“ก็บอกว่าผมไม่ใช่คนที่คุณพูดถึงไงครับ”
“ไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรหรอก~”
ท่ามกลางแสงรำไรจากโคมไฟสีนวลเหนือโต๊ะสูงมีลูกค้าท่านหนึ่งซึ่งเหมือนจะพึ่งเข้ามาร้านนี้เป็นครั้งแรกกำลังนั่งเมามายไม่ได้สติ เอาหน้าไถไปกับโต๊ะไม้คล้ายจะหลอมรวมเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวกัน
ผู้จัดการร้านควบตำแหน่งมือชงซึ่งเช็ดแก้วอยู่ฝั่งตรงข้ามมองพ่อหนุ่มเสียงเหน่ออย่างละเหี่ยใจ ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นไปมองเจ้าแผนซึ่งกำลังวกกลับมาเติมเครื่องดื่มให้ลูกค้า
“อย่าลามปามครับ กินของคุณไปเลย”
“พูดอย่างนี้พี่น้อยใจนะ~”
พูนซึ่งขอสถานที่ดื่มมาจากพ่อเทียบว่าจะมาเดินเล่นเอาสนุกจนมาลงเอยที่ร้านนี้ ไม่น่าเชื่อว่าดื่มไปแค่ไม่กี่แก้วมันจะทำให้เขาที่มั่นใจในลำคอตัวเองเมามายได้ถึงขนาดนี้
ภาพตรงหน้าคล้ายจะพร่ามัว ถึงไม่อาจมองอะไรชัดเจนแต่ทุกอย่างเหมือนจะสวยขึ้นผิดหูผิดตา กลิ่นหอมฟุ้งกำจายมากยิ่งกว่าเก่า พอมีเสียงเพลงเอื่อย ๆ จากแผ่นเสียงเข้ามาประกอบยิ่งชวนให้เขาเคลิบเคลิ้มไปกับรสสุรา
นายตำรวจในชุดไปรเวทเหมือนเมื่อเช้าที่มาถึงพระนครนั่งดื่มไปยิ้มไป พูดจาเรื่อยเปื่อยกับคนตัวเล็กในชุดผ้ากันเปื้อนตรงหน้าที่ละม้ายคล้ายนายสถานีคนนั้นเหลือเกิน จากที่แค่สนใจ ความรู้สึกมันกลับขยับขึ้นไปอีกระดับเสียอย่างนั้น
“ต่อจากนี้พี่...ขอไปจีบเราที่สถานีทุกวันเลยได้ไหมครับ?”
ลูกค้าตัวสูงกล่าวเสียงอ่อนขณะเอื้อมมือไปจับแก้วที่บริกรตัวเล็กกุมอยู่อย่างถือวิสาสะ จากกลิ่นหอมสมุนไพร เขากลับได้กลิ่นอย่างอื่นที่ชักจูงจิตใจยิ่งกว่าเมื่อได้เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้
คนที่ถูกแตะตัวกระตุกตกใจ หันซ้ายมองขวาเกรงว่าใครจะมาได้ยินเข้า ส่วนผู้จัดการหลังรินเหล้าใส่แก้วให้เสร็จสรรพก็ผละไปหลังร้าน แผนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเผชิญหน้ากับลูกค้าเพี้ยน ๆ คนนี้แต่เพียงผู้เดียว แต่ด้วยสภาวะแบบนี้ ดูทรงแล้วเสื้อผ้าก็ดูดีทั้งยังสวมนาฬิกาข้อมือ รองเท้าดูท่าว่าจะไม่ใช่ไก่กา คบหาเอาไว้สักหน่อยคงจะไม่เสียหายอะไร
“แล้วมีอะไรมาให้ล่ะ?”
“พี่จะซื้อขนมไปให้เราทุกวันเลย”
จู่ ๆ มุมปากของแผนก็กระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเรียบนิ่งดังเดิม ช่างเป็นการจีบที่น่าขบขัน เอาเป็นว่า...
“ตกลง”
การได้ของกินมาวางตรงหน้าทุกวันโดยไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียวนับเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือไร ติดก็แต่ไอ้หนุ่มเสียงเหน่อคนนี้จะจำสิ่งที่ตัวเองเคยสัญญาเอาไว้ได้หรือเปล่าก็เท่านั้น
‘วาสนาเอย เป็นบุพเพสันนิวาสร่วมกันมาแต่ปางก่อน~♪’
แผนที่กำลังเดินบริการอยู่กับลูกค้าโต๊ะอื่นเงยหน้ามามองอีกทีจึงเห็นว่าลูกค้าชายคนนั้นขึ้นเวทีเตี้ยไปจับไมโครโฟนร้องเพลงเสียแล้ว ไม่รู้ผู้จัดการแกอนุญาตได้อย่างไร แต่จะว่าไม่เพราะคงไม่ได้หรอก
‘เคยเคล้าเคลีย ร่วมเตียงเคียงหมอน มาอิงแอบนอนเป็นเพื่อนพี่เอย~♪’
น้ำเสียงร้องเพลงเอื้อนเอ่ยทำนองอย่างมีจังหวะ แผนไม่อาจรู้ได้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เพียงแต่แววตาคมคู่นั้นกลับเอาแต่จ้องมองมาทางเขาตลอดยามบทเพลงกำลังดำเนินไป นี่สินะที่เรียกว่าคนเมาแล้วเพ้อ คงเป็นนิสัยส่วนตัวของอีกฝ่ายเวลาเคลิ้มสุรา
แผน เอ็งไม่ต้องไปสนใจมากหรอก รวมถึงเรื่องจีบไร้สาระนั่นด้วย เพราะเดี๋ยวผู้ชายคนนั้นก็คงลืมเลือนไปเมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึงอยู่ดี
เมื่อได้ข้อสรุปบริกรตัวเล็กจึงจัดแจงวางเก็บถาดอาหาร ปลดผ้ากันเปื้อนพาดกับราวแขวนก่อนจะก้าวเดินขึ้นบันได โดยลืมสังเกตว่าตัวเองไม่สามารถละสายตาจากนักร้องผู้เมามายคนนั้นได้เช่นกัน
พูนไม่รู้ว่าบริกรคนนั้นหายไปไหนแล้วหลังจากร้องเพลงจบ เพียงครู่เดียวที่เขาหันเหความสนใจไปให้กับคุณลุงที่เดินมาให้เงิน เงยหน้ามาอีกทีตัวเล็กคนนั้นกลับไม่อยู่ในระยะสายตาเสียแล้ว นายตำรวจชะเง้อคอมองหาเท่าไรก็ไม่เจอ จึงวางไมโครโฟนแล้วลงมาก๊งต่อคนเดียวที่หน้าโต๊ะมือชง ก่อนจะเห็นว่ามีใครคนอื่นมานั่งด้วย แบบนี้ก็ดีเลยสิ จะได้มีเพื่อนคุยเล่น
ว่าแล้วก็เดินไปหย่อนก้นลง ณ เก้าอี้ด้านข้างอย่างไม่ถือตัว เอ่ยปากสั่งขอน้ำเมาเพิ่มอีกแก้วมาซดให้หายคอแห้งหลังใช้เสียงไปหนึ่งบทเพลง คิดว่าแก้วนี้จะเป็นแก้วสุดท้ายแล้ว อย่างไรพรุ่งนี้เขาก็ต้องไปรายงานตัวที่สน.
ดูแล้วผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ มีอากัปกิริยาสุขุมภูมิฐานน่าดู นี่น่ะหรือคนพระนคร โคตรจ๊าบ โคตรเท่ ถ้าเป็นโรงเหล้าที่เขาเคยเจอมานะ มันไม่สงบแบบนี้หรอก ออกจะวุ่นวายเสียด้วยซ้ำไป
“คุณดูเหมือนจะมาที่นี่บ่อยเลยนะครับ”
“เอ่อ...อืม ใช่”
พูนที่เมาอยู่จึงไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรมากมายถึงท่าทีกริ่งเกรงของคู่สนทนา
“ฉันเป็นลิเกน่ะ แล้วคุณล่ะ”
พูนรู้ว่าสถานที่สีเทาแบบนี้บอกเป็นตำรวจเดี๋ยวคนจะแตกตื่นเอาได้ ต่อให้ร้านนี้มีลับลมในจริง ๆ แต่สภาพตอนนี้เขาไม่พร้อมจะทำงานหรอก
“…”
“ฮ่า ๆ นั่นสิ มาที่แบบนี้บางคนเขาก็ไม่ค่อยอยากบอกอาชีพตัวเองกันหรอก ฮ่า ๆ”
พูนพูดจาโม้เหม็นเป็นต่อยหอย ปั้นแต่งเรื่องพระเอกลิเกผู้เดินทางไปทั่วประเทศออกมาอย่างฉูดฉาดโดยมีผู้จัดการร้าน และไกรวิชญ์เพื่อนร่วมโต๊ะเป็นผู้รับฟัง
“โอย...เห็นแบบนี้ฉันก็มีเรื่องเครียดเหมือนกันนา...”
พระเอกลิเกเสียงทุ้มกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อย ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะถูไถเป็นนัยถึงการระบายสิ่งที่อยู่ในหัว จู่ ๆ ก็พลันนึกถึงชีวิตรักที่ผ่านมาแล้วก็หงอยเหงา ทั้งน้องน้อยในสมัยเด็กที่ย้ายบ้านไปอย่างไม่บอกกล่าว คนรักเก่าที่ตามติดยิ่งกว่าผีอาฆาตแค้น และน้องบริกรคนน่ารักที่หายไปไหนไม่รู้
“คนแบบฉัน จะหาคู่ทีมันยากฉิบเป๋งเลย...ชอบผู้ชายด้วยกันเนี่ย”
“…”
พูนกล่าวสิ่งที่ใคร่ครวญออกมา เขารู้ดีว่าถ้าจะเลือกเส้นทางนี้มันต้องยากกว่าชาวบ้านอยู่แล้ว เพราะคนอย่างพวกเขามันยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมนี่ เขาที่ชอบเปิดเผยแต่กลับต้องเก็บสิ่งนี้เอาไว้เป็นความลับต่อคนโดยรอบนี่มันย้อนแย้งชะมัด ว่าแล้วก็เหลือบมองเพื่อนดื่มข้าง ๆ ที่คล้ายจะชะงักไปครู่หนึ่ง
“คุณเองก็ตกใจใช่ไหมล่ะ ฮึ...?”
