เช้าตรู่บนยอดเขาคุนหลุนในวันนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบ หมอกบางเบาลอยอ้อยอิ่งคลุมยอดเขาสูงเสียดฟ้า
“ฮั่วอู๋ซวน” ยืนอย่างสง่างามอยู่บนเนินเขา สายตาจ้องไปยังเรือนพักของ “ลั่วอี๋เฟิง” ที่ตั้งอยู่เบื้องล่าง ดวงตาของเขาทอแสงแห่งความมุ่งมั่นที่ไม่หวั่นไหว แม้ว่าในห้วงความคิดจะเต็มไปด้วยภาระอันหนักอึ้ง เขาไม่อาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว...
“ข้าสัญญากับท่านแล้ว ศิษย์พี่…ข้าจะนำผลอมฤตกลับมาให้ท่านให้จงได้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคใดก็ตาม”
ฮั่วอู๋ซวนกระชับสายกระเป๋าผ้าแนบไหล่ กระเป๋าใบนี้เต็มไปด้วยของจำเป็นที่จะช่วยเขาในการเดินทางอันยาวไกล
“ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด ข้าจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ”
เขาบอกกับตัวเองในใจจะไม่ยอมล้มเหลวอีกเป็นอันขาด เพราะความเป็นความตายของลั่วอี๋เฟิงนั้นอยู่ในกำมือของเขา
ฮั่วอู๋ซวนในวัยเด็กนั้นเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวเพราะเป็นเด็กกำพร้า บิดาและมารดาถูกปีศาจร้ายฆ่าตายทั้งคู่ เขาจึงเติบโตมาโดยไม่มีครอบครัวอยู่เคียงข้าง
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักคุนหลุน ที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นสำนักฝึกเซียนอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะหล่อหลอมผู้คนให้มีจิตใจแข็งแกร่งและปราบปีศาจร้ายผดุงคุณธรรม
ด้วยความเป็นเด็กน้อยที่ต้องการได้รับการยอมรับและความหวังในการล้างแค้นแทนบิดามารดา ฮั่วอู๋ซวนจึงขอเข้าร่วมสำนักคุนหลุนตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ แต่ชีวิตในสำนักเซียนไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด การฝึกฝนที่เข้มงวดและบททดสอบที่ท้าทายทำให้เขาต้องเผชิญกับอุปสรรคอยู่เสมอ ทว่าด้วยจิตใจที่แน่วแน่และความอดทน ฮั่วอู๋ซวนจึงสามารถก้าวผ่านความยากลำบากและพัฒนาตนเองจนกลายเป็นเด็กหนุ่มที่เข้มแข็ง
ลั่วอี๋เฟิง ศิษย์พี่หญิงผู้สงบนิ่งของเขา เป็นผู้คอยให้คำแนะนำและสอนเขาในหลายด้าน นับตั้งแต่เขาเข้าก้าวขาเข้าสู่สำนัก นางช่วยเขาทั้งในเรื่องการฝึกฝนวิชาและทักษะการใช้ชีวิต
"เจ้าทำได้ดีแล้วนะ ซวนเอ๋อร์"
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายในวันที่เขาฝึกวิชาขั้นต้นสำเร็จเป็นครั้งแรก คำพูดของนางส่งเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก
แต่แล้วในคืนหนึ่ง เสียงลมหนาวพัดก้องกระหึ่มทั่วสำนักคุนหลุน ท้องฟ้ามืดสนิทเหมือนสีหมึก คืนนี้ทุกอย่างเงียบมาก มากกว่าที่ควรจะเป็น
เสียงหวีดร้องแหลมสูงที่น่าสะพรึงก็ดังขึ้น ทำให้ฮั่วอู๋ซวนสะดุ้งตื่น เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงด้วยความตกใจและสงสัย เสียงนั้นไม่เหมือนเสียงสัตว์ชนิดใดของภูเขาคุนหลุน
เขารีบวิ่งไปตามเสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่รีรอ และเมื่อถึงจุดหมาย สายตาของเขาก็สบเข้ากับร่างปีศาจร่างใหญ่ที่เคลื่อนไหวรวดเร็ว ตาแดงฉานของมันจับจ้องมายังเขา มันพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความเกรี้ยวกราด ฮั่วอู๋ซวนยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง ร่างกายของเขาเหมือนจะขยับไม่ออก
“ซวนเอ๋อร์! ระวัง!”
