นายตำรวจผดุงกิตติ์ในคืนกินเลี้ยงหลังจบงานพูดกับตัวเองไว้ว่าค่อยเอาเรื่องไปถามไถ่วันพรุ่งนี้ก็จริง แต่ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะแอบดูเพื่อยืนยันหน้าไม่ได้
ดังนั้นในขณะที่เพื่อนตำรวจพากันกลับบ้านกลับช่องจึงมีเพียงเขาซึ่งสั่งน้ำเปล่ามาดื่มล้างแก้วหน้าร้านจึงมานั่งจับตามองโรงแรมอยู่ในระยะสายตา หากทั้งสองคนที่เขาคาดว่าหนึ่งในนั้นเป็นน้องแผนทำเรื่องอย่างว่ากันจริงคงใช้เวลาไม่เกินหนึ่งหรือสองชั่วโมง ว่าแล้วก็เหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาหน้าร้านที่ตนนั่ง จากเมื่อครู่คงจะผ่านไปราว ๆ ยี่สิบนาทีเห็นจะได้ ลองนั่งรอดูอีกสักพักก็แล้วกัน
เพื่อนตำรวจวันนี้ก็ไม่ค่อยสุดเหวี่ยงเท่าไรนัก เพราะนี่ถือเป็นงานจัดเล็ก ๆ เอาไว้ไปปล่อยผีทีเดียวงานเลี้ยงเกษียณในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คนพระนครนี่ช่างเป็นคนครึกครื้นดีเสียจริง
ยิ่งเวลากลางคืนดำเนินไปเรื่อย ๆ อากาศภายนอกยิ่งหนาวต่างจากขามาลิบลับ ทว่ายังดีที่ฤทธิ์สุราคอยบรรเทาความหนาวออกมาจากภายใน พูนเปลี่ยนท่านั่งจ้องมองไปยังหน้าประตูของอาคารสูงมีระดับ จึงได้แต่คิดไปเองคนเดียวว่าหากข้อสันนิษฐานเขาเป็นความจริงขึ้นมา ตัวเองจะมีปฏิกิริยาอย่างไ
พูนเดินมายังส่วนกลางของบ้านไม้สีเข้มขนาดกะทัดรัดอิงตามฉบับตะวันตกที่ถูกปรับแก้ด้วยช่างซึ่งต่างไปจากก้าวแรกที่เข้ามาอยู่อาศัย ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ล้วนอิงตามรสนิยมความชอบของพ่อกับป๊าเพราะเขามันอะไรก็ได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว ในความเป็นจริงเขาจะขอบ้านพักข้าราชการแบบเดียวกับไอ้ไกรมันก็ได้ แต่ด้วยว่ามันไกลจากที่ทำงานไปหน่อย แม้จะไม่กี่เมตรเขาก็นับ และที่สำคัญคือเขาไม่ชินถ้าต้องนอนบ้านคนเดียวเพราะพ่อป๊าไม่ยอมย้ายมาแน่ถ้าเห็นว่าบ้านมันผ่านการใช้งานมานานแล้ว ดังนั้นอย่างน้อยต้องรู้สึกว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยเขาจึงจะนอนหลับเต็มอิ่ม แถมไม่ต้องเสียค่าอาหารด้วยเพราะพ่อป๊าเป็นคนออก ส่วนเขาก็ตกลงขอรับผิดชอบค่าน้ำค่าไฟทั้งหมดและเวลาซื้อของใช้เข้าบ้าน นับว่าดีเลยทีเดียว“จะว่าไปลูกลองชวนน้องเขามาทานข้าวที่บ้านเราก็ได้นะ”“ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะป๊า”“ก็เอาไว้หลังคบกันก็ได้จ้ะ ป๊าแค่อยากรู้จัก”วันนี้นอกจากลูกพูนจะตื่นสายแล้วยังกลับบ้านมาเร็ว แม้จะเป็นเพียงการเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกทำงานสืบสวนต่อก็ตามทีอำพันเคยได้ยินลูกพูนเอาเรื่องน้องนายสถานีมาเล่
พูนฟังคำอธิบายจากผู้จัดการร้านก็รู้สึกเกินคาด เพราะมันไกลจากที่เขาเข้าใจไปมากมายนักนั่น...ยังจะอธิบายสรรพคุณแต่ละคนให้เขาฟังอีก เขาไม่เคยซื้อ! ไม่เคยคิดจะซื้อ! แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องอย่างว่ามาก่อนด้วย! เขาไม่ได้อคติกับอาชีพนี้หรอกแต่เล่นพูดให้ฟังยาวเป็นต่อยหอย เขาทำตัวไม่ถูกนะเฮีย!แม้เจ้าของร้านจะเนื้อเสียงเบา แต่ไม่ได้จงใจรักษามันเป็นความลับกับลูกค้าคนอื่น ๆ และคล้ายว่าทุกคน ณ ที่นี้จะรู้ ๆ กันอยู่แล้ว เพียงแต่เขาที่มือซนสงสัยไม่เข้าเรื่อง เจ้าตัวจึงร่ายมายาวเหยียดด้วยความภูมิใจ มีความมาถามด้วยว่าเขามีชอบแบบไหนเป็นพิเศษไหม“จริง ๆ ก็มีอยู่สองคนนะ แต่วันนี้ไม่มาทั้งสองคนเลย”มีจริง ๆ ด้วย...นี่เขาอุตส่าห์แกล้งบอกรายละเอียดถี่ยิบแล้วนะแน่นอนว่าเขาปฏิเสธทุกข้อเสนอ ขอรับไว้เพียงกับแกล้มประจำเดือนและน้ำหวานชุ่มคอก่อนก็เพียงพอแล้ว ทว่าน่าแปลกใจเหมือนกันที่พระนครมีสถานที่อันจำเพาะแบบนี้อยู่ด้วย ถึงจะอยู่ห่างจากใจกลางย่านร้านกลางคืนไปมากพอควรแต่คนแบบเขากับไอ้ไกรก็คงมีมากกว่าที่เคยคิดไว้ รู้สึกดีใจเล็ก ๆ แฮะ นอกจากเรื่องริบบิ้นสี ๆ นั่นแล้วเ
ร้านที่เฮียพามาเป็นร้านริมทางติดถนน บานประตูเป็นไม้เลื่อนลงกลอนทาสีขาวติดป้ายชื่อร้านภาษาจีนที่เขาอ่านไม่ออก แต่ดูท่าทางเฮียจะรู้จักเจ้าของร้านนี้พอสมควร ไม่แปลกหรอกเพราะเฮียสนิทกับคนทั้งพระนครกลิ่นเครื่องเทศเกลือพริกไทยลอยมาเตะจมูกเพียงเลื่อนเก้าอี้ไม้มาหย่อนกายนั่ง ด้วยจำนวนโต๊ะที่พอดีกับขนาดร้านซึ่งเป็นตึกแถว เก้าอี้แม้ถูกจับจองจนเต็มพื้นที่แต่เสียงกลับไม่ได้ดังวุ่นวายมากนักดวงตากลมใสสอดส่องมองการวางข้าวของเครื่องครัวและป้ายรายการอาหารบนผนังอย่างสนอกสนใจเหมือนทั้งชีวิตไม่เคยได้มาสัมผัส ทำให้นายตำรวจรู้สึกอิ่มใจที่อย่างน้อยน้องแผนก็ดูท่าจะไม่ได้เบื่อหน่ายกับร้านร้านนี้ที่เขาถามมาจากเพื่อนร่วมงานและลองมาชิมด้วยตัวเอง“สามวันที่ผ่านมา เฮียไม่ได้ไปหาเลย คิดถึงเฮียบ้างรึเปล่า?”พูนกล่าวเสียงกระซิบให้ได้ยินกันเพียงเขากับน้องนายสถานี พร้อมผลิยิ้มหวานตามวิสัย“ถะ...ถามอะไรเนี่ย อยู่ข้างนอกนะ”“เฮียติดงาน มีนักโทษถูกย้ายเข้ามาฝากขังในโรงพักเฮียเลยต้องรับเรื่อง”“นั่นคือเหตุผลที่ไม่ได้มาหาเหรอ?”“หลัก ๆ ก็คือเรื่
รัญชน์เหลือบมองน้องพิงเดินฝ่าฝนสวนทางไป เขาเห็นตั้งแต่ทั้งสองเดินคู่กันมาแล้ว ทีแรกคิดว่าจะเป็นตำรวจจากบ้านนอกธรรมดาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร ณ สน. ทว่ามาคราวนี้คงต้องปรับมุมมองใหม่ ส่วนตัวเขาไม่ติดหากน้องพิงจะรับงานจากคนอื่น แต่เขาชักสงสัยในตัวเองคือความรู้สึกไม่พอใจที่ผุดขึ้นมาอย่างน่าฉงนทนายหนุ่มกระชับคันร่มในมือ ต่อให้เขาจะเอ่ยทักทายอย่างโจ่งแจ้งทว่าเขาไม่มีธุระอะไรจะต้องพูดกับนายตำรวจคนนี้ ดังนั้นแล้ว-“คุณดูสงสัยในตัวผมนะครับ”เสียงเหน่อเอ่ยท่ามกลางสายฝนและลมพายุ รัญชน์คิดว่าตัวเองประเมินตำรวจคนนี้ต่ำไป ในขณะที่เขาไตร่ตรองอีกฝ่ายก็กำลังวิเคราะห์เขาหัวจรดเท้าเช่นกัน“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”รัญชน์คิดว่าการที่น้องพิงบอกให้พวกเขาคุยกันให้สนุกคงจะเป็นแบบนั้นไม่ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นน้องเขาจะรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้สายตาจากตำรวจที่ยิ้มแย้มให้ตัวเองกำลังมองมาที่เขาแบบไหน“ยังไงก็กลับบ้านปลอดภัยนะครับ”“คุณก็เช่นกัน”ทนายหนุ่มก้าวขาถอยหลังเพื่อเดินกลับไปขึ้นรถที่จอดอยู่ในจุดที่น้ำท่วมไม่ถึง ทว่าเมื่อเดินไปครึ่งทางก็ขอหันมาม