“ฉัน...เข้าใจนะ”
“แหม หาได้ยากนะเนี่ย เราเหมือนกันเลยเนอะ...”
“อือ ใช่”
ด้วยความเมามายไม่รู้ว่าบทสนทนานั้นจบลงได้อย่างไรแต่เขาก็สามารถพาตัวเองไปยังร้านอาหารเพื่อกินข้าวต้มเปิดดึกแก้เมาแก้หิวได้ ที่มาถูกเพราะเพื่อนที่รู้จักสมัยเรียนนายร้อยเจ้าตัวเป็นลูกชายเจ้าของร้านย่านเยาวราช ที่กลางวันเปิดเป็นร้านอาหารจีนส่วนกลางคืนเปิดเป็นร้านข้าวต้ม
บรรยากาศยามค่ำคืนช่างเป็นอะไรที่เงียบสงบไม่ต่างจากต่างจังหวัดสักเท่าไรนัก ผิดก็เพียงดวงไฟรายทางคอยให้แสงสว่างในตัวเมืองสื่อให้รู้ว่าอย่างไรพระนครก็ยังเป็นเมืองที่มีชีวิตอยู่ตลอดเวลา แม้จะน่าเสียดายที่ท้องฟ้ามองดาวไม่ค่อยจะเห็นก็ตาม
“เอ้า! ไอ้พูนจำฉันได้ไหมเนี่ย?”
เสียงทักทายดังมาจากด้านในร้าน หนุ่มหน้าตี๋ตัวไม่สูงมากนักเดินล้วงกระเป๋าผ้ากันเปื้อนสีแดงซึ่งปักชื่อร้าน ‘วิภา โภชนา’ เข้ามาทักทายเพื่อนเก่า
เนื่องจากที่ที่เขาเข้าเรียนมันคือโรงเรียนเตรียมนายร้อยซึ่งแบ่งออกเป็นหลายสังกัด แม้ไอ้ปลื้มมันจะเป็นทหาร แต่ด้วยเหตุบังเอิญจึงทำให้คนเพื่อนน้อยโคจรมาเจอกัน
“ต้องจำได้อยู่แล้วสิ ฮ่า ๆ”
“แหม มาไม่บอกเลยน้า”
“ก็ฉันไม่รู้ว่าเอ็งบ้านเลขที่เท่าไหร่นี่หว่า-”
*กรี๊ง! * จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น ทำให้ปลื้มหุ้นส่วนร้านต้องขอตัวไปรับสายเผื่อว่าจะเป็นลูกค้าโทรเข้ามากลางดึก ทว่าเมื่อวางสายลงสีหน้าของเจ้าเพื่อนกลับฉายความแปลกประหลาด ไม่นานมันก็พุ่งตรงมายังเขาซึ่งกำลังซดน้ำข้าวต้มอยู่
สองมือจับเข้าไหล่เขาดังหมับทำเอานายตำรวจตกใจ ลางสังหรณ์คล้ายว่าจะเกิดเรื่องที่ชวนให้สร่าง
“เอ็งรู้จักเสือหินใช่ไหม?”
“อะ... อือ ก็พอได้ยินมาบ้าง”
ได้ข่าวว่าก่อมาหลายคดีติดต่อกันนานมากกว่าสิบปีแต่ยังไม่มีตำรวจสน.ไหนจับตัวได้ จนต้องออกข่าวประกาศเรียกค่าหัวกระจายทั่วประเทศ
“ฉันได้เบาะแสมา ฝากเอาไปทำเรื่องให้ทีนะ”
“เฮ้ย! เดี๋ยว แต่ตอนนี้มัน-”
“เดี๋ยวฉันจดที่อยู่บ้านมาให้นะ”
ไอ้ปลื้มกูพึ่งเมามา! พึ่งเหยียบพระนครได้ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงดีเลย เอางานมาให้กูทำเสียแล้ว!
สุดท้ายคงต้องถามว่าคืนนั้นเขาได้นอนไหม เพราะต้องเอาร่างกายที่ไม่พร้อม วิ่งไปรายงานกับสน.ตำรวจ ยังไม่ทันได้รายงานตัวเลยแต่ต้องมาจับปืนสวมเครื่องแบบทำภารกิจตามจับโจรร้ายแห่งประเทศไทยเสียแล้ว น้ำก็ไม่ได้อาบ ตัวยังมีกลิ่นเหล้าจาง ๆ ติดอยู่เลย พ่อจ๋า ป๊าจ๋า พูนอยากกลับไปนอนแล้ว ฮือ...
และคล้ายว่าวันแรกในพระนครของเขามันจะไม่จบลงง่าย ๆ เมื่อรุ่นพี่ชาวเมืองหลวงสะสางงานเสร็จ เขาจึงต้องเข้ามารายงานตัวกับผู้กำกับการในสภาพที่ไม่รู้จะสร่างได้มากกว่านี้หรือเปล่า เพราะแค่ต้องวิ่งเต้นเมื่อคืนก็ทำเอาเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ดื่มน้ำเมาเข้าไปเลยสักหยด
พูนยืนสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกสติ เขาท่องบทมาเป็นอย่างดีตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน จึงยกมือขึ้นเคาะประตูห้องก่อนจะขออนุญาต
‘เข้ามาได้’
เมื่อสิ้นเสียงพูนจึงไม่รอช้าเปิดประตูก้าวขาเข้าไป
เขาสังเกตตั้งแต่มาถึงที่นี่ ช่างเป็นโรงพักที่ดูมีอะไรมากกว่าต่างจังหวัดเสียอีก ถึงพื้นที่จะแคบกว่าด้วยความเป็นใจกลางเมืองแต่เหมือนสน.นี้จะดูมีอะไรมากกว่า ภายในห้องผู้กำกับประกอบไปด้วยตู้เก็บเอกสารโลหะเก่า พร้อมด้วยที่นั่งติดผนัง และโต๊ะทำงานซึ่งเด่นออกมา
“สวัสดีครับ ผมพันตำรวจโทผดุงกิตติ์ ชยธาดาครับ จะมารับช่วงต่อตำแหน่งรองผู้กำกับการ...ครับ...”
พูนเริ่มเสียงอ่อนเมื่อหัวหน้าคนใหม่ค่อย ๆ เงยขึ้นมาสบตา และเหมือนทั้งสองจะรู้ได้ในทันที
คุณไกรวิชญ์ในเครื่องแบบตำรวจนิ่งเงียบในขณะที่พูนสร่างเมาเป็นรอบที่สามพร้อมกับความง่วงงุนที่ปลิวหายไป พระเอกลิเกบ้านเอ็งสิไอ้พูน!
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
หลังจากคืนวันอันวายป่วงจนตอนนี้ผ่านมาจนใกล้จะสิ้นปี ด้วยภาระหน้าที่ของรองผู้กำกับน้องใหม่เขาจึงมีหลายเรื่องให้ต้องปรับตัว กว่าจะสามารถบริหารเวลาเพื่อมาพบหน้าน้องน้อยนายสถานีได้ก็ปาไปจะหกเดือนแล้ว กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังจดจำเขาได้ ช่างเป็นที่น่าปลื้มอกปลื้มใจนัก
เมื่อเช้าเขาซื้อฝรั่งมาให้เพราะรู้ว่าน้องแผนมักทานข้าวมาก่อนแล้ว เที่ยงวันนี้เขาจึงซื้อของคาวอย่างขนมจีบกุยช่ายมาให้อีกเพราะดูจากสถิติที่ที่เคยซื้อมาคล้ายว่าเจ้าน้องจะชอบอาหารที่จิ้มทานง่ายมากกว่ากับข้าวในจาน
พูนได้นั่งพูดคุยพลางมองน้องแผนเคี้ยวขนมตุ้ย ๆ ก็เป็นสุขใจแล้ว มาถึงจุดนี้ด้วยประสบการณ์สอนให้เขาค่อยเป็นค่อยไปค่อยเรียนรู้ดังนั้นภารกิจตามหารักในครั้งนี้มันจะไม่ฉาบฉวยอย่างแน่นอน
“แล้วเฮียไม่ซื้ออะไรมากินบ้างเหรอ?”
“เฮียกินปิ่นโตจากสน.มาแล้วครับ”
น้องแผนชอบเรียกเขาด้วยคำว่า ‘เฮีย’ มากกว่าคำว่า ‘พี่’ ซึ่งเขาก็มองว่ามันน่ารักดีจึงเอามาใช้แทนตัวเองมันเสียเลยเผื่อตัวเองจะเข้าไปใกล้ชิดหัวใจน้องได้มากขึ้น
“แล้วเราปกติกลับบ้านยังไง น้ำท่วมแบบนี้”
“ผมจ้างเรือเอาน่ะ”
“ไม่แพงเหรอ งานเราเลิกช่วงหัวค่ำเลยนี่”
“ก็...นิดหน่อย”
พวกเรือจ้างน่ะถ้าเป็นตอนกลางวันก็ไม่กี่สตางค์หรอก แต่ถ้าตกกลางคืนเรือพายน้อย คนที่เหลือก็มักจะตั้งราคาสูงขึ้น บางลำได้ยินว่าขึ้นไปแตะหลักบาทเลยทีเดียว แต่จะไม่จ้างก็ไม่ได้ประเดี๋ยวจะไปทำงานพิเศษไม่ทันกาล
“ให้เฮียพายไปส่งที่ร้านไหม?”
“วันนี้ฉันไม่มีงาน”
“งั้นให้เฮียพายไปส่งที่บ้านไหม?”
“อื้อ”
แผนรู้ว่าสุดท้ายเจ้าพี่ก็จะขอพาไปส่งอยู่ดีจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ แถมดีเสียอีกไม่ต้องเสียค่าเดินทางเพิ่ม ยิ่งแพง ๆ อยู่ด้วย
นายสถานีตัวเล็กลอบมองพี่ตำรวจที่อาสาเดินเอากระทงใบตองไปทิ้งให้ก็ฮึดฮัดอยู่กับตัวเอง คนอะไรทำไมแค่ทำหน้าตาอารมณ์ดีเขาถึงรู้สึกหมั่นไส้ได้ถึงขนาดนี้ รู้จักกันมาหลายต่อหลายเดือน เห็นกันมาทุกเช้ากลางวันเย็นก็ยังไม่ชินเสียที
ก่อนเจ้าพี่จะกลับไปสน.ก็มาโบกไม้โบกมือยกใหญ่ราวกับจะไม่ได้เจอกันไปอีกหลายวัน แผนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ดีที่เดือนนี้ไม่มีวันหยุดเลย สถานีจึงมีเพียงคนที่เดินทางอยู่ประจำไม่ค่อยมีผู้คนกลับบ้านเยอะเท่าไรนัก ว่าแล้วก็พาลนึกย้อนไปยังช่วงสงกรานต์ที่คนอภิมหาเยอะ
อาชีพนายสถานีอย่างเขาส่วนใหญ่ถ้าไม่มีปัญหาอะไร หรือต้องติดต่อราชการหน่วยอื่น จะทำหน้าที่อำนวยความสะดวกเฉพาะเวลาที่รถไฟเทียบชานชาลา ระหว่างรอรถเขาจึงมีเวลามานั่งพักนั่งเล่นกันในห้องประชาสัมพันธ์ แต่ก็ไม่นานมากหรอกเพราะสถานีกรุงเทพเป็นสถานีหลัก ไม่เกินสิบนาทีก็มีขบวนรถเข้าเทียบแล้ว
“น้องแผนจ๊ะ มาช่วยหยิบไปกินอีกหน่อยสิ สามีพี่เห็นว่าถูกเลยซื้อมาซะเยอะเลย”
“คร้าบ”
พี่ดา เป็นพนักงานประชาสัมพันธ์ควบตำแหน่งคนจ่ายตั๋วช่วยกันกับพี่สาวพี่ชายอีกสี่ห้าคนในสถานีกรุงเทพแห่งนี้ สามีเจ้าตัวก็เป็นนายสถานีเช่นเดียวกันทว่าไม่ได้ทำงานภาคพื้นแต่ต้องขึ้นตู้ไปดูแลความปลอดภัยให้ผู้โดยสารบนรถไฟ
ตั้งแต่เข้ามาทำงานพร้อมกับไอ้ด้วงก็กินดีอยู่ดีกว่าที่คิด เพราะพี่ ๆ แต่ละคนชอบสรรหาของกินของทานเล่นมาเก็บไว้ในตู้ให้พนักงานในสถานีมาแบ่งกันกินคนละเล็กละน้อย เพราะนอกจากพวกเขาแล้วก็มีพนักงานคุมประแจ พี่ช่าง คนการภารโรง แล้วก็คุณปู่ภารโรง
แผนนั่งลงกับเก้าอี้น้อยหยิบห่อขนมกล้วยออกมาแก้มัดก่อนจะกัดเต็มปากเต็มคำ พลางมองเจ้าด้วงซึ่งพึ่งกลับมาจากมื้อเที่ยงซึ่งเหมือนจะถูกขอให้กินจนจุกแล้ว เขามองเพื่อนไปก็นึกอิจฉา ทำยังไงถึงจะได้หุ่นแบบนั้น เขาเองก็อยากตัวสูงตัวใหญ่มีกล้ามมีก้นเหมือนกันบ้างนะ
‘ไอ้ด้วง’
‘อะไร?’
แผนคล้ายจะนึกเรื่องสนุก ๆ แก้เบื่อออกจึงกระเถิบที่นั่งไปใกล้เพื่อนผิวสีน้ำผึ้ง เขาได้ยินว่าตั้งแต่ต้นปีเจ้าตัวก็มีอาจารย์มหาลัยมาติดอกติดใจพูดคุยกันทุกเช้าเย็น
‘ครูอุ่นเขาเป็นไงอะ เล่าให้กูฟังได้ไหม ไปกันถึงไหนแล้ว?’
‘มะ...มึงนี่นะ! กูไม่ได้คิดอะไรกับเขา’
‘จริงอะ เขาเอาของมาฝากทุกสัปดาห์เลยนะ’
‘เขาแค่ตอบแทนที่กูไปช่วยบอกทางเท่านั้นแหละ’
‘แหม บอกทางครั้งเดียวได้ของตอบแทนลากยาวมาเป็นเดือนเลยนะ’
‘แล้วกูจะไปรู้ใจเขาไหมล่ะ!?’
‘ฮ่าฮ่าฮ่า!’
แผนรู้สึกเหมือนมีเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรม การถูกผู้ชายด้วยกันอย่างเฮียพูนมาตามจีบต้อย ๆ จึงดูไม่แปลกมากมายนัก เพราะชีวิตเขาก็ไม่เคยมีใครมาเอาอกเอาใจแบบนี้เหมือนกัน ทีแรกเขารู้สึกว่ามันช่างเป็นความแปลกที่จริงใจจนน่ากลัวเสียด้วยซ้ำ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เพราะเขาคิดเช่นนั้น ผ่านมาหลายต่อหลายเดือนทั้งภาระงาน ครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ รวมไปถึงความรู้สึกที่ยังไม่ยอมแง้มเปิดเสียที สถานะระหว่างพวกเขาจึงเป็นได้เพียงพี่น้องที่บังเอิญเห็นหน้ากันในสถานีรถไฟ และมารู้จักกันในร้านกินดื่ม
แผนก้าวลงเรือสำปั้นที่มีนายตำรวจติดยศพันโทเป็นมือพายโดยมีเบื้องหลังเป็นแสงไฟสว่างโร่จากสถานีตรงข้ามกับภายนอกที่เป็นเวลากลางคืนช่วงหัวค่ำ มีต้นกำเนิดแสงไม่กี่ดวงจากไฟรายทางและหน้าต่างของครัวเรือนที่ยังไม่เข้านอน
“ไม่จับมือเฮียเหรอ?”
“จับทำไม น้ำตื้นแค่นี้เอง”
เป็นเวลากว่าอาทิตย์จวนจะขึ้นเดือนตุลาคมอยู่แล้ว แต่น้ำที่เคยลดลงกลับยังขังอยู่ที่เดิมไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลงเลย ว่าแล้วเมื่อจัดแจงกระเป๋าบนตักเสร็จก็มามองพี่ตำรวจซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามที่ยังทำอารมณ์ดีฉีกยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิงทั้งที่บ้านเมืองน้ำท่วมอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็พิลึกพิลั่น ถ้าไม่ติดว่าซื้อขนมมาให้กินทุกวันนะเขาไล่ตะเพิดไปแล้ว
“เฮียร้องเพลงให้ฟังเอาไหมครับ?”
“จะหนึ่งทุ่มแล้วมันรบกวน คนอื่นเขานอนกัน”
“น่ารัก”
“หือ? จู่ ๆ มาพูดอะไรเนี่ย”
“เฮียพูดชมว่าเราน่ารักครับ”
“ทำไมชอบพูดอะไรไร้แก่นสารนักนะ! ก็เคยบอกไปแล้วว่าผมไม่ใช่คนที่พี่เคยรู้จัก”
นี่เป็นอีกเรื่องที่ยังสงสัย บอกไปไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยรอบว่าไม่ใช่ ๆ อีกฝ่ายก็ยังทู่ซี้ตามเอาขนมเอยอะไรเลยมาให้
“ไม่รู้จักก็ได้ครับ งั้นเรามาแนะนำตัวกันใหม่ เฮียเป็นตำรวจชื่-
“พอเลย! พายไปเงียบ ๆ นั่นแหละ รู้จักก็รู้จัก”
เพราะแผนไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนพูดจามากมายอย่างนายตำรวจคนนี้ เชื่อสิว่าต้องมีสักวันที่เฮียพูนแกจำความได้ขึ้นมา เมื่อถึงคราวนั้นก็คงจะถอยห่างจากเขาไปเองนั่นแหละ อย่างไรเหตุผลที่เขาอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาในชีวิตก็ไม่ใช่เพราะเรื่องราวรัก ๆ ใคร่ ๆ อยู่แล้ว
“บ้านเราต้องเข้าไปอีกใช่ไหมครับ?”
“อือ...เลี้ยวตรง...”
“ตรงแยกนั้นใช่ไหมครับ?”
“มะ... ไม่ต้อง ผมลงตรงนี้แหละ เดี๋ยวเดินไปเอง”
“แต่ตรงนี้มัน-เหวอ!”
ไม่ทันที่พี่ตำรวจจะกล่าวนายสถานีตัวเล็กก็ก้าวลงพื้นน้ำที่สูงขึ้นมาถึงครึ่งแข้ง ก้าวขากวาดน้ำไปอย่างไม่กลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอที่อาจลอยมาตามน้ำ นั้นทำพูนเป็นห่วง จะลงเดินไปก็เสี่ยงเรือหายอีก วันแรกที่พูนได้รับโอกาสให้ไปส่งน้องกลับบ้านจึงไม่ประสบผลสำเร็จ ทีแรกเขาตั้งใจจะพายไปส่งถึงหน้าบ้านเลยเชียว
แผนเดินก้าวขาฉับ ๆ อย่างไม่กลัวว่าขาจะเปียก เขาลืมไปเลยว่าจะให้ใครมารู้ที่อยู่บ้านไม่ได้โดยเฉพาะเฮียพูน
เหตุการณ์เมื่อครู่นั้นถือว่ารอดหวุดหวิด ถ้าปล่อยไปละก็คนอย่างเฮียพูนได้ตามมาในภายหลังแน่ ว่าแล้วก็หันหลังกลับไปมองยังทางที่เดินผ่านมา ก่อนจะเห็นเจ้าพี่แกหันหัวเรือพายไปทางอื่นแล้วก็พลอยโล่งใจ
เขาเกิดมาในบ้านยาจกแร้นแค้น กว่าจะถีบตัวเองขึ้นมาทำงานใส่ชุดสีกากีแบบนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่ต้องหาเลี้ยงน้องสาวต่างแม่มาจนเจ้าตัวอายุสิบเก้าปี
นายสถานีตัวเล็กเดินเลยเขตที่น้ำท่วมออกมาไม่นานก็ถึงปากทางเข้า มันเป็นเพียงสะพานไม้ผุเก่าแก่ที่อยู่มานานกว่ายี่สิบปีซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนในสลัมแห่งนี้เดินข้าม
ราวกับพลิกฝ่ามือ ทัศนียภาพของพระนครอันหรูหราในภาพฝันของใครต่อใครคงจะถูกทำลายลงเมื่อได้มาเห็นบ้านเรือนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ติดกันเป็นแพจนแทบจะไม่มีอากาศให้หายใจ สายไฟระโยงระยางพาดผ่านหลังคาสังกะสีนับสิบหลัง กลิ่นสนิมเกรอะกรัง กลิ่นขยะเหม็นเน่าโชยฟุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ ทว่าผู้ที่เติบโตมาตั้งแต่เด็กอย่างเขานั้นเคยชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้แล้ว ใบหน้าจึงปรากฏแต่เพียงความเรียบเฉย
แสงจันทร์สาดลงมาสะท้อนร่างผู้สูงอายุคนหนึ่งที่นอนเอกเขนกกอดขวดเหล้าอยู่ ณ แคร่หน้าบ้านรูหนูขณะนายสถานีตัวเล็กเดินผ่าน และเพราะไร้ซึ่งผู้คนเดินไปมา เสียงหนูตามทางเดินจึงได้ยินชัดกว่าปกติ เพียงไม่นานเขาก็มาถึงหน้าบ้าน
เพราะเป็นบ้านที่สืบทอดกันมาจากฝั่งพ่อ มันจึงใหญ่กว่าบ้านคนอื่นและทำจากไม้ กระนั้นมันก็เก่าเกินกว่าจะเรียกได้ว่าน่าดูชม
กุญแจพวงน้อยกระทบกันเสียงใส ก่อนจะตามด้วยประตูบานพับไม้ที่เปิดออกอย่างเชื่องช้า เพียงก้าวแรกที่เยื้องย่างเข้าไปในเขตบ้าน กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ก็ลอยมาเตะจมูก ดวงตาที่เคยเป็นประกายเมื่อดูต่อหน้าผู้โดยสารกลับไร้แวว หรี่มองขวดเหล้าและ ‘กล้องสูบฝิ่น’ ที่ทำจากเหง้าไผ่ซึ่งมีรอยดำจากยางฝิ่นที่ผู้ใช้สูบติดต่อกันมาเป็นเวลานานหลักปี ไม่พอยังมียาเสพติดและเครื่องมือมากมายที่หากตำรวจสักคนมาเจอเข้าละก็ ไม่ใช่แค่คนสูบแต่เขาที่ปกปิดมันคงโดนหางเลขไปด้วย
“เพียง? นอนแล้วเหรอ”
“อือ.... พี่ มีอะไร?”
“พี่แค่จะบอกว่าได้ขนมกล้วยมา เอ็งเอาไว้กินรองท้องตอนเช้านะ”
“จ้ะ...”
แผนวางกระเป๋าไว้ยังหัวนอนนอกมุ้งก่อนจะเดินไปผลัดผ้าอาบน้ำ โดยไม่สนว่าบิดาแก่ชราผู้เมามายจะลงไปนอนกับพื้นหรือไม่ โอ่งน้ำถูกตั้งไว้กลางแจ้งท้ายบ้านซึ่งเคยเป็นท่าเรือขนาดย่อม ไม้กระดานต่อพาดมาระแม่น้ำทว่าในยามต้องเผชิญกับอุทกภัยแบบนี้ไม่แปลกหากมันจะขึ้นมาเกยถึงข้อเท้า ทว่าอย่างไรเสียมันก็ดีกว่าวันแรกที่พายุเข้าซึ่งน้ำขึ้นมาถึงเอว ทำเอาหนังสือของเพียงน้องสาวเสียหายไปเยอะโข ดีที่มันไม่ขาดลุ่ยหรือหมึกซึมจนอ่านไม่ได้ แต่ก็ลำบากพอควรเมื่อจำต้องหยิบขึ้นมาอ่านทั้ง ๆ ที่ยังเปียกชื้นอยู่
แผนเมื่อเอาน้ำราดเนื้อราดตัวพอให้หายเหนื่อยก็นั่งทิ้งขาลงกับท่าเรือ มองดวงจันทร์ที่หลบอยู่หลังเมฆไปพลางนึกถึงเงินเดือนที่กำลังจะออก เพราะมันไม่ได้มากมายนักจึงต้องบริหารให้ดีเสียแต่เนิ่น ๆ ไหนจะต้องมาเตรียมเงินค่าเรียน ค่าสมัครสอบของเพียงในครั้งหน้าอีก
ว่าแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันกลับไปมองในตัวบ้านเพื่อจะสอดส่องมองน้องสาวในมุ้ง แต่ก็ไม่วายหันไปเห็นบิดาซึ่งควานหาสิ่งเสพติดมากอดไว้
มันทำเขาปวดใจไม่ใช่น้อยกับการที่ให้เงินพ่อไปแล้วอีกฝ่ายกลับทำเหมือนมันไร้ค่า ไม่ว่าจะบีบบังคับอย่างไร จะขู่ตัดเงิน พ่อก็ไม่เคยสำนึกทั้งยังเอาลูกสาวตัวเองมาเป็นตัวประกันว่าหากไม่ให้เงินตัวเองจะทุบตีทำร้ายเหมือนที่ทำกับเขา
เพราะแบบนั้น เพราะถูกรายล้อมไปด้วยสิ่งเหล่านี้ การจะให้ใครมารับรู้นั้นมันไม่ชวนให้น่าสงสารหรอก มันมีแต่จะน่าสมเพช ทั้งยังเสี่ยงเข้าคุกเข้าตะราง ดังนั้นเขาจะบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้ไม่ได้เป็นอันขาด
1. นิยายเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาปีพ.ศ.2485 ทุกตัวละคร และ'บาง'สถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน โปรดใช้วิจารณญาณในการแยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น หรือเรื่องราวซึ่งเป็นเพียงจินตนาการ3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจคู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน)4. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึง สิ่งเสพติด/อบายมุข, การพนัน, ความรุนแรง, การข่มขู่, คำหยาบคาย, นายเอกมีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นนอกเหนือไปจากพระเอก, ฉากล่อแหลมทางเพศ และฉากโจ่งแจ้งทางเพศ (Anal sex, Bare breaking, Blowjob, Clothed sex, Cum drinking, Hand job, Semi-Outdoor, Vanilla)โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เขาเป็นเด็กที่เกิดมาท่ามกลางสภาวะสงคราม แม้ผ่านมาเพียงสองปีมันจะจบลงทว่ามันไม่แปลว่าเศรษฐกิจจะฟื้นฟูขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะมันเป็นช่วงเวลาอันไกลพ้นและสั้นกุด เขาจึงไม่สามารถจำหน้าพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองได้ ญาติหลายต่อหลายคนที่มาร่วมงานศพขนาดย่อมในวัดเล็ก ๆ กลางพระนครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพ่อแม่ซึ่งป่วยออด ๆ แอด ๆ ของเขาตั้งใจเลี้ยงดูลูกชายเพียงคนเดียวมากแค่ไหน สิ่งที่พวกท่านหลงเหลืออยู่คงจะเป็นเลือดที่ไหลเวียนอยู่และชื่อสกุลพูนไม่อาจจำได้ว่าตัวเองเมื่อครั้งอายุสิบขวบรู้สึกเศร้าโศกขนาดไหน บางทีอาจจะไม่สมควรเป็นวัยที่รู้จักความเศร้าจากความสูญเสียด้วยซ้ำไป งานวันนั้นเขาถูกจับแต่งตัวจากคุณย่าที่ยังไม่คุ้นหน้า และถูกจูงมางานเมื่อถึงเวลา ร่วมงานสีดำตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ในหัวมันรู้สึกว่างเปล่าพิกล รู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลย‘น่าสงสาร เด็กตัวแค่นี้เอง’‘แล้วใครจะรับไปเลี้ยงต่อล่ะ’‘วัยกำลังโตเสียด้วย’พูนในวัยเด็กพร้อมชุดเสื้อสีดำนั่งแกว่งขามองพื้นศาลาขณะรอกลับในช่วงค่ำหลังจากร้องไห้จนไม่มีน้ำตาหลงเหลืออยู่ เขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าต
“พ่อ ฉันวางจานเอาไว้ตรงนี้นะจ๊ะ”พูนในวัยสิบห้าย่างสิบหกหยิบยกตะแกรงซึ่งเต็มไปด้วยจานที่ล้างเสร็จหมาด ๆ มาวางไว้บนโต๊ะหินหน้าบ้าน จนถึงตอนนี้ผ่านมาหลักปีเขาก็ยังนึกถึงน้องชายคนนั้นอยู่ตลอด ด้วยว่ายกให้เป็นเพื่อนสนิทคนแรกหลังต้องย้ายมาจากพระนครเด็กหนุ่มยืนจัดเรียงจานให้เข้าที่ แม้เป็นเวลาเพียงสามปีส่วนสูงกลับเพิ่มขึ้นจนจะเท่าคนเป็นพ่ออยู่แล้วเชียว กิจการช่วงนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเช่นเคย รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องคอยปรามพ่อไม่ให้เอาเขียงทุบหัวลูกค้า“เฮ้อ...”พูนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย หากน้องเจ้ายังอยู่ละก็เขาคงมีที่ระบายเพิ่มขึ้น เพราะตั้งแต่วางแผนว่าจะสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ชีวิตเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะเมืองพิษณุโลกไม่มีโรงเรียนตำรวจ มีเพียงสถานีไม้เล็ก ๆ ให้ชาวบ้านไปไกล่เกลี่ยกับตำรวจไม่กี่นาย หากจะเรียนก็ต้องเตรียมตัวสอบข้อเขียนประกอบกับวัดสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะหนักแค่ไหน หรือเขาต้องรู้อะไรก่อนไปสอบบ้าง“ป๊าจ๊ะ ฉันออกไปวิ่งก่อนนะจ๊ะ”“ช่วงนี้มืดเร็ว กลับมาก่อนค่ำนะจ๊ะ”“จ้า”