‘ถ้าเฮียไว้หนวด เฮียกลัวว่าจะไม่หล่อในสายตาเราน่ะสิ’
แผนหน้าขึ้นสี ไม่รู้มาจากความขวยเขินหรือความกริ้วโกรธที่พี่ตำรวจแกใช้เวลาคิดเป็นนาทีเพื่อให้ได้ประโยคหยอกเย้ามาประโยคเดียว!
ลืมไปแล้วหรือไรว่าพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อนำเสื้อพวกนี้ไปเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของตัวเฮียเอง แต่ดูจากหน้าระรื่นนั่นแล้วงานคงจะไม่อยู่ในหัวเลยสินะ!
นายสถานีเห็นพี่ตำรวจไม่พูดอะไรต่อเสียทีก็นึกสงสัยจึงถอยมาสบตา คล้ายว่าอีกฝ่ายอยากให้เขาพูดอะไรต่อ แล้วอย่างเฮียพูนมันจะเป็นอะไรไปได้นอกจากคำชมล่ะ
“เฮ้อ...เอาเถอะ เฮียจะแต่งตัวแบบไหนมันก็-อึก!”
จู่ ๆ หน้าแก้มบริเวณที่ช้ำก็ปวดขึ้นมาอย่างกะทันหันส่งให้เนื้อเสียงขาดห้วง แผนยกมือขึ้นกุมแผลอย่างเป็นไปเองโดยลืมไปว่าคนตรงหน้ากำลังจ้องอยู่
“เฮีย...ลองใส่เสื้อเก่า ๆ น่าจะดูเหมือนมากขึ้นนะ ลองเลือกจากที่ผมยื่นให้ก็แล้วกัน”
“เฮียเอาตัวนี้แหละครับ ถ้าเรามีตัวไหนอยากได้หรือเอาไปให้น้องสาวก็เลือกได้เลยนะ”
“อือ...”
เพราะไม่รู้จะหนีออกไปจากสถานการณ์อันกระอักกระอ่วนนี้อย่างไรเขาจึงเลือกผละออกมาดูในส่วนเสื้อผ้าผ
นายตำรวจพูนจำต้องจากลาน้องนายสถานีมาเพื่อทำภารกิจปลอมตัว ช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยว่าต้องตระเตรียมแผนการการแสดงให้พร้อมสำหรับลงมือปฏิบัติจริงเขาจึงไม่มีโอกาสแวะมาหาน้องแผนในตอนเช้า (ถึงจะมีแวะมาอ้อล้อตอนพักบ้างก็ตามที) ยิ่งเป็นวันลงมืออย่างวันนี้เขาจึงไม่มีโอกาสพายเรือไปส่งน้องแผนเลยนอกจากพูนจะไม่ได้กลับบ้านกลับช่องไปนอนแล้ว ในขั้นตอนการเดินทางไปบ้านเศรษฐีเป้าหมายถัดไปของพวกโจรร้ายยังต้องมานั่งเมามายกับยานยนต์สี่ล้อ หนุ่มบ้านนอกที่คุ้นชินกับการขี่ม้าขึ้นลงภูเขาได้แต่มองเจ้าไกรเพื่อนซี้มันนั่งกอดอกหน้านิ่งมองท้องฟ้าบรรยากาศยามราตรี คุณพี่ก็เท่เกิ๊น! ในขณะที่เขานั้นเมามายตาลายกับกลิ่นหนัง กลิ่นน้ำมันและแรงเหวี่ยงของรถจนอยากจะเอนตัวนอนไหลไปกับเบาะยิ่งช่วงนี้ไอ้ไกรมันชอบนั่งเหม่อไม่รู้คิดอะไรของมัน จากที่สงบคำพูดอยู่แล้วก็แทบจะกลายเป็นใบ้ไปเลยเมื่อนั่งโต๊ะทำงาน“เอ็งเป็นอะไร เห็นนั่งท่าแปลก ๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?”“เมารถ”“หือ?”ไม่ต้องมาหงมาหือเลยไอ้หนุ่มพระนคร! ฉันสิแปลกใจมากกว่าที่เอ็งทนกลิ่นเหม็นพวกนี้ได้ โอย...พอถึงหน้างานเขาจ
ผ่านมาจวนจะครบสี่สัปดาห์ซึ่งเข้าใกล้กำหนดการที่เขาต้องส่งเรื่องลงไปให้สน. พูนซึ่งทีแรกไม่คิดจะไว้หนวดแต่พอขี้เกียจเข้าหน่อยก็ปล่อยหน้าปล่อยตา ไหนเขาจะลืมซื้อมีดโกนติดมือมาด้วยอีกพ่อโจรกำมะลอนั่งแกว่งขาบนแคร่ไผ่ใต้หลังคามุงจาก มองฟ้าฝนที่คล้ายจะตกถี่ขึ้นทุกวี่ทุกวัน ไม่รู้ป่านนี้ใจกลางพระนครน้ำจะลดแล้วหรือยัง ที่เขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองมันก็เพราะฝนตกหนักจนลุงขามแกลงไปปล้นไม่สะดวก