หน้าหลัก / วาย / มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก / บทที่ ๔ ไม่เมาเหล้า แต่เรายังเมารัก

แชร์

บทที่ ๔ ไม่เมาเหล้า แต่เรายังเมารัก

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-10-31 18:00:07

“ก็บอกว่าผมไม่ใช่คนที่คุณพูดถึงไงครับ”

“ไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรหรอก~

ท่ามกลางแสงรำไรจากโคมไฟสีนวลเหนือโต๊ะสูงมีลูกค้าท่านหนึ่งซึ่งเหมือนจะพึ่งเข้ามาร้านนี้เป็นครั้งแรกกำลังนั่งเมามายไม่ได้สติ เอาหน้าไถไปกับโต๊ะไม้คล้ายจะหลอมรวมเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวกัน

ผู้จัดการร้านควบตำแหน่งมือชงซึ่งเช็ดแก้วอยู่ฝั่งตรงข้ามมองพ่อหนุ่มเสียงเหน่ออย่างละเหี่ยใจ ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นไปมองเจ้าแผนซึ่งกำลังวกกลับมาเติมเครื่องดื่มให้ลูกค้า

“อย่าลามปามครับ กินของคุณไปเลย”

“พูดอย่างนี้พี่น้อยใจนะ~”

พูนซึ่งขอสถานที่ดื่มมาจากพ่อเทียบว่าจะมาเดินเล่นเอาสนุกจนมาลงเอยที่ร้านนี้ ไม่น่าเชื่อว่าดื่มไปแค่ไม่กี่แก้วมันจะทำให้เขาที่มั่นใจในลำคอตัวเองเมามายได้ถึงขนาดนี้

ภาพตรงหน้าคล้ายจะพร่ามัว ถึงไม่อาจมองอะไรชัดเจนแต่ทุกอย่างเหมือนจะสวยขึ้นผิดหูผิดตา กลิ่นหอมฟุ้งกำจายมากยิ่งกว่าเก่า พอมีเสียงเพลงเอื่อย ๆ จากแผ่นเสียงเข้ามาประกอบยิ่งชวนให้เขาเคลิบเคลิ้มไปกับรสสุรา

นายตำรวจในชุดไปรเวทเหมือนเมื่อเช้าที่มาถึงพระนครนั่งดื่มไปยิ้มไป พูดจาเรื่อยเปื่อยกับคนตัวเล็กในชุดผ้ากันเปื้อนตรงหน้าที่ละม้ายคล้ายนายสถานีคนนั้นเหลือเกิน จากที่แค่สนใจ ความรู้สึกมันกลับขยับขึ้นไปอีกระดับเสียอย่างนั้น

“ต่อจากนี้พี่...ขอไปจีบเราที่สถานีทุกวันเลยได้ไหมครับ?”

ลูกค้าตัวสูงกล่าวเสียงอ่อนขณะเอื้อมมือไปจับแก้วที่บริกรตัวเล็กกุมอยู่อย่างถือวิสาสะ จากกลิ่นหอมสมุนไพร เขากลับได้กลิ่นอย่างอื่นที่ชักจูงจิตใจยิ่งกว่าเมื่อได้เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้

คนที่ถูกแตะตัวกระตุกตกใจ หันซ้ายมองขวาเกรงว่าใครจะมาได้ยินเข้า ส่วนผู้จัดการหลังรินเหล้าใส่แก้วให้เสร็จสรรพก็ผละไปหลังร้าน แผนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเผชิญหน้ากับลูกค้าเพี้ยน ๆ คนนี้แต่เพียงผู้เดียว แต่ด้วยสภาวะแบบนี้ ดูทรงแล้วเสื้อผ้าก็ดูดีทั้งยังสวมนาฬิกาข้อมือ รองเท้าดูท่าว่าจะไม่ใช่ไก่กา คบหาเอาไว้สักหน่อยคงจะไม่เสียหายอะไร

“แล้วมีอะไรมาให้ล่ะ?”

“พี่จะซื้อขนมไปให้เราทุกวันเลย”

จู่ ๆ มุมปากของแผนก็กระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเรียบนิ่งดังเดิม ช่างเป็นการจีบที่น่าขบขัน เอาเป็นว่า...

“ตกลง”

การได้ของกินมาวางตรงหน้าทุกวันโดยไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียวนับเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือไร ติดก็แต่ไอ้หนุ่มเสียงเหน่อคนนี้จะจำสิ่งที่ตัวเองเคยสัญญาเอาไว้ได้หรือเปล่าก็เท่านั้น

‘วาสนาเอย เป็นบุพเพสันนิวาสร่วมกันมาแต่ปางก่อน~♪’

แผนที่กำลังเดินบริการอยู่กับลูกค้าโต๊ะอื่นเงยหน้ามามองอีกทีจึงเห็นว่าลูกค้าชายคนนั้นขึ้นเวทีเตี้ยไปจับไมโครโฟนร้องเพลงเสียแล้ว ไม่รู้ผู้จัดการแกอนุญาตได้อย่างไร แต่จะว่าไม่เพราะคงไม่ได้หรอก

‘เคยเคล้าเคลีย ร่วมเตียงเคียงหมอน มาอิงแอบนอนเป็นเพื่อนพี่เอย~♪’

น้ำเสียงร้องเพลงเอื้อนเอ่ยทำนองอย่างมีจังหวะ แผนไม่อาจรู้ได้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เพียงแต่แววตาคมคู่นั้นกลับเอาแต่จ้องมองมาทางเขาตลอดยามบทเพลงกำลังดำเนินไป นี่สินะที่เรียกว่าคนเมาแล้วเพ้อ คงเป็นนิสัยส่วนตัวของอีกฝ่ายเวลาเคลิ้มสุรา

แผน เอ็งไม่ต้องไปสนใจมากหรอก รวมถึงเรื่องจีบไร้สาระนั่นด้วย เพราะเดี๋ยวผู้ชายคนนั้นก็คงลืมเลือนไปเมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึงอยู่ดี

เมื่อได้ข้อสรุปบริกรตัวเล็กจึงจัดแจงวางเก็บถาดอาหาร ปลดผ้ากันเปื้อนพาดกับราวแขวนก่อนจะก้าวเดินขึ้นบันได โดยลืมสังเกตว่าตัวเองไม่สามารถละสายตาจากนักร้องผู้เมามายคนนั้นได้เช่นกัน

พูนไม่รู้ว่าบริกรคนนั้นหายไปไหนแล้วหลังจากร้องเพลงจบ เพียงครู่เดียวที่เขาหันเหความสนใจไปให้กับคุณลุงที่เดินมาให้เงิน เงยหน้ามาอีกทีตัวเล็กคนนั้นกลับไม่อยู่ในระยะสายตาเสียแล้ว นายตำรวจชะเง้อคอมองหาเท่าไรก็ไม่เจอ จึงวางไมโครโฟนแล้วลงมาก๊งต่อคนเดียวที่หน้าโต๊ะมือชง ก่อนจะเห็นว่ามีใครคนอื่นมานั่งด้วย แบบนี้ก็ดีเลยสิ จะได้มีเพื่อนคุยเล่น

ว่าแล้วก็เดินไปหย่อนก้นลง ณ เก้าอี้ด้านข้างอย่างไม่ถือตัว เอ่ยปากสั่งขอน้ำเมาเพิ่มอีกแก้วมาซดให้หายคอแห้งหลังใช้เสียงไปหนึ่งบทเพลง คิดว่าแก้วนี้จะเป็นแก้วสุดท้ายแล้ว อย่างไรพรุ่งนี้เขาก็ต้องไปรายงานตัวที่สน.

ดูแล้วผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ มีอากัปกิริยาสุขุมภูมิฐานน่าดู นี่น่ะหรือคนพระนคร โคตรจ๊าบ โคตรเท่ ถ้าเป็นโรงเหล้าที่เขาเคยเจอมานะ มันไม่สงบแบบนี้หรอก ออกจะวุ่นวายเสียด้วยซ้ำไป

“คุณดูเหมือนจะมาที่นี่บ่อยเลยนะครับ”

“เอ่อ...อืม ใช่”

พูนที่เมาอยู่จึงไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรมากมายถึงท่าทีกริ่งเกรงของคู่สนทนา

“ฉันเป็นลิเกน่ะ แล้วคุณล่ะ”

พูนรู้ว่าสถานที่สีเทาแบบนี้บอกเป็นตำรวจเดี๋ยวคนจะแตกตื่นเอาได้ ต่อให้ร้านนี้มีลับลมในจริง ๆ แต่สภาพตอนนี้เขาไม่พร้อมจะทำงานหรอก

“…”

“ฮ่า ๆ นั่นสิ มาที่แบบนี้บางคนเขาก็ไม่ค่อยอยากบอกอาชีพตัวเองกันหรอก ฮ่า ๆ”

พูนพูดจาโม้เหม็นเป็นต่อยหอย ปั้นแต่งเรื่องพระเอกลิเกผู้เดินทางไปทั่วประเทศออกมาอย่างฉูดฉาดโดยมีผู้จัดการร้าน และไกรวิชญ์เพื่อนร่วมโต๊ะเป็นผู้รับฟัง

“โอย...เห็นแบบนี้ฉันก็มีเรื่องเครียดเหมือนกันนา...”

พระเอกลิเกเสียงทุ้มกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อย ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะถูไถเป็นนัยถึงการระบายสิ่งที่อยู่ในหัว จู่ ๆ ก็พลันนึกถึงชีวิตรักที่ผ่านมาแล้วก็หงอยเหงา ทั้งน้องน้อยในสมัยเด็กที่ย้ายบ้านไปอย่างไม่บอกกล่าว คนรักเก่าที่ตามติดยิ่งกว่าผีอาฆาตแค้น และน้องบริกรคนน่ารักที่หายไปไหนไม่รู้

“คนแบบฉัน จะหาคู่ทีมันยากฉิบเป๋งเลย...ชอบผู้ชายด้วยกันเนี่ย”

“…”

พูนกล่าวสิ่งที่ใคร่ครวญออกมา เขารู้ดีว่าถ้าจะเลือกเส้นทางนี้มันต้องยากกว่าชาวบ้านอยู่แล้ว เพราะคนอย่างพวกเขามันยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมนี่ เขาที่ชอบเปิดเผยแต่กลับต้องเก็บสิ่งนี้เอาไว้เป็นความลับต่อคนโดยรอบนี่มันย้อนแย้งชะมัด ว่าแล้วก็เหลือบมองเพื่อนดื่มข้าง ๆ ที่คล้ายจะชะงักไปครู่หนึ่ง

“คุณเองก็ตกใจใช่ไหมล่ะ ฮึ...?”

“ฉัน...เข้าใจนะ”

“แหม หาได้ยากนะเนี่ย เราเหมือนกันเลยเนอะ...”

“อือ ใช่”

ด้วยความเมามายไม่รู้ว่าบทสนทนานั้นจบลงได้อย่างไรแต่เขาก็สามารถพาตัวเองไปยังร้านอาหารเพื่อกินข้าวต้มเปิดดึกแก้เมาแก้หิวได้ ที่มาถูกเพราะเพื่อนที่รู้จักสมัยเรียนนายร้อยเจ้าตัวเป็นลูกชายเจ้าของร้านย่านเยาวราช ที่กลางวันเปิดเป็นร้านอาหารจีนส่วนกลางคืนเปิดเป็นร้านข้าวต้ม

บรรยากาศยามค่ำคืนช่างเป็นอะไรที่เงียบสงบไม่ต่างจากต่างจังหวัดสักเท่าไรนัก ผิดก็เพียงดวงไฟรายทางคอยให้แสงสว่างในตัวเมืองสื่อให้รู้ว่าอย่างไรพระนครก็ยังเป็นเมืองที่มีชีวิตอยู่ตลอดเวลา แม้จะน่าเสียดายที่ท้องฟ้ามองดาวไม่ค่อยจะเห็นก็ตาม

“เอ้า! ไอ้พูนจำฉันได้ไหมเนี่ย?”

เสียงทักทายดังมาจากด้านในร้าน หนุ่มหน้าตี๋ตัวไม่สูงมากนักเดินล้วงกระเป๋าผ้ากันเปื้อนสีแดงซึ่งปักชื่อร้าน ‘วิภา โภชนา’ เข้ามาทักทายเพื่อนเก่า

เนื่องจากที่ที่เขาเข้าเรียนมันคือโรงเรียนเตรียมนายร้อยซึ่งแบ่งออกเป็นหลายสังกัด แม้ไอ้ปลื้มมันจะเป็นทหาร แต่ด้วยเหตุบังเอิญจึงทำให้คนเพื่อนน้อยโคจรมาเจอกัน

“ต้องจำได้อยู่แล้วสิ ฮ่า ๆ”

“แหม มาไม่บอกเลยน้า”

“ก็ฉันไม่รู้ว่าเอ็งบ้านเลขที่เท่าไหร่นี่หว่า-”

*กรี๊ง! * จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น ทำให้ปลื้มหุ้นส่วนร้านต้องขอตัวไปรับสายเผื่อว่าจะเป็นลูกค้าโทรเข้ามากลางดึก ทว่าเมื่อวางสายลงสีหน้าของเจ้าเพื่อนกลับฉายความแปลกประหลาด ไม่นานมันก็พุ่งตรงมายังเขาซึ่งกำลังซดน้ำข้าวต้มอยู่

สองมือจับเข้าไหล่เขาดังหมับทำเอานายตำรวจตกใจ ลางสังหรณ์คล้ายว่าจะเกิดเรื่องที่ชวนให้สร่าง

“เอ็งรู้จักเสือหินใช่ไหม?”

“อะ... อือ ก็พอได้ยินมาบ้าง”

ได้ข่าวว่าก่อมาหลายคดีติดต่อกันนานมากกว่าสิบปีแต่ยังไม่มีตำรวจสน.ไหนจับตัวได้ จนต้องออกข่าวประกาศเรียกค่าหัวกระจายทั่วประเทศ

“ฉันได้เบาะแสมา ฝากเอาไปทำเรื่องให้ทีนะ”

“เฮ้ย! เดี๋ยว แต่ตอนนี้มัน-”

“เดี๋ยวฉันจดที่อยู่บ้านมาให้นะ”

ไอ้ปลื้มกูพึ่งเมามา! พึ่งเหยียบพระนครได้ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงดีเลย เอางานมาให้กูทำเสียแล้ว!

สุดท้ายคงต้องถามว่าคืนนั้นเขาได้นอนไหม เพราะต้องเอาร่างกายที่ไม่พร้อม วิ่งไปรายงานกับสน.ตำรวจ ยังไม่ทันได้รายงานตัวเลยแต่ต้องมาจับปืนสวมเครื่องแบบทำภารกิจตามจับโจรร้ายแห่งประเทศไทยเสียแล้ว น้ำก็ไม่ได้อาบ ตัวยังมีกลิ่นเหล้าจาง ๆ ติดอยู่เลย พ่อจ๋า ป๊าจ๋า พูนอยากกลับไปนอนแล้ว ฮือ...

และคล้ายว่าวันแรกในพระนครของเขามันจะไม่จบลงง่าย ๆ เมื่อรุ่นพี่ชาวเมืองหลวงสะสางงานเสร็จ เขาจึงต้องเข้ามารายงานตัวกับผู้กำกับการในสภาพที่ไม่รู้จะสร่างได้มากกว่านี้หรือเปล่า เพราะแค่ต้องวิ่งเต้นเมื่อคืนก็ทำเอาเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ดื่มน้ำเมาเข้าไปเลยสักหยด

พูนยืนสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกสติ เขาท่องบทมาเป็นอย่างดีตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน จึงยกมือขึ้นเคาะประตูห้องก่อนจะขออนุญาต

‘เข้ามาได้’

เมื่อสิ้นเสียงพูนจึงไม่รอช้าเปิดประตูก้าวขาเข้าไป

เขาสังเกตตั้งแต่มาถึงที่นี่ ช่างเป็นโรงพักที่ดูมีอะไรมากกว่าต่างจังหวัดเสียอีก ถึงพื้นที่จะแคบกว่าด้วยความเป็นใจกลางเมืองแต่เหมือนสน.นี้จะดูมีอะไรมากกว่า ภายในห้องผู้กำกับประกอบไปด้วยตู้เก็บเอกสารโลหะเก่า พร้อมด้วยที่นั่งติดผนัง และโต๊ะทำงานซึ่งเด่นออกมา

“สวัสดีครับ ผมพันตำรวจโทผดุงกิตติ์ ชยธาดาครับ จะมารับช่วงต่อตำแหน่งรองผู้กำกับการ...ครับ...”

พูนเริ่มเสียงอ่อนเมื่อหัวหน้าคนใหม่ค่อย ๆ เงยขึ้นมาสบตา และเหมือนทั้งสองจะรู้ได้ในทันที

คุณไกรวิชญ์ในเครื่องแบบตำรวจนิ่งเงียบในขณะที่พูนสร่างเมาเป็นรอบที่สามพร้อมกับความง่วงงุนที่ปลิวหายไป พระเอกลิเกบ้านเอ็งสิไอ้พูน!

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

หลังจากคืนวันอันวายป่วงจนตอนนี้ผ่านมาจนใกล้จะสิ้นปี ด้วยภาระหน้าที่ของรองผู้กำกับน้องใหม่เขาจึงมีหลายเรื่องให้ต้องปรับตัว กว่าจะสามารถบริหารเวลาเพื่อมาพบหน้าน้องน้อยนายสถานีได้ก็ปาไปจะหกเดือนแล้ว กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังจดจำเขาได้ ช่างเป็นที่น่าปลื้มอกปลื้มใจนัก

เมื่อเช้าเขาซื้อฝรั่งมาให้เพราะรู้ว่าน้องแผนมักทานข้าวมาก่อนแล้ว เที่ยงวันนี้เขาจึงซื้อของคาวอย่างขนมจีบกุยช่ายมาให้อีกเพราะดูจากสถิติที่ที่เคยซื้อมาคล้ายว่าเจ้าน้องจะชอบอาหารที่จิ้มทานง่ายมากกว่ากับข้าวในจาน

พูนได้นั่งพูดคุยพลางมองน้องแผนเคี้ยวขนมตุ้ย ๆ ก็เป็นสุขใจแล้ว มาถึงจุดนี้ด้วยประสบการณ์สอนให้เขาค่อยเป็นค่อยไปค่อยเรียนรู้ดังนั้นภารกิจตามหารักในครั้งนี้มันจะไม่ฉาบฉวยอย่างแน่นอน

“แล้วเฮียไม่ซื้ออะไรมากินบ้างเหรอ?”

“เฮียกินปิ่นโตจากสน.มาแล้วครับ”

น้องแผนชอบเรียกเขาด้วยคำว่า ‘เฮีย’ มากกว่าคำว่า ‘พี่’ ซึ่งเขาก็มองว่ามันน่ารักดีจึงเอามาใช้แทนตัวเองมันเสียเลยเผื่อตัวเองจะเข้าไปใกล้ชิดหัวใจน้องได้มากขึ้น

“แล้วเราปกติกลับบ้านยังไง น้ำท่วมแบบนี้”

“ผมจ้างเรือเอาน่ะ”

“ไม่แพงเหรอ งานเราเลิกช่วงหัวค่ำเลยนี่”

“ก็...นิดหน่อย”

พวกเรือจ้างน่ะถ้าเป็นตอนกลางวันก็ไม่กี่สตางค์หรอก แต่ถ้าตกกลางคืนเรือพายน้อย คนที่เหลือก็มักจะตั้งราคาสูงขึ้น บางลำได้ยินว่าขึ้นไปแตะหลักบาทเลยทีเดียว แต่จะไม่จ้างก็ไม่ได้ประเดี๋ยวจะไปทำงานพิเศษไม่ทันกาล

“ให้เฮียพายไปส่งที่ร้านไหม?”

“วันนี้ฉันไม่มีงาน”

“งั้นให้เฮียพายไปส่งที่บ้านไหม?”

“อื้อ”

แผนรู้ว่าสุดท้ายเจ้าพี่ก็จะขอพาไปส่งอยู่ดีจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ แถมดีเสียอีกไม่ต้องเสียค่าเดินทางเพิ่ม ยิ่งแพง ๆ อยู่ด้วย

นายสถานีตัวเล็กลอบมองพี่ตำรวจที่อาสาเดินเอากระทงใบตองไปทิ้งให้ก็ฮึดฮัดอยู่กับตัวเอง คนอะไรทำไมแค่ทำหน้าตาอารมณ์ดีเขาถึงรู้สึกหมั่นไส้ได้ถึงขนาดนี้ รู้จักกันมาหลายต่อหลายเดือน เห็นกันมาทุกเช้ากลางวันเย็นก็ยังไม่ชินเสียที

ก่อนเจ้าพี่จะกลับไปสน.ก็มาโบกไม้โบกมือยกใหญ่ราวกับจะไม่ได้เจอกันไปอีกหลายวัน แผนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ดีที่เดือนนี้ไม่มีวันหยุดเลย สถานีจึงมีเพียงคนที่เดินทางอยู่ประจำไม่ค่อยมีผู้คนกลับบ้านเยอะเท่าไรนัก ว่าแล้วก็พาลนึกย้อนไปยังช่วงสงกรานต์ที่คนอภิมหาเยอะ

อาชีพนายสถานีอย่างเขาส่วนใหญ่ถ้าไม่มีปัญหาอะไร หรือต้องติดต่อราชการหน่วยอื่น จะทำหน้าที่อำนวยความสะดวกเฉพาะเวลาที่รถไฟเทียบชานชาลา ระหว่างรอรถเขาจึงมีเวลามานั่งพักนั่งเล่นกันในห้องประชาสัมพันธ์ แต่ก็ไม่นานมากหรอกเพราะสถานีกรุงเทพเป็นสถานีหลัก ไม่เกินสิบนาทีก็มีขบวนรถเข้าเทียบแล้ว

“น้องแผนจ๊ะ มาช่วยหยิบไปกินอีกหน่อยสิ สามีพี่เห็นว่าถูกเลยซื้อมาซะเยอะเลย”

“คร้าบ”

พี่ดา เป็นพนักงานประชาสัมพันธ์ควบตำแหน่งคนจ่ายตั๋วช่วยกันกับพี่สาวพี่ชายอีกสี่ห้าคนในสถานีกรุงเทพแห่งนี้ สามีเจ้าตัวก็เป็นนายสถานีเช่นเดียวกันทว่าไม่ได้ทำงานภาคพื้นแต่ต้องขึ้นตู้ไปดูแลความปลอดภัยให้ผู้โดยสารบนรถไฟ

ตั้งแต่เข้ามาทำงานพร้อมกับไอ้ด้วงก็กินดีอยู่ดีกว่าที่คิด เพราะพี่ ๆ แต่ละคนชอบสรรหาของกินของทานเล่นมาเก็บไว้ในตู้ให้พนักงานในสถานีมาแบ่งกันกินคนละเล็กละน้อย เพราะนอกจากพวกเขาแล้วก็มีพนักงานคุมประแจ พี่ช่าง คนการภารโรง แล้วก็คุณปู่ภารโรง

แผนนั่งลงกับเก้าอี้น้อยหยิบห่อขนมกล้วยออกมาแก้มัดก่อนจะกัดเต็มปากเต็มคำ พลางมองเจ้าด้วงซึ่งพึ่งกลับมาจากมื้อเที่ยงซึ่งเหมือนจะถูกขอให้กินจนจุกแล้ว เขามองเพื่อนไปก็นึกอิจฉา ทำยังไงถึงจะได้หุ่นแบบนั้น เขาเองก็อยากตัวสูงตัวใหญ่มีกล้ามมีก้นเหมือนกันบ้างนะ

‘ไอ้ด้วง’

‘อะไร?’

แผนคล้ายจะนึกเรื่องสนุก ๆ แก้เบื่อออกจึงกระเถิบที่นั่งไปใกล้เพื่อนผิวสีน้ำผึ้ง เขาได้ยินว่าตั้งแต่ต้นปีเจ้าตัวก็มีอาจารย์มหาลัยมาติดอกติดใจพูดคุยกันทุกเช้าเย็น

‘ครูอุ่นเขาเป็นไงอะ เล่าให้กูฟังได้ไหม ไปกันถึงไหนแล้ว?’

‘มะ...มึงนี่นะ! กูไม่ได้คิดอะไรกับเขา’

‘จริงอะ เขาเอาของมาฝากทุกสัปดาห์เลยนะ’

‘เขาแค่ตอบแทนที่กูไปช่วยบอกทางเท่านั้นแหละ’

‘แหม บอกทางครั้งเดียวได้ของตอบแทนลากยาวมาเป็นเดือนเลยนะ’

‘แล้วกูจะไปรู้ใจเขาไหมล่ะ!?’

‘ฮ่าฮ่าฮ่า!’

แผนรู้สึกเหมือนมีเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรม การถูกผู้ชายด้วยกันอย่างเฮียพูนมาตามจีบต้อย ๆ จึงดูไม่แปลกมากมายนัก เพราะชีวิตเขาก็ไม่เคยมีใครมาเอาอกเอาใจแบบนี้เหมือนกัน ทีแรกเขารู้สึกว่ามันช่างเป็นความแปลกที่จริงใจจนน่ากลัวเสียด้วยซ้ำ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

เพราะเขาคิดเช่นนั้น ผ่านมาหลายต่อหลายเดือนทั้งภาระงาน ครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ รวมไปถึงความรู้สึกที่ยังไม่ยอมแง้มเปิดเสียที สถานะระหว่างพวกเขาจึงเป็นได้เพียงพี่น้องที่บังเอิญเห็นหน้ากันในสถานีรถไฟ และมารู้จักกันในร้านกินดื่ม

แผนก้าวลงเรือสำปั้นที่มีนายตำรวจติดยศพันโทเป็นมือพายโดยมีเบื้องหลังเป็นแสงไฟสว่างโร่จากสถานีตรงข้ามกับภายนอกที่เป็นเวลากลางคืนช่วงหัวค่ำ มีต้นกำเนิดแสงไม่กี่ดวงจากไฟรายทางและหน้าต่างของครัวเรือนที่ยังไม่เข้านอน

“ไม่จับมือเฮียเหรอ?”

“จับทำไม น้ำตื้นแค่นี้เอง”

เป็นเวลากว่าอาทิตย์จวนจะขึ้นเดือนตุลาคมอยู่แล้ว แต่น้ำที่เคยลดลงกลับยังขังอยู่ที่เดิมไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลงเลย ว่าแล้วเมื่อจัดแจงกระเป๋าบนตักเสร็จก็มามองพี่ตำรวจซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามที่ยังทำอารมณ์ดีฉีกยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิงทั้งที่บ้านเมืองน้ำท่วมอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็พิลึกพิลั่น ถ้าไม่ติดว่าซื้อขนมมาให้กินทุกวันนะเขาไล่ตะเพิดไปแล้ว

“เฮียร้องเพลงให้ฟังเอาไหมครับ?”

“จะหนึ่งทุ่มแล้วมันรบกวน คนอื่นเขานอนกัน”

“น่ารัก”

“หือ? จู่ ๆ มาพูดอะไรเนี่ย”

“เฮียพูดชมว่าเราน่ารักครับ”

“ทำไมชอบพูดอะไรไร้แก่นสารนักนะ! ก็เคยบอกไปแล้วว่าผมไม่ใช่คนที่พี่เคยรู้จัก”

นี่เป็นอีกเรื่องที่ยังสงสัย บอกไปไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยรอบว่าไม่ใช่ ๆ อีกฝ่ายก็ยังทู่ซี้ตามเอาขนมเอยอะไรเลยมาให้

“ไม่รู้จักก็ได้ครับ งั้นเรามาแนะนำตัวกันใหม่ เฮียเป็นตำรวจชื่-

“พอเลย! พายไปเงียบ ๆ นั่นแหละ รู้จักก็รู้จัก”

เพราะแผนไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนพูดจามากมายอย่างนายตำรวจคนนี้ เชื่อสิว่าต้องมีสักวันที่เฮียพูนแกจำความได้ขึ้นมา เมื่อถึงคราวนั้นก็คงจะถอยห่างจากเขาไปเองนั่นแหละ อย่างไรเหตุผลที่เขาอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาในชีวิตก็ไม่ใช่เพราะเรื่องราวรัก ๆ ใคร่ ๆ อยู่แล้ว

“บ้านเราต้องเข้าไปอีกใช่ไหมครับ?”

“อือ...เลี้ยวตรง...”

“ตรงแยกนั้นใช่ไหมครับ?”

“มะ... ไม่ต้อง ผมลงตรงนี้แหละ เดี๋ยวเดินไปเอง”

“แต่ตรงนี้มัน-เหวอ!

ไม่ทันที่พี่ตำรวจจะกล่าวนายสถานีตัวเล็กก็ก้าวลงพื้นน้ำที่สูงขึ้นมาถึงครึ่งแข้ง ก้าวขากวาดน้ำไปอย่างไม่กลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอที่อาจลอยมาตามน้ำ นั้นทำพูนเป็นห่วง จะลงเดินไปก็เสี่ยงเรือหายอีก วันแรกที่พูนได้รับโอกาสให้ไปส่งน้องกลับบ้านจึงไม่ประสบผลสำเร็จ ทีแรกเขาตั้งใจจะพายไปส่งถึงหน้าบ้านเลยเชียว

แผนเดินก้าวขาฉับ ๆ อย่างไม่กลัวว่าขาจะเปียก เขาลืมไปเลยว่าจะให้ใครมารู้ที่อยู่บ้านไม่ได้โดยเฉพาะเฮียพูน

เหตุการณ์เมื่อครู่นั้นถือว่ารอดหวุดหวิด ถ้าปล่อยไปละก็คนอย่างเฮียพูนได้ตามมาในภายหลังแน่ ว่าแล้วก็หันหลังกลับไปมองยังทางที่เดินผ่านมา ก่อนจะเห็นเจ้าพี่แกหันหัวเรือพายไปทางอื่นแล้วก็พลอยโล่งใจ

เขาเกิดมาในบ้านยาจกแร้นแค้น กว่าจะถีบตัวเองขึ้นมาทำงานใส่ชุดสีกากีแบบนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่ต้องหาเลี้ยงน้องสาวต่างแม่มาจนเจ้าตัวอายุสิบเก้าปี

นายสถานีตัวเล็กเดินเลยเขตที่น้ำท่วมออกมาไม่นานก็ถึงปากทางเข้า มันเป็นเพียงสะพานไม้ผุเก่าแก่ที่อยู่มานานกว่ายี่สิบปีซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนในสลัมแห่งนี้เดินข้าม

ราวกับพลิกฝ่ามือ ทัศนียภาพของพระนครอันหรูหราในภาพฝันของใครต่อใครคงจะถูกทำลายลงเมื่อได้มาเห็นบ้านเรือนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ติดกันเป็นแพจนแทบจะไม่มีอากาศให้หายใจ สายไฟระโยงระยางพาดผ่านหลังคาสังกะสีนับสิบหลัง กลิ่นสนิมเกรอะกรัง กลิ่นขยะเหม็นเน่าโชยฟุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ ทว่าผู้ที่เติบโตมาตั้งแต่เด็กอย่างเขานั้นเคยชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้แล้ว ใบหน้าจึงปรากฏแต่เพียงความเรียบเฉย

แสงจันทร์สาดลงมาสะท้อนร่างผู้สูงอายุคนหนึ่งที่นอนเอกเขนกกอดขวดเหล้าอยู่ ณ แคร่หน้าบ้านรูหนูขณะนายสถานีตัวเล็กเดินผ่าน และเพราะไร้ซึ่งผู้คนเดินไปมา เสียงหนูตามทางเดินจึงได้ยินชัดกว่าปกติ เพียงไม่นานเขาก็มาถึงหน้าบ้าน

เพราะเป็นบ้านที่สืบทอดกันมาจากฝั่งพ่อ มันจึงใหญ่กว่าบ้านคนอื่นและทำจากไม้ กระนั้นมันก็เก่าเกินกว่าจะเรียกได้ว่าน่าดูชม

กุญแจพวงน้อยกระทบกันเสียงใส ก่อนจะตามด้วยประตูบานพับไม้ที่เปิดออกอย่างเชื่องช้า เพียงก้าวแรกที่เยื้องย่างเข้าไปในเขตบ้าน กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ก็ลอยมาเตะจมูก ดวงตาที่เคยเป็นประกายเมื่อดูต่อหน้าผู้โดยสารกลับไร้แวว หรี่มองขวดเหล้าและ ‘กล้องสูบฝิ่น’ ที่ทำจากเหง้าไผ่ซึ่งมีรอยดำจากยางฝิ่นที่ผู้ใช้สูบติดต่อกันมาเป็นเวลานานหลักปี ไม่พอยังมียาเสพติดและเครื่องมือมากมายที่หากตำรวจสักคนมาเจอเข้าละก็ ไม่ใช่แค่คนสูบแต่เขาที่ปกปิดมันคงโดนหางเลขไปด้วย

เพียง? นอนแล้วเหรอ”

“อือ.... พี่ มีอะไร?”

“พี่แค่จะบอกว่าได้ขนมกล้วยมา เอ็งเอาไว้กินรองท้องตอนเช้านะ”

“จ้ะ...”

แผนวางกระเป๋าไว้ยังหัวนอนนอกมุ้งก่อนจะเดินไปผลัดผ้าอาบน้ำ โดยไม่สนว่าบิดาแก่ชราผู้เมามายจะลงไปนอนกับพื้นหรือไม่ โอ่งน้ำถูกตั้งไว้กลางแจ้งท้ายบ้านซึ่งเคยเป็นท่าเรือขนาดย่อม ไม้กระดานต่อพาดมาระแม่น้ำทว่าในยามต้องเผชิญกับอุทกภัยแบบนี้ไม่แปลกหากมันจะขึ้นมาเกยถึงข้อเท้า ทว่าอย่างไรเสียมันก็ดีกว่าวันแรกที่พายุเข้าซึ่งน้ำขึ้นมาถึงเอว ทำเอาหนังสือของเพียงน้องสาวเสียหายไปเยอะโข ดีที่มันไม่ขาดลุ่ยหรือหมึกซึมจนอ่านไม่ได้ แต่ก็ลำบากพอควรเมื่อจำต้องหยิบขึ้นมาอ่านทั้ง ๆ ที่ยังเปียกชื้นอยู่

แผนเมื่อเอาน้ำราดเนื้อราดตัวพอให้หายเหนื่อยก็นั่งทิ้งขาลงกับท่าเรือ มองดวงจันทร์ที่หลบอยู่หลังเมฆไปพลางนึกถึงเงินเดือนที่กำลังจะออก เพราะมันไม่ได้มากมายนักจึงต้องบริหารให้ดีเสียแต่เนิ่น ๆ ไหนจะต้องมาเตรียมเงินค่าเรียน ค่าสมัครสอบของเพียงในครั้งหน้าอีก

ว่าแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันกลับไปมองในตัวบ้านเพื่อจะสอดส่องมองน้องสาวในมุ้ง แต่ก็ไม่วายหันไปเห็นบิดาซึ่งควานหาสิ่งเสพติดมากอดไว้

มันทำเขาปวดใจไม่ใช่น้อยกับการที่ให้เงินพ่อไปแล้วอีกฝ่ายกลับทำเหมือนมันไร้ค่า ไม่ว่าจะบีบบังคับอย่างไร จะขู่ตัดเงิน พ่อก็ไม่เคยสำนึกทั้งยังเอาลูกสาวตัวเองมาเป็นตัวประกันว่าหากไม่ให้เงินตัวเองจะทุบตีทำร้ายเหมือนที่ทำกับเขา

เพราะแบบนั้น เพราะถูกรายล้อมไปด้วยสิ่งเหล่านี้ การจะให้ใครมารับรู้นั้นมันไม่ชวนให้น่าสงสารหรอก มันมีแต่จะน่าสมเพช ทั้งยังเสี่ยงเข้าคุกเข้าตะราง ดังนั้นเขาจะบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้ไม่ได้เป็นอันขาด

บทที่เกี่ยวข้อง

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทที่ ๕ แรงจูงใจ

    “ฮะ! ฉันเหรอ!?”พูนซึ่งนั่งฟังวาระการประชุมแผนจับโจรอยู่ถึงกับลั่นขึ้นมาด้วยสำเนียงเสียงเหน่อ พร้อมกวาดสายตามองไปยังเหล่าเพื่อนร่วมงานชาวพระนครที่ต่างเห็นพ้องต้องกันให้เขาที่เป็นน้องใหม่เป็นคนแฝงตัวเข้าไปหนึ่งในชุมโจรเจ้าของคดีที่สน.เขาได้รับมาทำต่อย้อนกลับไปอีกสักนิดก่อนจะเกิดมตินี้ขึ้น สน.พระนครแห่งนี้ขึ้นชื่อว่ารวมตัวคนมีฝีมือโดยเฉพาะท่านผู้กำกับการ พันตำรวจเอกไกรวิชญ์ ก้องภัชรกุลซึ่งตอนนี้ถือเป็นเพื่อนซี้หนึ่งเดียวของไอ้พูน ที่ทำคุณูปการเอาไว้มากมายเกินกว่าตำรวจบ้านนอกอย่างเขาจะทราบได้ทั้งหมด จึงไม่แปลกเลยที่สน.นี้จะได้แต่งานยาก ๆ มาทำรวมถึงงานนี้ที่ต้องจับสามโจรพันธุ์เสือที่ล่อจะขโมยของชาวบ้านลูกเดียว!ซึ่งวิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือการส่งคนแฝงตัวเข้าไปในกองโจรสักกลุ่มเพื่อไล่ตามเบาะแสความเชื่อมโยงกันกับกลุ่มที่เหลือจะได้รวบรัดจับกุมในทีเดียว แต่ด้วยความที่ทุกคนในสน.ต่างถูกเห็นหน้ากันมาหมดแล้ว ส่วนไอ้ไกรนี่ไม่ต้องพูดถึง ก็จะมีแต่ตำรวจบ้านนอกคอกนาอย่างเขาที่เหมาะสม‘ไกร...ฉันไม่ทำได้ไหม’พูนกระเถิบเข้าไปกระซิบกระซาบข้างหูหัว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-01
  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทที่ ๖ ไม่เนียน

    “เพียง ไปอ่านที่สถานีพี่ก็ได้ พี่ด้วงเขาอยู่วันนี้”“นั่นมันที่ทำงานพี่นี่จ๊ะ แล้วสถานีมันไม่ได้เงียบอยู่ตลอดด้วย”เด็กสาวกล่าวเสียงเนิบ นอกจากที่สถานีรถไฟจะมีผู้คนพลุกพล่านแล้ว จะให้ไปรบกวนพื้นที่ห้องประชาสัมพันธ์ที่มีอยู่ไม่กี่ตารางเมตรแล้วเธอขอไปนั่งอ่านตรงลานกว้างดีกว่า ถึงจะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือได้ยินเสียงคนทะเลาะ เสียงเด็กวิ่งพล่านมาบ้างแต่ก็ถือว่าดีกว่าอยู่ในบ้านที่ไม่รู้ว่าบิดาจะตื่นมาอาละวาดเมื่อไหร่“แล้วเราไม่ร้อนเหรอ?”“ช่วงนี้หน้าฝนนี่จ๊ะ ฉันไม่เป็นไรหรอก”“พี่ว่าจะเก็บเงินเช่าห้องให้เราไปอยู่”“มันแพงนะจ๊ะ แล้วครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะสอบติดรึเปล่าอีก”แผนได้ฟังสิ่งที่น้องสาวพูดก็ปวดใจ เพียงเรียนจนจบม.๖ ไม่คิดจะต่อม.๗ เพราะเห็นว่าอายุถึงเกณฑ์การรับสมัครสอบพยาบาล ทว่าการสอบครั้งแรกที่ผ่านมาของน้องสาวนั้นไม่ประสบผลสำเร็จแม้จะตั้งใจอ่านหนังสือจนกระดาษเปื่อยยุ่ยก็ตามที“ถ้าอย่างนั้นพี่จะพยายามหาครูมาสอนตัวต่อตัว”“นั่นแพงกว่าอีกนะจ๊ะ”“มันคุ้มค่าหรอก”วันนี้เป็นเช้าวันพุธซึ่งเขามีนัด

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-02
  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทที่ ๗ สิบแผ่นกระเบื้อง

    ‘ถ้าเฮียไว้หนวด เฮียกลัวว่าจะไม่หล่อในสายตาเราน่ะสิ’แผนหน้าขึ้นสี ไม่รู้มาจากความขวยเขินหรือความกริ้วโกรธที่พี่ตำรวจแกใช้เวลาคิดเป็นนาทีเพื่อให้ได้ประโยคหยอกเย้ามาประโยคเดียว!ลืมไปแล้วหรือไรว่าพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อนำเสื้อพวกนี้ไปเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของตัวเฮียเอง แต่ดูจากหน้าระรื่นนั่นแล้วงานคงจะไม่อยู่ในหัวเลยสินะ!นายสถานีเห็นพี่ตำรวจไม่พูดอะไรต่อเสียทีก็นึกสงสัยจึงถอยมาสบตา คล้ายว่าอีกฝ่ายอยากให้เขาพูดอะไรต่อ แล้วอย่างเฮียพูนมันจะเป็นอะไรไปได้นอกจากคำชมล่ะ“เฮ้อ...เอาเถอะ เฮียจะแต่งตัวแบบไหนมันก็-อึก!”จู่ ๆ หน้าแก้มบริเวณที่ช้ำก็ปวดขึ้นมาอย่างกะทันหันส่งให้เนื้อเสียงขาดห้วง แผนยกมือขึ้นกุมแผลอย่างเป็นไปเองโดยลืมไปว่าคนตรงหน้ากำลังจ้องอยู่“เฮีย...ลองใส่เสื้อเก่า ๆ น่าจะดูเหมือนมากขึ้นนะ ลองเลือกจากที่ผมยื่นให้ก็แล้วกัน”“เฮียเอาตัวนี้แหละครับ ถ้าเรามีตัวไหนอยากได้หรือเอาไปให้น้องสาวก็เลือกได้เลยนะ”“อือ...”เพราะไม่รู้จะหนีออกไปจากสถานการณ์อันกระอักกระอ่วนนี้อย่างไรเขาจึงเลือกผละออกมาดูในส่วนเสื้อผ้าผ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-03
  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทที่ ๘ ซื้อขาย

    นายตำรวจพูนจำต้องจากลาน้องนายสถานีมาเพื่อทำภารกิจปลอมตัว ช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยว่าต้องตระเตรียมแผนการการแสดงให้พร้อมสำหรับลงมือปฏิบัติจริงเขาจึงไม่มีโอกาสแวะมาหาน้องแผนในตอนเช้า (ถึงจะมีแวะมาอ้อล้อตอนพักบ้างก็ตามที) ยิ่งเป็นวันลงมืออย่างวันนี้เขาจึงไม่มีโอกาสพายเรือไปส่งน้องแผนเลยนอกจากพูนจะไม่ได้กลับบ้านกลับช่องไปนอนแล้ว ในขั้นตอนการเดินทางไปบ้านเศรษฐีเป้าหมายถัดไปของพวกโจรร้ายยังต้องมานั่งเมามายกับยานยนต์สี่ล้อ หนุ่มบ้านนอกที่คุ้นชินกับการขี่ม้าขึ้นลงภูเขาได้แต่มองเจ้าไกรเพื่อนซี้มันนั่งกอดอกหน้านิ่งมองท้องฟ้าบรรยากาศยามราตรี คุณพี่ก็เท่เกิ๊น! ในขณะที่เขานั้นเมามายตาลายกับกลิ่นหนัง กลิ่นน้ำมันและแรงเหวี่ยงของรถจนอยากจะเอนตัวนอนไหลไปกับเบาะยิ่งช่วงนี้ไอ้ไกรมันชอบนั่งเหม่อไม่รู้คิดอะไรของมัน จากที่สงบคำพูดอยู่แล้วก็แทบจะกลายเป็นใบ้ไปเลยเมื่อนั่งโต๊ะทำงาน“เอ็งเป็นอะไร เห็นนั่งท่าแปลก ๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?”“เมารถ”“หือ?”ไม่ต้องมาหงมาหือเลยไอ้หนุ่มพระนคร! ฉันสิแปลกใจมากกว่าที่เอ็งทนกลิ่นเหม็นพวกนี้ได้ โอย...พอถึงหน้างานเขาจ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-04
  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทที่ ๙ เรื่องราวเดิม ๆ

    ผ่านมาจวนจะครบสี่สัปดาห์ซึ่งเข้าใกล้กำหนดการที่เขาต้องส่งเรื่องลงไปให้สน. พูนซึ่งทีแรกไม่คิดจะไว้หนวดแต่พอขี้เกียจเข้าหน่อยก็ปล่อยหน้าปล่อยตา ไหนเขาจะลืมซื้อมีดโกนติดมือมาด้วยอีกพ่อโจรกำมะลอนั่งแกว่งขาบนแคร่ไผ่ใต้หลังคามุงจาก มองฟ้าฝนที่คล้ายจะตกถี่ขึ้นทุกวี่ทุกวัน ไม่รู้ป่านนี้ใจกลางพระนครน้ำจะลดแล้วหรือยัง ที่เขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองมันก็เพราะฝนตกหนักจนลุงขามแกลงไปปล้นไม่สะดวก จากแผนปล้นกลายเป็นการนัดรวมตัวหารือในหมู่เสือด้วยกันเอง ซึ่งเข้าทางเขาเห็น ๆ แค่นี้ก็จะได้กลับไปนอนบ้านเร็วขึ้นแล้วอยู่มาหลายสัปดาห์ในหมู่บ้านนี้ไม่ได้ข้อมูลสิแปลก ที่เห็นว่าตั้งแง่กับเด็กใหม่นั่นมันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่หน่อยคนที่นี่ก็คล้อยตามใจเหลวใจอ่อนเล่าเรื่องราวความเป็นมาให้เขาฟังหมดเปลือกแล้ว ไอ้ไกรมันคงวางแผนไว้ว่าภารกิจนี้ง่ายพอจะส่งตำรวจแฝงตัวมาคนเดียว แต่ถ้าไม่เป็นเขาจะดีกว่านี้ ฮือ...“พี่พูนจ๊ะ ฝรั่งจ้ะ ฉันฝานมาให้”เจ้าของชื่อหลุดออกจากภวังค์เมื่อเสียงหวานใสเอ่ยเรียกชื่อ หญิงสาวในเสื้อแขนกุดนุ่งผ้าถ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-05
  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทที่ ๑๐ กระสับกระส่าย (NC)

    แผนเดินขนาบข้างทนายร่างสูงในชุดสูทภูมิฐานท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนในย่านกินดื่ม เขายังได้ยินเสียงพูดคุยสังสรรค์แว่วมาจากร้านอื่นโดยรอบ รวมถึงการได้เห็นแสงสีที่พ้นออกมาจากบานประตูกว้าง บางทีเขาก็เคยคิดว่าตัวเองสมควรผ่อนปรนการทำงานลงมาได้แล้วหรือยัง ทว่าเขากลัวเหลือเกินหากสักวันเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันให้เงินที่สั่งสมมาหายไปในพริบตาต่อให้ต้องเตรียมใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะสามารถก้าวขาออกมาทำงานกลางคืนที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเต็มใจหรือไม่ เขาก็ต้องทำ แต่หากเลือกได้ตอนนี้เขาอยากจะนอนอยู่เฉย ๆ อยากพักผ่อนอยู่บ้านไม่ใช่มาเดินตามคนอื่นต้อย ๆ เพื่อไปขึ้นเตียง“เธอดูคิดมากนะ”คุณทนายถามไถ่คนตัวเล็กข้าง ๆ หลังชำระเงินค่าห้อง ตลอดทางตั้งแต่ร้านเหล้ามาจนถึงโรงแรมเขาเห็นเจ้าตัวเหม่อลอย ไม่ก็หน้ามุ่ยคิดอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว“ผมก็เป็นแบบนี้แหละ”“ที่ไม่ยอมติดริบบิ้นเป็นเพราะเรื่องที่คิดอยู่รึเปล่า?”แผนเลือกที่จะไม่ตอบ พอได้ห้องนอนก็เดินสะบัดก้นไปวางกระเป๋า เข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวให้พร้อม นายสถานีถอนหายใจหนัก พลางบอกตัวเองว่าจะมัวแต่ใคร่ครวญเรื

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-06
  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทที่ ๑๑ เรื่องราวเช้าจรดเที่ยง

    นายตำรวจผดุงกิตติ์ในคืนกินเลี้ยงหลังจบงานพูดกับตัวเองไว้ว่าค่อยเอาเรื่องไปถามไถ่วันพรุ่งนี้ก็จริง แต่ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะแอบดูเพื่อยืนยันหน้าไม่ได้ดังนั้นในขณะที่เพื่อนตำรวจพากันกลับบ้านกลับช่องจึงมีเพียงเขาซึ่งสั่งน้ำเปล่ามาดื่มล้างแก้วหน้าร้านจึงมานั่งจับตามองโรงแรมอยู่ในระยะสายตา หากทั้งสองคนที่เขาคาดว่าหนึ่งในนั้นเป็นน้องแผนทำเรื่องอย่างว่ากันจริงคงใช้เวลาไม่เกินหนึ่งหรือสองชั่วโมง ว่าแล้วก็เหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาหน้าร้านที่ตนนั่ง จากเมื่อครู่คงจะผ่านไปราว ๆ ยี่สิบนาทีเห็นจะได้ ลองนั่งรอดูอีกสักพักก็แล้วกันเพื่อนตำรวจวันนี้ก็ไม่ค่อยสุดเหวี่ยงเท่าไรนัก เพราะนี่ถือเป็นงานจัดเล็ก ๆ เอาไว้ไปปล่อยผีทีเดียวงานเลี้ยงเกษียณในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คนพระนครนี่ช่างเป็นคนครึกครื้นดีเสียจริงยิ่งเวลากลางคืนดำเนินไปเรื่อย ๆ อากาศภายนอกยิ่งหนาวต่างจากขามาลิบลับ ทว่ายังดีที่ฤทธิ์สุราคอยบรรเทาความหนาวออกมาจากภายใน พูนเปลี่ยนท่านั่งจ้องมองไปยังหน้าประตูของอาคารสูงมีระดับ จึงได้แต่คิดไปเองคนเดียวว่าหากข้อสันนิษฐานเขาเป็นความจริงขึ้นมา ตัวเองจะมีปฏิกิริยาอย่างไ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-07
  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทที่ ๑๒ แปลกใหม่

    พูนเดินมายังส่วนกลางของบ้านไม้สีเข้มขนาดกะทัดรัดอิงตามฉบับตะวันตกที่ถูกปรับแก้ด้วยช่างซึ่งต่างไปจากก้าวแรกที่เข้ามาอยู่อาศัย ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ล้วนอิงตามรสนิยมความชอบของพ่อกับป๊าเพราะเขามันอะไรก็ได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว ในความเป็นจริงเขาจะขอบ้านพักข้าราชการแบบเดียวกับไอ้ไกรมันก็ได้ แต่ด้วยว่ามันไกลจากที่ทำงานไปหน่อย แม้จะไม่กี่เมตรเขาก็นับ และที่สำคัญคือเขาไม่ชินถ้าต้องนอนบ้านคนเดียวเพราะพ่อป๊าไม่ยอมย้ายมาแน่ถ้าเห็นว่าบ้านมันผ่านการใช้งานมานานแล้ว ดังนั้นอย่างน้อยต้องรู้สึกว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยเขาจึงจะนอนหลับเต็มอิ่ม แถมไม่ต้องเสียค่าอาหารด้วยเพราะพ่อป๊าเป็นคนออก ส่วนเขาก็ตกลงขอรับผิดชอบค่าน้ำค่าไฟทั้งหมดและเวลาซื้อของใช้เข้าบ้าน นับว่าดีเลยทีเดียว“จะว่าไปลูกลองชวนน้องเขามาทานข้าวที่บ้านเราก็ได้นะ”“ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะป๊า”“ก็เอาไว้หลังคบกันก็ได้จ้ะ ป๊าแค่อยากรู้จัก”วันนี้นอกจากลูกพูนจะตื่นสายแล้วยังกลับบ้านมาเร็ว แม้จะเป็นเพียงการเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกทำงานสืบสวนต่อก็ตามทีอำพันเคยได้ยินลูกพูนเอาเรื่องน้องนายสถานีมาเล่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-08

บทล่าสุด

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   เรื่องนอกวัง ๓ โคมขาว

    เหตุผลที่พูนยังไม่ให้ศรีภรรยาไปพบพ่อกับป๊านั้นนอกจากอาการน้องน้อยไม่ค่อยจะสู้ดีแล้ว ทั้งสองคนเองก็ไม่ว่างเช่นกันเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาจบการศึกษาของโรงเรียนกลาง การไปมอบประกาศณีบัตรหรือการพูดสุนทรพจน์จึงจำเป็นต่อการส่งต่อเจตนารมณ์ ส่วนเขาก็ได้แต่นั่งทำงานงก ๆ อยู่ในห้อง การมาฟูเหรินได้วันละครั้งแบบนี้ก็ถือว่าบุญหัวแล้วตอนนี้เป็นยามเย็นของวันซึ่งเขาชวนภรรยามาเดินเล่นในสวนตำหนักมุกอันใกล้ถึงจะไม่ได้ใหญ่เมื่อเทียบกับสวนสาธารณะกลางหรือป่าเขาที่ชาวบ้านชอบไปเดินเก็บพืชผักแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอุดอู้อยู่ในตำหนักเขาทราบมาจากหัวหน้าช่างแต่งกายว่าฟูเหรินวันทั้งวันไม่ยอมออกมาจากนอกห้องเลยนอกจากจะมีอาจารย์มาสอนหนังสือ ซ้ำยังมีบางครั้งที่แอบไปร้องไห้อยู่คนเดียว พอชาวใช้จะขอเข้าไปทำความสะอาดเพื่อแอบดูอาการเจ้าตัวก็เงียบไม่ยอมเปิดห้อง ซ้ำยังบอกให้สาวใช้วางถังน้ำอุปกรณ์เอาทิ้งเอาไว้จะทำเองอีกต่างหากและวันนี้ตอนมาถึง ก่อนที่จะเอ่ยเรียกเขาพึ่งมาได้ยินเสียงร้องไห้นั้นชัด ๆ มันไม่มีคำตัดพ้อหรือเรื่องราวที่ถูกพูดออกมาระบายความเศร้า มีเพียงสะอื้นไห้แต่เพียงเท

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   เรื่องนอกวัง ๒ โคมเขียว

    สถานที่อันลึกลับและแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนจากไฟสลัวในอาคารไม้หลังเก่า ตกแต่งปิดบังอายุด้วยการตกแต่งด้วยผ้าหลากสีสัน เสียงดนตรีจีนวัยเยาว์ออกมาจากห้องซึ่งมีราคาสูงโดยที่แผนนั้นรู้ดีว่ามันกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางในไม่ช้าเขาเดินเข้ายังภายในร้านแน่นอนว่าหากไปพบขุนนางในสภาพชุดเก่าเยินแบบนี้ละก็จากที่จะได้เงินคงจะได้คำเหยียดหยามด่าทอมาแทน ดังนั้นเขาจึงมาขอยืมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มีสารร่างที่พอจะดูได้ขึ้นมาบ้าง กระนั้นที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีเงินถุงเงินถังมาซื้อเครื่องประดับหรือผ้าดี ๆ มาตัดเย็บนักหรอกผ้าเนื้อหยาบสีสดใสถูกสวมแทนที่เสื้อใยฝ้ายใกล้ขาด ใบหน้าเปื้อนดินเปื้อนผงถ่านถูกทำความสะอาดและแต่งแต้มด้วยผงสี จนในตอนนี้ตัวเขาในกระจกกลายเป็นคนละคนกับชาวนาทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินคนนั้นอย่างสิ้นเชิงพรมลายดอกไม้พื้นเก่าเกิดเสียงแผ่วเบาเมื่อฝ่าเท้าเปล่าคู่บางก้าวผ่านธรณีประตูออกมาจากห้อง ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับจงใจให้เวลาล่วงผ่านไปเพื่อสัมผัสความสงบตระเตรียมใจ ก่อนจะเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำ บรรยากาศที่เย็นเยือกยามราตรีส่งให้ทุกอย่างดู

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   เรื่องนอกวัง ๑ โคมแดง

    แดนแห่งเสรีชน แดนอันเปิดกว้างสำหรับความคิดและการแสดงออกอย่างเสรีท่ามกลางวัฒนธรรมอันเคร่งครัดของสังคมจีน สถานที่ที่ผู้คนสามารถดำรงชีวิตตามวิถีทางของตนเองได้โดยปราศจากการกดขี่ ประหนึ่งสรวงสวรรค์ของผู้ที่ต้องการความเป็นอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง ความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้รับการยอมรับและเฉลิมฉลอง เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และให้โอกาสทุกคนในการเลือกทางเดินชีวิตของตนเองกระนั้นที่ใดมีปวงชนที่นั่นย่อมมีผู้นำ ดินแดนอันกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ถูกปกครองด้วยกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ถูกคัดเลือก เป็นผู้เดินนำหน้าทุกผู้ทุกคนมายังดินแดนอันเคยแร้นแค้นแห่งนี้และยืนหยัดเพื่ออุดมการณ์ของตนเอง กษัตริย์ปกครองเคียงคู่พระมเหสีเพียงพระองค์เดี๋ยวโดยไร้ซึ่งอนุ สำหรับอาณาจักรอื่นแล้วการมีสนมคือการถ่วงอำนาจ คือการคัดเลือกวัตถุดิบชั้นเลิศในด้านหน้าตาและคุณภาพขึ้นมาวางบนจานเพื่อให้รสชาติอาหารออกมากลมกล่อม แต่แดนเสรีชนไม่ใช่แบบนั้นหากสามัญชนผู้ใดมีชู้จะถูกประณาม หากเศรษฐีผู้มั่งคั่งมีอนุจะถูกผู้คนทอดท

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๓ หงส์โบยบิน

    เทียบ × อำพัน“ป๊า ฉันขอลาออกจากคณะ” คนเป็นพ่อซึ่งนั่งจิบเหล้าแกล้มยำแตงกวาถึงกับไอสำลักเมื่อไอ้ลูกชายหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานก็ดันมาขอลาออก พวกเขายังเหลืองานที่นี่อีกตั้งหลายวันกว่าจะหมดสัญญา แถมงานต่อไปยังเป็นการไปแสดงถึงใจกลางประเทศอย่างพระนคร อนาคตสดใสแบบนี้ทำไมอาไจ่มันถึงมาลาออก“ลื๊อมีคนมาทาบทามรึ?”“ไม่จ้ะ ฉันจะออกมีผัว”“แค่ก!...แค่ก!...”พ่อเฉิงคราวนี้นอกจากจะไอโขลกแล้วยังตกใจตาโตมองเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่แววตาไม่สั่นคลอนสักนิด ไอ้เขาอยู่กับมันมาก็หลายปี รู้หมดนั่นแหละว่ามันชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่จู่ ๆ มาบอกลาออกกะทันหันด้วยเหตุผลนั้นใครเขาจะไม่ตกใจกันบ้างเล่า!นอกจากพ่อเฉิงจื่อที่รู้เรื่องแล้วคนอื่น ๆ บางส่วนในคณะก็บังเอิญมาได้ยินบทสนทนาก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อน ๆ นักแสดงคนงานมาดูสถานการณ์ด้วยโดยมีหัวหอกคืออาเจ๊ใหญ่ไพลินที่จับตามองน้องชายผู้จะออกไปล่าฝัน เก่งมากอาตี๋! ขนาดเจ๊อยากมีผัวก็ยังไม่สามารถมุ่งมั่นได้ขนาดนี้เลย!“แล้วใครจะมาเป็นผ

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๒ หงส์บนดิน

    เทียบ × อำพันแสงไฟจากโคมกระดาษสีแดงสดส่องสว่างรอบเวทีไม้ที่ถูกสร้างขึ้นซึ่งประดับประดาไปด้วยป้ายแขวนเครื่องเงินเครื่องทองเทียมเล่นแสงเติมเต็มความมีชีวิตชีวา กลิ่นธูปหอมอบอวลในอากาศสร้างบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนในชุมชนทั้งเด็กผู้ใหญ่ต่างนั่งล้อมวงกันบนเสื่อกกทอมือหรือเก้าอี้ไม้เก่า มองดูเวทีที่พาดแขวนตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสดพร้อมฉากหลังที่วาดภาพทิวทัศน์ในฝันอย่างวิจิตรถึงทิวทัศน์อันงดงามของสวนจีนโบราณซึ่งประกอบขึ้นมาจากเส้นหมึกอันละเอียดอ่อนของพู่กัน สร้างความลึกซึ้งซึ่งสื่อถึงความพิถีพิถันในทุกมุมของภาพวาดเสียงกลองและฉาบดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ผู้คนต่างพากันรวมตัวหน้าศาล บรรยากาศรอบเวทีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยที่เจือไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อม่านเปิดออก นักแสดงงิ้วในชุดเสื้อผ้าอันงดงามปักลวดลายทองคำสีสันสดใสดึงดูดสายตา ก้าวออกมาด้วยท่วงท่างามสง่า เสียงร้องของนักแสดงที่ไพเราะทรงพลังดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เรียกความสนใจจากผู้คนเดินไปมาและตรึงผู้ชมหน้าเวทีได้อย่างไม่ยากเย็น“林妹妹,你總是這麼憂愁,何必呢?”

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๑ ทิวเขา

    ตั้งแต่รับสองเด็กเข้ามาพวกเขาก็มีโอกาสได้ตระเวนเที่ยวต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพิษณุโลกบ้านของพี่พูน นครปฐมซึ่งเป็นจังหวัดใกล้เคียง หรือจะทะเลที่สมุทรปราการพวกเขาก็พาเด็ก ๆ ไปเปิดหูเปิดตามาแล้วยิ่งในพระนครยิ่งไม่เหลือ รบรามที่ได้เข้าไปดูงานเขียน งานสถาปัตยกรรมในวัดวาอารามค่อนข้างตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงการได้วิ่งเล่นว่าวในสนามหลวงกับพ่อก็เป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ โปรดปรานเช่นกันในวันนี้เองก็เป็นการพักผ่อนอีกครั้งซึ่งพวกเขาจะเดินทางขึ้นเหนือไปเที่ยวดูธรรมชาติที่เชียงใหม่ ถึงคุณปู่จะสุขภาพถดถอยไปตามวัยแต่เด็ก ๆ ก็รับปากแล้วว่าจะซื้อโปสต์การ์ดซื้อของท้องถิ่นกลับมาฝากแน่นอน“เด็ก ๆ แปรงฟันมาแล้ว ห้ามกินขนมแล้วนะ”“จ้ะ/คร้าบ”รบตอบฉะฉานในขณะที่พี่ชายอย่างรามกล่าวด้วยความไม่สบายอารมณ์เท่าไรนักเพราะเจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากกินทองม้วนที่ซื้อมาเมื่อหลายวันก่อน แต่ด้วยเวลารถไฟที่ใกล้เข้ามา พวกเขาจึงไม่มีเวลามาเอ้อระเหยสุดท้ายสองเด็กก็ถูกจับให้แปรงฟันและออกมาในทันที แม้จะน่าเศร้าสำหรับลูกราม แต่เดี๋ยวเช้าพรุ่งนี้ก็กินขนมที่พกมาได้แล้วกา

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๐ แต่งองค์ทรงเครื่อง (NC)

    คุณพ่อเล็กในชุดไปรเวทเดินไขประตูรั้วเข้ามาในบ้านหลังกลับมาจากการดูร้านเหล้าสาขา ๒ ของลุงเริง พวกเขาทำงานด้วยกันมานานจนจะเข้าปีที่ ๒๐ แล้วส่วนเรื่องหลานชายที่คิดว่าจะส่งต่อให้กลับล้มเหลว เพราะเจ้าตัวดันออกไปเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง ดังนั้นลุงเริงจึงเรียกเขาเข้าไปคุยถึงเรื่องการส่งต่อร้าน เพราะลุงแกก็อายุมากขึ้นทุกปีจึงอยากได้คนมาสานต่อธุรกิจที่ตนตั้งใจทำมาตั้งแต่ยังหนุ่ม และคนนั้นคือตัวเขาซึ่งเป็นพนักงานที่เก่าแก่และได้รับความไว้วางใจมากที่สุดการส่งต่อนั้นไม่สามารถทำให้จบได้ภายในวันเดียว ยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้เขาต้องเรียนรู้อีกเยอะ ดังนั้นวันนี้เขาจึงได้ทราบเรื่องและลงมาตรวจสอบโกดังสินค้าอีกนิดหน่อยแล้วก็สามารถกลับบ้านได้ด้วยเหตุนั้นก่อนที่แผนจะพักหลังจากทักทายคุณพ่อยามบ่ายจึงขึ้นมาหาเด็ก ๆ และพี่พูนที่กำลังช่วยกันถูบ้านเป็นอันดับแรกเพื่อจะบอกว่าปะป๊าอาจจะกลับดึกในช่วงนี้สักหน่อย เพราะมีภาระที่ต้องไปทำแต่หากสามารถจัดการได้แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เผลอ ๆ อาจจะได้เวลากลับมาเยอะกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ“จริงเหรอ!?” แต่

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๙ สงกรานต์

    วันสงกรานต์ วันทรหดที่พนักงานทุกคนหัวหมุนแจกตั๋วโบกธงสัญญาณท่ามกลางผู้คนอันเบียดเสียด ไหนจะตัวเปียกตัวเปื้อนจากผู้โดยสารบางท่านที่ไปเล่นน้ำมาแล้วเดินมาชน หรือไม่บางคนก็ฝ่าฝืนกฎมาเล่นน้ำในเขตสถานีที่สถานีกรุงเทพฯ เส้นทางคมนาคมหลักแห่งนี้ ที่ผู้คนหลากหลายวัยต่างมุ่งหน้าเข้าสถานีเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดหรือไปเยี่ยมญาติพี่น้อง บรรยากาศในสถานีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้โดยสาร เสียงประกาศจากลำโพง และเสียงล้อรถไฟที่เสียดสีกับรางเหล็กเมื่อสิ้นเสียงหวูดภายในสถานี ผู้โดยสารนั่งกันเต็มพื้นที่ รอขึ้นรถไฟที่แน่นขนัด บางคนนั่งจับกลุ่มคุยกันบนพื้น บ้างก็กำลังยืนต่อแถวรอซื้อตั๋ว มีผู้คนมากมายที่ขนของพะรุงพะรัง ทั้งกระเป๋าเดินทาง ตะกร้าใส่ของกิน ของใช้ หรือแม้กระทั่งกรงสัตว์เล็ก ๆ ที่จะนำกลับไปด้วยแผนแทบไม่มีเวลามานั่งพักเสียด้วยซ้ำเมื่อรถไฟออกก็ต้องมาช่วยพี่ ๆ ตอบคำถามหรือถึงขั้นจัดแจงเอกสารจำหน่ายตั๋วแทนในกรณีที่บางคนไปเข้าห้องน้ำ เพราะการขาดใครไปแม้เพียงคนเดียวการสัญจรของผู้โดยสารจะติดขัดทันที และมันยิ่งวุ่นวายขึ้นเมื่อขบวนรถไฟมาถึง ผู้คนเร่งรีบเข้ามาแย่งชิงท

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๘ สมาชิก

    ในยามสายของวันหยุดปิดเทอมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูสดใสและชัดเจนจากแสงอาทิตย์ในหน้าร้อน ท้องฟ้าเข้มมีเมฆขาวลอยเป็นหย่อม ๆ อยู่ห่างไกลโดยลมพัดมาเป็นระยะ เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากผิวหนังแม้จะอยู่ในร่มยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมาอยู่หน้าเตาไฟในครัวควันหอมกรุ่นของน้ำเคี่ยวพริกแกงส้มลอยฟุ้งผ่านช่องหน้าต่างบานเกล็ดโชยพัดกลิ่นเครื่องปรุงขึ้นมาให้คุณพ่อตำรวจของบ้านได้รับรู้ พูนในชุดไปรเวทเสื้อคอกลมนั่งผ้าขาวม้าคว้าช้อนจากในตะแกรงตากมาตักน้ำแกงชิมรสชาติด้วยความชำนาญก่อนจะหันลงไปมองเด็กชายตัวจิ๋วที่ยืนเกาะโต๊ะครัวหลังช่วยเขาฉีกเนื้อปลาลงหม้อ“รบ ลงไปเรียกป๊ากับพี่ขึ้นมาได้เลย”“จ้ะ!”เสียงใสที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากร่างกายซึ่งเติบโตขึ้นตอบรับพร้อมแววตาเป็นประกายสดใส ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกจากครัวลงบ้านไปเมื่อปลายปีที่แล้วพวกเขาตัดสินใจได้ว่าจะรับเด็กมาเลี้ยงตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ จนได้มีเด็กเข้ามาอยู่ในบ้านถึงสองคนซึ่งเป็นพี่น้องที่อายุต่างกันหนึ่งปีเศษ โดยสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่พวกเขาไปมาเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรและกำลังอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมไ

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status