เสียงตะโกนของลั่วอี๋เฟิงดังขึ้น ศิษย์พี่หญิงของเขาปรากฏตัวอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้ามาขวางระหว่างเขากับปีศาจ นางไม่ลังเลแม้เพียงเสี้ยววินาที ใช้พลังจินตานในมือกระแทกใส่ปีศาจจนถอยห่างไป ฮั่วอู๋ซวนยังคงยืนอึ้งอยู่เบื้องหลัง
ปีศาจคำรามลั่นและโถมเข้าหานางอีกครั้ง ลั่วอี๋เฟิงไม่หวั่นไหว นางจ้องมองมันอย่างแน่วแน่ ก่อนจะใช้พลังทั้งหมดเข้าต่อสู้กับมัน พลังจินตานสว่างวาบออกจากฝ่ามือนาง
ในที่สุดนางสามารถขับไล่มันออกไปได้ แต่ผลของการใช้พลังอย่างหนักทำให้นางทรุดลงกับพื้น ร่างของนางเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดซึมออกมาเล็กน้อยที่มุมปาก
“ศิษย์พี่!” ฮั่วอู๋ซวนรีบเข้าไปประคองนาง มือของเขาสั่นไหวเล็กน้อยขณะประคองร่างที่บาดเจ็บของนาง
“ข้า…ข้าเป็นสาเหตุให้ท่านต้องเจ็บปวดแบบนี้”
น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความรู้สึกผิดและความเสียใจ ดวงตาที่แฝงความอับอายหันไปมองนางอย่างอัดอั้นใจ
ลั่วอี๋เฟิงหายใจลึกและฝืนยิ้มบางๆ แม้จะเจ็บปวด แต่แววตาของนางยังคงอบอุ่น
“ไม่เป็นไร…เจ้าไม่ต้องโทษตัวเอง ซวนเอ๋อร์ สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้ายังปลอดภัยดี”
นางพยายามยกมือที่สั่นเล็กน้อยขึ้นมาแตะไหล่ของเขา
“เจ้าต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ ข้ารู้ว่าเจ้าจะมีพลังที่แข็งแกร่งพอที่จะจะปกป้องตนเองและผู้อื่นได้ในสักวันหนึ่ง”
คำพูดของนางเหมือนกระจกที่สะท้อนความอ่อนแอในใจของเขา ความรู้สึกผิดแผ่ซ่านในใจของเขายิ่งมีเป็นทวีคูณ
“ข้าสัญญา…ข้าจะต้องเข้มแข็งให้ได้ ศิษย์พี่ ข้าจะไม่ยอมให้ท่านต้องเจ็บปวดเพราะข้าอีก”
ลั่วอี๋เฟิงยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้กำลังใจเขา
ทุกครั้งที่ฮั่วอู๋ซวนเห็นลั่วอี๋เฟิงเจ็บป่วย ซึ่งเป็นผลจากการใช้พลังอย่างหนักในการต่อสู้กับปีศาจในคืนนั้น ความรู้สึกผิดในใจเขาก็ยิ่งทวีคูณ ร่างกายที่เคยเข้มแข็งของนางค่อยๆ เสื่อมถอยไปตามกาลเวลาเมื่อเห็นนางไอเบาๆ หรือจับหน้าอกด้วยความเจ็บปวด ฮั่วอู๋ซวนก็เหมือนถูกแผดเผาด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจบรรเทาได้ ด้วยรู้ดีว่าเหตุที่นางต้องเจ็บป่วยเช่นนี้เป็นเพราะเขา หากวันนั้นนางไม่ต้องมาปกป้องเขา นางคงยังคงแข็งแรงอยู่และความจริงอีกอย่างที่ฮั่วอู๋ซวนเก็บซ่อนไว้ลึกในใจ คือความรู้สึกที่มีต่อลั่วอี๋เฟิง ไม่ใช่เพียงแค่ศิษย์พี่ผู้ใจดีที่คอยดูแลเขาเท่านั้น แต่สำหรับเขา นางคือผู้หญิงที่งดงามและมีคุณค่ามากที่สุดในชีวิต แม้เขาจะไม่กล้าแสดงออกว่ารัก แต่เขาก็ปรารถนาจะดูแลและทำสิ่งดีๆ เพื่อนาง สายตาที่เขามองศิษย์พี่หญิงจึงแฝงไปด้วยความรักที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยหลังจากที่ค้นหาตำราและเอกสารเก่าแก่หลายเล่ม ฮั่วอู๋ซวนก็พบเข้ากับบันทึกที่เขียนถึง “ผลอมฤต”ว่ากันว่าผลอมฤตนั้นเป็นผลไม้ที่หาได้ยากยิ่ง หากนำไปหลอมเป็นโอสถทิพย์จะสามารถรักษาโรคทุกชนิดได้ แม้แต่ความเจ็บป่วยเรื้อรังก็รักษาได้หายเป็นปลิดทิ้งฮั่วอู๋ซวนอ่า
ยิ่งเดินลึกเข้าไปฮั่วอู๋ซวนก็ได้พบกับปีศาจหลากหลายรูปแบบในป่าอันกว้างใหญ่แห่งนี้ บางตัวมีรูปร่างบิดเบี้ยว มีเขี้ยวฟันยาวแหลม บางตัวคลานกับพื้น และบางตัวยังสามารถบินได้อีกด้วยฮั่วอู๋ซวนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับบางตัวที่เขามั่นใจว่าสามารถเอาชนะได้ แต่กับบางตัวที่มีพลังเหนือกว่า เขาก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงเพื่อรักษาพลังและความแข็งแรงของตนเอาไว้ท่ามกลางความมืดที่โอบล้อม ฮั่วอู๋ซวนรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเริ่มอ่อนล้าลงทุกขณะจากการต่อสู้และการระวังตัวอย่างต่อเนื่องทันใดนั้น สายตาของเขาสบกับเงาตะคุ่มที่อยู่ข้างหน้า สิ่งนั้นคือปีศาจขนาดใหญ่ รูปร่างเหมือนตั๊กแตนตำข้าวที่มีกรงเล็บคมดั่งดาบและดวงตาเย็นชาราวกับไม่มีชีวิต“ข้าไม่ต้องการปะทะกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย… แต่ดูท่าเจ้าจะไม่ให้ข้าไปง่ายๆ สินะ”ฮั่วอู๋ซวนพูดพร้อมยกกระบี่ขึ้นตั้งรับ เขารู้ดีว่าต้องใช้ทักษะทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชนะปีศาจตัวนี้ตั๊กแตนตำข้าวปีศาจขยับร่างพร้อมส่งเสียงแหลมสูงในลำคอ มันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว กรงเล็บแหลมฟาดใส่ฮั่วอู๋ซวนด้วยความแรงที่เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะทานทนได้ชายหนุ่มก้มตัวหลบโดยทันที พร้อมกับแทงกระบี่ไปข้างหน้า หวังจ
จิ้งจอกหิมะพาฮั่วอู๋ซวนลึกเข้าไปในป่าลึกและในที่สุด พวกเขาก็มาถึงกระท่อมไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่กลางป่า บริเวณโดยรอบมีต้นสาลี่ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุม ให้ร่มเงาและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ที่กำลังบานจิ้งจอกหิมะค่อยๆ วางร่างของฮั่วอู๋ซวนลงบนเตียงไม้ภายในกระท่อมอย่างระมัดระวัง ขนปุกปุยของมันสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่ร่างนั้นจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่งดงามประหนึ่งเทพธิดาดวงตาสีทองเปล่งประกายจ้องมองชายหนุ่มที่ยังคงหมดสติ ใบหน้าของนางแสดงออกถึงความโหยหาและความรักอันลึกซึ้งราวกับมีเรื่องราวมากมายที่ซ่อนอยู่นางค่อยๆ เอื้อมมืออ่อนโยนไปสัมผัสใบหน้าของฮั่วอู๋ซวนเบาๆ ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปในพริบตา น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาสีทองของนาง เอ่อท่วมด้วยความรักที่อัดแน่นมานานแสนนาน“อู๋ซวน… ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้า”นางเอ่ยด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา ราวกับพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะให้เขาได้ยิน“ข้ารอเจ้า รอคอยเจ้ามานานเหลือเกิน จากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้า ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากข้าไปไหนอีกแล้ว ไม่ว่าจะต้องทำสิ่งใดก็ตาม”ในความมืดมิดของค่ำคืน เสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังก้องกังวานแผ่วเบา ฮั่วอู๋ซวนนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้ในกระท่อม
"ขอโทษ...ที่ข้าไม่อาจร่วมเคียงชราไปกับเจ้าได้"ชายชรากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาที่ฟังคล้ายลมหายใจสุดท้าย เต็มไปด้วยความอาลัยจนแทบขาดใจเขายกมือเหี่ยวย่นขึ้นสัมผัสแก้มของนางที่อ่อนนุ่มด้วยความรักอันลึกซึ้ง สัมผัสที่แฝงไปด้วยความเศร้าราวกับคำอำลาอันเจ็บปวดเหลือเกิน ราวกับเขาต้องฝืนใจยอมปล่อยให้นางไปหญิงสาวผู้นั้นจับมือของเขาไว้ น้ำตาหยาดลงบนหลังมือขาวนวลที่นางพยายามกุมให้แน่นที่สุด แต่มันก็ยิ่งเย็นลง นางสะอื้นออกมาอย่างไม่อาจห้าม ร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความโศกเศร้าอันล้นปรี่ ไม่อาจทำใจได้ว่าครั้งนี้จะเป็นการจากลาตลอดกาล"อู๋ซวน...ข้าจะตามเจ้าไป ข้ายินดีอยู่เคียงข้างเจ้าในทุกชาติภพ หากจะต้องตายไปพร้อมเจ้า ข้าก็ไม่หวั่น"เสียงสะอื้นสั่นสะท้านในอก บ่งบอกถึงความอาลัยที่แสนสาหัส ความรักของนางยังยึดแน่น หัวใจยังไม่อาจปล่อยมือเขาให้จากไป"ข้าอยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป สัญญากับข้า...ว่าจะใช้ชีวิตต่อไป แม้ว่าข้าจะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ข้าสัญญาว่าข้าจะกลับมาหาเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ข้าจะตามหาเจ้าให้เจอ"เสียงของเขาแผ่วลงเรื่อยๆ คล้ายจะจมหายไปในความเงียบอันหนาวเหน็บรอบตัวหญิงสาวนิ่งงัน ใจของนางสั่น
‘นั่นเป็นเพียงแค่ฝันไปหรือ?’เขาคิดในใจอย่างสับสน ภาพของจิ้งจอกหิมะในความฝันยังคงตราตรึงอยู่ในความคิด แต่มันก็เลือนลางราวกับมีหมอกหนาปกคลุมใบหน้าอันงดงามนั้นเอาไว้นึกไม่ออกว่าปีศาจจิ้งจอกตนนั้นเป็นใคร และทำไมถึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกปวดร้าวในอกได้เช่นนี้ เพียงแค่ฝันหนึ่งฝัน เหตุใดความเจ็บปวดนั้นจึงยังกัดกินหัวใจของเขาอย่างไม่ปล่อย?เมื่อเขามองไปรอบๆ กระท่อม สายตาเริ่มคุ้นกับแสงสว่างและการตกแต่งของสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เตียงไม้แข็งๆ กับกลิ่นอายของไม้เก่าที่คลุ้งอบอวลอยู่ในอากาศเขายันตัวขึ้นนั่งเพื่อมองสำรวจ แต่ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นพล่านไปทั่วร่างทำให้ต้องทรุดตัวกลับไปนอนเช่นเดิม เขาเบ้หน้าด้วยความเจ็บ"นี่ข้าบาดเจ็บอยู่หรือ..." เขาพึมพำทว่าทันใดนั้น เสียงกระซิบหนึ่งกลับดังขึ้นมา"เจ้าตื่นแล้วหรือ?"เมื่อฮั่วอู๋ซวนหันไปมองก็ต้องพบกับภาพที่ทำให้เขาตกตะลึง ในระยะใกล้ๆ ใกล้เตียงของเขา มีจิ้งจอกหิมะสีขาวที่ขนนุ่มฟูขดตัวอยู่บนพื้น!มันนอนขดราวกับหลับลึก แต่ทันทีที่เขาเคลื่อนไหวเล็กน้อย หูของมันก็กระดิกและลืมตาขึ้น สายตาของมันจ้องเขาด้วยความสนใจก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร จิ้งจอกหิมะนั้นก็กลายร่าง
"เจ้า…เจ้าเป็นคนช่วยข้าจากปีศาจแมงมุมหรือ?" ฮั่วอู๋ซวนถามด้วยน้ำเสียงสับสนในดวงตาสีทองคู่นั้นปรากฏแววของความผิดหวังอยู่เพียงชั่วขณะ แม้ว่าเพียงแวบเดียว แต่ฮั่วอู๋ซวนรู้สึกถึงความเศร้าผ่านสายตาของนางอย่างชัดเจน"อะ...อื้อ ข้าเป็นคนช่วยเจ้าเอาไว้จากปีศาจแมงมุมตัวนั้น" นางตอบเบาๆ แฝงด้วยความเศร้าเล็กน้อยฮั่วอู๋ซวนพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เช่นนั้นข้าขอบใจ หนี้บุญคุณนี้ข้าจะตอบแทนแน่...ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน" เขาพูดพลางพยายามจะลุกขึ้นจากเตียงความรู้สึกแปลกๆ ในใจทำให้เขารู้สึกอยากหนีไปจากที่นี่โดยเร็ว เขาไม่อาจปล่อยใจให้หวั่นไหวไปกับปีศาจตนนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ควรมีอะไรที่ต้องลังเลหรือค้างคาใจหญิงสาวขมวดคิ้วพลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน"เจ้าจะรีบไปไหนเล่า? อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีนะ...พักรักษาตัวอีกหน่อยเถิด"ฮั่วอู๋ซวนชะงัก สายตาของนางดูเว้าวอน อ้อนวอนให้เขาอยู่ต่อ ความรู้สึกบางอย่างกระตุ้นให้เขารู้สึกใจอ่อนอย่างน่าประหลาด ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าการที่นางช่วยเหลือเขามิใช่แค่เรื่องบังเอิญ หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างควบคุมไม่อยู่เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าจะอยู่ต่อเพราะเจ้าขอ
“อ๊ะ จริงด้วย!” นางพูดขึ้นมาราวกับนึกแผนการอะไรบางอย่างได้ นางกระโดดลงจากกิ่งสาลี่อย่างสง่างาม ร่างกายเบาลอยมาหยุดตรงหน้าชายหนุ่ม“ข้ามีข้อแลกเปลี่ยน” ฉีเยี่ยนหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัย“ข้อแลกเปลี่ยนอะไร?” ฮั่วอู๋ซวนถามกลับทันที ท่าทีของเขาแฝงความระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีทองของนางบ่งบอกว่ามีแผนการบางอย่างซุกซ่อนอยู่ และแน่นอนว่าเขามองออกฉีเยี่ยนหลี่หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน“ช่วงนี้ข้ารู้สึกว่าพลังบำเพ็ญของข้าไม่ก้าวหน้าเลย เจ้ายอมมาเป็นคู่บำเพ็ญเพียรให้กับข้าดีไหม?” “ไสหัวไป!” เขาตอบอย่างรวดเร็ว พร้อมหมุนตัวเดินกลับเข้ากระท่อมโดยไม่คิดจะอยู่ต่อ ใครกันที่จะยอมเป็นคู่บำเพ็ญเพียรให้กับปีศาจ? หากศิษย์พี่หรือศิษย์น้องคนอื่นๆ ในสำนักรู้เข้า เขาคงถูกขับไล่ออกจากสำนักเป็นแน่ทว่านางไม่ได้ปล่อยให้เขาหนีไปง่ายๆ “นี่เจ้าพูดกับผู้มีพระคุณของเจ้าเช่นนี้เหรอ? ข้าอุตส่าห์ยื่นข้อเสนอให้เจ้า เจ้าไม่อยากช่วยศิษย์พี่ของเจ้าแล้วหรือ?”ฮั่วอู๋ซวนหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินคำว่า “ศิษย์พี่” ในตอนที่เขาลงจากเขา เขาสาบานไว้แล้วว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลอมฤตมาช่วยศิษย์พ
ม่านรัตติกาลโปรยลงมา ภายในกระท่อมหลังเล็กกลางป่าอนธการ ได้มีเสียงร้องครวญคราง และเสียงหนั่นเนื้อกระทบกันพร้อมกับเสียงครางครวญของสองหนุ่มสาวที่ดังระงมเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ"อืม... อู๋ซวน ปล่อยออกมา ปล่อยออกมาอีก ข้าต้องการหยวนหยางของเจ้า อ๊า..." คำพูดที่เรียกร้องความปรารถนาของตนเองเปล่งออกมาจากปีศาจจิ้งจอกสาว“เยี่ยนหลีเอ๋อร์” เนื้อตัวของนางมารจิ้งจอกเนียนนุ่มลื่นมือราวกับกำลังลูบไล้หยกเนื้อดี ความรู้สึกของชายหนุ่มที่ส่งริมฝีปากขบกัดไปที่ผิวขาวเนียนละเอียดของนางเขาแทบจะไม่อยากละฝ่ามือหนาไปจากผิวจิ้งจอกสาวที่ขาวนวลราวกับหิมะที่เหมือนปุยนุ่นเลย ไม่ว่าเขาจะมองมุมไหน ฟ้อนเฟ้นสายตา ฝ่ามือ และกลีบปากที่ระร้าย นางช่างเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์อันเย้ายวนชวนหลงใหล ฮั่วอู๋ซวนหายใจแรงกระเส่าเป่ารดเรือนร่างของนาง หากมารจิ้งจอกตนนี้กลายเป็นอากาศธาตุ ชายหนุ่มก็คงสูดกลืนนางลงไปได้ทั้งตัว เขาอยากกอดรัดอีกฝ่ายให้แน่นหนากว่าเดิมร่างหนากว่าในเวลานี้กำลังทาบทับร่างอันบอบบางของนางจิ้งจอก ที่กำลังหายใจแรงด้วยรสพิศวาสที่ถูกปลุกร่างบางกำลังระทดระทวย ความรู้สึกลึกๆ ที่เต็มไปด้วยความกำหนัดถูกขับส่งออกมาเป็นสายธาราท