จากแผนปล้นกลายเป็นการนัดรวมตัวหารือในหมู่เสือด้วยกันเอง ซึ่งเข้าทางเขาเห็น ๆ แค่นี้ก็จะได้กลับไปนอนบ้านเร็วขึ้นแล้วอยู่มาหลายสัปดาห์ในหมู่บ้านนี้ไม่ได้ข้อมูลสิแปลก ที่เห็นว่าตั้งแง่กับเด็กใหม่นั่นมันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่หน่อยคนที่นี่ก็คล้อยตามใจเหลวใจอ่อนเล่าเรื่องราวความเป็นมาให้เขาฟังหมดเปลือกแล้ว ไอ้ไกรมันคงวางแผนไว้ว่าภารกิจนี้ง่ายพอจะส่งตำรวจแฝงตัวมาคนเดียว แต่ถ้าไม่เป็นเขาจะดีกว่านี้ ฮือ...“พี่พูนจ๊ะ ฝรั่งจ้ะ ฉันฝานมาให้”เจ้าของชื่อหลุดออกจากภวังค์เมื่อเสียงหวานใสเอ่ยเรียกชื่อ หญิงสาวในเสื้อแขนกุดนุ่งผ้าถ
แผนเดินขนาบข้างทนายร่างสูงในชุดสูทภูมิฐานท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนในย่านกินดื่ม เขายังได้ยินเสียงพูดคุยสังสรรค์แว่วมาจากร้านอื่นโดยรอบ รวมถึงการได้เห็นแสงสีที่พ้นออกมาจากบานประตูกว้าง บางทีเขาก็เคยคิดว่าตัวเองสมควรผ่อนปรนการทำงานลงมาได้แล้วหรือยัง ทว่าเขากลัวเหลือเกินหากสักวันเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันให้เงินที่สั่งสมมาหายไปในพริบตาต่อให้ต้องเตรียมใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะสามารถก้าวขาออกมาทำงานกลางคืนที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเต็มใจหรือไม่ เขาก็ต้องทำ แต่หากเลือกได้ตอนนี้เขาอยากจะนอนอยู่เฉย ๆ อยากพักผ่อนอยู่บ้านไม่ใช่มาเดินตามคนอื่นต้อย ๆ เพื่อไปขึ้นเตียง“เธอดูคิดมากนะ”คุณทนายถามไถ่คนตัวเล็กข้าง ๆ หลังชำระเงินค่าห้อง ตลอดทางตั้งแต่ร้านเหล้ามาจนถึงโรงแรมเขาเห็นเจ้าตัวเหม่อลอย ไม่ก็หน้ามุ่ยคิดอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว“ผมก็เป็นแบบนี้แหละ”“ที่ไม่ยอมติดริบบิ้นเป็นเพราะเรื่องที่คิดอยู่รึเปล่า?”แผนเลือกที่จะไม่ตอบ พอได้ห้องนอนก็เดินสะบัดก้นไปวางกระเป๋า เข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวให้พร้อม นายสถานีถอนหายใจหนัก พลางบอกตัวเองว่าจะมัวแต่ใคร่ครวญเรื
นายตำรวจผดุงกิตติ์ในคืนกินเลี้ยงหลังจบงานพูดกับตัวเองไว้ว่าค่อยเอาเรื่องไปถามไถ่วันพรุ่งนี้ก็จริง แต่ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะแอบดูเพื่อยืนยันหน้าไม่ได้ดังนั้นในขณะที่เพื่อนตำรวจพากันกลับบ้านกลับช่องจึงมีเพียงเขาซึ่งสั่งน้ำเปล่ามาดื่มล้างแก้วหน้าร้านจึงมานั่งจับตามองโรงแรมอยู่ในระยะสายตา หากทั้งสองคนที่เขาคาดว่าหนึ่งในนั้นเป็นน้องแผนทำเรื่องอย่างว่ากันจริงคงใช้เวลาไม่เกินหนึ่งหรือสองชั่วโมง ว่าแล้วก็เหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาหน้าร้านที่ตนนั่ง จากเมื่อครู่คงจะผ่านไปราว ๆ ยี่สิบนาทีเห็นจะได้ ลองนั่งรอดูอีกสักพักก็แล้วกันเพื่อนตำรวจวันนี้ก็ไม่ค่อยสุดเหวี่ยงเท่าไรนัก เพราะนี่ถือเป็นงานจัดเล็ก ๆ เอาไว้ไปปล่อยผีทีเดียวงานเลี้ยงเกษียณในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คนพระนครนี่ช่างเป็นคนครึกครื้นดีเสียจริงยิ่งเวลากลางคืนดำเนินไปเรื่อย ๆ อากาศภายนอกยิ่งหนาวต่างจากขามาลิบลับ ทว่ายังดีที่ฤทธิ์สุราคอยบรรเทาความหนาวออกมาจากภายใน พูนเปลี่ยนท่านั่งจ้องมองไปยังหน้าประตูของอาคารสูงมีระดับ จึงได้แต่คิดไปเองคนเดียวว่าหากข้อสันนิษฐานเขาเป็นความจริงขึ้นมา ตัวเองจะมีปฏิกิริยาอย่างไ