เล่าความไปจนครบองค์ น้องแผนเจ้าก็คล้ายจะเป็นห่วงเพื่อนตัวเองขึ้นมามากกว่าเดิม เห็นว่าสุขภาพร่อแร่มาสักพัก ตรงกันข้ามกับจัวเองที่เดี๋ยวนี้ชักจะกินเก่งขึ้นเรื่อย ๆ มีน้ำมีนวลมากขึ้นก็ดีแล้ว จำได้ว่ามีช่วงหนึ่งเจ้าตัวซูบผอมลงไปหลังเขากลับมาจากภารกิจจับโจร“แผนครับ”“หือ?”“ถ้าเรามีเรื่องหนักใจ เฮียพร้อมรับฟังเสมอนะครับ”“มันยังไม่มีสักหน่อย”“ดีแล้วครับ”พูนมองคนเด็กกว่าตอบรับเคี้ยวเส้นก๋วยเตี๋ยวลวกตุ้ย ๆ ก็พลอยโล่งใจ มันกลายเป็นประโยคติดปากเขาไปแล้ว คงเพราะเคยเห็นรอยช้ำพวกนั้นมาก่อนจึงคล้ายมีเสี้ยนฝังอยู่ในใจ มีโอกาสหนใดจำต้องกล่าวออกไปทุกทีโต๊ะเขาสั่งเกี๊ยวกุ้งแยกมาต่างหาก ป๊าซึ่งทำงานนอกครัวจึงเดินถือมาวางให้ ก่อนจะขยิบตาสองครั้งส่งสัญญาณให้เขาเอ่ยชวนเจ้าน้องไปทานมื้อเย็นด้วยกันเสียทีจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่พ่อกับป๊าได้เห็นหน้าค่าตาน้องแผนชัด ๆ เข้าร้านมาแรก ๆ มีการมากระซิบด้วยว่าน่ารักตาถึง ซึ่งของมันแน่อยู่แล้วไหมล่ะป๊า นี่พูนเชียวนะ“เฮีย”“จ๋า”แผนเอือมระอากับท่าทีกระดี๊กระด๊าของเจ้าพี
นายตำรวจผดุงกิตติ์เดินกลับมาสน.เพื่อเปลี่ยนเครื่องแบบไปลงพื้นที่พร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุขและกำลังใจอันล้นเอ่อ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่ลึก ๆ รู้สึกว่าน้องแผนพูดคุยกับเขามากขึ้นมานิดหนึ่งพูนเดินนำหน้าเหล่าเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องหน้าใหม่เอี่ยมมาลงสนาม เอาเข้าจริง ที่ไอ้ไกรมันบอกให้เขาลงพื้นที่โดยด่วนก็เพราะจะเอาข้อมูลส่งขึ้นไปยืมแรงเด็ก ๆ พวกนี้ผนวกกับระยะเวลาการส่งไปรษณีย์ให้เอกสารเดินทางอีกนาน กลายเป็นว่าจากคดีที่เขาเข้าใจว่ารีบอยู่นั่นเองกลับไม่ค่อยมีอะไรคืบหน้าเพราะต้องรอลูกเดียว มาวันนี้เขาจะได้ลงมือทำอย่างจริง ๆ จัง ๆ เสียทีตำรวจในสน.พระนครแค่ชาวบ้านที่เข้ามาน้องทุกข์รายวันก็หนักแล้ว ไหนจะแบ่งกลุ่มซุ่มจัดการคดีที่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจอันคุกรุ่น“พันโทครับ ให้ผมจั-“อย่าพึ่ง ใจเย็น ๆ พ่อหนุ่ม”พูนรู้สึกว่าตั้งแต่เข้ามาในซอยต้องพูดปรามเหล่าเด็กไฟแรงเกือบจะสิบรอบได้แล้วมั้ง แต่ก็พอเข้าใจ เห็นคนทำผิดกันโต้ง ๆตรงหน้ามือไม้ตำรวจมันคงสั่นเป็นธรรมดา ทำเอานึกถึงตัวเองตอนเริ่มงานในฐานะตำรวจสืบสวนใหม่ ๆ เช
“พี่เทียบจ๊ะ คิดยังไงกับคนที่ลูกจะพามาเหรอจ๊ะ?”อำพันขณะจัดจานบนโต๊ะรอลูกพูนไปรับน้องนายสถานีมาร่วมมื้อเย็นด้วยกันก็ถามคนเป็นสามี เพราะส่วนตัวแล้วเขาไม่มีอคติกับคนที่ลูกจะพามาเลยสักนิด กลับมองว่าเป็นเด็กที่น่ารักเสียด้วยซ้ำ“ขอดูก่อน”“ฮ่า ๆ พี่ละก็ เก๊กไปได้”ปะป๊าคนสวยละมือจากจานมาคล้องคอกอดคนเป็นพี่ ป้อนแววตาใสแป๋วอย่างคนรู้ทัน พี่เทียบวันนั้นยังแอบดีใจอยู่เลยที่ลูกจะได้มีความหวังเรื่องความรักเสียบ้าง เพราะก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าการหาใครสักคนมาใช้ชีวิตร่วมกันมันยากเย็นแค่ไหน“ถ้ารู้แล้วจะถามพี่ทำไมล่ะฮึ?”ว่าแล้วก็ยกตัวศรีภรรยาขึ้นอุ้มด้วยความมันเขี้ยว ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักคล้ายว่าได้แกล้งเขาแล้วนั้นยิ่งน่าหยิกแก้มเสียจริง คิดแล้วก็จัดการฝังจมูกหอมหน้าแก้มอิ่มเสียเต็มคราบ ต่อให้จะอายุเยอะขึ้นมามากแล้วแต่เขาก็ยังมั่นใจในพละกำลังของแขนตัวเองที่ลากเข็นรถขายก๋วยเตี๋ยวมาหลายสิบปีอำพันยิ้มกว้างคลอเคลียสามีระหว่างลูกชายไม่อยู่ คิดแล้วก็มีความสุขเหลือเกินหากจะได้มีว่าที่ลูกชายอีกคนเข้ามาเพิ่ม ทว่าจู่ ๆ เขาก็ดันนึกอะไ
อดีตมักหอมหวานเสมอเมื่อตัวเองในวัยผู้ใหญ่หวนกลับไปมอง รอยยิ้มที่ได้มาประดับใบหน้ามันง่ายเพียงแค่ลืมตาขึ้นมาในทุกเช้าจากกลิ่นหอมของหม้อน้ำแกงของป่าในกระต๊อบหลังเล็ก ณ จังหวัดในแถบภาคเหนือเสียงวัตถุธรรมชาติกระทบเสียดสีมาจากที่ไกลตา รอบบ้านรายล้อมไปด้วยลานหญ้าแห้ง รั้วไม้ผุพังก่อนจะเป็นเรือนถัดไป อาณาเขตที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ เพียงพอสำหรับครอบครัวสี่คนซึ่งย้ายหนีมาจากพระนครอันวุ่นวายบิดาของเขาอดีตเคยเป็นคนลากรถอยู่แถวสถานีรถไฟ คอยรับส่งลูกค้าทำงานได้เงินวันละ ๒-๓ บาท รับงานคนหนึ่งประมาณ ๑๐-๑๕ สตางค์ขึ้นอยู่กับระยะทาง หรือบางวันหากได้ราคาดี คนเยอะหน่อยจะตกวันละ ๕ บาทเลยเชียว ทว่าหนทางการใช้ชีวิตต้องมาติดขัดเพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่พ่อไปเสพสมชั่วครั้งชั่วคราวกลับให้กำเนิดบุตรในสายเลือดถึงสองคนต่อให้บิดาจะยอมรับและเผชิญหน้าจากผลของการกระทำ เจ้าของบ้านตัวจริงอย่างคุณปู่กลับไม่ยอมให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนได้ขึ้นชื่อว่ามีลูกกับกะหรี่ในซ่อง ขับไล่ไสส่งต่าง ๆ นานาจนสุดท้ายบิดาจึงขอแยกทางจากบ้านหลังเดิม ก้าวขาพาตัวเขาและพี่ชายในวัยทารกไปยังต่างจังหวัดซึ่งเป็นบ้านเกิด
เหตุผลที่พูนยังไม่ให้ศรีภรรยาไปพบพ่อกับป๊านั้นนอกจากอาการน้องน้อยไม่ค่อยจะสู้ดีแล้ว ทั้งสองคนเองก็ไม่ว่างเช่นกันเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาจบการศึกษาของโรงเรียนกลาง การไปมอบประกาศณีบัตรหรือการพูดสุนทรพจน์จึงจำเป็นต่อการส่งต่อเจตนารมณ์ ส่วนเขาก็ได้แต่นั่งทำงานงก ๆ อยู่ในห้อง การมาฟูเหรินได้วันละครั้งแบบนี้ก็ถือว่าบุญหัวแล้วตอนนี้เป็นยามเย็นของวันซึ่งเขาชวนภรรยามาเดินเล่นในสวนตำหนักมุกอันใกล้ถึงจะไม่ได้ใหญ่เมื่อเทียบกับสวนสาธารณะกลางหรือป่าเขาที่ชาวบ้านชอบไปเดินเก็บพืชผักแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอุดอู้อยู่ในตำหนักเขาทราบมาจากหัวหน้าช่างแต่งกายว่าฟูเหรินวันทั้งวันไม่ยอมออกมาจากนอกห้องเลยนอกจากจะมีอาจารย์มาสอนหนังสือ ซ้ำยังมีบางครั้งที่แอบไปร้องไห้อยู่คนเดียว พอชาวใช้จะขอเข้าไปทำความสะอาดเพื่อแอบดูอาการเจ้าตัวก็เงียบไม่ยอมเปิดห้อง ซ้ำยังบอกให้สาวใช้วางถังน้ำอุปกรณ์เอาทิ้งเอาไว้จะทำเองอีกต่างหากและวันนี้ตอนมาถึง ก่อนที่จะเอ่ยเรียกเขาพึ่งมาได้ยินเสียงร้องไห้นั้นชัด ๆ มันไม่มีคำตัดพ้อหรือเรื่องราวที่ถูกพูดออกมาระบายความเศร้า มีเพียงสะอื้นไห้แต่เพียงเท
สถานที่อันลึกลับและแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนจากไฟสลัวในอาคารไม้หลังเก่า ตกแต่งปิดบังอายุด้วยการตกแต่งด้วยผ้าหลากสีสัน เสียงดนตรีจีนวัยเยาว์ออกมาจากห้องซึ่งมีราคาสูงโดยที่แผนนั้นรู้ดีว่ามันกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางในไม่ช้าเขาเดินเข้ายังภายในร้านแน่นอนว่าหากไปพบขุนนางในสภาพชุดเก่าเยินแบบนี้ละก็จากที่จะได้เงินคงจะได้คำเหยียดหยามด่าทอมาแทน ดังนั้นเขาจึงมาขอยืมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มีสารร่างที่พอจะดูได้ขึ้นมาบ้าง กระนั้นที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีเงินถุงเงินถังมาซื้อเครื่องประดับหรือผ้าดี ๆ มาตัดเย็บนักหรอกผ้าเนื้อหยาบสีสดใสถูกสวมแทนที่เสื้อใยฝ้ายใกล้ขาด ใบหน้าเปื้อนดินเปื้อนผงถ่านถูกทำความสะอาดและแต่งแต้มด้วยผงสี จนในตอนนี้ตัวเขาในกระจกกลายเป็นคนละคนกับชาวนาทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินคนนั้นอย่างสิ้นเชิงพรมลายดอกไม้พื้นเก่าเกิดเสียงแผ่วเบาเมื่อฝ่าเท้าเปล่าคู่บางก้าวผ่านธรณีประตูออกมาจากห้อง ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับจงใจให้เวลาล่วงผ่านไปเพื่อสัมผัสความสงบตระเตรียมใจ ก่อนจะเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำ บรรยากาศที่เย็นเยือกยามราตรีส่งให้ทุกอย่างดู
แดนแห่งเสรีชน แดนอันเปิดกว้างสำหรับความคิดและการแสดงออกอย่างเสรีท่ามกลางวัฒนธรรมอันเคร่งครัดของสังคมจีน สถานที่ที่ผู้คนสามารถดำรงชีวิตตามวิถีทางของตนเองได้โดยปราศจากการกดขี่ ประหนึ่งสรวงสวรรค์ของผู้ที่ต้องการความเป็นอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง ความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้รับการยอมรับและเฉลิมฉลอง เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และให้โอกาสทุกคนในการเลือกทางเดินชีวิตของตนเองกระนั้นที่ใดมีปวงชนที่นั่นย่อมมีผู้นำ ดินแดนอันกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ถูกปกครองด้วยกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ถูกคัดเลือก เป็นผู้เดินนำหน้าทุกผู้ทุกคนมายังดินแดนอันเคยแร้นแค้นแห่งนี้และยืนหยัดเพื่ออุดมการณ์ของตนเอง กษัตริย์ปกครองเคียงคู่พระมเหสีเพียงพระองค์เดี๋ยวโดยไร้ซึ่งอนุ สำหรับอาณาจักรอื่นแล้วการมีสนมคือการถ่วงอำนาจ คือการคัดเลือกวัตถุดิบชั้นเลิศในด้านหน้าตาและคุณภาพขึ้นมาวางบนจานเพื่อให้รสชาติอาหารออกมากลมกล่อม แต่แดนเสรีชนไม่ใช่แบบนั้นหากสามัญชนผู้ใดมีชู้จะถูกประณาม หากเศรษฐีผู้มั่งคั่งมีอนุจะถูกผู้คนทอดท
เทียบ × อำพัน“ป๊า ฉันขอลาออกจากคณะ” คนเป็นพ่อซึ่งนั่งจิบเหล้าแกล้มยำแตงกวาถึงกับไอสำลักเมื่อไอ้ลูกชายหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานก็ดันมาขอลาออก พวกเขายังเหลืองานที่นี่อีกตั้งหลายวันกว่าจะหมดสัญญา แถมงานต่อไปยังเป็นการไปแสดงถึงใจกลางประเทศอย่างพระนคร อนาคตสดใสแบบนี้ทำไมอาไจ่มันถึงมาลาออก“ลื๊อมีคนมาทาบทามรึ?”“ไม่จ้ะ ฉันจะออกมีผัว”“แค่ก!...แค่ก!...”พ่อเฉิงคราวนี้นอกจากจะไอโขลกแล้วยังตกใจตาโตมองเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่แววตาไม่สั่นคลอนสักนิด ไอ้เขาอยู่กับมันมาก็หลายปี รู้หมดนั่นแหละว่ามันชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่จู่ ๆ มาบอกลาออกกะทันหันด้วยเหตุผลนั้นใครเขาจะไม่ตกใจกันบ้างเล่า!นอกจากพ่อเฉิงจื่อที่รู้เรื่องแล้วคนอื่น ๆ บางส่วนในคณะก็บังเอิญมาได้ยินบทสนทนาก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อน ๆ นักแสดงคนงานมาดูสถานการณ์ด้วยโดยมีหัวหอกคืออาเจ๊ใหญ่ไพลินที่จับตามองน้องชายผู้จะออกไปล่าฝัน เก่งมากอาตี๋! ขนาดเจ๊อยากมีผัวก็ยังไม่สามารถมุ่งมั่นได้ขนาดนี้เลย!“แล้วใครจะมาเป็นผ
เทียบ × อำพันแสงไฟจากโคมกระดาษสีแดงสดส่องสว่างรอบเวทีไม้ที่ถูกสร้างขึ้นซึ่งประดับประดาไปด้วยป้ายแขวนเครื่องเงินเครื่องทองเทียมเล่นแสงเติมเต็มความมีชีวิตชีวา กลิ่นธูปหอมอบอวลในอากาศสร้างบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนในชุมชนทั้งเด็กผู้ใหญ่ต่างนั่งล้อมวงกันบนเสื่อกกทอมือหรือเก้าอี้ไม้เก่า มองดูเวทีที่พาดแขวนตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสดพร้อมฉากหลังที่วาดภาพทิวทัศน์ในฝันอย่างวิจิตรถึงทิวทัศน์อันงดงามของสวนจีนโบราณซึ่งประกอบขึ้นมาจากเส้นหมึกอันละเอียดอ่อนของพู่กัน สร้างความลึกซึ้งซึ่งสื่อถึงความพิถีพิถันในทุกมุมของภาพวาดเสียงกลองและฉาบดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ผู้คนต่างพากันรวมตัวหน้าศาล บรรยากาศรอบเวทีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยที่เจือไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อม่านเปิดออก นักแสดงงิ้วในชุดเสื้อผ้าอันงดงามปักลวดลายทองคำสีสันสดใสดึงดูดสายตา ก้าวออกมาด้วยท่วงท่างามสง่า เสียงร้องของนักแสดงที่ไพเราะทรงพลังดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เรียกความสนใจจากผู้คนเดินไปมาและตรึงผู้ชมหน้าเวทีได้อย่างไม่ยากเย็น“林妹妹,你總是這麼憂愁,何必呢?”
ตั้งแต่รับสองเด็กเข้ามาพวกเขาก็มีโอกาสได้ตระเวนเที่ยวต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพิษณุโลกบ้านของพี่พูน นครปฐมซึ่งเป็นจังหวัดใกล้เคียง หรือจะทะเลที่สมุทรปราการพวกเขาก็พาเด็ก ๆ ไปเปิดหูเปิดตามาแล้วยิ่งในพระนครยิ่งไม่เหลือ รบรามที่ได้เข้าไปดูงานเขียน งานสถาปัตยกรรมในวัดวาอารามค่อนข้างตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงการได้วิ่งเล่นว่าวในสนามหลวงกับพ่อก็เป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ โปรดปรานเช่นกันในวันนี้เองก็เป็นการพักผ่อนอีกครั้งซึ่งพวกเขาจะเดินทางขึ้นเหนือไปเที่ยวดูธรรมชาติที่เชียงใหม่ ถึงคุณปู่จะสุขภาพถดถอยไปตามวัยแต่เด็ก ๆ ก็รับปากแล้วว่าจะซื้อโปสต์การ์ดซื้อของท้องถิ่นกลับมาฝากแน่นอน“เด็ก ๆ แปรงฟันมาแล้ว ห้ามกินขนมแล้วนะ”“จ้ะ/คร้าบ”รบตอบฉะฉานในขณะที่พี่ชายอย่างรามกล่าวด้วยความไม่สบายอารมณ์เท่าไรนักเพราะเจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากกินทองม้วนที่ซื้อมาเมื่อหลายวันก่อน แต่ด้วยเวลารถไฟที่ใกล้เข้ามา พวกเขาจึงไม่มีเวลามาเอ้อระเหยสุดท้ายสองเด็กก็ถูกจับให้แปรงฟันและออกมาในทันที แม้จะน่าเศร้าสำหรับลูกราม แต่เดี๋ยวเช้าพรุ่งนี้ก็กินขนมที่พกมาได้แล้วกา
คุณพ่อเล็กในชุดไปรเวทเดินไขประตูรั้วเข้ามาในบ้านหลังกลับมาจากการดูร้านเหล้าสาขา ๒ ของลุงเริง พวกเขาทำงานด้วยกันมานานจนจะเข้าปีที่ ๒๐ แล้วส่วนเรื่องหลานชายที่คิดว่าจะส่งต่อให้กลับล้มเหลว เพราะเจ้าตัวดันออกไปเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง ดังนั้นลุงเริงจึงเรียกเขาเข้าไปคุยถึงเรื่องการส่งต่อร้าน เพราะลุงแกก็อายุมากขึ้นทุกปีจึงอยากได้คนมาสานต่อธุรกิจที่ตนตั้งใจทำมาตั้งแต่ยังหนุ่ม และคนนั้นคือตัวเขาซึ่งเป็นพนักงานที่เก่าแก่และได้รับความไว้วางใจมากที่สุดการส่งต่อนั้นไม่สามารถทำให้จบได้ภายในวันเดียว ยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้เขาต้องเรียนรู้อีกเยอะ ดังนั้นวันนี้เขาจึงได้ทราบเรื่องและลงมาตรวจสอบโกดังสินค้าอีกนิดหน่อยแล้วก็สามารถกลับบ้านได้ด้วยเหตุนั้นก่อนที่แผนจะพักหลังจากทักทายคุณพ่อยามบ่ายจึงขึ้นมาหาเด็ก ๆ และพี่พูนที่กำลังช่วยกันถูบ้านเป็นอันดับแรกเพื่อจะบอกว่าปะป๊าอาจจะกลับดึกในช่วงนี้สักหน่อย เพราะมีภาระที่ต้องไปทำแต่หากสามารถจัดการได้แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เผลอ ๆ อาจจะได้เวลากลับมาเยอะกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ“จริงเหรอ!?” แต่
วันสงกรานต์ วันทรหดที่พนักงานทุกคนหัวหมุนแจกตั๋วโบกธงสัญญาณท่ามกลางผู้คนอันเบียดเสียด ไหนจะตัวเปียกตัวเปื้อนจากผู้โดยสารบางท่านที่ไปเล่นน้ำมาแล้วเดินมาชน หรือไม่บางคนก็ฝ่าฝืนกฎมาเล่นน้ำในเขตสถานีที่สถานีกรุงเทพฯ เส้นทางคมนาคมหลักแห่งนี้ ที่ผู้คนหลากหลายวัยต่างมุ่งหน้าเข้าสถานีเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดหรือไปเยี่ยมญาติพี่น้อง บรรยากาศในสถานีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้โดยสาร เสียงประกาศจากลำโพง และเสียงล้อรถไฟที่เสียดสีกับรางเหล็กเมื่อสิ้นเสียงหวูดภายในสถานี ผู้โดยสารนั่งกันเต็มพื้นที่ รอขึ้นรถไฟที่แน่นขนัด บางคนนั่งจับกลุ่มคุยกันบนพื้น บ้างก็กำลังยืนต่อแถวรอซื้อตั๋ว มีผู้คนมากมายที่ขนของพะรุงพะรัง ทั้งกระเป๋าเดินทาง ตะกร้าใส่ของกิน ของใช้ หรือแม้กระทั่งกรงสัตว์เล็ก ๆ ที่จะนำกลับไปด้วยแผนแทบไม่มีเวลามานั่งพักเสียด้วยซ้ำเมื่อรถไฟออกก็ต้องมาช่วยพี่ ๆ ตอบคำถามหรือถึงขั้นจัดแจงเอกสารจำหน่ายตั๋วแทนในกรณีที่บางคนไปเข้าห้องน้ำ เพราะการขาดใครไปแม้เพียงคนเดียวการสัญจรของผู้โดยสารจะติดขัดทันที และมันยิ่งวุ่นวายขึ้นเมื่อขบวนรถไฟมาถึง ผู้คนเร่งรีบเข้ามาแย่งชิงท
ในยามสายของวันหยุดปิดเทอมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูสดใสและชัดเจนจากแสงอาทิตย์ในหน้าร้อน ท้องฟ้าเข้มมีเมฆขาวลอยเป็นหย่อม ๆ อยู่ห่างไกลโดยลมพัดมาเป็นระยะ เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากผิวหนังแม้จะอยู่ในร่มยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมาอยู่หน้าเตาไฟในครัวควันหอมกรุ่นของน้ำเคี่ยวพริกแกงส้มลอยฟุ้งผ่านช่องหน้าต่างบานเกล็ดโชยพัดกลิ่นเครื่องปรุงขึ้นมาให้คุณพ่อตำรวจของบ้านได้รับรู้ พูนในชุดไปรเวทเสื้อคอกลมนั่งผ้าขาวม้าคว้าช้อนจากในตะแกรงตากมาตักน้ำแกงชิมรสชาติด้วยความชำนาญก่อนจะหันลงไปมองเด็กชายตัวจิ๋วที่ยืนเกาะโต๊ะครัวหลังช่วยเขาฉีกเนื้อปลาลงหม้อ“รบ ลงไปเรียกป๊ากับพี่ขึ้นมาได้เลย”“จ้ะ!”เสียงใสที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากร่างกายซึ่งเติบโตขึ้นตอบรับพร้อมแววตาเป็นประกายสดใส ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกจากครัวลงบ้านไปเมื่อปลายปีที่แล้วพวกเขาตัดสินใจได้ว่าจะรับเด็กมาเลี้ยงตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ จนได้มีเด็กเข้ามาอยู่ในบ้านถึงสองคนซึ่งเป็นพี่น้องที่อายุต่างกันหนึ่งปีเศษ โดยสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่พวกเขาไปมาเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรและกำลังอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมไ