ทุกครั้งที่ฮั่วอู๋ซวนเห็นลั่วอี๋เฟิงเจ็บป่วย ซึ่งเป็นผลจากการใช้พลังอย่างหนักในการต่อสู้กับปีศาจในคืนนั้น ความรู้สึกผิดในใจเขาก็ยิ่งทวีคูณ ร่างกายที่เคยเข้มแข็งของนางค่อยๆ เสื่อมถอยไปตามกาลเวลา
เมื่อเห็นนางไอเบาๆ หรือจับหน้าอกด้วยความเจ็บปวด ฮั่วอู๋ซวนก็เหมือนถูกแผดเผาด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจบรรเทาได้ ด้วยรู้ดีว่าเหตุที่นางต้องเจ็บป่วยเช่นนี้เป็นเพราะเขา หากวันนั้นนางไม่ต้องมาปกป้องเขา นางคงยังคงแข็งแรงอยู่
และความจริงอีกอย่างที่ฮั่วอู๋ซวนเก็บซ่อนไว้ลึกในใจ คือความรู้สึกที่มีต่อลั่วอี๋เฟิง ไม่ใช่เพียงแค่ศิษย์พี่ผู้ใจดีที่คอยดูแลเขาเท่านั้น แต่สำหรับเขา นางคือผู้หญิงที่งดงามและมีคุณค่ามากที่สุดในชีวิต แม้เขาจะไม่กล้าแสดงออกว่ารัก แต่เขาก็ปรารถนาจะดูแลและทำสิ่งดีๆ เพื่อนาง สายตาที่เขามองศิษย์พี่หญิงจึงแฝงไปด้วยความรักที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
หลังจากที่ค้นหาตำราและเอกสารเก่าแก่หลายเล่ม ฮั่วอู๋ซวนก็พบเข้ากับบันทึกที่เขียนถึง “ผลอมฤต”
ว่ากันว่าผลอมฤตนั้นเป็นผลไม้ที่หาได้ยากยิ่ง หากนำไปหลอมเป็นโอสถทิพย์จะสามารถรักษาโรคทุกชนิดได้ แม้แต่ความเจ็บป่วยเรื้อรังก็รักษาได้หายเป็นปลิดทิ้ง
ฮั่วอู๋ซวนอ่านบันทึกด้วยความสนใจ จนหัวใจของเขาเต้นแรง ความหวังที่จะช่วยลั่วอี๋เฟิงกลับมาแข็งแรงเต็มเปี่ยมขึ้นในใจของเขา
บันทึกบอกว่า ผลอมฤตอยู่ในส่วนลึกสุดของป่าอนธการ ป่าที่ถูกขนานนามตามความมืดมิดและอันตราย เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ปีศาจและสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัว ทั้งยังเป็นป่าที่ไม่มีใครกล้าล่วงล้ำมาก่อน
แต่สำหรับฮั่วอู๋ซวนแล้ว ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความเสี่ยงเพียงใด เขาก็ไม่อาจหันหลังกลับ
เขากำดาบในมือแน่น ก่อนจะมองไปยังทิศทางของป่าด้วยสายตาที่มุ่งมั่น
“ศิษย์พี่ ข้าสัญญากับท่าน ข้าจะหาผลอมฤตมาให้ท่านให้จงได้ ข้าจะไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรก็ตาม”
จากนั้น ฮั่วอู๋ซวนจึงลงเขาไป ขณะที่เขาก้าวเท้าออกจากสำนัก เสียงลมหนาวพัดผ่านอย่างเงียบสงบ แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยพลังและความมุ่งมั่นที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ
ยามสายหมอกคลุมหนาเข้าปกคลุมทิวไม้ที่สูงชันราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งที่ล่วงล้ำเข้ามา ป่าอนธการเงียบสงบ แต่ความเงียบงันนี้ไม่ได้เป็นสัญญาณแห่งความสงบแต่อย่างใด บรรยากาศกดดันราวกับมีดวงตาหลายคู่จ้องมองมาอยู่ในเงามืด
ฮั่วอู๋ซวนสาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ร่างสูงคลุมเสื้อคลุมสีเข้ม มือขวาจับด้ามกระบี่แน่นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งใดก็ตามที่จะโจมตีเขาในความมืด
"ที่นี่…น่ากลัวอย่างที่เขาว่าจริงๆ"
เขาพึมพำกับตัวเอง มองไปรอบๆ ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความระวัง
ทันใดนั้น เงาตะคุ่มปรากฏอยู่ข้างหน้า มันกระโดดเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว เป็นปีศาจขนาดเล็ก รูปร่างบิดเบี้ยว แต่ฟันแหลมคมและดวงตาสีแดงที่จ้องมองเขาอย่างหิวโหยทำให้มันดูน่ากลัวกว่าขนาดตัวของมันหลายเท่า
“หึ เจ้าแค่ตัวเล็กเท่านี้หรือ?” ฮั่วอู๋ซวนกล่าวอย่างเย้ยหยันพร้อมกับกระชับกระบี่ในมือ