พูนเดินมายังส่วนกลางของบ้านไม้สีเข้มขนาดกะทัดรัดอิงตามฉบับตะวันตกที่ถูกปรับแก้ด้วยช่างซึ่งต่างไปจากก้าวแรกที่เข้ามาอยู่อาศัย ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ล้วนอิงตามรสนิยมความชอบของพ่อกับป๊าเพราะเขามันอะไรก็ได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว ในความเป็นจริงเขาจะขอบ้านพักข้าราชการแบบเดียวกับไอ้ไกรมันก็ได้ แต่ด้วยว่ามันไกลจากที่ทำงานไปหน่อย แม้จะไม่กี่เมตรเขาก็นับ และที่สำคัญคือเขาไม่ชินถ้าต้องนอนบ้านคนเดียวเพราะพ่อป๊าไม่ยอมย้ายมาแน่ถ้าเห็นว่าบ้านมันผ่านการใช้งานมานานแล้ว ดังนั้นอย่างน้อยต้องรู้สึกว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยเขาจึงจะนอนหลับเต็มอิ่ม แถมไม่ต้องเสียค่าอาหารด้วยเพราะพ่อป๊าเป็นคนออก ส่วนเขาก็ตกลงขอรับผิดชอบค่าน้ำค่าไฟทั้งหมดและเวลาซื้อของใช้เข้าบ้าน นับว่าดีเลยทีเดียว“จะว่าไปลูกลองชวนน้องเขามาทานข้าวที่บ้านเราก็ได้นะ”“ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะป๊า”“ก็เอาไว้หลังคบกันก็ได้จ้ะ ป๊าแค่อยากรู้จัก”วันนี้นอกจากลูกพูนจะตื่นสายแล้วยังกลับบ้านมาเร็ว แม้จะเป็นเพียงการเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกทำงานสืบสวนต่อก็ตามทีอำพันเคยได้ยินลูกพูนเอาเรื่องน้องนายสถานีมาเล่
พูนฟังคำอธิบายจากผู้จัดการร้านก็รู้สึกเกินคาด เพราะมันไกลจากที่เขาเข้าใจไปมากมายนักนั่น...ยังจะอธิบายสรรพคุณแต่ละคนให้เขาฟังอีก เขาไม่เคยซื้อ! ไม่เคยคิดจะซื้อ! แล้วก็ไม่เคยทำเรื่องอย่างว่ามาก่อนด้วย! เขาไม่ได้อคติกับอาชีพนี้หรอกแต่เล่นพูดให้ฟังยาวเป็นต่อยหอย เขาทำตัวไม่ถูกนะเฮีย!แม้เจ้าของร้านจะเนื้อเสียงเบา แต่ไม่ได้จงใจรักษามันเป็นความลับกับลูกค้าคนอื่น ๆ และคล้ายว่าทุกคน ณ ที่นี้จะรู้ ๆ กันอยู่แล้ว เพียงแต่เขาที่มือซนสงสัยไม่เข้าเรื่อง เจ้าตัวจึงร่ายมายาวเหยียดด้วยความภูมิใจ มีความมาถามด้วยว่าเขามีชอบแบบไหนเป็นพิเศษไหม“จริง ๆ ก็มีอยู่สองคนนะ แต่วันนี้ไม่มาทั้งสองคนเลย”มีจริง ๆ ด้วย...นี่เขาอุตส่าห์แกล้งบอกรายละเอียดถี่ยิบแล้วนะแน่นอนว่าเขาปฏิเสธทุกข้อเสนอ ขอรับไว้เพียงกับแกล้มประจำเดือนและน้ำหวานชุ่มคอก่อนก็เพียงพอแล้ว ทว่าน่าแปลกใจเหมือนกันที่พระนครมีสถานที่อันจำเพาะแบบนี้อยู่ด้วย ถึงจะอยู่ห่างจากใจกลางย่านร้านกลางคืนไปมากพอควรแต่คนแบบเขากับไอ้ไกรก็คงมีมากกว่าที่เคยคิดไว้ รู้สึกดีใจเล็ก ๆ แฮะ นอกจากเรื่องริบบิ้นสี ๆ นั่นแล้วเ
