วันต่อมาเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์และอาหยันน้อยก็ไม่ต้องไปโรงเรียนอนุบาล โจวเชียนหยุนจึงพูดกับแม่ของเธอว่า “แม่คะ หนูจะพาอาหยันน้อยไปเล่นที่สวนใกล้ ๆ นี้หน่อยนะคะ”“ทำไมไม่นอนพักอีกหน่อยล่ะ?” คุณนายโจวถาม ในช่วงสุดสัปดาห์ปกติแล้วช่วงเช้าเธอจะเป็นคนพาหลานชายไปเล่นในสวนใกล้ ๆ หมู่บ้าน เพราะว่าลูกสาวของเธอจะได้เตรียมตัวไปขายของในตอนเย็น“ไม่เป็นไรค่ะ หนูอยากใช้เวลากับอาหยันน้อยให้มากขึ้นอีกนิด” โจวเชียนหยุนกล่าว ตอนนี้ทุกนาทีที่ผ่านไปเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับเธอคุณนายโจวถอนหายใจ “งั้นก็ได้ ฉันจะเตรียอาหารเที่ยงรออยู่ที่บ้านนะ เดี๋ยวทำจานโปรดไว้ให้เลย”“ได้ค่ะ” โจวเชียนหยุนยิ้มจาง ๆ และพาลูกชายออกจากประตูไปมีพ่อแม่หลายคนที่พาลูกของพวกเขาออกมาเล่นในสวนสาธารณะใกล้ ๆ หมู่บ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ปกติอาหยันน้อยจะเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ในสวน แต่วันนี้แทนที่จะเล่นกับเด็กคนอื่น เขากลับยืนอยู่ข้าง ๆ โจวเชียนหยุนอยู่ตลอดด้วยสีหน้าเป็นกังวล“เป็นอะไรไป? ไม่ไปเล่นเหรอจ๊ะ?” โจวเชียนหยุนถามอย่างสับสน“แม่... แม่ไม่ใช่คนไม่ดีใช่ไหมฮะ?” เจ้าตัวเล็กลังเลไปเล็กน้อยก่อนในสุดท้ายจะถามออกมา เรื่องที่เกิดขึ้นใ
นี่เป็นรูปครอบครัวของพวกเขาสามคนที่อาหยันน้อยอยากได้ บางครั้งเขาก็ชอบดูรูปพวกนี้ในมือถือของเธอ จากนั้นรอยยิ้มพอใจก็ปรากฏบนใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาเพราะแบบนี้โจวเชียนหยุนจึงเก็บรูปพวกนั้นไว้มือถือเธอเป็นการชั่วคราวและไม่ได้ลบไปโจวเชียนหยุนก้มหน้ามองรูปสามคนของพวกเขาบนม้าหมุน อาหยันน้อยยิ้มอย่างมีความสุขในขณะที่เธอกำที่จับที่อยู่ข้างตัวแน่นด้วยท่าทางกังวล และขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับกำลังสะกดกลั้นบางอย่างไว้ในตอนนั้นความเจ็บปวดปรากฏขึ้น และทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัวในรูปเย่เหวินหมิงหันหน้าเล็กน้อยราวกับกำลังมองมาที่เธอจากรูปใครมองมาคงคิดว่าเย่เหวินหมิงมองเธออย่างเป็นห่วงแต่รูปนั้นก็เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ต่อให้เธอและเย่เหวินหมิงนั่งม้าหมุนตัวเดียวกัน แต่ก็ยังมีคูน้ำขวางกั้นพวกเขาไว้เธอหวังว่า... เธอจะไม่เจอเขาอีกแม้แต่ในนรก!ในตอนนั้นเองที่โจวเชียนหยุนได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของลูกชายเธอร้องออกมาว่า “พ่อฮะ!”โจวเชียนหยุนเงยหน้ามองทันที และเห็นร่างเล็ก ๆ ของอาหยันน้อยวิ่งไปหาร่างสูง‘นั่น... เย่เหวินหมิงนี่!’โจวเชียนหยุนตัวชาไปครู่หนึ่งและมองเย่เหวินหมิงที่เดินเข้ามาหาเธออย่างประหลา
แม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นพ่อของเขา แต่ก็ไม่ควรมากล่าวหาแม่ของเขาว่าเป็นคนผิดอยู่ดี!สีหน้าของเย่เหวินหมิงถอดสี “อาหยันน้อย หลีกไป แม่ของลูกทำผิดและต้องขอโทษ”เจ้าตัวเล็กกล่าวว่า “ไม่หลีก ทำไมแม่ต้องขอโทษด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด? แม่แค่แตะมือของผู้หญิงคนนั้นเบา ๆ แต่เธอล้มลงไปเอง แม่แค่ไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นแตะผม! แม่ไม่ได้ทำอะไรผิด!”แล้วเขาก็ไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นด้วยแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะยิ้มให้เขา แต่สายตาที่เธอมองเขากลับมีแต่ความเกลียดชังแม้เจ้าตัวเล็กจะยังเป็นเด็ก แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าใครใจดีกับเขา และใครเกลียดเขาแต่คำพูดของอาหยันน้อยในตอนนี้มีแต่เติมเชื้อเพลิงให้เปลวไฟของเย่เหวินหมิง“โจวเชียนหยุน นี่นะเหรอที่เธอสอนลูก? โกหกทั้งเพ! เธออยากให้เขาเป็นคนขี้โกหกเหมือนเธอเหรอ? เผื่อเธอไม่รู้นะ ในห้องมีกล้องวงจรปิด!“จื่ออินแค่อยากจะคุยกับอาหยันน้อย แต่เธอผลักเขา!“เธอผลักเขานิดเดียว แต่ก็มีเจตนาร้าย! เธอรู้ว่าจื่ออินท้องอยู่ และเธอทำแบบนี้ก็เพราะกลัวว่า ถ้าจื่ออินคลอดเด็กคนนั้นออกมาแล้วจะทำให้ฐานะของอาหยันน้อยสั่นคลอน!”เย่เหวินหมิงกล่าวเรื่องร้ายกาจอย่างนั้นออกมา ทุกคำของเข
‘ทำไมต้องให้อาหยันน้อยได้ยินอะไรพวกนี้ด้วย?’“แม่ฮะ พ่อเขา... เกลียดผมเหรอ?” เสียงเด็กน้อยของเจ้าตัวเล็กดังขึ้น ดวงตาสีเข้มของเขามองเย่เหวินหมิงจากนั้นก็มองโจวเชียนหยุนเย่เหวินหมิงรู้สึกยุ่งเหยิงขึ้นมาในทันทีดวงตาของลูกชายเขาในตอนนี้ไม่มีความรักความผูกพันอีกต่อไปแล้ว และมีเพียงความเจ็บปวดและห่างเหินแทนจากนั้นเขาจึงตระหนักได้ในสิ่งที่ตัวเองพูดขึ้นในทันใด!“เอา... เอาตัวเด็กไป!” เย่เหวินหมิงสั่งลูกน้องที่ตามเขามาคนของเขาตอบรับและรีบอุ้มตัวอาหยันน้อยขึ้นมา แม้ว่าเด็กน้อยจะดิ้นหนีหรือตะโกนโวยวายแต่ก็ไม่มีประโยชน์“คุณจะทำอะไรอาหยันน้อยน่ะ?!” โจวเชียนหยุนพูดอย่างโกรธเคือง และต้องการเอาลูกชายของเธอกลับมา ทว่าเย่เหวินหมิงกำแขนของเธอไว้อย่างแรง “อาหยันน้อยเป็นลูกชายฉัน ฉันไม่ทำร้ายเขาแน่ แต่เธอ... เธอต้องไปขอโทษจื่ออินและครอบครัวตระกูลคงกับฉัน!” เย่เหวินหมิงกล่าวขณะพูดเขาก็ลากตัวโจวเชียนหยุนตรงไปยังทางออกของสวนเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาสั่งให้คนของเขาสองคนจัดการเรื่องวุ่นวายที่นี่อย่างไรเสียการโต้เถียงของพวกเขาก็เรียกความสนใจจากผู้คนที่อยู่รอบ ๆ พวกเขาโจวเชียนหยุนเกือบสะดุดในขณะที่เ
“เย่เหวินหมิง ทำไมคุณถึงเชื่อคงจื่ออินมากขนาดนี้? แค่เพราะเธอบริจาคไขกระดูกให้คุณแล้วช่วยชีวิตคุณไว้เหรอ?” เธอโพล่งถามขึ้นทันใดคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันในทันที “เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” มีแค่คนในตระกูลเย่กับตระกูลคงเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ พวกเขาไม่เคยประกาศบอกเรื่องนี้ให้สาธารณชนรับรู้“ถ้าฉันบอกว่าเธอไม่ใช่คนที่ช่วยคุณ คุณจะเชื่อไหม?” เธอถามเขาตวาดกลับอย่างหมดความอดทน “นี่เธอพยายามใส่ความจื่ออินอีกแล้วเหรอ? โจวเชียนหยุน เธออยากเข้าคุกอีกหรือไง? ฉันไม่สนหรอกนะว่าเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง แต่ขอเตือนเธอไว้เลยนะว่าอย่ามาทำให้ฉันกับจื่ออินบาดหมางใจกัน!”ทันใดนั้นเขาก็จับคางของเธอไว้พลางพูด ดวงตาและน้ำเสียงของเขาเย็นชา “ถ้าไม่ใช่จื่ออินที่ช่วยฉันไว้ งั้นเป็นเธอหรือไง? ฉันสาบานว่า ฉันจะปกป้อง รัก และจงรักภักดีตราบชั่วชีวิตของฉัน เธอฝันไปเถอะ!”โจวเชียนหยุนระเบิดหัวเราะ ซึ่งเสียงหัวเราะของเธอดังขึ้นเรื่อย ๆ“หยุดหัวเราะ!” เขาตะโกน เขาพบว่าเสียงหัวเราะของเธอทำให้เขาหงุดหงิดใจเป็นพิเศษถึงอย่างนั้นโจวยังคงหัวเราะอยู่ หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา“พอสักที หยุดหัวเราะได้แล้ว!” จู่ ๆ เขาก็เอื้อมม
แต่เธอไม่อยากขอโทษอีกต่อไปแล้วถ้าเธอขอโทษ ก็จะเป็นการยอมรับว่าเธอจงใจผลักคงจื่ออิน และมุ่งร้ายจริง ๆ แบบนั้นแล้วอาหยันน้อยก็จะไม่สามารถเชิดหน้าขึ้นมาได้อีก!ความเงียบของเธอทำให้เขาอึดอัดใจเล็กน้อย เขารู้ว่าตัวเองควรจะถอนมือออกและไม่แตะต้องผู้หญิงคนนี้อีกถึงอย่างนั้นมือของเขากลับดูไม่เต็มใจเล็กน้อย ราวกับว่ามันแนบติดไปกับแก้มที่เย็นเล็กน้อยของเธอไปแล้วแก้มของเธอซูบตอบ และผิวของเธอไม่ได้ขาวเนียนเหมือนแต่ก่อนเพราะสัมผัสกับมลภาวะในอากาศ ตอนนี้เธอดูซีดเซียวและเกือบจะคล้ายกับคนขาดสารอาหารถึงอย่างนั้นเธอก็ยังสวยและมีใบหน้างดงาม เธอมีคิ้วโค้งได้รูปและจมูกที่ดูดี ขนตาที่งอนน้อย ๆ ยิ่งมองเห็นได้ชัดเวลาเธอหลับตาในตอนนั้นเธอเงียบราวกับเป็นตุ๊กตา เขาอดไม่ได้ที่จะมองเธอ จนกระทั่งรถหยุดลงที่หน้าโรงพยาบาล ทันใดนั้นเขาจึงรู้สึกตัวขึ้นมาและถอนมือที่ร้อนผ่าวออกมา“ฉันไม่ขอโทษ” โจวเชียนหยุนพูดในทันทีที่เปิดประตูรถ“ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมาตัดสินใจ!” เย่เหวินหมิงใช้แรงดึงเธอออกมาจากรถ ในตอนนที่โจวเชียนหยุนโดนเย่เหวินหมิงลากตัวไปยังห้องพักฟื้นของคงจื่ออิน ครอบครัวตระกูลคงเองก็อยู่ที่นี่ด้วย คงจ
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วมีอะไรที่ฉันต้องยอมรับเหรอ? คุณต้องการให้คนที่โดนใส่ร้าย ขอโทษคนที่ใส่ร้าย เย่เหวินหมิง คุณสับสนจนแยกแยะถูกผิดไม่ได้เลยเหรอ?”“ไม่ว่าเธอจะเต็มใจหรือไม่ แต่วันนี้เธอก็ต้องคุกเข่าลงกราบขอโทษ! โจวเชียนหยุน อย่าบังคับให้ฉันต้องจับมือเธอทำ!”ในทันใดนั้นเธอก็หัวเราะออกมา “เย่เหวินหมิง คุณนี่โง่จริงสินะ คุณเชื่อทุกอย่างที่ตระกูลคงและคงจื่ออินพูด คุณคิดว่าคงจื่ออินคือคนที่ช่วยชีวิตคุณไว้เหรอ? เธอไม่ได้ทำอะไรเลย และเลือดที่ไหลอยู่ในตัวคุณก็ไม่เกี่ยวกับเธอด้วย!”เมื่อเธอพูดแบบนี้ สีหน้าของสมาชิกตระกูลคงก็เปลี่ยนไปทันที คงจื่ออินซึ่งนั่งอยู่บนเตียงโรงพยาบาลและกำลังกินดื่มอย่างสบาย ๆ ก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาจนเกือบจะทำถ้วยในมือตก‘นี่โจวเชียนหยุน... รู้อะไรมา? เธอรู้เรื่องการบริจาคไขกระดูกเหรอ?’ “เหวินหมิง... นี่... นี่หมายความว่าไงคะ?” คงจื่ออินถามขณะที่ทำหน้างง ใบหน้าซีดขาวและความเจ็บป่วยทำให้เธอดูเปราะบางเย่เหวินหมิงเดินเข้าไปปลอบเธอด้วยการพูดว่า “ไม่มีอะไร คุณไม่ต้องสนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้หรอก!”นายท่านคงรีบพุ่งเข้ามา เขายกมือขึ้นและตบหน้าโจวเชียนหยุนสองครั้ง “เธอพู
เขายังจำได้ในตอนที่เขากลับไปโรงพยาบาลเพื่อติดตามอาการ จื่ออินก็เข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ฉันบังเอิญรู้มาว่าคุณเป็นคนที่ฉันช่วยไว้ ดีใจจังเลยค่ะ ที่ได้รู้ว่าคุณหายดีอย่างนี้!”ในตอนนั้นเขาก็รู้ว่าคนที่บริจาคไขกระดูกให้เขาหน้าตาเป็นอย่างไรตอนแรกที่พวกเขาพบคนบริจาคที่เหมาะสมจากธนาคารไขกระดูก คนคนนั้นปฏิเสธที่จะบริจาคเขารู้สึกว่าโลกทั้งใบได้มืดดับลง เขามีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ และเขายังไม่อยากตายสุดท้ายธนาคารไขกระดูกก็เจอผู้บริจาคที่เหมาะสมอีกคน ในขณะที่รอคำตอบ เขาพบว่าตัวเองเต็มไปด้วยความหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธอีกเขาตระหนักได้ว่าการมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งล้ำค่า และเขาต้องการความสงสารและการเสียสละของคนอื่นเขากลัวว่าจะโดนปฏิเสธอีกครั้งเขาหวาดกลัว!ถึงอย่างนั้นโรงพยาบาลก็นำข่าวดีมาบอกเขา คนคนนั้นสัญญาว่าจะบริจาคให้โดยไม่ขออะไรตอบแทนหัวใจของเขาซาบซึ้งไปด้วยความขอบคุณ เขาคิดไว้ด้วยว่าจะไปขอบคุณอีกฝ่ายด้วยตัวเองแต่นี่เป็นการบริจาคที่ไม่ระบุชื่อ และคนคนนั้นก็ไม่ต้องการเปิดเผยตัว พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ส่งข้อความผ่านหมอไปบอกเท่านั้น “มีชีวิตที่ดีนะ บางทีเราอาจจะเจอกันสัก