ปีศาจตนนั้นส่งเสียงขู่ในลำคอและกระโดดเข้าใส่เขาอีกครั้ง คราวนี้เร็วกว่าเดิม ราวกับว่ามันต้องการจบการต่อสู้นี้อย่างรวดเร็ว
ฮั่วอู๋ซวนเบี่ยงตัวหลบว่องไว ก่อนจะหมุนตัวพร้อมฟาดกระบี่ลงไปบนร่างของมันในเสี้ยววินาที เสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นเมื่อกระบี่ฟาดลงจนปีศาจเล็กๆ นั้นแตกสลายเป็นควันจางหายไปในอากาศ
"เจ้ามีฤทธิ์แค่นี้เองหรือ?" เขาพูดพลางหายใจอย่างเหนื่อยล้าหลังจากที่เพิ่งจัดการกับปีศาจตนแรกไป
ยิ่งเดินลึกเข้าไปฮั่วอู๋ซวนก็ได้พบกับปีศาจหลากหลายรูปแบบในป่าอันกว้างใหญ่แห่งนี้ บางตัวมีรูปร่างบิดเบี้ยว มีเขี้ยวฟันยาวแหลม บางตัวคลานกับพื้น และบางตัวยังสามารถบินได้อีกด้วยฮั่วอู๋ซวนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับบางตัวที่เขามั่นใจว่าสามารถเอาชนะได้ แต่กับบางตัวที่มีพลังเหนือกว่า เขาก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงเพื่อรักษาพลังและความแข็งแรงของตนเอาไว้ท่ามกลางความมืดที่โอบล้อม ฮั่วอู๋ซวนรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเริ่มอ่อนล้าลงทุกขณะจากการต่อสู้และการระวังตัวอย่างต่อเนื่องทันใดนั้น สายตาของเขาสบกับเงาตะคุ่มที่อยู่ข้างหน้า สิ่งนั้นคือปีศาจขนาดใหญ่ รูปร่างเหมือนตั๊กแตนตำข้าวที่มีกรงเล็บคมดั่งดาบและดวงตาเย็นชาราวกับไม่มีชีวิต“ข้าไม่ต้องการปะทะกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย… แต่ดูท่าเจ้าจะไม่ให้ข้าไปง่ายๆ สินะ”ฮั่วอู๋ซวนพูดพร้อมยกกระบี่ขึ้นตั้งรับ เขารู้ดีว่าต้องใช้ทักษะทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชนะปีศาจตัวนี้ตั๊กแตนตำข้าวปีศาจขยับร่างพร้อมส่งเสียงแหลมสูงในลำคอ มันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว กรงเล็บแหลมฟาดใส่ฮั่วอู๋ซวนด้วยความแรงที่เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะทานทนได้ชายหนุ่มก้มตัวหลบโดยทันที พร้อมกับแทงกระบี่ไปข้างหน้า หวังจ
จิ้งจอกหิมะพาฮั่วอู๋ซวนลึกเข้าไปในป่าลึกและในที่สุด พวกเขาก็มาถึงกระท่อมไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่กลางป่า บริเวณโดยรอบมีต้นสาลี่ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุม ให้ร่มเงาและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ที่กำลังบานจิ้งจอกหิมะค่อยๆ วางร่างของฮั่วอู๋ซวนลงบนเตียงไม้ภายในกระท่อมอย่างระมัดระวัง ขนปุกปุยของมันสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่ร่างนั้นจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่งดงามประหนึ่งเทพธิดาดวงตาสีทองเปล่งประกายจ้องมองชายหนุ่มที่ยังคงหมดสติ ใบหน้าของนางแสดงออกถึงความโหยหาและความรักอันลึกซึ้งราวกับมีเรื่องราวมากมายที่ซ่อนอยู่นางค่อยๆ เอื้อมมืออ่อนโยนไปสัมผัสใบหน้าของฮั่วอู๋ซวนเบาๆ ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปในพริบตา น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาสีทองของนาง เอ่อท่วมด้วยความรักที่อัดแน่นมานานแสนนาน“อู๋ซวน… ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้า”นางเอ่ยด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา ราวกับพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะให้เขาได้ยิน“ข้ารอเจ้า รอคอยเจ้ามานานเหลือเกิน จากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้า ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากข้าไปไหนอีกแล้ว ไม่ว่าจะต้องทำสิ่งใดก็ตาม”ในความมืดมิดของค่ำคืน เสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังก้องกังวานแผ่วเบา ฮั่วอู๋ซวนนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้ในกระท่อม
"ขอโทษ...ที่ข้าไม่อาจร่วมเคียงชราไปกับเจ้าได้"ชายชรากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาที่ฟังคล้ายลมหายใจสุดท้าย เต็มไปด้วยความอาลัยจนแทบขาดใจเขายกมือเหี่ยวย่นขึ้นสัมผัสแก้มของนางที่อ่อนนุ่มด้วยความรักอันลึกซึ้ง สัมผัสที่แฝงไปด้วยความเศร้าราวกับคำอำลาอันเจ็บปวดเหลือเกิน ราวกับเขาต้องฝืนใจยอมปล่อยให้นางไปหญิงสาวผู้นั้นจับมือของเขาไว้ น้ำตาหยาดลงบนหลังมือขาวนวลที่นางพยายามกุมให้แน่นที่สุด แต่มันก็ยิ่งเย็นลง นางสะอื้นออกมาอย่างไม่อาจห้าม ร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความโศกเศร้าอันล้นปรี่ ไม่อาจทำใจได้ว่าครั้งนี้จะเป็นการจากลาตลอดกาล"อู๋ซวน...ข้าจะตามเจ้าไป ข้ายินดีอยู่เคียงข้างเจ้าในทุกชาติภพ หากจะต้องตายไปพร้อมเจ้า ข้าก็ไม่หวั่น"เสียงสะอื้นสั่นสะท้านในอก บ่งบอกถึงความอาลัยที่แสนสาหัส ความรักของนางยังยึดแน่น หัวใจยังไม่อาจปล่อยมือเขาให้จากไป"ข้าอยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป สัญญากับข้า...ว่าจะใช้ชีวิตต่อไป แม้ว่าข้าจะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ข้าสัญญาว่าข้าจะกลับมาหาเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ข้าจะตามหาเจ้าให้เจอ"เสียงของเขาแผ่วลงเรื่อยๆ คล้ายจะจมหายไปในความเงียบอันหนาวเหน็บรอบตัวหญิงสาวนิ่งงัน ใจของนางสั่น
‘นั่นเป็นเพียงแค่ฝันไปหรือ?’เขาคิดในใจอย่างสับสน ภาพของจิ้งจอกหิมะในความฝันยังคงตราตรึงอยู่ในความคิด แต่มันก็เลือนลางราวกับมีหมอกหนาปกคลุมใบหน้าอันงดงามนั้นเอาไว้นึกไม่ออกว่าปีศาจจิ้งจอกตนนั้นเป็นใคร และทำไมถึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกปวดร้าวในอกได้เช่นนี้ เพียงแค่ฝันหนึ่งฝัน เหตุใดความเจ็บปวดนั้นจึงยังกัดกินหัวใจของเขาอย่างไม่ปล่อย?เมื่อเขามองไปรอบๆ กระท่อม สายตาเริ่มคุ้นกับแสงสว่างและการตกแต่งของสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เตียงไม้แข็งๆ กับกลิ่นอายของไม้เก่าที่คลุ้งอบอวลอยู่ในอากาศเขายันตัวขึ้นนั่งเพื่อมองสำรวจ แต่ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นพล่านไปทั่วร่างทำให้ต้องทรุดตัวกลับไปนอนเช่นเดิม เขาเบ้หน้าด้วยความเจ็บ"นี่ข้าบาดเจ็บอยู่หรือ..." เขาพึมพำทว่าทันใดนั้น เสียงกระซิบหนึ่งกลับดังขึ้นมา"เจ้าตื่นแล้วหรือ?"เมื่อฮั่วอู๋ซวนหันไปมองก็ต้องพบกับภาพที่ทำให้เขาตกตะลึง ในระยะใกล้ๆ ใกล้เตียงของเขา มีจิ้งจอกหิมะสีขาวที่ขนนุ่มฟูขดตัวอยู่บนพื้น!มันนอนขดราวกับหลับลึก แต่ทันทีที่เขาเคลื่อนไหวเล็กน้อย หูของมันก็กระดิกและลืมตาขึ้น สายตาของมันจ้องเขาด้วยความสนใจก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร จิ้งจอกหิมะนั้นก็กลายร่าง
"เจ้า…เจ้าเป็นคนช่วยข้าจากปีศาจแมงมุมหรือ?" ฮั่วอู๋ซวนถามด้วยน้ำเสียงสับสนในดวงตาสีทองคู่นั้นปรากฏแววของความผิดหวังอยู่เพียงชั่วขณะ แม้ว่าเพียงแวบเดียว แต่ฮั่วอู๋ซวนรู้สึกถึงความเศร้าผ่านสายตาของนางอย่างชัดเจน"อะ...อื้อ ข้าเป็นคนช่วยเจ้าเอาไว้จากปีศาจแมงมุมตัวนั้น" นางตอบเบาๆ แฝงด้วยความเศร้าเล็กน้อยฮั่วอู๋ซวนพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เช่นนั้นข้าขอบใจ หนี้บุญคุณนี้ข้าจะตอบแทนแน่...ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน" เขาพูดพลางพยายามจะลุกขึ้นจากเตียงความรู้สึกแปลกๆ ในใจทำให้เขารู้สึกอยากหนีไปจากที่นี่โดยเร็ว เขาไม่อาจปล่อยใจให้หวั่นไหวไปกับปีศาจตนนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ควรมีอะไรที่ต้องลังเลหรือค้างคาใจหญิงสาวขมวดคิ้วพลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน"เจ้าจะรีบไปไหนเล่า? อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีนะ...พักรักษาตัวอีกหน่อยเถิด"ฮั่วอู๋ซวนชะงัก สายตาของนางดูเว้าวอน อ้อนวอนให้เขาอยู่ต่อ ความรู้สึกบางอย่างกระตุ้นให้เขารู้สึกใจอ่อนอย่างน่าประหลาด ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าการที่นางช่วยเหลือเขามิใช่แค่เรื่องบังเอิญ หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างควบคุมไม่อยู่เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าจะอยู่ต่อเพราะเจ้าขอ
“อ๊ะ จริงด้วย!” นางพูดขึ้นมาราวกับนึกแผนการอะไรบางอย่างได้ นางกระโดดลงจากกิ่งสาลี่อย่างสง่างาม ร่างกายเบาลอยมาหยุดตรงหน้าชายหนุ่ม“ข้ามีข้อแลกเปลี่ยน” ฉีเยี่ยนหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัย“ข้อแลกเปลี่ยนอะไร?” ฮั่วอู๋ซวนถามกลับทันที ท่าทีของเขาแฝงความระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีทองของนางบ่งบอกว่ามีแผนการบางอย่างซุกซ่อนอยู่ และแน่นอนว่าเขามองออกฉีเยี่ยนหลี่หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน“ช่วงนี้ข้ารู้สึกว่าพลังบำเพ็ญของข้าไม่ก้าวหน้าเลย เจ้ายอมมาเป็นคู่บำเพ็ญเพียรให้กับข้าดีไหม?” “ไสหัวไป!” เขาตอบอย่างรวดเร็ว พร้อมหมุนตัวเดินกลับเข้ากระท่อมโดยไม่คิดจะอยู่ต่อ ใครกันที่จะยอมเป็นคู่บำเพ็ญเพียรให้กับปีศาจ? หากศิษย์พี่หรือศิษย์น้องคนอื่นๆ ในสำนักรู้เข้า เขาคงถูกขับไล่ออกจากสำนักเป็นแน่ทว่านางไม่ได้ปล่อยให้เขาหนีไปง่ายๆ “นี่เจ้าพูดกับผู้มีพระคุณของเจ้าเช่นนี้เหรอ? ข้าอุตส่าห์ยื่นข้อเสนอให้เจ้า เจ้าไม่อยากช่วยศิษย์พี่ของเจ้าแล้วหรือ?”ฮั่วอู๋ซวนหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินคำว่า “ศิษย์พี่” ในตอนที่เขาลงจากเขา เขาสาบานไว้แล้วว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลอมฤตมาช่วยศิษย์พ
ม่านรัตติกาลโปรยลงมา ภายในกระท่อมหลังเล็กกลางป่าอนธการ ได้มีเสียงร้องครวญคราง และเสียงหนั่นเนื้อกระทบกันพร้อมกับเสียงครางครวญของสองหนุ่มสาวที่ดังระงมเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ"อืม... อู๋ซวน ปล่อยออกมา ปล่อยออกมาอีก ข้าต้องการหยวนหยางของเจ้า อ๊า..." คำพูดที่เรียกร้องความปรารถนาของตนเองเปล่งออกมาจากปีศาจจิ้งจอกสาว“เยี่ยนหลีเอ๋อร์” เนื้อตัวของนางมารจิ้งจอกเนียนนุ่มลื่นมือราวกับกำลังลูบไล้หยกเนื้อดี ความรู้สึกของชายหนุ่มที่ส่งริมฝีปากขบกัดไปที่ผิวขาวเนียนละเอียดของนางเขาแทบจะไม่อยากละฝ่ามือหนาไปจากผิวจิ้งจอกสาวที่ขาวนวลราวกับหิมะที่เหมือนปุยนุ่นเลย ไม่ว่าเขาจะมองมุมไหน ฟ้อนเฟ้นสายตา ฝ่ามือ และกลีบปากที่ระร้าย นางช่างเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์อันเย้ายวนชวนหลงใหล ฮั่วอู๋ซวนหายใจแรงกระเส่าเป่ารดเรือนร่างของนาง หากมารจิ้งจอกตนนี้กลายเป็นอากาศธาตุ ชายหนุ่มก็คงสูดกลืนนางลงไปได้ทั้งตัว เขาอยากกอดรัดอีกฝ่ายให้แน่นหนากว่าเดิมร่างหนากว่าในเวลานี้กำลังทาบทับร่างอันบอบบางของนางจิ้งจอก ที่กำลังหายใจแรงด้วยรสพิศวาสที่ถูกปลุกร่างบางกำลังระทดระทวย ความรู้สึกลึกๆ ที่เต็มไปด้วยความกำหนัดถูกขับส่งออกมาเป็นสายธาราท
เขาผละห่างกลีบปากของนางจิ้งจอก พร้อมกับยกมือขึ้นมาเช็ดใบหน้าที่มีเหงื่อชื่น ฮั่วอู๋ซวนได้เห็นน้ำตาของฉีเยี่ยนหลี่ด้วย “เจ้าร้องไห้ทำไม”“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าดีใจกระมังที่เราสองคนได้เป็นของกันและกัน ข้ารอคอยเวลานี้มาแสนนาน”ฮั่วอู๋ซวนมิพูดอะไร หัวใจของเขาพองฟูยินดีเช่นเดียวกันกับฉีเยี่ยนหลี่ ชายหนุ่มชิดกลีบปากลงไปพรมจูบซับน้ำตาให้ “โอ้ว...” เสียงของเขาที่อดกลั้นไม่ไหว ร่องของฉีเยี่ยนหลี่บีบรัดท่อนลำของเขาที่กำลังแช่ค้างไว้อยู่ หลีฮั่วอู๋ซวนทนกับความคับแน่นและตอดขมิบไม่ได้ ครางขรมอยู่ในลำคอ “ให้ข้าขยับนะ เจ้าทนได้ไหม”“ได้” ฉีเยี่ยนหลี่ตอบพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กับฮั่วอู๋ซวน ความรักเบ่งบานอยู่ในสองดวงใจ ฉีเยี่ยนหลี่หลับตาพริ้มขึ้นมาทันทีที่เขาเริ่มขยับท่อนรักและใส่จังหวะเนิบนาบแต่กลีบปากที่ปิดไม่สนิทเริ่มสูดครางรัญจวนเหมือนกินของร้อนๆ พร้อมกับแอ่นเด้งส่วนสงวนของตนเองตามติดแท่งหยกของเขาเหมือนเกรงว่าแท่งบุรุษอันนั้นจะหลุดไปจากตัวเองแรงขยับของเขาหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ ฮั่วอู๋ซวนเปลี่ยนท่าทาง เขาจับขาทั้งสองข้างของฉีเยี่ยนหลี่ขึ้นมาพาดกับลำตัว ยกสะโพกสอบ จัดท่าทาง แล้วจัดการนางแบบเน้น ๆ
ฤดูกาลผันเปลี่ยน วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ฮั่วอู๋ซวนก็ยังคงอาศัยอยู่ที่กระท่อมแห่งนี้ การตายของคนรักเคี่ยวกำทรมานจิตใจเขาจนแทบอยู่ไม่สู้ตาย โดยเฉพาะข้างในหัวใจ มันช่างเจ็บปวดเหมือนถูกคมมีดกรีดเฉือนเนื้อจนเหวอะหวะ ทุกวันดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ชายหนุ่มก็จะมานั่งเฝ้าต้นสาลี่เก่าแก่ ต้นไม้ที่เคยเป็นสักขีพยานความรักอันบริสุทธิ์ กลายเป็นที่ระลึกถึงความผิดพลาดที่ตามหลอกหลอนเขาจิบสุราขมขื่นพลางจ้องมองไปยังกิ่งก้านที่เคยโอนเอนรับลมไปตามเสียงขลุ่ยหวานของนาง ฉีเยี่ยนหลี่...หญิงสาวผู้ที่จากไปไกลฤดูใบไม้ผลิที่เคยเบ่งบานกลับกลายเป็นฤดูแห่งความโศกเศร้า กลีบดอกสาลี่สีขาวบริสุทธิ์ร่วงหล่นลงมาทับถมบนหลุมศพราวกับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด พวกมันล้อเลียนความรักที่โรยราและชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไปอย่างโดดเดี่ยวเดิมทีเขาเองก็คิดที่จะปลิดชีวิตแล้วตามไปอยู่กับคนรักในปรโลก แต่ว่า หากเขาตายไปง่ายๆ เช่นนี้ ก็คงไม่สามารถชดเชยอะไรให้ฉีเยี่ยนหลี่ได้แต่อย่างใดอีกอย่างเขากลับอยากรอ... ในใจของฮั่วอู๋ซวนคิดอยู่เสมอว่าสักวันคนรักของเขาจะต้องกลับมาเกิดใหม่แน่ๆ และเมื่อถึงตอนนั้น เขาสัญญาว่าจะต้องทุ่มสุดกำลังเพื่อรักและดูแลนา
ขณะที่เขาพยายามจะผ่านซือจุนไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง…"ซวนเอ๋อร์ เจ้ายังจะยืนกรานที่จะทำเช่นนี้จริงหรือ?"น้ำเสียงของคนผู้นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความผิดหวังและเจ็บปวด ฮั่วอู๋ซวนหันกลับไปมอง เห็นศิษย์พี่หญิงของเขายืนอยู่ตรงนั้น นางมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า"ซวนเอ๋อร์ ข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าเคยเป็นคนที่ข้ารัก เจ้าเคยเป็นคนที่ข้าฝากหัวใจไว้ และข้าไม่อาจยอมเห็นชีวิตของเจ้าต้องพังเพราะปีศาจตนนั้น"ฮั่วอู๋ซวนหันไปสบตากับนาง "ศิษย์พี่ ข้าขอโทษ แต่ข้าไม่อาจหวนกลับไปได้อีกแล้ว ข้าต้องการเพียงหลี่เอ๋อร์ ข้ารักนาง ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยนาง ไม่ว่านางจะเป็นปีศาจหรือสิ่งใดก็ตาม"ศิษย์พี่ของเขาพยายามยื่นมือมาขวางเขาไว้!"อู๋ซวน… เจ้าไม่คิดถึงจิตใจของข้าเลยใช่หรือไม่? ข้ารู้ว่าเจ้าเคยรักข้า ข้ารู้ว่าเจ้ามีหน้าที่ในสำนัก ข้ายินดีจะอยู่เคียงข้างเจ้าในทุกๆ หนทาง แต่ขอให้เจ้าถอนตัวออกมา อย่าให้ความรักต่อปีศาจนั้นทำลายเจ้าลงไป"ฮั่วอู๋ซวนมองนางอย่างอ่อนโยน แม้สายตาของเขาจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด"ศิษย์พี่ ข้าขอโทษ ข้าเคยรักท่าน แต่หัวใจของข้าไม่ใช่ของท่านอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ข้าต
มือของฮั่วอู๋ซวนกุมไว้ตรงหน้าอก ราวกับว่าความรู้สึกทั้งหมดที่เคยถูกเก็บซ่อนไว้กำลังหลั่งไหลออกมาไม่หยุด... บัดนี้เขาเพิ่งเข้าใจทุกอย่าง ความรู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้งและความรักที่มีต่อฉีเยี่ยนหลี่ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในชาตินี้ หากแต่เป็นสายใยที่โยงใยข้ามภพชาติ ทั้งหมดนี้คือความทรงจำและความรักที่สืบเนื่องมาแต่ชาติที่แล้วฮั่วอู๋ซวนพึมพำเบา ๆ "ที่แท้... ทุกสิ่งที่ข้าเคยฝันถึง ทุกภาพที่ข้าเคยเห็น… นั่นคือข้ากับเจ้าในชาติก่อน" เขานิ่งไปครู่หนึ่ง รู้สึกทั้งอบอุ่นและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าสิ่งที่เคยเป็นเงาในความทรงจำได้แปรเปลี่ยนเป็นความจริงที่เขาไม่อาจหลบหนีได้อีกต่อไปเขายืนอยู่ใต้แสงจันทร์ หัวใจอ่อนโยนเมื่อคิดถึงฉีเยี่ยนหลี่ ผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งแม้ไม่เข้าใจว่าทำไม และในเวลานี้เขารู้แล้วว่าความรักนี้ไม่ใช่เพียงความรู้สึกชั่วคราว แต่เป็นความรู้สึกที่ผูกพันมาเนิ่นนาน ขณะที่เขายืนอยู่ที่นั่น ความคิดหนึ่งก็พลันเกิดขึ้นในใจ“ข้าจะกลับไปหาเจ้า” เขาพูดเบา ๆ ราวกับสัญญากับตัวเองฮั่วอู๋ซวนถือผลึกแก่นวิญญาณในมือ รู้สึกถึงพลังอันอบอุ่นที่แฝงอยู่ในนั้น ราวกับมีสัมผัสของฉีเยี่ยนห
ฉีเยี่ยนหลี่หัวเราะเบา ๆ แม้จะอ่อนแรง "ข้าไม่สนใจหรอกอู๋ซวน… ข้ารู้แค่ว่า เจ้าอยู่เคียงข้างข้าก็พอแล้ว"ทันใดนั้น ฮั่วอู๋ซวนก็คิดถึงผลไม้ในตำนานที่เคยได้ยินเรื่องราวจากชายชราที่เคยพบระหว่างการฝึกฝนเมื่อครั้งยังเป็นศิษย์ เขาหวังว่าผลไม้วิเศษนั้นอาจช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของฉีเยี่ยนหลี่ได้"ข้าจะออกตามหาผลอมฤตในป่าอนธการ ข้าเชื่อว่ามันจะรักษาเจ้าได้" ฮั่วอู๋ซวนกล่าวขึ้นด้วยความมุ่งมั่น"แต่… ป่าอนธการเต็มไปด้วยปีศาจอันตราย ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อข้า""ข้าไม่มีทางเลือกอื่น" ฮั่วอู๋ซวนยิ้มอย่างอบอุ่น "รอข้ากลับมา ข้าสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่เพียงลำพัง"ฮั่วอู๋ซวนเดินผ่านป่าลึก หันมองรอบตัวด้วยสัญชาตญาณนักพรตที่คุ้นเคย ภายในป่าอนธการนี้เต็มไปด้วยอันตราย ไม่เพียงแต่ความมืดที่แฝงอยู่ในหมอกขาว แต่ยังมีปีศาจที่จ้องจะเล่นงานเขาในทุกซอกมุมทันใดนั้น เงาดำพุ่งเข้ามาจากพุ่มไม้ ปีศาจรูปทรงคล้ายหมาป่าโจนเข้าใส่เขาด้วยความดุร้าย ฮั่วอู๋ซวนพลิกตัวหลบอย่างรวดเร็ว มือคว้าเอามีดสั้นจากเอว ฟันเข้าไปที่ด้านข้างของปีศาจอย่างแม่นยำแม้พลังจินตานของเขาจะอ่อนลง แต่วิชาการต่อสู้ที่สั่งสมมาทำให้เ
หลังจากเจ้าสำนักและศิษย์สำนักจากไป ฮั่วอู๋ซวนพยุงร่างที่อ่อนแรงของฉีเยี่ยนหลี่กลับมาที่กระท่อม หญิงสาวบาดเจ็บสาหัส และในใจของเขาก็เจ็บปวดไม่น้อยเมื่อเห็นคนรักในสภาพนี้"ขอโทษนะหลี่เอ๋อร์ ข้าคงไม่มีพลังมากพอที่จะรักษาเจ้าได้แล้ว… ตอนนี้ข้าเองก็ไร้พลังจินตาน กลายเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น"ฉีเยี่ยนหลี่หัวเราะเบา ๆ แม้จะอ่อนแรง "ข้าไม่สนใจหรอกอู๋ซวน… ข้ารู้แค่ว่า เจ้าอยู่เคียงข้างข้าก็พอแล้ว"ทันใดนั้น ฮั่วอู๋ซวนก็คิดถึงผลไม้ในตำนานที่เคยได้ยินเรื่องราวจากชายชราที่เคยพบระหว่างการฝึกฝนเมื่อครั้งยังเป็นศิษย์ เขาหวังว่าผลไม้วิเศษนั้นอาจช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของฉีเยี่ยนหลี่ได้"ข้าจะออกตามหาผลอมฤตในป่าอนธการ ข้าเชื่อว่ามันจะรักษาเจ้าได้" ฮั่วอู๋ซวนกล่าวขึ้นด้วยความมุ่งมั่น"แต่… ป่าอนธการเต็มไปด้วยปีศาจอันตราย ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อข้า""ข้าไม่มีทางเลือกอื่น" ฮั่วอู๋ซวนยิ้มอย่างอบอุ่น "รอข้ากลับมา ข้าสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่เพียงลำพัง"เพื่อเขียนบรรยายเรื่องราวอย่างละเอียด ฉากนี้สามารถขยายโดยให้ความสำคัญกับการแสดงอารมณ์ของตัวละครและการกระทำที่แฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง นอกจากนี
“ท่านพ่อ… ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”ฮั่วอู๋ซวนถามด้วยความงุนงง แต่ทันใดนั้น เขาเห็นแววตาของบิดาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและความโกรธ“เจ้าบังอาจกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับปีศาจเช่นนี้ได้อย่างไร?” บิดาของเขาตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว“เจ้ามิได้รู้หรือว่าการเป็นนักพรตต้องรักษาความบริสุทธิ์ เพื่อพลังที่บริสุทธิ์และคงอยู่ในสัจธรรม แต่เจ้ากลับ… กลับเลือกที่จะเสพสมกับปีศาจ!”ฮั่วอู๋ซวนขบกรามแน่น “ท่านพ่อ ข้าไม่สนใจสัจธรรมที่ท่านกล่าว ข้ารู้เพียงว่า นางเป็นคนเดียวที่ทำให้ข้ารู้สึกสงบสุข และนางมิได้มีเจตนาร้ายใด ๆ ท่านอย่าได้โทษนางเลย”หญิงสาวจิ้งจอกที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เริ่มรู้สึกผิดหวังในตัวเอง“ท่านอาจารย์ ข้ามิได้มีเจตนาทำร้ายฮั่วอู๋ซวน ข้ารักเขาจริง ๆ… ข้าจะยอมถอยไปเพื่อไม่ให้ข้าต้องเป็นภาระของเขา…”แต่ฮั่วอู๋ซวนคว้ามือของฉี่เยี่ยนหลีไว้แน่น“ไม่! เจ้าจะไม่ไปไหน ข้าเลือกแล้วที่จะอยู่กับเจ้า หากท่านพ่อไม่อาจเข้าใจ ข้าก็จะไม่กลับไปที่สำนักอีก”เจ้าสำนักนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะสูดหายใจลึกและพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“ในเมื่อเจ้าเลือกเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ข้าจะนับว่าเจ้าไม่ใช่บุ
ฮั่วอู๋ซวนหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของจิ้งจอกสาวแล้วหยิบขลุ่ยไม้จากในห่อสัมภาระของเขา เขามอบขลุ่ยให้กับนาง"ของขวัญจากข้า เจ้าอยากลองเป่าดูไหม?"หญิงสาวรับขลุ่ยมาอย่างงุนงง "ให้ข้าหรือ?"ฮั่วอู๋ซวนยิ้มแล้วสอนนางจับขลุ่ย "นี่ไง จับอย่างนี้ แล้วก็เป่าเบาๆ แบบนี้"เสียงขลุ่ยดังขึ้นแผ่วเบาในป่าหิมะ สร้างบรรยากาศอันเงียบสงบและอบอุ่นในใจของทั้งคู่ฮั่วอู๋ซวนใช้ชีวิตกับจิ้งจอกหิมะในป่าอนธการอย่างสงบสุข ทั้งสองต่างพึ่งพาและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน วันแล้ววันเล่า กลางป่ามืดมิดที่เต็มไปด้วยกลิ่นของไอปีศาจ แม้จะเป็นสถานที่ที่อันตราย แต่ฮั่วอู๋ซวนก็กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดวันหนึ่งขณะที่เขานั่งซ่อมขลุ่ยที่เขามอบให้กับจิ้งจอกหิมะ หญิงสาวจิ้งจอกก็เดินเข้ามาพร้อมกับตะกร้าผลไม้"นี่ ผลไม้สด ข้าเก็บมาจากริมลำธาร ลองกินดูเถิด" ฉี่เยี่ยนหลี่ยิ้มพลางยื่นผลไม้ให้เขา"ขอบใจนะ" ฮั่วอู๋ซวนรับตะกร้ามา รู้สึกถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ เขานั่งลงข้างหญิงสาว ก่อนจะเล่าถึงการเดินทางของเขาและชีวิตในสำนัก"ข้าไม่เคยคิดเลยว่า การอยู่ห่างจากสำนักจะทำให้ข้ารู้สึกสงบสุขเช่นนี้ บางที… ข้าก็คิดว่าชีวิตนี้น่าจะใช้ร
ในห้องที่เงียบสงัด ฮั่วอู๋ซวนขังตัวเองอยู่เพียงลำพัง ใจจดจ่ออยู่กับหม้อต้มยาที่ค่อยๆ ร้อนขึ้นทีละน้อย ภายใต้แสงไฟสีส้มที่ส่องวาบจากตะเกียง เขาเพิ่มสมุนไพรทีละชนิดลงไปอย่างระมัดระวัง กำหนดอัตราส่วนอย่างละเอียดอ่อนและแน่นอน ผลอมฤตที่ถูกขบเคี้ยวด้วยความมุ่งมั่นรอคอยขั้นตอนสุดท้ายของการหลอมยาในขณะที่เขาค่อยๆ หย่อนผลอมฤตลงไปในหม้อ แสงสีขาวเจิดจ้าก็วาบสว่างไปทั่วห้อง เขาสะดุ้งเฮือกและปิดตาแน่น หัวใจเต้นรัวขึ้นอย่างหวาดระแวงว่าอาจทำผิดขั้นตอนบางอย่างไป ทันใดนั้น เมื่อแสงหายไป ภาพเหตุการณ์ในอดีตเริ่มพรั่งพรูขึ้นในจิตใจเขาเป็นฉากๆ อย่างกับมันเป็นเศษเสี้ยวของความทรงจำที่คุ้นเคยฮั่วอู๋ซวนเห็นใบหน้าของฉีเยี่ยนหลี่ ทุกภาพล้วนสะท้อนถึงความทรงจำที่แก่นวิญญาณของนางฝากไว้กับผลึกในผลอมฤตนี้ในชาติที่แล้ว ฮั่วอู๋ซวนยังคงเป็นนักพรตผู้มีความสามารถสูงในการปราบปีศาจเช่นเดียวกับในชาตินี้ แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักใหญ่แห่งคุนหลุน และถูกวางตัวไว้ให้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักในอนาคตบิดาของเขาหมายมั่นให้เขาก้าวขึ้นเป็นผู้ดูแลและปกป้องสำนัก คาดหวังในศักดิ์ศรีและหน้าที่ที่
ฮั่วอู๋ซวนก้าวเดินออกมาจากป่าอนธการด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งภาคภูมิใจในความสำเร็จและในขณะเดียวกันเขาก็มีความรู้สึกเจ็บแปลบที่อกข้างซ้ายแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าเมื่อเขาก้าวพ้นจากป่ามืดมิดที่เต็มไปด้วยอันตราย เส้นทางข้างหน้าที่เขาต้องเดินไปยังคงยาวไกล แต่กระนั้นหัวใจของเขากลับยังคงหวนระลึกถึงใครบางคนในป่าแห่งนั้นฮั่วอู๋ซวนก้าวเดินออกมาจากป่าอนธการด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งภาคภูมิใจในความสำเร็จและความรู้สึกหนักอึ้งที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจ แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าเมื่อเขาก้าวพ้นจากป่ามืดมิดที่เต็มไปด้วยอันตราย เส้นทางข้างหน้าที่เขาต้องเดินไปยังคงยาวไกล แต่กระนั้นหัวใจของเขากลับยังคงหวนระลึกถึงใครบางคนในป่าแห่งนั้น“ผลอมฤต” สิ่งล้ำค่าที่เขาเสี่ยงชีวิตไปตามหาจนสำเร็จ บัดนี้ถูกเก็บไว้ในถุงผ้าที่รัดแน่นอยู่ในอกเสื้อ มันเป็นผลไม้ในตำนานที่มีพลังทิพย์ ว่ากันว่าผู้ใดได้ครอบครองจะสามารถรักษาโรคภัยและฟื้นฟูพลังชีวิตได้อย่างมหัศจรรย์บรรดาปีศาจที่เคยคอยรอซุ่มโจมตีและคุกคามตลอดการเดินทางก่อนหน้านี้ ต่างถอยห่างเมื่อเขาถือผลอมฤตไว้อยู่กับตัว ราวกับว่ามันปล่อยพลังที่เป็นเสมือนเขตห