ร้านที่เฮียพามาเป็นร้านริมทางติดถนน บานประตูเป็นไม้เลื่อนลงกลอนทาสีขาวติดป้ายชื่อร้านภาษาจีนที่เขาอ่านไม่ออก แต่ดูท่าทางเฮียจะรู้จักเจ้าของร้านนี้พอสมควร ไม่แปลกหรอกเพราะเฮียสนิทกับคนทั้งพระนครกลิ่นเครื่องเทศเกลือพริกไทยลอยมาเตะจมูกเพียงเลื่อนเก้าอี้ไม้มาหย่อนกายนั่ง ด้วยจำนวนโต๊ะที่พอดีกับขนาดร้านซึ่งเป็นตึกแถว เก้าอี้แม้ถูกจับจองจนเต็มพื้นที่แต่เสียงกลับไม่ได้ดังวุ่นวายมากนักดวงตากลมใสสอดส่องมองการวางข้าวของเครื่องครัวและป้ายรายการอาหารบนผนังอย่างสนอกสนใจเหมือนทั้งชีวิตไม่เคยได้มาสัมผัส ทำให้นายตำรวจรู้สึกอิ่มใจที่อย่างน้อยน้องแผนก็ดูท่าจะไม่ได้เบื่อหน่ายกับร้านร้านนี้ที่เขาถามมาจากเพื่อนร่วมงานและลองมาชิมด้วยตัวเอง“สามวันที่ผ่านมา เฮียไม่ได้ไปหาเลย คิดถึงเฮียบ้างรึเปล่า?”พูนกล่าวเสียงกระซิบให้ได้ยินกันเพียงเขากับน้องนายสถานี พร้อมผลิยิ้มหวานตามวิสัย“ถะ...ถามอะไรเนี่ย อยู่ข้างนอกนะ”“เฮียติดงาน มีนักโทษถูกย้ายเข้ามาฝากขังในโรงพักเฮียเลยต้องรับเรื่อง”“นั่นคือเหตุผลที่ไม่ได้มาหาเหรอ?”“หลัก ๆ ก็คือเรื่
รัญชน์เหลือบมองน้องพิงเดินฝ่าฝนสวนทางไป เขาเห็นตั้งแต่ทั้งสองเดินคู่กันมาแล้ว ทีแรกคิดว่าจะเป็นตำรวจจากบ้านนอกธรรมดาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร ณ สน. ทว่ามาคราวนี้คงต้องปรับมุมมองใหม่ ส่วนตัวเขาไม่ติดหากน้องพิงจะรับงานจากคนอื่น แต่เขาชักสงสัยในตัวเองคือความรู้สึกไม่พอใจที่ผุดขึ้นมาอย่างน่าฉงนทนายหนุ่มกระชับคันร่มในมือ ต่อให้เขาจะเอ่ยทักทายอย่างโจ่งแจ้งทว่าเขาไม่มีธุระอะไรจะต้องพูดกับนายตำรวจคนนี้ ดังนั้นแล้ว-“คุณดูสงสัยในตัวผมนะครับ”เสียงเหน่อเอ่ยท่ามกลางสายฝนและลมพายุ รัญชน์คิดว่าตัวเองประเมินตำรวจคนนี้ต่ำไป ในขณะที่เขาไตร่ตรองอีกฝ่ายก็กำลังวิเคราะห์เขาหัวจรดเท้าเช่นกัน“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”รัญชน์คิดว่าการที่น้องพิงบอกให้พวกเขาคุยกันให้สนุกคงจะเป็นแบบนั้นไม่ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นน้องเขาจะรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้สายตาจากตำรวจที่ยิ้มแย้มให้ตัวเองกำลังมองมาที่เขาแบบไหน“ยังไงก็กลับบ้านปลอดภัยนะครับ”“คุณก็เช่นกัน”ทนายหนุ่มก้าวขาถอยหลังเพื่อเดินกลับไปขึ้นรถที่จอดอยู่ในจุดที่น้ำท่วมไม่ถึง ทว่าเมื่อเดินไปครึ่งทางก็ขอหันมาม
เหตุผลที่พูนยังไม่ให้ศรีภรรยาไปพบพ่อกับป๊านั้นนอกจากอาการน้องน้อยไม่ค่อยจะสู้ดีแล้ว ทั้งสองคนเองก็ไม่ว่างเช่นกันเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาจบการศึกษาของโรงเรียนกลาง การไปมอบประกาศณีบัตรหรือการพูดสุนทรพจน์จึงจำเป็นต่อการส่งต่อเจตนารมณ์ ส่วนเขาก็ได้แต่นั่งทำงานงก ๆ อยู่ในห้อง การมาฟูเหรินได้วันละครั้งแบบนี้ก็ถือว่าบุญหัวแล้วตอนนี้เป็นยามเย็นของวันซึ่งเขาชวนภรรยามาเดินเล่นในสวนตำหนักมุกอันใกล้ถึงจะไม่ได้ใหญ่เมื่อเทียบกับสวนสาธารณะกลางหรือป่าเขาที่ชาวบ้านชอบไปเดินเก็บพืชผักแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอุดอู้อยู่ในตำหนักเขาทราบมาจากหัวหน้าช่างแต่งกายว่าฟูเหรินวันทั้งวันไม่ยอมออกมาจากนอกห้องเลยนอกจากจะมีอาจารย์มาสอนหนังสือ ซ้ำยังมีบางครั้งที่แอบไปร้องไห้อยู่คนเดียว พอชาวใช้จะขอเข้าไปทำความสะอาดเพื่อแอบดูอาการเจ้าตัวก็เงียบไม่ยอมเปิดห้อง ซ้ำยังบอกให้สาวใช้วางถังน้ำอุปกรณ์เอาทิ้งเอาไว้จะทำเองอีกต่างหากและวันนี้ตอนมาถึง ก่อนที่จะเอ่ยเรียกเขาพึ่งมาได้ยินเสียงร้องไห้นั้นชัด ๆ มันไม่มีคำตัดพ้อหรือเรื่องราวที่ถูกพูดออกมาระบายความเศร้า มีเพียงสะอื้นไห้แต่เพียงเท
สถานที่อันลึกลับและแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนจากไฟสลัวในอาคารไม้หลังเก่า ตกแต่งปิดบังอายุด้วยการตกแต่งด้วยผ้าหลากสีสัน เสียงดนตรีจีนวัยเยาว์ออกมาจากห้องซึ่งมีราคาสูงโดยที่แผนนั้นรู้ดีว่ามันกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางในไม่ช้าเขาเดินเข้ายังภายในร้านแน่นอนว่าหากไปพบขุนนางในสภาพชุดเก่าเยินแบบนี้ละก็จากที่จะได้เงินคงจะได้คำเหยียดหยามด่าทอมาแทน ดังนั้นเขาจึงมาขอยืมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มีสารร่างที่พอจะดูได้ขึ้นมาบ้าง กระนั้นที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีเงินถุงเงินถังมาซื้อเครื่องประดับหรือผ้าดี ๆ มาตัดเย็บนักหรอกผ้าเนื้อหยาบสีสดใสถูกสวมแทนที่เสื้อใยฝ้ายใกล้ขาด ใบหน้าเปื้อนดินเปื้อนผงถ่านถูกทำความสะอาดและแต่งแต้มด้วยผงสี จนในตอนนี้ตัวเขาในกระจกกลายเป็นคนละคนกับชาวนาทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินคนนั้นอย่างสิ้นเชิงพรมลายดอกไม้พื้นเก่าเกิดเสียงแผ่วเบาเมื่อฝ่าเท้าเปล่าคู่บางก้าวผ่านธรณีประตูออกมาจากห้อง ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับจงใจให้เวลาล่วงผ่านไปเพื่อสัมผัสความสงบตระเตรียมใจ ก่อนจะเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำ บรรยากาศที่เย็นเยือกยามราตรีส่งให้ทุกอย่างดู
แดนแห่งเสรีชน แดนอันเปิดกว้างสำหรับความคิดและการแสดงออกอย่างเสรีท่ามกลางวัฒนธรรมอันเคร่งครัดของสังคมจีน สถานที่ที่ผู้คนสามารถดำรงชีวิตตามวิถีทางของตนเองได้โดยปราศจากการกดขี่ ประหนึ่งสรวงสวรรค์ของผู้ที่ต้องการความเป็นอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง ความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้รับการยอมรับและเฉลิมฉลอง เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และให้โอกาสทุกคนในการเลือกทางเดินชีวิตของตนเองกระนั้นที่ใดมีปวงชนที่นั่นย่อมมีผู้นำ ดินแดนอันกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ถูกปกครองด้วยกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ถูกคัดเลือก เป็นผู้เดินนำหน้าทุกผู้ทุกคนมายังดินแดนอันเคยแร้นแค้นแห่งนี้และยืนหยัดเพื่ออุดมการณ์ของตนเอง กษัตริย์ปกครองเคียงคู่พระมเหสีเพียงพระองค์เดี๋ยวโดยไร้ซึ่งอนุ สำหรับอาณาจักรอื่นแล้วการมีสนมคือการถ่วงอำนาจ คือการคัดเลือกวัตถุดิบชั้นเลิศในด้านหน้าตาและคุณภาพขึ้นมาวางบนจานเพื่อให้รสชาติอาหารออกมากลมกล่อม แต่แดนเสรีชนไม่ใช่แบบนั้นหากสามัญชนผู้ใดมีชู้จะถูกประณาม หากเศรษฐีผู้มั่งคั่งมีอนุจะถูกผู้คนทอดท
เทียบ × อำพัน“ป๊า ฉันขอลาออกจากคณะ” คนเป็นพ่อซึ่งนั่งจิบเหล้าแกล้มยำแตงกวาถึงกับไอสำลักเมื่อไอ้ลูกชายหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานก็ดันมาขอลาออก พวกเขายังเหลืองานที่นี่อีกตั้งหลายวันกว่าจะหมดสัญญา แถมงานต่อไปยังเป็นการไปแสดงถึงใจกลางประเทศอย่างพระนคร อนาคตสดใสแบบนี้ทำไมอาไจ่มันถึงมาลาออก“ลื๊อมีคนมาทาบทามรึ?”“ไม่จ้ะ ฉันจะออกมีผัว”“แค่ก!...แค่ก!...”พ่อเฉิงคราวนี้นอกจากจะไอโขลกแล้วยังตกใจตาโตมองเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่แววตาไม่สั่นคลอนสักนิด ไอ้เขาอยู่กับมันมาก็หลายปี รู้หมดนั่นแหละว่ามันชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่จู่ ๆ มาบอกลาออกกะทันหันด้วยเหตุผลนั้นใครเขาจะไม่ตกใจกันบ้างเล่า!นอกจากพ่อเฉิงจื่อที่รู้เรื่องแล้วคนอื่น ๆ บางส่วนในคณะก็บังเอิญมาได้ยินบทสนทนาก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อน ๆ นักแสดงคนงานมาดูสถานการณ์ด้วยโดยมีหัวหอกคืออาเจ๊ใหญ่ไพลินที่จับตามองน้องชายผู้จะออกไปล่าฝัน เก่งมากอาตี๋! ขนาดเจ๊อยากมีผัวก็ยังไม่สามารถมุ่งมั่นได้ขนาดนี้เลย!“แล้วใครจะมาเป็นผ
เทียบ × อำพันแสงไฟจากโคมกระดาษสีแดงสดส่องสว่างรอบเวทีไม้ที่ถูกสร้างขึ้นซึ่งประดับประดาไปด้วยป้ายแขวนเครื่องเงินเครื่องทองเทียมเล่นแสงเติมเต็มความมีชีวิตชีวา กลิ่นธูปหอมอบอวลในอากาศสร้างบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนในชุมชนทั้งเด็กผู้ใหญ่ต่างนั่งล้อมวงกันบนเสื่อกกทอมือหรือเก้าอี้ไม้เก่า มองดูเวทีที่พาดแขวนตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสดพร้อมฉากหลังที่วาดภาพทิวทัศน์ในฝันอย่างวิจิตรถึงทิวทัศน์อันงดงามของสวนจีนโบราณซึ่งประกอบขึ้นมาจากเส้นหมึกอันละเอียดอ่อนของพู่กัน สร้างความลึกซึ้งซึ่งสื่อถึงความพิถีพิถันในทุกมุมของภาพวาดเสียงกลองและฉาบดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ผู้คนต่างพากันรวมตัวหน้าศาล บรรยากาศรอบเวทีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยที่เจือไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อม่านเปิดออก นักแสดงงิ้วในชุดเสื้อผ้าอันงดงามปักลวดลายทองคำสีสันสดใสดึงดูดสายตา ก้าวออกมาด้วยท่วงท่างามสง่า เสียงร้องของนักแสดงที่ไพเราะทรงพลังดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เรียกความสนใจจากผู้คนเดินไปมาและตรึงผู้ชมหน้าเวทีได้อย่างไม่ยากเย็น“林妹妹,你總是這麼憂愁,何必呢?”
ตั้งแต่รับสองเด็กเข้ามาพวกเขาก็มีโอกาสได้ตระเวนเที่ยวต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพิษณุโลกบ้านของพี่พูน นครปฐมซึ่งเป็นจังหวัดใกล้เคียง หรือจะทะเลที่สมุทรปราการพวกเขาก็พาเด็ก ๆ ไปเปิดหูเปิดตามาแล้วยิ่งในพระนครยิ่งไม่เหลือ รบรามที่ได้เข้าไปดูงานเขียน งานสถาปัตยกรรมในวัดวาอารามค่อนข้างตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงการได้วิ่งเล่นว่าวในสนามหลวงกับพ่อก็เป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ โปรดปรานเช่นกันในวันนี้เองก็เป็นการพักผ่อนอีกครั้งซึ่งพวกเขาจะเดินทางขึ้นเหนือไปเที่ยวดูธรรมชาติที่เชียงใหม่ ถึงคุณปู่จะสุขภาพถดถอยไปตามวัยแต่เด็ก ๆ ก็รับปากแล้วว่าจะซื้อโปสต์การ์ดซื้อของท้องถิ่นกลับมาฝากแน่นอน“เด็ก ๆ แปรงฟันมาแล้ว ห้ามกินขนมแล้วนะ”“จ้ะ/คร้าบ”รบตอบฉะฉานในขณะที่พี่ชายอย่างรามกล่าวด้วยความไม่สบายอารมณ์เท่าไรนักเพราะเจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากกินทองม้วนที่ซื้อมาเมื่อหลายวันก่อน แต่ด้วยเวลารถไฟที่ใกล้เข้ามา พวกเขาจึงไม่มีเวลามาเอ้อระเหยสุดท้ายสองเด็กก็ถูกจับให้แปรงฟันและออกมาในทันที แม้จะน่าเศร้าสำหรับลูกราม แต่เดี๋ยวเช้าพรุ่งนี้ก็กินขนมที่พกมาได้แล้วกา
คุณพ่อเล็กในชุดไปรเวทเดินไขประตูรั้วเข้ามาในบ้านหลังกลับมาจากการดูร้านเหล้าสาขา ๒ ของลุงเริง พวกเขาทำงานด้วยกันมานานจนจะเข้าปีที่ ๒๐ แล้วส่วนเรื่องหลานชายที่คิดว่าจะส่งต่อให้กลับล้มเหลว เพราะเจ้าตัวดันออกไปเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง ดังนั้นลุงเริงจึงเรียกเขาเข้าไปคุยถึงเรื่องการส่งต่อร้าน เพราะลุงแกก็อายุมากขึ้นทุกปีจึงอยากได้คนมาสานต่อธุรกิจที่ตนตั้งใจทำมาตั้งแต่ยังหนุ่ม และคนนั้นคือตัวเขาซึ่งเป็นพนักงานที่เก่าแก่และได้รับความไว้วางใจมากที่สุดการส่งต่อนั้นไม่สามารถทำให้จบได้ภายในวันเดียว ยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้เขาต้องเรียนรู้อีกเยอะ ดังนั้นวันนี้เขาจึงได้ทราบเรื่องและลงมาตรวจสอบโกดังสินค้าอีกนิดหน่อยแล้วก็สามารถกลับบ้านได้ด้วยเหตุนั้นก่อนที่แผนจะพักหลังจากทักทายคุณพ่อยามบ่ายจึงขึ้นมาหาเด็ก ๆ และพี่พูนที่กำลังช่วยกันถูบ้านเป็นอันดับแรกเพื่อจะบอกว่าปะป๊าอาจจะกลับดึกในช่วงนี้สักหน่อย เพราะมีภาระที่ต้องไปทำแต่หากสามารถจัดการได้แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เผลอ ๆ อาจจะได้เวลากลับมาเยอะกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ“จริงเหรอ!?” แต่
วันสงกรานต์ วันทรหดที่พนักงานทุกคนหัวหมุนแจกตั๋วโบกธงสัญญาณท่ามกลางผู้คนอันเบียดเสียด ไหนจะตัวเปียกตัวเปื้อนจากผู้โดยสารบางท่านที่ไปเล่นน้ำมาแล้วเดินมาชน หรือไม่บางคนก็ฝ่าฝืนกฎมาเล่นน้ำในเขตสถานีที่สถานีกรุงเทพฯ เส้นทางคมนาคมหลักแห่งนี้ ที่ผู้คนหลากหลายวัยต่างมุ่งหน้าเข้าสถานีเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดหรือไปเยี่ยมญาติพี่น้อง บรรยากาศในสถานีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้โดยสาร เสียงประกาศจากลำโพง และเสียงล้อรถไฟที่เสียดสีกับรางเหล็กเมื่อสิ้นเสียงหวูดภายในสถานี ผู้โดยสารนั่งกันเต็มพื้นที่ รอขึ้นรถไฟที่แน่นขนัด บางคนนั่งจับกลุ่มคุยกันบนพื้น บ้างก็กำลังยืนต่อแถวรอซื้อตั๋ว มีผู้คนมากมายที่ขนของพะรุงพะรัง ทั้งกระเป๋าเดินทาง ตะกร้าใส่ของกิน ของใช้ หรือแม้กระทั่งกรงสัตว์เล็ก ๆ ที่จะนำกลับไปด้วยแผนแทบไม่มีเวลามานั่งพักเสียด้วยซ้ำเมื่อรถไฟออกก็ต้องมาช่วยพี่ ๆ ตอบคำถามหรือถึงขั้นจัดแจงเอกสารจำหน่ายตั๋วแทนในกรณีที่บางคนไปเข้าห้องน้ำ เพราะการขาดใครไปแม้เพียงคนเดียวการสัญจรของผู้โดยสารจะติดขัดทันที และมันยิ่งวุ่นวายขึ้นเมื่อขบวนรถไฟมาถึง ผู้คนเร่งรีบเข้ามาแย่งชิงท
ในยามสายของวันหยุดปิดเทอมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูสดใสและชัดเจนจากแสงอาทิตย์ในหน้าร้อน ท้องฟ้าเข้มมีเมฆขาวลอยเป็นหย่อม ๆ อยู่ห่างไกลโดยลมพัดมาเป็นระยะ เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากผิวหนังแม้จะอยู่ในร่มยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมาอยู่หน้าเตาไฟในครัวควันหอมกรุ่นของน้ำเคี่ยวพริกแกงส้มลอยฟุ้งผ่านช่องหน้าต่างบานเกล็ดโชยพัดกลิ่นเครื่องปรุงขึ้นมาให้คุณพ่อตำรวจของบ้านได้รับรู้ พูนในชุดไปรเวทเสื้อคอกลมนั่งผ้าขาวม้าคว้าช้อนจากในตะแกรงตากมาตักน้ำแกงชิมรสชาติด้วยความชำนาญก่อนจะหันลงไปมองเด็กชายตัวจิ๋วที่ยืนเกาะโต๊ะครัวหลังช่วยเขาฉีกเนื้อปลาลงหม้อ“รบ ลงไปเรียกป๊ากับพี่ขึ้นมาได้เลย”“จ้ะ!”เสียงใสที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากร่างกายซึ่งเติบโตขึ้นตอบรับพร้อมแววตาเป็นประกายสดใส ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกจากครัวลงบ้านไปเมื่อปลายปีที่แล้วพวกเขาตัดสินใจได้ว่าจะรับเด็กมาเลี้ยงตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ จนได้มีเด็กเข้ามาอยู่ในบ้านถึงสองคนซึ่งเป็นพี่น้องที่อายุต่างกันหนึ่งปีเศษ โดยสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่พวกเขาไปมาเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรและกำลังอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมไ