แม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นพ่อของเขา แต่ก็ไม่ควรมากล่าวหาแม่ของเขาว่าเป็นคนผิดอยู่ดี!สีหน้าของเย่เหวินหมิงถอดสี “อาหยันน้อย หลีกไป แม่ของลูกทำผิดและต้องขอโทษ”เจ้าตัวเล็กกล่าวว่า “ไม่หลีก ทำไมแม่ต้องขอโทษด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด? แม่แค่แตะมือของผู้หญิงคนนั้นเบา ๆ แต่เธอล้มลงไปเอง แม่แค่ไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นแตะผม! แม่ไม่ได้ทำอะไรผิด!”แล้วเขาก็ไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นด้วยแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะยิ้มให้เขา แต่สายตาที่เธอมองเขากลับมีแต่ความเกลียดชังแม้เจ้าตัวเล็กจะยังเป็นเด็ก แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าใครใจดีกับเขา และใครเกลียดเขาแต่คำพูดของอาหยันน้อยในตอนนี้มีแต่เติมเชื้อเพลิงให้เปลวไฟของเย่เหวินหมิง“โจวเชียนหยุน นี่นะเหรอที่เธอสอนลูก? โกหกทั้งเพ! เธออยากให้เขาเป็นคนขี้โกหกเหมือนเธอเหรอ? เผื่อเธอไม่รู้นะ ในห้องมีกล้องวงจรปิด!“จื่ออินแค่อยากจะคุยกับอาหยันน้อย แต่เธอผลักเขา!“เธอผลักเขานิดเดียว แต่ก็มีเจตนาร้าย! เธอรู้ว่าจื่ออินท้องอยู่ และเธอทำแบบนี้ก็เพราะกลัวว่า ถ้าจื่ออินคลอดเด็กคนนั้นออกมาแล้วจะทำให้ฐานะของอาหยันน้อยสั่นคลอน!”เย่เหวินหมิงกล่าวเรื่องร้ายกาจอย่างนั้นออกมา ทุกคำของเข
‘ทำไมต้องให้อาหยันน้อยได้ยินอะไรพวกนี้ด้วย?’“แม่ฮะ พ่อเขา... เกลียดผมเหรอ?” เสียงเด็กน้อยของเจ้าตัวเล็กดังขึ้น ดวงตาสีเข้มของเขามองเย่เหวินหมิงจากนั้นก็มองโจวเชียนหยุนเย่เหวินหมิงรู้สึกยุ่งเหยิงขึ้นมาในทันทีดวงตาของลูกชายเขาในตอนนี้ไม่มีความรักความผูกพันอีกต่อไปแล้ว และมีเพียงความเจ็บปวดและห่างเหินแทนจากนั้นเขาจึงตระหนักได้ในสิ่งที่ตัวเองพูดขึ้นในทันใด!“เอา... เอาตัวเด็กไป!” เย่เหวินหมิงสั่งลูกน้องที่ตามเขามาคนของเขาตอบรับและรีบอุ้มตัวอาหยันน้อยขึ้นมา แม้ว่าเด็กน้อยจะดิ้นหนีหรือตะโกนโวยวายแต่ก็ไม่มีประโยชน์“คุณจะทำอะไรอาหยันน้อยน่ะ?!” โจวเชียนหยุนพูดอย่างโกรธเคือง และต้องการเอาลูกชายของเธอกลับมา ทว่าเย่เหวินหมิงกำแขนของเธอไว้อย่างแรง “อาหยันน้อยเป็นลูกชายฉัน ฉันไม่ทำร้ายเขาแน่ แต่เธอ... เธอต้องไปขอโทษจื่ออินและครอบครัวตระกูลคงกับฉัน!” เย่เหวินหมิงกล่าวขณะพูดเขาก็ลากตัวโจวเชียนหยุนตรงไปยังทางออกของสวนเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาสั่งให้คนของเขาสองคนจัดการเรื่องวุ่นวายที่นี่อย่างไรเสียการโต้เถียงของพวกเขาก็เรียกความสนใจจากผู้คนที่อยู่รอบ ๆ พวกเขาโจวเชียนหยุนเกือบสะดุดในขณะที่เ
“เย่เหวินหมิง ทำไมคุณถึงเชื่อคงจื่ออินมากขนาดนี้? แค่เพราะเธอบริจาคไขกระดูกให้คุณแล้วช่วยชีวิตคุณไว้เหรอ?” เธอโพล่งถามขึ้นทันใดคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันในทันที “เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” มีแค่คนในตระกูลเย่กับตระกูลคงเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ พวกเขาไม่เคยประกาศบอกเรื่องนี้ให้สาธารณชนรับรู้“ถ้าฉันบอกว่าเธอไม่ใช่คนที่ช่วยคุณ คุณจะเชื่อไหม?” เธอถามเขาตวาดกลับอย่างหมดความอดทน “นี่เธอพยายามใส่ความจื่ออินอีกแล้วเหรอ? โจวเชียนหยุน เธออยากเข้าคุกอีกหรือไง? ฉันไม่สนหรอกนะว่าเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง แต่ขอเตือนเธอไว้เลยนะว่าอย่ามาทำให้ฉันกับจื่ออินบาดหมางใจกัน!”ทันใดนั้นเขาก็จับคางของเธอไว้พลางพูด ดวงตาและน้ำเสียงของเขาเย็นชา “ถ้าไม่ใช่จื่ออินที่ช่วยฉันไว้ งั้นเป็นเธอหรือไง? ฉันสาบานว่า ฉันจะปกป้อง รัก และจงรักภักดีตราบชั่วชีวิตของฉัน เธอฝันไปเถอะ!”โจวเชียนหยุนระเบิดหัวเราะ ซึ่งเสียงหัวเราะของเธอดังขึ้นเรื่อย ๆ“หยุดหัวเราะ!” เขาตะโกน เขาพบว่าเสียงหัวเราะของเธอทำให้เขาหงุดหงิดใจเป็นพิเศษถึงอย่างนั้นโจวยังคงหัวเราะอยู่ หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา“พอสักที หยุดหัวเราะได้แล้ว!” จู่ ๆ เขาก็เอื้อมม
แต่เธอไม่อยากขอโทษอีกต่อไปแล้วถ้าเธอขอโทษ ก็จะเป็นการยอมรับว่าเธอจงใจผลักคงจื่ออิน และมุ่งร้ายจริง ๆ แบบนั้นแล้วอาหยันน้อยก็จะไม่สามารถเชิดหน้าขึ้นมาได้อีก!ความเงียบของเธอทำให้เขาอึดอัดใจเล็กน้อย เขารู้ว่าตัวเองควรจะถอนมือออกและไม่แตะต้องผู้หญิงคนนี้อีกถึงอย่างนั้นมือของเขากลับดูไม่เต็มใจเล็กน้อย ราวกับว่ามันแนบติดไปกับแก้มที่เย็นเล็กน้อยของเธอไปแล้วแก้มของเธอซูบตอบ และผิวของเธอไม่ได้ขาวเนียนเหมือนแต่ก่อนเพราะสัมผัสกับมลภาวะในอากาศ ตอนนี้เธอดูซีดเซียวและเกือบจะคล้ายกับคนขาดสารอาหารถึงอย่างนั้นเธอก็ยังสวยและมีใบหน้างดงาม เธอมีคิ้วโค้งได้รูปและจมูกที่ดูดี ขนตาที่งอนน้อย ๆ ยิ่งมองเห็นได้ชัดเวลาเธอหลับตาในตอนนั้นเธอเงียบราวกับเป็นตุ๊กตา เขาอดไม่ได้ที่จะมองเธอ จนกระทั่งรถหยุดลงที่หน้าโรงพยาบาล ทันใดนั้นเขาจึงรู้สึกตัวขึ้นมาและถอนมือที่ร้อนผ่าวออกมา“ฉันไม่ขอโทษ” โจวเชียนหยุนพูดในทันทีที่เปิดประตูรถ“ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมาตัดสินใจ!” เย่เหวินหมิงใช้แรงดึงเธอออกมาจากรถ ในตอนนที่โจวเชียนหยุนโดนเย่เหวินหมิงลากตัวไปยังห้องพักฟื้นของคงจื่ออิน ครอบครัวตระกูลคงเองก็อยู่ที่นี่ด้วย คงจ
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วมีอะไรที่ฉันต้องยอมรับเหรอ? คุณต้องการให้คนที่โดนใส่ร้าย ขอโทษคนที่ใส่ร้าย เย่เหวินหมิง คุณสับสนจนแยกแยะถูกผิดไม่ได้เลยเหรอ?”“ไม่ว่าเธอจะเต็มใจหรือไม่ แต่วันนี้เธอก็ต้องคุกเข่าลงกราบขอโทษ! โจวเชียนหยุน อย่าบังคับให้ฉันต้องจับมือเธอทำ!”ในทันใดนั้นเธอก็หัวเราะออกมา “เย่เหวินหมิง คุณนี่โง่จริงสินะ คุณเชื่อทุกอย่างที่ตระกูลคงและคงจื่ออินพูด คุณคิดว่าคงจื่ออินคือคนที่ช่วยชีวิตคุณไว้เหรอ? เธอไม่ได้ทำอะไรเลย และเลือดที่ไหลอยู่ในตัวคุณก็ไม่เกี่ยวกับเธอด้วย!”เมื่อเธอพูดแบบนี้ สีหน้าของสมาชิกตระกูลคงก็เปลี่ยนไปทันที คงจื่ออินซึ่งนั่งอยู่บนเตียงโรงพยาบาลและกำลังกินดื่มอย่างสบาย ๆ ก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาจนเกือบจะทำถ้วยในมือตก‘นี่โจวเชียนหยุน... รู้อะไรมา? เธอรู้เรื่องการบริจาคไขกระดูกเหรอ?’ “เหวินหมิง... นี่... นี่หมายความว่าไงคะ?” คงจื่ออินถามขณะที่ทำหน้างง ใบหน้าซีดขาวและความเจ็บป่วยทำให้เธอดูเปราะบางเย่เหวินหมิงเดินเข้าไปปลอบเธอด้วยการพูดว่า “ไม่มีอะไร คุณไม่ต้องสนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้หรอก!”นายท่านคงรีบพุ่งเข้ามา เขายกมือขึ้นและตบหน้าโจวเชียนหยุนสองครั้ง “เธอพู
เขายังจำได้ในตอนที่เขากลับไปโรงพยาบาลเพื่อติดตามอาการ จื่ออินก็เข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ฉันบังเอิญรู้มาว่าคุณเป็นคนที่ฉันช่วยไว้ ดีใจจังเลยค่ะ ที่ได้รู้ว่าคุณหายดีอย่างนี้!”ในตอนนั้นเขาก็รู้ว่าคนที่บริจาคไขกระดูกให้เขาหน้าตาเป็นอย่างไรตอนแรกที่พวกเขาพบคนบริจาคที่เหมาะสมจากธนาคารไขกระดูก คนคนนั้นปฏิเสธที่จะบริจาคเขารู้สึกว่าโลกทั้งใบได้มืดดับลง เขามีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ และเขายังไม่อยากตายสุดท้ายธนาคารไขกระดูกก็เจอผู้บริจาคที่เหมาะสมอีกคน ในขณะที่รอคำตอบ เขาพบว่าตัวเองเต็มไปด้วยความหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธอีกเขาตระหนักได้ว่าการมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งล้ำค่า และเขาต้องการความสงสารและการเสียสละของคนอื่นเขากลัวว่าจะโดนปฏิเสธอีกครั้งเขาหวาดกลัว!ถึงอย่างนั้นโรงพยาบาลก็นำข่าวดีมาบอกเขา คนคนนั้นสัญญาว่าจะบริจาคให้โดยไม่ขออะไรตอบแทนหัวใจของเขาซาบซึ้งไปด้วยความขอบคุณ เขาคิดไว้ด้วยว่าจะไปขอบคุณอีกฝ่ายด้วยตัวเองแต่นี่เป็นการบริจาคที่ไม่ระบุชื่อ และคนคนนั้นก็ไม่ต้องการเปิดเผยตัว พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ส่งข้อความผ่านหมอไปบอกเท่านั้น “มีชีวิตที่ดีนะ บางทีเราอาจจะเจอกันสัก
เขายังหาเรื่องใส่เธออย่างไม่มีที่สิ้นสุด!เย่เหวินหมิงตัวชา ‘เธอ... เกลียดฉัน!’เสียงของเธอไม่ได้ดัง แต่คำพูดของเธอสั่นสะเทือนในหูของเขาราวกับตะโกนนี่เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาแก้แค้นเธอแล้วเธอจะเกลียดเขา เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเธอจะเกลียดเขา หรือตอนนั้นเขาไม่ควรทำอย่างนั้นแต่เมื่อเธอพูดว่า ‘เกลียด’ ในตอนนี้ ก็ราวกับว่ามีดาบแหลมคมหลายพันเล่มทิ่มแทงมาที่ตัวเขาหัวเธอกดลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหน้าผากของเธอกระแทกพื้นซ้ำ ๆ และเกิดเป็นเสียงดังหลายครั้ง‘เธอติดค้างจื่ออินเรื่องนี้ แต่ทำไมมันถึงระคายหูฉันนัก?’เธอเหมือนกับร่างที่ไร้วิญญาณ และโดนกระทำให้อับอาย‘ฉัน... เป็นคนสั่ง’‘พอแล้ว!’ เขาอยากจะบอกว่า พอแล้ว! เขาไม่อยากเห็นอีกต่อไปแล้ว การขอโทษนี้มันมากพอสำหรับเธอและเขาแล้ว!ราวกับว่าแม้เธอจะเป็นคนที่โดนบังคับให้คุกเข่าและกราบขอโทษ แต่เขาต่างหากที่กำลังคุกเข่าและก้มกราบอยู่ในตอนที่เย่เหวินหมิงกำลังจะอ้าปากหยุดพวกเขา ประตูห้องพักฟื้นก็โดนเตะจนเปิดออกจากแรงของคนภายนอก เมื่อหลิงอี้หรานมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้อง เธอก็แทบจะเสียหลักไป‘นี่... นี่มันอะไรกัน? คนพวกนี้ทำแบบนี้กับพี่โจวได้ยังไง
เมื่อเห็นว่าหลิงอี้หรานกำลังจะหันหลังจากไป ทันใดนั้นเขาก็อยากจะพุ่งเข้าไปจับเธอไว้เพื่อถามคำถามกับเธอเขาเดินไปได้สองก้าวก็ถูกคนของอี้จิ่นหลีหยุดไว้ เขาจึงเข้าไปใกล้หลิงอี้หรานไม่ได้“เดี๋ยว!” เขาร้องเรียกด้วยเสียงสั่น “คุณหมายความว่ายังไง? หมายความว่าไงที่เธอช่วยชีวิตผมไว้?”หลิงอี้หรานหยุนเดิน และมองไปยังใบหน้าซีดขาวของเย่เหวินหมิงผู้ชายคนนั้นที่เคยเย็นชาและสุขุม ในตอนนี้กลับแสดงความกลัวออกมาราวกับเกรงว่าคำตอบที่ได้ยินจะทำให้เขาแตกสลายหลิงอี้หรานมองเขา และยังไม่สามารถปกปิดความโกรธไว้ได้เธอกล่าวเย้ย “หมายความว่าไงงั้นเหรอ? เย่เหวินหมิง ที่คุณยืนสบายดีและเตะคนอื่นแบบนี้ได้ก็เพราะพี่โจวบริจาคไขกระดูกให้คุณ ถ้าพี่โจวไม่ได้ใจกว้างเป็นแม่น้ำ ตอนนี้คุณก็คงเหลือแค่ขี้เถ้าเท่านั้นแหละ พอรู้แบบนี้แล้ว คุณยังจะบังคับให้เธอก้มหัวให้ศัตรูเธออีกหรือไง?”เย่เหวินหมิงรู้สึกราวกับว่าเลือดในตัวถูกแช่แช็งไปในทันที เขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เขารู้สึกราวกับว่าความกลัวได้ท่วมท้นไปทั้งอกเขาเข้าใจทุกคำที่หลิงอี้หรานพูด แต่ดูเหมือนไม่เข้าใจความหมายที่เธอจะสื่อ‘เป็นจื่ออิน... ไม่ใช่เหรอที่มอบไขกระ
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค