บรรยากาศยามเช้าวันนี้ช่างอบอุ่นหัวใจเสียเหลือเกินในความรู้สึกของสุพิชญา หญิงสาวทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนปล่อยใจให้ล่องลอยไปบนท้องฟ้ากว้าง ดวงตาคู่งามเหม่อมองไปไกลจนสุดปลายสายรุ้งที่ตรงโค้งฟ้า เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาเธอไม่ได้เศร้าเสียใจสักนิด แต่กลับกันเธอกลับรู้สึกเหมือนเสี้ยวหนึ่งของชีวิตได้รับการเติมเต็ม
ดิเอโกทำให้เธอสั่นสะท้านไปกับทุกสัมผัสที่เร่าร้อนของเขา คำว่า “สามี” ที่เขาเฝ้าตอกย้ำให้เธอจดจำราวสายฝนที่โปรยปรายจนชุ่มฉ่ำในหัวใจ แม้จะไม่มีการเอ่ยคำว่ารัก แต่ทุกการกระทำที่เขาแสดงออกว่าหลงใหลคลั่งไคล้ในตัวเธอนั้นมันสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
แม้เช้านี้ตื่นขึ้นมาข้างกายจะไร้ซึ่งเรือนกายแกร่งที่เธอกอดก่ายเมื่อตอนรุ่งสาง แต่ทว่านั่นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกมัวหมองสักนิด แม้ในใจลึกๆ จะผิดหวังที่ไม่ได้เจอหน้าเขาเมื่อยามลืมตาตื่นขึ้นมา เหตุใดหนอเธอจึงเป็นไปได้มากมายเช่นนี้ ทั้งที่ปากบอกรังเกียจ แต่เพียงได้ชิดใกล้ เขากลับมาวิ่งวุ่นวายอยู่ในใจเธอไม่ว่างเว้น
อารมณ์หงุดหงิดขุ่นเคืองใจเมื่อหลายวันก่อนหายไปไหนกัน ดิเอโกมีอิทธิพลกับเธอมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไม่เคยรู้จักแต่กลับปล่อยให้เขาชมเชย ซ้ำยังปล่อยตัวปล่อยใจให้เตลิดไปกับเขาเสียได้ รู้ถึงไหนคงได้อับอายไปทั่ว ว่าสุพิชญามัวเมาไปกับกามารมณ์เสียแล้ว
“อุ๊ย!” อุทานอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกรวบกอดด้านหลังพร้อมปลายจมูกโด่งฝากฝังเข้าที่ซอกคอกรุ่น สุพิชญาพยายามเบี่ยงหนีแต่ทว่าเจ้าของปลายจมูกนั้นกลับยิ่งตามติดไม่ถอยห่าง
“อย่าค่ะ! ดิเอโก”
“อย่าดิ้นสิครับยาหยี ดิ้นมาทั้งคืนแล้วไม่เหนื่อยหรือไง”
“คุณ! นี่ปล่อยนะ! บอกให้ปล่อยไง” อุทานตาโตกับวาจาชวนหวามไหวนั้น พยายามดันกายหนาของเจ้าพ่อใหญ่ให้ออกห่าง แต่ทว่าดิเอโกกลับหาได้ใส่ใจไม่ยังคงส่งปลายจมูกซุกไซ้ไปทั่ว สุพิชญาไม่รู้เลยสักนิดว่ายิ่งดิ้นหนีก็เหมือนยิ่งยั่วเย้าอีกฝ่ายให้ยิ่งอยากครอบครองมากขึ้น ยิ่งขัดขืนฝืนดันตัวออกก็ยิ่งถูกกอดรัดแนบแน่น
“ไม่ปล่อย! เก่งจริงก็ดิ้นให้หลุดสิครับ” บอกพร้อมจับร่างบอบบางให้หมุนกายหันหน้าเข้าหา สุพิชญาเบิกตากว้างอีกครั้งเมื่อเขาส่งฝ่ามือร้อนแทรกหายเข้าไปในเสื้อคลุมตัวหนาแล้วใช้ปลายนิ้วเกี่ยวรั้งขอบชั้นในตัวน้อยให้เลื่อนต่ำลงและรวดเร็วเกินกว่าจะขัดขืนจากที่ยืนก็ย่อกายต่ำลงแล้วยกร่างเธอลอยขึ้นพร้อมถอดชั้นในตัวจ้อยให้หลุดลอยออกไปทันที
“คุณ!” เสียงหวานอุทานอย่างตกใจกับการกระทำนั้น
“หึ หึ ไปที่เตียงดีกว่านะ“ ดิเอโกเองก็สั่นสะท้านไปทั่วเรือนกาย เขาใคร่อยากครอบครองเธอจนไม่อยากรออีกต่อไป เมื่ออีกฝ่ายดีดดิ้นไม่อยู่นิ่งเจ้าพ่อใหญ่ก็จุดประกายความคิดบางอย่างทันท่วงที
“เอ๊ะ! หรือว่าเปลี่ยนบรรยากาศดี”
“ดิเอโกอย่าค่ะ... นะคะ ได้โปรดปล่อยเถอะค่ะ ฉันเหนื่อย...” รีบวอนขอเมื่อสบเข้ากับสายตาเร่าร้อน ยามนี้เจ้าพ่อใหญ่เปลี่ยนจากช้อนอุ้มร่างน้อยเป็นปล่อยให้หยัดยืนแต่ยังตระครองกอดไม่ห่างกาย
“เหนื่อยก็อย่าดิ้นสิครับ อยู่เฉยๆ ที่เหลือผมจัดการเอง”
“ว้าย! นั่นคุณจะทำอะไร” อุทานตกใจครั้งที่เท่าไรไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าครั้งนี้มันชวนหวามไหวมากกว่าตื่นตระหนก เพราะเพียงเสื้อคลุมตัวโคร่งถูกเขาตวัดออกจากเรือนกายเจ้าพ่อใหญ่ก็ดันเรือนร่างบอบบางให้แนบชิดติดผนังกระจกใสบานใหญ่
“ขี้เกียจไปที่เตียงแล้วล่ะยาหยี ตรงนี้! เดี๋ยวนี้เลยแล้วกัน” บอกพลางใช้มือข้างหนึ่งปลดเปลื้องสิ่งห่อหุ้มเรือนกายท่อนล่างของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว ขณะที่อีกข้างยังพันธนาการร่างบางไว้ไม่ให้หลีกหนีไปได้
“ดิเอโก! คะ...คุณ อุ๊ย!” อุทานอีกครั้งเมื่อเรียวขาสวยถูกแยกออก ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้วยิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า ใบหน้าที่ตื่นตระหนกนั้นช่างยั่วเย้าเจ้าพ่อใหญ่เสียจนรวดร้าวไปทั่วแก่นกาย
“อย่าค่ะ...” ห้ามอีกหนเมื่อคนตัวโตเริ่มส่งตัวตนแห่งความเป็นชายทักทายกลางกาย สุพิชญาแสนเขินอายไม่รู้จะทอดสายตาลงตรงไหน หากจะสบตาเขาก็สะท้านสุดใจ หากจะหลุบต่ำลงก็สบเข้ากับแก่นกายที่ผงาดในอุ้งมือร้อน ท้ายสุดจึงเลือกที่จะหลับตาพริ้มด้วยล่วงรู้ดีว่าอีกไม่ถึงนาทีเธอจะได้ลิ้มรสสวาท ณ ตรงที่ยืนอยู่นี้แน่นอน แต่ทว่า...สุพิชญายังนึกไม่ออกว่าจะออกมารูปแบบใด แม้เธอจะสูงโปร่งแต่ดิเอโกก็สูงใหญ่กว่ามากนัก
“ชู่ว... มองตาผมสิยาหยี เชื่อใจผม ปล่อยใจโห้สบาย... อย่าฝืน” กระซิบราวจะปลอบขวัญแต่นั่นกลับทำให้หัวใจสาวยิ่งสั่นไหว และไม่ทันที่สุพิชญาจะได้ทัดทานดิเอโกก็ย่อกายช้อนร่างน้อยขึ้นพร้อมส่งตัวตนแทรกหายเข้าไปในกลางกายสาวอย่างรวดเร็ว
“ดิเอโก! อา... ” อุทานได้เพียงชื่อปลายเสียงก็เปลี่ยนเป็นครางอย่างหักห้ามความกระสันซ่านไม่ไหว สุพิชญาไม่คิดเลยว่ายามตัวตนแห่งความเป็นชายแทรกผ่านเข้าไปในซอกหลืบขณะที่สติสมบูรณ์พร้อมมันจะชวนตื่นตะลึงได้ถึงเพียงนี้
เจ้าพ่อใหญ่มองอาการปิดตาแน่นบิดกายเร่าของหญิงสาวอย่างพึงพอใจ เขาหยุดการกระทำไว้เพียงเท่านั้นหลังฝากฝังกายแกร่งในซอกหลืบที่คับแน่น ไม่คิดขยับเขยื้อนต่อ ยามนี้เขาต้องการหลอกล่อให้อีกฝ่ายกระทำตามที่ใจเขาต้องการเสียก่อน เขาถึงจะเติมเต็มให้เธอ ฝ่ามือข้างหนึ่งช้อนตระครองสะโพกกลมกลึงดึงรั้งไม่ให้เจ้าของเลื่อนหล่น อีกข้างลูบไล้พวงแก้มนุ่มนิ่มก่อนโน้มใบหน้าเข้าหากระซิบบอกราวออกคำสั่ง
“กอดผม... มองตาผม... จูบผม”
คำสั่งนั้นราวกับมีมนตร์สะกดให้สุพิชญาทำตามอย่างว่าง่าย เพราะเพียงจบคำหญิงสาวก็ปรือตาขึ้นมองจ้องสบดวงตาสีสนิมที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน มือน้อยที่เกาะกุมไหล่หนายืดไว้เป็นที่มั่นก็เปลี่ยนเป็นโอบกอดรอบต้นคอแกร่งพร้อมกับเคลื่อนศีรษะสวยเข้าหาเจ้าพ่อใหญ่แล้วทาบกลีบปากนุ่มลงตรงริมฝีปากบางเฉียบของอีกฝ่ายแผ่วเบา นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สุพิชญาเป็นฝ่ายเริ่มต้นจูบผู้ชายก่อนและเธอมั่นใจว่าดิเอโกจะคือคนแรกและคนสุดท้ายที่เธอจะทำแบบนี้
เพียงริมฝีปากนุ่มสัมผัสแผ่วเบาเจ้าพ่อใหญ่ก็เผยอแย้มเรียวปากกว้างขึ้นเปิดช่องให้อีกฝ่ายสอดใส่ปลายลิ้นเล็กเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ส่วนสะโพกสอบก็ขยับขับเคลื่อนท่อนกายแกร่งที่บัดนี้แฝงตัวอย่างองอาจวาดลวดลายอยู่ในซอกหลืบนุ่ม ธารน้ำหลั่งไหลอาบตัวตนแห่งความเป็นชายจนชุ่มฉ่ำถ้วนทั่ว ยิ่งสุพิชญามอบจุมพิตแบบกล้าๆ กลัวๆ เขาก็ยิ่งเร่งจังหวะรัวเร็วขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายได้ปลดปล่อยตัวตนข้างในออกมาสุพิชญาลืมเลือนไปเสียแล้วว่าเธอตั้งใจปฏิเสธเขาตั้งแต่แรก เพราะเพียงเขาแทรกกายผ่านกลางกายเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว หัวใจเธอก็เต้นรัวเร็วทั้งตื่นตระหนก ทั้งหวามไหว ปั่นป่วนไปทั่วเรือนกาย เธอไม่คิดว่าดิเอโกจะจู่โจมฝากฝังความเป็นชายเข้าในเรือนร่างของเธอรวดเร็วเช่นนั้น ซ้ำยังแสดงลีลารักผาดโผนแบบไม่คิดเกรงใจฟ้าดิน ด้วยยามนี้ ณ ตรงที่เขาวาดลวดลายมันคือผนังกระจกทั้งด้านที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกถ้วนทั่ว แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือบานกระจกใสจนภายนอกมองเข้ามาเห็นภายในได้เกือบทั่วทุกตารางนิ้วแต่ดูเหมือนว่าเจ้าพ่อใหญ่จะไม่ใส่ใจ เพราะเพียงตวัดเสื้อคลุมตัวโคร่งออกจากร่างเธอแล้วปลดเปลื้องพันธนาการเรือนกายท่อนร่างของตัวเองออกเขาก็สอ
ภายในห้องพักสุดหรูของบ้านพักตากอากาศในพื้นที่ส่วนบุคคลหลายร้อยไร่บนเกาะบาหลียามนี้ บรรยากาศภายในห้องช่างสุดแสนโรแมนติก แสงนวลสีเหลืองอ่อนจากโคมไฟระย้าที่ตกกระทบผนังห้องสีครีมชวนให้เกิดแสงสว่างนุ่มนวลตา บนเตียงกว้างด้านหนึ่งของห้องปรากฏเรือนร่างของหญิงสาวทรวดทรงสุดเซ็กซี่ภายใต้ชุดราตรีสั้นสีเขียวมรกตขับให้ผิวนวลดูผุดผ่องต้องตาตรงหน้าประตูห้องน้ำที่เพิ่งแง้มออก ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มชาวสเปนผู้มีเชื้อสายละตินวัยสามสิบห้าปี ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มตัดรองทรงดูยุ่งเหยิงน้อยๆ ด้วยผ้าขนหนูสีขาวที่ถูกฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นซับน้ำให้พอแห้งหมาดๆ ดวงตาสีสนิมจับจ้องเรือนร่างยวนตาบนเตียงกว้างอย่างพอใจ เขารู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกระตุ้นความต้องการของเขามากเท่านี้สองเท้าค่อยๆ ก้าวเข้าหาเตียงกว้างก่อนที่จะหยุดข้างเตียงและหย่อนกายนั่งลงข้างเรือนร่างโปร่งบาง ริมฝีปากบางเฉียบกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจยามยื่นฝ่ามือหนาออกไปสัมผัสลูบไล้นวลเนื้อเนียนตรงต้นแขนเรียวอย่างแผ่วเบา ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเท่านั้นเรือนกายแกร่งก็ออกอาการสั่นเทาราวเป็นไข้ ดวงตาสีสนิมตวัดไล้ไปทั่วเรือนร่างราวต้อ
กายสาวกระตุกเฮือกราวหวาดผวาเมื่อยอดดอกบัวงามสัมผัสถึงความร้อนชื้นในโพรงปากนุ่มที่เข้าครอบครองดื่มด่ำราวกำลังหิวกระหายหลังจากฝ่ามือร้อนระอุบรรจงสรรค์สร้างให้ก้อนเนื้อนุ่มกลายเป็นดอกบัวคู่งามชูชันแข่งกันอวดโฉมรอเหล่าภมรมาคลอเคล้าเสียงหวีดร้องขัดขืนแปรเปลี่ยนเป็นครวญครางกระเส่าด้วยรู้สึกเร่าร้อนไปทั้งกายและใจยามทั้งมือและอุ้งปากที่เต็มไปด้วยธารน้ำอุ่นซ่านสลับสับกันคลึงเคล้าด้วยท่วงทำนองที่สอดประสานกันราวกำลังบรรจงสรรค์สร้างดอกบัวคู่งามให้เป็นงานศิลป์อันตระการตาแรงขัดขืนค่อยๆ ลดน้อยถอยลงจนแทบมลายหายไปสิ้น ทั้งที่ใจอยากต่อต้านแต่กายกลับไหวสะท้านสั่นระริกไปกับสัมผัสแปลกใหม่จากชายแปลกหน้าชนิดที่หญิงสาวผู้รักนวลสงวนตัวอย่าง สุพิชญา นาฏดิลก ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตนี้เรียวแขนอันงดงามผวาเข้ากอดรัดต้นคอแกร่งแน่นอย่างหวาดผวา เพราะเพียงฝ่ามือใหญ่ปลดปล่อยข้อมือน้อยทั้งสองข้างให้หลุดออกจากพันธนาการ เรือนร่างบอบบางก็ถูกผลักให้นอนราบทาบทับลงไปกับเตียงกว้าง ทุกการกระทำช่างรวดเร็วเสียจนหญิงสาวไม่มีโอกาสดึงสติให้กลับมาสมบูรณ์พร้อม เพียงเธอผวาเกาะกอด เรือนกายแข็งแกร่งก็โน้มทาบทับลงมาและเริ่มรุกเร้
“เห็นไหม... มันก็เหมือนๆ กับที่คุณเคยสัมผัส มันอาจจะใหญ่กว่าแต่ผมสัญญาว่าคุณกับมันจะเข้ากันได้ดี” ดิเอโกกระซิบปลอบประโลมดวงตา สีสนิมจับจ้องดวงตาคู่หวานราวต้องการถ่ายทอดความอบอุ่นไปให้“ดะ...ดิเอโก ฉันไม่” สุพิชญาพยายามทักท้วงว่าเขากำลังเข้าใจผิด แต่สติแทบหลุดเมื่ออีกฝ่ายจับกุมมือน้อยของเธอไว้มั่นไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังบังคับให้ขยับเขยื้อนลูบคลำส่วนนั้นของร่างกายที่กำลังตื่นตัวตอบรับสัมผัสจากเธออย่างเริงร่า“ปะ...ปล่อย! ได้โปรด... ” สุพิชญาพยายามวิงวอนอีกครั้ง ใจดวงน้อยทั้งหวาดหวั่นและหวามไหว ใจหนึ่งใคร่อยากรู้อยากเห็นอยากลิ้มลองสัมผัสแสนวาบหวามนี้ต่อไปไม่สิ้นสุด แต่ใจหนึ่งยื้อยุดให้ตระหนักถึงศีลธรรมอันดีงาม ยามนี้ไฟราคะกำลังปะทะกับสำนึกฝ่ายดีจนหญิงสาวแทบอยาก กรีดร้องระบายความอึดอัดที่แสนทรมานนั้นให้หมดไป“มาถึงขั้นนี้แล้วจะให้ผมถอยง่ายๆ ได้ไงยาหยี” เจ้าพ่อใหญ่กระซิบด้วยเสียงแหบพร่า ปล่อยมือน้อยให้เป็นอิสระแล้วเปลี่ยนเป้าหมายลากไล้ทักทายจุดกระสันเพื่อสร้างความซาบซ่านให้อีกฝ่ายทันที“ดะ...ดิเอโก อย่า... อื้อ!” เสียงหวานขยับจะทักท้วงแต่เพียงแค่เอ่ยห้ามปลายเสียงก็กลับกลายเป็นครวญครางเมื่อเจ้
“แกว่าอะไรนะเควิน” เจ้าพ่อใหญ่ตวาดกร้าวราวกำลังเกรี้ยวกราดอย่างสุดแสนเควิน เมดิสัน ผู้เป็นทั้งคนสนิทและมือขวาของ ดิเอโก เค เวนนิส เจ้าพ่อบ่อนคาสิโนผู้ยิ่งใหญ่ ได้แต่ยืนก้มหน้าสงบนิ่งอย่างยอมรับความผิดพลาดในงานที่ได้รับมอบหมาย ดวงตาสีน้ำทะเลภายใต้แว่นกันแดดสีดำสนิทมองผ่านเลนส์แว่นนั้นจับจ้องที่ผืนพรมนิ่งไม่ไหวติง“มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง” ดิเอโกเค้นเสียงถามอย่างหงุดหงิดใจเมื่อลูกน้องคู่ใจเอาแต่สงบเงียบ เจ้าพ่อใหญ่หัวเสียกับสิ่งที่ได้รับรู้เมื่อแรกอรุณของวันใหม่ ทั้งที่เมื่อช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนอิ่มเอมใจ หญิงสาวแสนบริสุทธิ์ผู้เร่าร้อนทำให้กระทิงถึกอย่างเขาคึกคะนองจนแทบไม่ได้หลับนอนตลอดทั้งคืน“เจ๊ใหญ่บอกว่าผู้หญิงที่เจ๊ส่งตัวมาเกิดหลงทางเลยมาถึงที่นัดหมายช้ากว่ากำหนด แล้วแบตเตอรี่มือถือก็หมดเลยทำให้ติดต่อกันไม่ได้ครับ ดิเอโก”“แล้วผู้หญิงที่นายพามาเป็นใคร” เจ้าพ่อใหญ่ขมวดคิ้วมุ่นยามตวัดสายตาคมกล้าจับจ้องลูกน้องคนสนิทอย่างคาดคั้น เขาไว้วางใจให้เควินทำงานให้นับครั้งไม่ถ้วนทั้งงานใหญ่งานเล็ก เควินไม่เคยผิดพลาด แต่ทว่าครั้งนี้เควินกลับพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย“ไม่ทรา
“ว่าไงนะ” ดิเอโกเลิกคิ้วมองหญิงสาวตรงหน้าที่หาญกล้าว่าเขาเป็นผู้ชายบ้ากามและโมโหร้ายอย่างไม่เกรงกลัว แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้านหรืองุนงงเท่ากับสิ่งที่หญิงสาวกล่าวหาว่าเขาเป็นฝ่ายลักพาตัวเธอมา“นี่คุณ! หูตึงรึไง ฉันถามคุณว่า คุณจับตัวฉันมาทำไม ฉันไม่มีเงินมากพอขนาดที่จะเรียกค่าไถ่ได้หรอกนะ” สุพิชญาสบถด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ดวงตาคู่งามวาววับอย่างไม่คิดเกรงกลัวสักนิด เจ้าพ่อหนุ่มถึงกับตะลึงอึ้งอีกครั้งกับวาจากล่าวหานั้น“ผมเนี่ยนะจับคุณมาเรียกค่าไถ่”“ถ้าไม่ใช่ แล้วคุณจะจับฉันมาทำไม ฉันไปทำอะไรให้คุณ” สุพิชญา ตวาดกลับเสียงขุ่น หญิงสาวจับจ้องผู้ชายที่ทำหน้าเหรอหราราวกับไม่รู้เรื่องใดๆ อย่างหมายมาดเอาเรื่องให้จงได้ผู้ชายบ้า! หน้าไม่อาย ข่มเหงรังแกฉันแล้วยังมีหน้ามาทำไม่รู้เรื่อง อย่าให้ฉันหลุดรอดออกไปได้นะ ฉันจะลากคอนายเข้าตะรางแน่ นายดิเอโก!ดิเอโกจ้องตอบอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาสีสนิมแปรเปลี่ยนเป็นเรืองรองยามหลุบต่ำจ้องมองเนินอกที่โผล่พ้นผ้าห่มผืนหนา อาการหายใจแรงๆ ทำให้เนินอกกระเพื่อมเคลื่อนไหววับๆ แวมๆ ล่อตาล่อใจให้อยากโน้มใบหน้าไปฝากฝังปลายจมูกซุกไซ้เฉกเช่นที่เคยสัมผัสมาเมื่อค่ำคืน“
“ดิเอโก! นี่คุณ!” สุพิชญาอุทานขานนามชายหนุ่มที่เธอรู้จักเพียงชื่อเขาอย่างตื่นตะลึง ดวงตาคู่งามเบิกกว้างจ้องมองเจ้าพ่อใหญ่อย่างไม่อยากเชื่อในคำพูดนั้น“ผมชื่อ ดิเอโก เค เวนนิส เจ้าพ่อบ่อนคาสิโนที่ใครๆ ก็ยอมสยบแทบเท้า ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธผม จำไว้!” ดิเอโกเหยียดยิ้มอย่างเย้ยหยัน เขาไม่จำเป็นต้องต่อล้อต่อเถียงหรือพะเน้าพะนอเอาใจใคร ในเมื่ออะไรที่เขาต้องการเขาต้องได้เสมอเธอไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่เขาขึ้นเตียงด้วย แม้จะติดใจในรสสวาท แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องสยบแทบเท้าและปล่อยให้เธอแผลงฤทธิ์ใส่เขาอย่างไม่กลัวเกรงสุพิชญายิ่งตะลึงหนักขึ้นเมื่ออีกฝ่ายแนะนำตัวเองเสียเต็มยศ คำว่า ‘เจ้าพ่อบ่อนคาสิโน’ กระตุกใจดวงน้อยได้ดีทีเดียว แต่ทว่าคนอย่างสุพิชญาหรือจะยอมลงให้ใครง่ายๆ หากเธอถูกระรานเธอก็จะต่อต้านสุดฤทธิ์เช่นกัน“คุณไม่กล้าแน่ดิเอโก ฉันไม่ใช่คนจรจัดที่คุณจะจับมัดมือขายทอดตลาดอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย หากฉันหายไป คนที่บ้านฉันเขาต้องแจ้งความและตามหา อีกไม่นานคุณก็จะถูกตำรวจจับแน่นอน”เมื่อเอ่ยวาจาท้าทายไปแล้วหญิงสาวก็ต้องกล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ที่แล่นขึ้นมาจุกแน่นตรงลำคอ ความจริงที่เธอรู้ดี ไม
ทางเดินด้านหน้าเป็นถนนเส้นยาวที่ไกลสุดหูสุดตาไม่อาจคาดเดาได้ว่าปลายทางไปบรรจบลงตรงที่ใด สองข้างทางถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกสีขาวจางที่พอรวมตัวกันทำให้มองรอบข้างได้ไม่ชัดเจนนัก หญิงสาวพยายามเพ่งมองไปข้างหน้าตามเส้นทางที่พอมองเห็นเลือนลาง เธอไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ที่ใดแล้วใครๆ หายไปไหนกันหมด หญิงสาวพยายามเปล่งเสียงเพื่อตะโกนเรียกหาใครสักคนแต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา สุพิชญารู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาในใจลึกๆ พลันสายตาก็เริ่มมองเห็นใครคนหนึ่งเดินอยู่ด้านหน้าไม่ไกลนัก หญิงสาวพยายามวิ่งตามแต่ไม่รู้เรี่ยวแรงหายไปไหน ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ ไกลออกไปแต่กลับยิ่งชัดเจนในดวงตาคู่งาม‘พี่ติ’สุพิชญาส่งเสียงเรียกชายหนุ่มตรงหน้าแผ่วเบาแต่เหมือนเขาจะได้ยินเสียงเรียกนั้น เขาหันกลับมามองเธอ ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน คล้ายกับว่าเขากำลังพูดอะไรสักอย่างกับเธอ หญิงสาวพยายามตั้งใจฟัง เสียงที่ลอยมาแผ่วเบาแต่เธอรู้สึกเหมือนมันดังก้องอยู่ในหัว‘พิชชา... พี่รักเธอ’ได้ยินเท่านั้นพลันสุพิชญาก็รู้สึกราวถูกตีอย่างแรงที่หัว ความรู้สึกหมุนคว้างดังกำลังตกจากที่สูง แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป เธอก็รู้สึกสะดุ้งสุดตัวแกร๊