางส่วนจากการปรุงอาหาร จึงเป็นเขาที่รับหน้าที่เดินเอามันไปทิ้งลงถังหน้าปากซอย
“อันนี้ ใช่ของพี่รึเปล่าจ๊ะ?”
“หือ?”
พูนวัยสิบสองขวบหันไปมองเด็กชายตัวจิ๋วซึ่งเดินเตาะแตะ ก้มหยิบเหรียญสตางค์ยื่นมาทางเขา เมื่อตรวจสอบดูในกระเป๋ากางเกงตัวโคร่งมันก็หายไปจริง ๆ
“ใช่ ขอบใจนะ”
“พี่ย้ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอจ๊ะ ฉันไม่เคยเห็นเลย?”
อีกฝ่ายเป็นเด็กซึ่งอายุห่างจากเขาประมาณปีสองปีเห็นจะได้ ถ้าจำไม่ผิดคงจะเป็นเด็กจิ๋วที่วิ่งสวนทางเขาไปทางกระต๊อบหลังนั้น
“ฉันย้ายมาเมื่อสองปีที่แล้ว”
“อ๋อ พี่ชายร้านบะหมี่ใช่ไหมจ๊ะ?”
“ใช่”
พูนได้ยินเด็กน้อยถามเจื้อยแจ้วก็ชักจะทำตัวไม่ถูก ปกติเจอแต่เพื่อนที่โรงเรียน และเพราะเป็นม.๑ จึงไม่มีรุ่นน้องให้สนทนาพาที ไหนจะสายตากลมแป๋วที่จ้องมาอย่างแปลก ๆ อีก หรือหน้าเขาจะยังมีเศษผักชีติดอยู่หลังมื้อเย็น
“พี่ชาย เป็นลูกของเจ้าของร้านบะหมี่เหรอจ๊ะ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“แต่คุณน้าเขาเป็นผู้ชาย มีลูกกันไม่ได้นะจ๊ะ”
“ฉันเป็นลูกเลี้ยงน่ะ”
พูนตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะใช่ว่าเขาจะเจอคำถามแบบนี้เป็นครั้งแรก เรียกได้ว่าตั้งแต่เพื่อนทั้งห้องรู้เรื่องครอบครัวก็ตีได้เลยว่าตลอดปีการศึกษาเขาจะสามารถมีเพื่อนได้สักกี่คน ไม่เกี่ยวหรอกว่าตัวเขาจะเป็นมิตรแค่ไหน
การที่มีพ่อเป็นผู้ชายและแม่เป็นกะเทยอย่างที่ใครเขาเรียก มันคงไม่เจริญหูเจริญตาและเป็นที่ขบขันในสายตาคนอื่น แต่เขาพอจะชินแล้ว เพราะก็เห็นอยู่ว่าคนที่ล้อเลียนมันก็มานั่งกินที่ร้านเพื่อมองป๊าอำพันออกจะบ่อย
พูนคิดว่านั่นจะเป็นบทสนทนาเพียงแค่ครั้งเดียว ทว่าหลังจากนั้นทุกวันเขาก็จะเห็นเจ้าเด็กจิ๋ววิ่งต๊อก ๆ ถือห่อขยะมาทิ้งในถังเดียวกันทุกวันพร้อมพูดคุย แม้เขาจะคิดว่าการคุยหน้าถังขยะมันออกจะฉุนจมูกไปสักหน่อย แต่มันก็แค่ครู่เดียว
นับวันความสนิทก็คล้ายจะเพิ่มมากขึ้น จนเขาต้องพากันย้ายมานั่งเล่นกันในบ้านทุกเย็นแทน ซึ่งพ่อกับป๊าก็ยินดีต้อนรับทั้งยังมีฝากกับข้าวให้ไปฝากที่บ้านทุกครั้ง
“จะออกจากโรงเรียนเหรอ?”
“จ้ะ ช่วงนี้แม่เขาบอกไม่ค่อยมีลูกค้า เลยต้องหยุดไปก่อน”
พูนไม่รู้ว่ามารดาของเด็กชายทำอะไรแต่มันคงไม่ได้มั่นคงมากมายนัก ทีแรกเขานึกว่าเมื่อเวลาผ่านไปเราจะได้มาเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกันเมื่อเจ้าน้องขึ้นมัธยมเสียอีก
ด้วยว่าเขามีน้องคนนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเกือบจะทุกเย็น มื้อเที่ยงก็กลับมากินข้าวร้านพ่อ ส่วนค่าขนมเขาจะพยายามเก็บเพื่อหาซื้ออะไรมาเผื่อ
รวมไปถึงก็เป็นเด็กคนนี้ที่ช่วยให้เขามีความกล้ามากขึ้นในการอยู่ร่วมกับครอบครัวที่ถือว่าเป็นสังคมใหม่ กล่าวกันตามตรงแม้ปากจะเรียกพ่อ-ป๊าทุกเช้าเย็นที่มันก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ ๆ คล้ายกับเสี้ยนชิ้นเล็ก แม้ไม่เจ็บมากมายแต่ชวนให้รำคาญใจ การได้สนทนากับน้องถือเป็นตัวต่อชิ้นสำคัญในชีวิตช่วงนั้น
‘ทำไมไม่ลองถามไปตรง ๆ ล่ะจ๊ะ คุณลุงสองคนนั้นเขาใจดีจะตาย’
‘พี่ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง’
‘เรื่องยังไม่เกิดเลยนะจ๊ะ แค่ลองเอง ไม่เสียหายหรอก’
‘พี่ขอบคุณเรามากจริง ๆ ถ้าไม่มี___ พี่คงไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟัง’
ไม่ว่าจะนึกเท่าไรก็ยังนึกไม่ออก ชื่อชื่อนั้น คงจะมีแต่แววตาสดใสราวดอกทานตะวันและความซื่อตรงที่เขาจดจำได้มาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากเรื่องจริงจังแล้วส่วนใหญ่ที่พวกเขาสนทนากันก็มักจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องราวสามัญทั่วไปที่เห็นกันได้ทุกเช้าที่ตื่นมา แต่น่าแปลกที่มันไม่เคยทำให้เขารู้สึกเบื่อขึ้นมาได้เลย
‘เราว่าเป็นตำรวจแล้วเท่เหรอ?’
‘จ้ะ ใส่เครื่องแบบ ตามจับโจรบนหลังม้า เท่จะตายไป พี่ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?’
‘กะ... ก็เท่ดีนะ เราเลยอยากเป็นเหรอ?’
‘ใช่จ้ะ แล้วพี่อยากทำอะไรเหรอจ๊ะ?’
‘เป็นนักล้างจานล่ะมั้ง’
พูนกล่าวตามความเป็นจริง เขายังไม่มีความฝันอยากจะทำอะไรหรอก เพราะจะอาชีพไหน ๆ มันก็คล้ายคลึงและดูเหน็ดเหนื่อยมันไปเสียหมด ก็จะมีแต่ล้างจานร้านบะหมี่นี่แหละที่แม้จะปวดตูดตอนนั่งสักหน่อย แต่พอลากพัดลมมาเป่าคลายร้อนก็สบายแล้ว
แต่ตำรวจ...ลองพยายามดูสักหน่อยก็ไม่เลว
พออยู่กับเจ้าน้องนานวันเข้า เขารู้สึกว่าจะได้นิสัยตรงแหน็วไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดติดมาด้วยเลยเชียว มารู้ตัวอีกทีเขาก็สามารถเรียกพ่อทั้งสองว่าเป็นครอบครัวได้อย่างเต็มปาก กล้ามองโลกในแง่บวกมากขึ้นจนถึงกับหันไปสงสัยตัวเองที่เคยระแวงไปเสียทุกสิ่ง
“แล้วเรามาบ้านพี่ทุกวัน พ่อกับแม่จะไม่ว่าเอาเหรอ?”
“ไม่ว่าหรอกจ้ะ เพราะมาทีไรได้ของฝากกลับไปตลอดเลย”
“ฮ่า ๆ งั้นเหรอ”
พูนหัวเราะในคำตอบอันใสซื่อของเด็กชาย อีกฝ่ายก็พูดมากมายไป ที่พ่อกับป๊าเขาให้ก็เป็นเพียงบะหมี่ส่วนหนึ่งที่เหลือจากการขายเท่านั้นเอง ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย แต่บ้านเจ้าตัวก็ยังจะฝากมาขอบคุณอยู่เป็นนิจ
พูนใช้ชีวิตแบบนี้มาเรื่อย ๆ มีแวะเอาของไปฝากที่กระต๊อบสังกะสีบ้างเป็นบางครั้งบางคราวจนได้เจอเหล่าน้องคนเล็กของเจ้าตัว ได้เล่นด้วยกันจนเรียกได้ว่ามันกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว
“วันนี้น้องเขาก็ไม่มาเหรอจ๊ะ?”
“จ้ะป๊า ฉันไปดูที่บ้านแล้ว แต่เงียบกริบเลย”
เข้าสัปดาห์ที่สองที่เจ้าน้องไม่มาเล่นด้วย ไปที่กระต๊อบก็ไร้วี่แวว เขาอุตส่าห์เตรียมซื้อขนมมารอทุกวัน แต่สุดท้ายก็ต้องเก็บกินเอง และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่ต้องทำเช่นนั้น
“พ่อลองไปถามกำนันมา เห็นว่าย้ายออกไปแล้วนะ”
“จริงเหรอ...”
พูนตกใจเล็กน้อยแต่ที่ยิ่งกว่าคือความว่างเปล่าที่ปรากฏขึ้น ต่อให้จะเคยเสียคนที่รักไปแล้วแต่มันก็ไม่สามารถทำใจยอมรับได้เร็วเลย ถึงมีเพื่อนที่โรงเรียนคอยพูดคุยเล่นกีฬาสนุกสนานแต่คล้ายว่ามันขาดอะไรไปบางอย่าง ตอนนอนเขาจึงได้แต่ครุ่นคิดนอนพลิกตัวไปมาหลายคืนจนป๊าอำพันเป็นห่วงขึ้นมา
“พูนลูก อยากเจอน้องเขามากเลยเหรอจ๊ะ?”
“จ้ะ”
“เหมือนพ่อสมัยหนุ่ม ๆ เลยนะ ตอนอำพันบอกจะย้ายคณะ”
“พี่! ลูกชายเขาเครียดอยู่ พูดจาเดี๋ยวเถอะ”
“ฮ่า ๆ จะเครียดไปทำไม เดี๋ยวสักวันถ้าเป็นเนื้อคู่ก็ต้องได้เจออยู่ดี เหมือนพ่อกับป๊าไง”
คงเพราะมีพ่อเทียบซึ่งพื้นฐานเป็นคนอารมณ์ดี เขาจึงไม่ได้มองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับโลกแตก กลับกันยังอยากเชื่อคำว่า ‘เนื้อคู่’ ที่พ่อพูดขึ้นมาทั้งที่ไม่เชื่อในเรื่องโชคชะตามาก่อนเสียด้วยซ้ำ
“ลูกบอกว่าน้องชอบอะไรที่มันเท่ใช่ไหมล่ะ ลองทำแบบนั้นดูสิ”
“อืม...”
“อย่าไปเชื่อพ่อเขามากนะจ๊ะพูน เราทำเพราะตัวเองอยากทำก็พอแล้ว ส่วนเรื่องน้องเขาก็ปล่อยใจสบาย ๆ นะจ๊ะ”
“จ้ะ!”
ถึงจะเป็นฤดูหนาวที่ภายนอกเย็นเฉียบ หรือที่ผ่านมาเขาจะเจอเรื่องราวมากมายแต่เพราะมีไออุ่นจากพ่อทั้งสองคนเขาจึงรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมากพอที่จะมองทุกปัญหาเป็นความท้าทายมากกว่าอุปสรรค แม้มันจะเป็นส่วนเล็ก ๆ ใต้จิตสำนึก แต่เขาก็หวังว่าสักวันเราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
“พ่อ ฉันวางจานเอาไว้ตรงนี้นะจ๊ะ”พูนในวัยสิบห้าย่างสิบหกหยิบยกตะแกรงซึ่งเต็มไปด้วยจานที่ล้างเสร็จหมาด ๆ มาวางไว้บนโต๊ะหินหน้าบ้าน จนถึงตอนนี้ผ่านมาหลักปีเขาก็ยังนึกถึงน้องชายคนนั้นอยู่ตลอด ด้วยว่ายกให้เป็นเพื่อนสนิทคนแรกหลังต้องย้ายมาจากพระนครเด็กหนุ่มยืนจัดเรียงจานให้เข้าที่ แม้เป็นเวลาเพียงสามปีส่วนสูงกลับเพิ่มขึ้นจนจะเท่าคนเป็นพ่ออยู่แล้วเชียว กิจการช่วงนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเช่นเคย รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องคอยปรามพ่อไม่ให้เอาเขียงทุบหัวลูกค้า“เฮ้อ...”พูนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย หากน้องเจ้ายังอยู่ละก็เขาคงมีที่ระบายเพิ่มขึ้น เพราะตั้งแต่วางแผนว่าจะสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ชีวิตเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะเมืองพิษณุโลกไม่มีโรงเรียนตำรวจ มีเพียงสถานีไม้เล็ก ๆ ให้ชาวบ้านไปไกล่เกลี่ยกับตำรวจไม่กี่นาย หากจะเรียนก็ต้องเตรียมตัวสอบข้อเขียนประกอบกับวัดสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะหนักแค่ไหน หรือเขาต้องรู้อะไรก่อนไปสอบบ้าง“ป๊าจ๊ะ ฉันออกไปวิ่งก่อนนะจ๊ะ”“ช่วงนี้มืดเร็ว กลับมาก่อนค่ำนะจ๊ะ”“จ้า”
“ก็บอกว่าผมไม่ใช่คนที่คุณพูดถึงไงครับ”“ไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรหรอก~” ท่ามกลางแสงรำไรจากโคมไฟสีนวลเหนือโต๊ะสูงมีลูกค้าท่านหนึ่งซึ่งเหมือนจะพึ่งเข้ามาร้านนี้เป็นครั้งแรกกำลังนั่งเมามายไม่ได้สติ เอาหน้าไถไปกับโต๊ะไม้คล้ายจะหลอมรวมเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวกันผู้จัดการร้านควบตำแหน่งมือชงซึ่งเช็ดแก้วอยู่ฝั่งตรงข้ามมองพ่อหนุ่มเสียงเหน่ออย่างละเหี่ยใจ ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นไปมองเจ้าแผนซึ่งกำลังวกกลับมาเติมเครื่องดื่มให้ลูกค้า“อย่าลามปามครับ กินของคุณไปเลย”“พูดอย่างนี้พี่น้อยใจนะ~”พูนซึ่งขอสถานที่ดื่มมาจากพ่อเทียบว่าจะมาเดินเล่นเอาสนุกจนมาลงเอยที่ร้านนี้ ไม่น่าเชื่อว่าดื่มไปแค่ไม่กี่แก้วมันจะทำให้เขาที่มั่นใจในลำคอตัวเองเมามายได้ถึงขนาดนี้ภาพตรงหน้าคล้ายจะพร่ามัว ถึงไม่อาจมองอะไรชัดเจนแต่ทุกอย่างเหมือนจะสวยขึ้นผิดหูผิดตา กลิ่นหอมฟุ้งกำจายมากยิ่งกว่าเก่า พอมีเสียงเพลงเอื่อย ๆ จากแผ่นเสียงเข้ามาประกอบยิ่งชวนให้เขาเคลิบเคลิ้มไปกับรสสุรานายตำรวจในชุดไปรเวทเหมือนเมื่อเช้
1. นิยายเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาปีพ.ศ.2485 ทุกตัวละคร และ'บาง'สถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน โปรดใช้วิจารณญาณในการแยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น หรือเรื่องราวซึ่งเป็นเพียงจินตนาการ3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจคู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน)4. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึง สิ่งเสพติด/อบายมุข, การพนัน, ความรุนแรง, การข่มขู่, คำหยาบคาย, นายเอกมีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นนอกเหนือไปจากพระเอก, ฉากล่อแหลมทางเพศ และฉากโจ่งแจ้งทางเพศ (Anal sex, Bare breaking, Blowjob, Clothed sex, Cum drinking, Hand job, Semi-Outdoor, Vanilla)โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .