“พ่อ ฉันวางจานเอาไว้ตรงนี้นะจ๊ะ”
พูนในวัยสิบห้าย่างสิบหกหยิบยกตะแกรงซึ่งเต็มไปด้วยจานที่ล้างเสร็จหมาด ๆ มาวางไว้บนโต๊ะหินหน้าบ้าน จนถึงตอนนี้ผ่านมาหลักปีเขาก็ยังนึกถึงน้องชายคนนั้นอยู่ตลอด ด้วยว่ายกให้เป็นเพื่อนสนิทคนแรกหลังต้องย้ายมาจากพระนคร
เด็กหนุ่มยืนจัดเรียงจานให้เข้าที่ แม้เป็นเวลาเพียงสามปีส่วนสูงกลับเพิ่มขึ้นจนจะเท่าคนเป็นพ่ออยู่แล้วเชียว กิจการช่วงนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเช่นเคย รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องคอยปรามพ่อไม่ให้เอาเขียงทุบหัวลูกค้า
“เฮ้อ...”
พูนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย หากน้องเจ้ายังอยู่ละก็เขาคงมีที่ระบายเพิ่มขึ้น เพราะตั้งแต่วางแผนว่าจะสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ชีวิตเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เพราะเมืองพิษณุโลกไม่มีโรงเรียนตำรวจ มีเพียงสถานีไม้เล็ก ๆ ให้ชาวบ้านไปไกล่เกลี่ยกับตำรวจไม่กี่นาย หากจะเรียนก็ต้องเตรียมตัวสอบข้อเขียนประกอบกับวัดสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะหนักแค่ไหน หรือเขาต้องรู้อะไรก่อนไปสอบบ้าง
“ป๊าจ๊ะ ฉันออกไปวิ่งก่อนนะจ๊ะ”
“ช่วงนี้มืดเร็ว กลับมาก่อนค่ำนะจ๊ะ”
“จ้า”
พูนซึ่งขึ้นไปเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทลงมานั่งสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่าคู่เดิม กลับมาก็น่าจะต้องอ่านหนังสือทบทวนอีกนิดหน่อยเอาไว้สอบไล่สำหรับจบม.๓ คะแนนที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูงแบบนี้แล้วเส้นทางการเป็นตำรวจน่าจะขยับใกล้เข้ามาบ้าง
เขาทำกิจวัตรเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะรู้ตัวเองดีว่าถ้าให้ฝืนอ่านหนังสือหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ทุกวันคงจะตบะแตกในไม่ช้าจึงเลือกหนทางที่ง่ายที่สุดแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย ทว่าเด็กอย่างเขาก็มีเวลาให้ใช้เหลือเฟือหลังเลิกเรียนอยู่แล้ว
มันอาจจะฟังดูแปลกหากเขาจะบอกว่าเป้าหมายเขามีแรงจูงใจเพียงอย่างเดียวคือคำว่า ‘เท่’ ก็แหม พอเริ่มโตมาได้เห็นสังคม เห็นคนเขาพูดถึงข้าราชการตำรวจมากเข้าหน่อยก็ดันคล้อยตาม ใครจะบอกว่าเป็นตำรวจมันดีที่ได้ช่วยเหลือประชาชน พิทักษ์ความถูกต้องเป็นที่เชิดหน้าชูตา แถมได้สวัสดิการหลังเกษียณ แต่นั่นมันเทียบไม่ได้เลยกับเสน่ห์ดึงดูดจากเครื่องแบบนั้น!
เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าน้องถึงได้อยากเป็น พูนคิดแล้วก็วิ่งลั้นลามีความสุข ถึงตอนนี้ความรู้สึกที่เคยคิดถึงแทบเป็นแทบตายจะกลายเป็นความทรงจำดี ๆ ระหว่างพี่น้องข้างบ้านแล้ว แต่แรงบันดาลที่ใจที่ทำให้เขามีความฝันมันไม่เคยเลือนรางไปเลย หากได้กลับมาเจอกัน และจำกันได้ อีกคนจะรู้สึกภูมิใจกับพี่ชายคนนี้หรือเปล่านะ
“พูน! ออกมาวิ่งอีกแล้วเรอะ”
“ครับจารย์!”
“ได้ยินจารย์ชัยแกบอกว่าเอ็งจะลงประกวดร้องเพลงให้ ไม่ซ้อมหน่อยเหรอ?”
“ซ้อมที่โรงเรียนเอาน่ะครับ!”
โรงเรียนที่เขาเข้าศึกษาเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดซึ่งตั้งอยู่ใกล้บ้านเดินไม่กี่ก้าวก็ถึง ทั้งบริเวณด้านข้างยังเป็นบ้านพักครูซึ่งส่วนใหญ่ก็รู้จักเขาที่เป็นเด็กดนตรีทั้งนั้น
จะว่าเป็นเหตุบังเอิญก็ได้ที่เขาติดนิสัยร้องเพลงมาจากป๊าซึ่งเป็นนักสะสมแผ่นเสียง อาจารย์ที่เห็นแววจึงมาทาบทาม ไม่สิขอร้องให้เขาไปประกวด เพราะอยากได้เงินแบ่งมาซื้ออุปกรณ์ดนตรี แถมหากได้ที่หนึ่งอาจารย์แกบอกจะให้เงินเพิ่มอีกด้วย
แรงจูงใจเขามักจะมาจากอะไรที่ไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไรนัก เคยมีเพื่อนแซวเหมือนกันว่าเหตุผลแค่นี้หรือริอ่านจะเป็นตำรวจ แล้วคนเราต้องมีเหตุผลสักกี่ร้อยข้อถึงจะสามารถตั้งมันเป็นความฝันได้ แค่เพราะชอบ เพราะมันเท่ ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นตัวเองให้ลุกขึ้นมาเริ่มต้นได้แล้ว
หลังฝีเท้าหนักวิ่งรอบหมู่บ้านมาจนจะครบรอบที่ห้า พูนก็วกเลี้ยวกลับมานั่งพักตากลมเย็นในเขตบ้าน คิดลำดับกิจกรรมที่ต้องทำ ไล่ตั้งแต่อาบน้ำ อ่านหนังสือ นั่งทวนเนื้อเพลงแล้วก็นอน ช่างเป็นชีวิตที่เรียบง่ายและเขาก็ชอบมัน
‘พะ...พี่! เดี๋ยวลูกก็กลับมาแล้ว’
‘ที่รักเราไม่ได้ทำกันมานานมากแล้วนะ’
แต่ในความเรียบง่ายของนายผดุงกิตติ์นั้นมักจะมีอะไรเพี้ยน ๆ เข้ามาแทรกอยู่เสมอ มะรืนก็เจอหมาวิ่งไล่ เจอแมวขู่มใส่ รอวัวข้ามถนน เมื่อวานระหว่างวิ่งก็เจออาจารย์ชัยที่ลากเขาไปซ้อมร้องเพลงแบบงง ๆ มาวันนี้พ่อกับป๊าดันจะทำเรื่องอย่างว่าตอนเขาจะเข้าบ้านอีก
พูนตั้งแต่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ก็พอจับบรรยากาศได้และรู้ว่าเรื่องราวแบบนี้มันเป็นสิ่งปกติของคู่รัก ทั้งเขาก็มารู้ตัวเองว่าไม่ได้สนใจในเรือนร่างของสตรีเพศอย่างเพื่อนชายคนอื่น แต่ก็ยังไม่ได้รู้สึกพิศวาสใครเป็นพิเศษ เพราะไอ้ที่เจออยู่ทุกวันมันก็เรื้อนใช้ได้เลยเชียว
“เฮ้อ...”
‘แล้วเขาจะทำยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้ดี’ จะทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อ หรือจะนั่งรออยู่ตรงนี้ต่อไปจนกว่าทุกอย่างจะสงบลง แต่เขาก็ไม่อยากรับรู้เรื่องราวส่วนตัวของพ่อ ๆ เสียด้วยสิ เอาเป็นว่าออกไปวิ่งต่ออีกสักรอบสองรอบแล้วค่อยกลับมาก็แล้วกัน อย่างไรฟ้ายังมีแสงรำไรพอให้มองเห็นทางอยู่
“เฮ้อ...”
พูนถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะก้าวขาออกนอกเขตบ้านฮัมเพลงพลางคิดว่าหากตัวเองได้มีชีวิตคู่แบบนั้นบ้าง แบบที่ได้อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ได้ตื่นมาเจอกันทุกเช้ามันจะเป็นความรู้สึกแบบไหนกันนะ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เสียงโหวกเหวกโวยวายของฝูงชนท่ามกลางงานแสดงลิเกทำเอานายตำรวจหน้าใหม่อย่างผดุงกิตติ์ถึงกับปวดศีรษะคล้ายความดันจะขึ้น
หลังจากจบการศึกษาโรงเรียนนายร้อยที่หนักเอาการสำหรับคนนิสัยเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ เขาก็ได้มาประจำการอยู่ในสน.เมืองนครปฐม ซึ่งเหตุการณ์ที่เจอส่วนใหญ่ล้วนเป็นการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างชาวบ้านทั่วไป ของหาย ของถูกขโมย นาน ๆ ทีจะเจอคนพกอาวุธยกพวกตีกันจนต้องจับมาเข้าตะรางในสถานีให้รุ่นพี่ปรับทัศนคติเสียใหม่
ในฐานะตำรวจนี่ก็ถือว่าเป็นอะไรที่สบายมากแล้ว เขาอ่านตามหนังสือพิมพ์ สน.อื่นเล่นยกกันไปจับโจร คิดวางแผนการใหญ่จนออกข่าวหน้าหนึ่งโดยเฉพาะเขตพระนครที่ดูจะมีเรื่องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นึกภาพไม่ออกเลยว่าตำรวจที่นั่นต้องทำงานหนักขนาดไหน จะมีเวลามานอนกลางวันเหมือนผู้กองสน.เขาหรือเปล่านะ
วันนี้เป็นอีกวันที่พิเศษขึ้นมาสักหน่อย เพราะเป็นช่วงเทศกาลงานวัด แน่นอนว่ามันมาพร้อมกับความวุ่นวาย การมีคนยกพวกตีกันหน้าเวทีนักร้องนี่ถือว่าเป็นเรื่องสามัญไปแล้วก็ได้ บางทีตำรวจอย่างพูนก็อยากเดินซื้อไส้กรอกแดงมาจิ้มกินสบาย ๆ กับเขาบ้างเหมือนกันนะไอ้อันธพาลพวกนี้นี่!
“เป็นแค่ตำรวจมีสิทธิ์อะไรมาลากพวกฉันไปโรงพักฮะ!!”
“ก็เพราะเป็นตำรวจไงล่ะครับถึงต้องห้ามพวกลุงไม่ให้ตีกัน”
พูนในเครื่องแบบสีกากีกล่าวเสียงเหน่ออย่างเหนื่อยหน่ายขณะคุมตัวคุณลุงคนเมาไปสน. ไม่น่าเชื่อว่าคนแก่ขนาดนี้จะมีแรงเสยหมัดเข้าคางเขาจนหน้าสั่นได้
เขาส่งต่อหน้าที่ให้พี่ตำรวจร่วมงานก่อนจะกลับเข้าซุ้มประตูมาตรวจสอบความเรียบร้อยอีกที วันนี้เป็นวันนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ โดยในเขตวัดนั้นจะมีซุ้มอาหารมากมายสำหรับผู้เข้างาน รวมไปถึงแสงสีเสียงการแสดงจากนักร้องลิเกซึ่งถูกจ้างมาในวาระพิเศษ ว่าแล้วหลังจากซื้อมื้อเย็นมาอยู่ในมือก็ว่าจะแวะไปดูหลังเวทีสักหน่อย
ไม่ใช่เพราะกลัวจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เพราะคนที่เขากำลังคบหาดูใจเป็นถึงพระเอกลิเกคณะใหญ่
“พี่พูนจ๊ะ!”
ว่าแล้วเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วก็โผเข้ามากอดจากด้านหลังในมุมลับตาคน เขาคิดว่าจะเข้าไปทำให้ตกใจเล่นแต่คงไม่ทันเสียแล้ว เจ้าตัวตอนพบกันครั้งแรกเห็นว่าน่ารักเป็นมิตรเขาจึงเข้าไปทักทาย ก่อนที่ไม่นานความสัมพันธ์จะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“แต่งหน้าเสร็จแล้วเหรอ ได้กินข้าวบ้างรึยัง?”
“ยังเลยจ้ะ พี่ป้อนฉันได้ไหมจ๊ะ”
พูนหยิบไม้จิ้มลูกชิ้นป้อนเข้าปากน้องคนรักที่เตรียมตัวขึ้นแสดง เป็นเวลากว่าสองเดือนที่คบกัน แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความลับทั้งจากทางคณะลิเกและคนรอบข้างของเขา และต่อให้มีปัญหาแค่ไหนเขาก็เอาไปบอกใครไม่ได้มากอยู่แล้ว
“พี่นอกใจฉันใช่ไหมจ๊ะ!?”
“ฮะ? พี่ไปนอกใจเราตอนไหน”
พูนที่หลังจากเลิกงานวันนี้แวะเอาบะหมี่ที่ร้านมาฝากคนรัก ตอนกำลังสูดเส้นหมี่หยกก็ต้องค้าง ทำไมเขาถึงได้โดนจับไปรวมกับคนพวกนั้น นอกใจอะไรเขาไม่เคยคิดด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะนอกใจไปทำไมด้วย
“แล้วผู้หญิงคนนั้นที่เดินคู่พี่เมื่อคืนล่ะ!”
“เขาหลงทาง พี่เลยอาสาพาไปส่ง มันก็แค่นั้น แล้วพี่ก็ไม่ได้ชอบผู้หญิ-
“คนเรามันเปลี่ยนกันได้ตลอดแหละ!”
“เอ่อ...พะ...พี่ขอโทษ เราไม่สบายใจใช่ไหม...”
มันมักจะเป็นเขาที่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยคำขอโทษอยู่เสมอ แม้ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่แม้แต่จะรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำผิดอะไร มันน่าอึดอัดที่เขาซึ่งต้องทำงานกับประชาชนทั้งชายหญิงเด็กคนเฒ่าคนแก่ต้องมาคอยระวังสงวนท่าทีไม่ให้ดูสนิทสนมเกินไป เพราะไม่รู้ว่าจะมีวันไหนที่น้องเขามาแอบดูหน้าสน.บ้าง เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลิกรา แม้อีกฝ่ายจะไม่ต้องการก็ตาม แต่การถูกจับตามองแบบนั้นมันใช้ได้เสียที่ไหนกันเล่า เขาเจรจาไปหลายต่อหลายรอบแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอม ไม่ว่าจะยกเหตุผลที่เราเข้ากันไม่ได้มากมายขนาดไหนก็ไม่คิดจะฟังเลย!
“พูนลูก มานอนตักป๊าแบบนี้ไม่คิดว่าน้องเขาจะหึงเหรอ?”
“ป๊าหยุดแซวได้แล้ว”
“ฮ่า ๆ แล้วมีอะไรทำไมไม่เอามาปรึกษาป๊าตั้งแต่แรกล่ะจ๊ะ”
พูนได้แต่หน้ามุ่ยหันหน้าซุกพุงป๊าอำพัน ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ลูกคนนี้ชอบมานอนตักเวลามีปัญหา ถึงโตจนมีงานมีการทำแล้วเขาก็ยังชอบที่ลูกทำตัวเป็นเด็กเมื่ออยู่บ้าน
“โตแล้วก็เลิกได้แล้วมั้งลูก”
เสียงทุ้มของพ่อเทียบกล่าวขึ้นหลังกลับมาจากการอาบน้ำอาบท่า ฟังแล้วคงจะนึกอิจฉาตาร้อนลูกชายต่างสายเลือดคนนี้น่าดู
“ตัวเองกอดมาตั้งเยอะแล้วแบ่งบ้างสิพ่อ”
“ฮ่า ๆ พี่ก็อย่าไปหึงลูกสิจ๊ะ”
อำพันหัวเราะในความหวงไม่เข้าเรื่องของคนรัก และหันมารับฟังปัญหาของลูกชายบนตักต่อ ได้ยินว่าเลิกกันไปแล้วก็ยังตามมารังควานในทุกเวลาที่มีโอกาส ลูกเขาถึงพยายามออกไปทำงานนอกพื้นที่อยู่บ่อยครั้ง มิน่าล่ะเมื่อสองสามวันก่อนถึงได้มาบอกว่ามีภารกิจต้องขึ้นเขาไปค้างแรมเพื่อตามจับโจร
“ป๊าได้ยินมาว่าถ้าได้เลื่อนขั้นจะสามารถเปลี่ยนสน.ได้นะจ๊ะ ลูกลองไปถามพี่ที่ทำงานดูไหม”
“แล้วร้านพ่อล่ะจ๊ะ”
เพราะเขามาเป็นตำรวจในเขตนครปฐม พ่อกับป๊าจึงย้ายตามมาเช่าบ้านเพื่อเปิดร้านอยู่ ทำงานมาไม่กี่ปีจะให้มาย้ายร้านไปมาคงลำบากแย่ ไหนลูกค้าแถวนี้ก็เยอะกว่าที่พิษณุโลกด้วย
“แค่เลิกเช่าก็แล้วย้ายก็พอแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าลูกจะไปอยู่สน.จังหวัดไหน”
“ฉันว่าจะกลับไปพระนคร คิดว่ายังไงจ๊ะ”
“ได้สิ ที่นั่นคนน่าจะเยอะกว่านี้อีกมั้ง ใช่ไหมอำพัน พี่ไม่ได้ไปนานแล้ว”
“ตอนนี้คงจะเยอะกว่าเมื่อก่อนจ้ะ น้องฉันส่งจดหมายมาบอกอยู่”
พูนว่าแล้วก็คิดจะย้ายไปพระนครหนีหน้าคนรักเก่าโดยพลัน จึงไม่ทันได้คิดถึงเงื่อนไขการย้ายสน.ว่าต้องทำผลงานเป็นที่เชิดหน้าชูตาถึงจะมีสิทธิ์เลือก แถมเป็นสน.พระนครที่ขึ้นชื่อว่าโหดหิน แต่คนอย่างไอ้พูนถ้าจะหนีก็ต้องหนีไปให้สุด อย่างไรระหว่างตามล่าหาเหาใส่หัวเขาจะต้องหลบเลี่ยงการตามติดของน้องลิเกให้ได้!
หลังจากตั้งมั่นสำเร็จเขาก็ทำทุกอย่างเท่าที่ตำรวจคนหนึ่งจะทำได้ ตลอดชีวิตของผดุงกิตติ์คนนี้ไม่เคยได้สัมผัสความขยันมากมายเท่านี้มาก่อน เขาลงพื้นที่ขั้นต่ำเดือนละครั้งเพื่อจับโจรที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะปลอมตัวเป็นนักพากย์ติดตามขึ้นรถไปยังยอดภูเขา เป็นนักร้องลูกทุ่งเข้าไปสอดแนมในร้านกินดื่มที่ว่ากันว่าลักลอบค้าฝิ่น หรือเป็นคนขายเหล็ก พ่อค้าขายหมูปิ้งสอบถามชาวบ้านถึงเส้นทางการเดินยา หรือลิเกปลอมตัว เขาก็ทำมาหมด เรียกได้ว่าใส่ชุดอาชีพอื่นมากกว่าชุดข้าราชการตำรวจเสียอีก
จนในที่สุดเขาก็สามารถส่งเอกสารไปยังเบื้องบนเพื่อขอย้ายที่ทำงานได้เป็นผลสำเร็จ ความพยายามทนร้อนทนฝนทนหนาวของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมาสัมฤทธิผลแล้ว!
“ฮึก...ฮือ...”
“แหมไอ้พูน นี่เอ็งดีใจจนร้องไห้ที่ได้เลื่อนขั้นเลยเหรอวะ ฮ่า ๆ”
ไอ้ยศพันโทพันแทอะไรเขาไม่สนหรอก ขอแค่ตอนนี้เขาสามารถไปพระนครได้ก็พอจะได้จบชีวิตการทำงานอันหนักหน่วงและการเล่นซ่อนแอบกับคนรักเก่าเสียที!
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ช่วงเวลาที่เขามาถึงคือปลายปีซึ่งอากาศกำลังเย็นสบายไม่ได้มีอุปสรรคในการเดินทางแต่อย่างใด พูนมองออกไปนอกหน้าต่างชมบรรยากาศรอบข้างซึ่งค่อย ๆ กลายสภาพจากต้นไม้ใบหญ้าเป็นตึกรามบ้านช่อง พยายามควบคุมลมหายใจให้อยู่ในสภาวะปกติมากที่สุดเนื่องจากมันเริ่มคลื่นไส้อีกแล้ว!
นายตำรวจผู้ทรงภูมินั่งดมยาหอมหมดสภาพตาลายเพราะการเคลื่อนตัวของรถไฟ จะนอนงีบก็นอนไม่ลงเนื่องจากท้องไส้ปั่นป่วนคล้ายมันจะย้อนขึ้นมา นี่เขาอุตส่าห์กินยาที่เขาว่าช่วยได้แต่ไม่เป็นผลเลยสักนิด ป๊าที่นั่งข้าง ๆ ก็พยายามหาอะไรมาพัดให้เผื่อจะช่วยได้ แต่คนเมารถก็คือคนเมารถอยู่วันยังค่ำ
ถึงรถไฟจะจอดเทียบชานชาลาแล้วแต่หัวมันยังมึนอยู่ ยิ่งเวลาผ่านไปผู้คนยิ่งอัดแน่นตรงทางออก ครอบครัวเขาเลือกที่จะรอผู้คนออกไปกันจนหมดแล้วจึงเริ่มยกสัมภาระลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่นายสถานีขึ้นมาตรวจสอบขบวน
“ให้ฉันช่วยนะจ๊ะคุณน้า”
“ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะ”
พูนซึ่งอาการดีขึ้นหลังได้นั่งนิ่ง ได้ยินบทสนทนาสองประโยคจึงให้ความสนใจ คงจะเป็นผู้โดยสารที่เลือกลงหลังคนอื่นเหมือนกัน ว่าแล้วนายตำรวจเมารถไฟก็อาการกลับมาทรงตัว ช่วยพ่อ ๆ ขนของได้
ขณะจะเดินลงนั้นเองเขาก็ดันเผลอไปสบตาเข้ากับนายสถานีตัวเล็กซึ่งเดินสวนขึ้นมาก่อน พูนเดินลงมาจากตู้รถไฟก็คิด ๆ จะว่าไปคนเมื่อกี้ก็ตรงตามแบบที่เราชอบเลยไม่ใช่รึอย่างไร ว่าแล้วระหว่างป๊าอำพันขอตัวไปเข้าห้องน้ำเขาจึงลอบมองนายสถานีคนนั้น
ท่าทางขยันขันแข็งพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานตัวสูงอย่างออกรสออกชาติ ยิ่งเผยรอยยิ้มกว้างยิ่งดึงสายตาเขาให้จ้องมอง ต่อให้สถานีกรุงเทพจะสูงกว้างหรือมีความสวยงามให้ดูมากเท่าใด สุดท้ายสายตาเขามักจะถูกดึงดูดไปยังนายสถานีคนนั้นแต่เพียงจุดเดียว
พูนจำได้แม่นว่ากับคนรักคนแรกก็เป็นเช่นนี้ เป็นจังหวะแรกพบแต่เพียงเท่านั้นที่ชักชวนให้เขามอบหัวใจให้ แต่ถามว่าเขาเจอประสบการณ์แบบนั้นมาแล้วยังจะไปหลงเชื่อความรู้สึกฉาบฉวยแบบนี้อีกน่ะเหรอ...
แน่นอนว่าต้องหลงอยู่แล้ว! น่ารักเสียขนาดนั้นใครมันจะไปอดใจไหว สน.เขาก็อยู่ใกล้ ๆ ให้เดินผ่านทุกวันโดยไม่ทักทายสักหน่อยคงน่าเสียดายแย่ อย่างไรเสียพระนครก็คงไม่เหมือนต่างจังหวัดหรอก เมืองศิวิไลซ์แบบนี้มันต้องดีกว่าเป็นไหน ๆ อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ!
“ก็บอกว่าผมไม่ใช่คนที่คุณพูดถึงไงครับ”“ไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรหรอก~” ท่ามกลางแสงรำไรจากโคมไฟสีนวลเหนือโต๊ะสูงมีลูกค้าท่านหนึ่งซึ่งเหมือนจะพึ่งเข้ามาร้านนี้เป็นครั้งแรกกำลังนั่งเมามายไม่ได้สติ เอาหน้าไถไปกับโต๊ะไม้คล้ายจะหลอมรวมเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวกันผู้จัดการร้านควบตำแหน่งมือชงซึ่งเช็ดแก้วอยู่ฝั่งตรงข้ามมองพ่อหนุ่มเสียงเหน่ออย่างละเหี่ยใจ ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นไปมองเจ้าแผนซึ่งกำลังวกกลับมาเติมเครื่องดื่มให้ลูกค้า“อย่าลามปามครับ กินของคุณไปเลย”“พูดอย่างนี้พี่น้อยใจนะ~”พูนซึ่งขอสถานที่ดื่มมาจากพ่อเทียบว่าจะมาเดินเล่นเอาสนุกจนมาลงเอยที่ร้านนี้ ไม่น่าเชื่อว่าดื่มไปแค่ไม่กี่แก้วมันจะทำให้เขาที่มั่นใจในลำคอตัวเองเมามายได้ถึงขนาดนี้ภาพตรงหน้าคล้ายจะพร่ามัว ถึงไม่อาจมองอะไรชัดเจนแต่ทุกอย่างเหมือนจะสวยขึ้นผิดหูผิดตา กลิ่นหอมฟุ้งกำจายมากยิ่งกว่าเก่า พอมีเสียงเพลงเอื่อย ๆ จากแผ่นเสียงเข้ามาประกอบยิ่งชวนให้เขาเคลิบเคลิ้มไปกับรสสุรานายตำรวจในชุดไปรเวทเหมือนเมื่อเช้
1. นิยายเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาปีพ.ศ.2485 ทุกตัวละคร และ'บาง'สถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน โปรดใช้วิจารณญาณในการแยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น หรือเรื่องราวซึ่งเป็นเพียงจินตนาการ3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจคู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน)4. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึง สิ่งเสพติด/อบายมุข, การพนัน, ความรุนแรง, การข่มขู่, คำหยาบคาย, นายเอกมีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นนอกเหนือไปจากพระเอก, ฉากล่อแหลมทางเพศ และฉากโจ่งแจ้งทางเพศ (Anal sex, Bare breaking, Blowjob, Clothed sex, Cum drinking, Hand job, Semi-Outdoor, Vanilla)โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เขาเป็นเด็กที่เกิดมาท่ามกลางสภาวะสงคราม แม้ผ่านมาเพียงสองปีมันจะจบลงทว่ามันไม่แปลว่าเศรษฐกิจจะฟื้นฟูขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะมันเป็นช่วงเวลาอันไกลพ้นและสั้นกุด เขาจึงไม่สามารถจำหน้าพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองได้ ญาติหลายต่อหลายคนที่มาร่วมงานศพขนาดย่อมในวัดเล็ก ๆ กลางพระนครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพ่อแม่ซึ่งป่วยออด ๆ แอด ๆ ของเขาตั้งใจเลี้ยงดูลูกชายเพียงคนเดียวมากแค่ไหน สิ่งที่พวกท่านหลงเหลืออยู่คงจะเป็นเลือดที่ไหลเวียนอยู่และชื่อสกุลพูนไม่อาจจำได้ว่าตัวเองเมื่อครั้งอายุสิบขวบรู้สึกเศร้าโศกขนาดไหน บางทีอาจจะไม่สมควรเป็นวัยที่รู้จักความเศร้าจากความสูญเสียด้วยซ้ำไป งานวันนั้นเขาถูกจับแต่งตัวจากคุณย่าที่ยังไม่คุ้นหน้า และถูกจูงมางานเมื่อถึงเวลา ร่วมงานสีดำตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ในหัวมันรู้สึกว่างเปล่าพิกล รู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลย‘น่าสงสาร เด็กตัวแค่นี้เอง’‘แล้วใครจะรับไปเลี้ยงต่อล่ะ’‘วัยกำลังโตเสียด้วย’พูนในวัยเด็กพร้อมชุดเสื้อสีดำนั่งแกว่งขามองพื้นศาลาขณะรอกลับในช่วงค่ำหลังจากร้องไห้จนไม่มีน้ำตาหลงเหลืออยู่ เขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าต