แสงอาทิตย์แรกของวันสาดส่องลงมาบนใบไม้สีเขียวขจี ลมพัดเอื่อยๆ พัดพาเอาไอหมอกบางเบาให้ลอยละลิ่วไปตามยอดไม้ฉีเยี่ยนหลี่ลืมตาขึ้น มองไปยังร่างสูงใหญ่ของฮั่วอู๋ซวนที่นอนหลับอยู่ข้างกัน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเปื้อนยิ้มบางๆ นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบแก้มเขา“อู๋ซวน… ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้า”ฮั่วอู๋ซวนตื่นขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณระแวดระวังตามนิสัย ดวงตาของเขาสอดส่องรอบๆ กระท่อมเล็ก ทันใดนั้น เขาก็เห็นปีศาจจิ้งจอกสาวยืนอยู่ใกล้ๆ นางมองเขาด้วยดวงตาที่เปี่ยมด้วยความสดใสและเจือด้วยความห่วงใย“อู๋ซวน ไปล่าสัตว์กับข้าหน่อยดีไหม?” นางเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ในใจของฮั่วอู๋ซวนยังคงมีความระแวง เขาไม่เคยไว้ใจปีศาจ โดยเฉพาะปีศาจที่ดูอ่อนโยนเกินไปอย่างนาง เขาคิดว่าอาจมีเล่ห์กลอะไรซ่อนอยู่ก็เป็นได้เขาพยักหน้าเพียงเล็กน้อย“ก็ได้ แต่ข้าจะคอยจับตาดูเจ้า” เขาพึมพำคนเดียวในใจ ไม่ให้นางได้ยินความคิดของเขาทั้งสองเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางในป่า ฉีเยี่ยนหลี่แปลงกายเป็นจิ้งจอก กระโดดไปมาอย่างคล่องแคล่วเหมือนกับว่านางเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติฮั่วอู๋ซวนยังคงมองฉีเยี่ยนหลี่ด้วยแววตาสงสัย ปกติแล้ว เขาคงจะไม่ร่วมเดิน
ตลอดเวลาที่อยู่ใกล้นาง เขาสัมผัสได้ว่านางไม่ใช่มารที่ชั่วร้าย แม้จะเจ้าเล่ห์และขี้แกล้งอยู่บ้าง แต่กลับมีความอบอุ่นและเอาใจใส่ที่ไม่เหมือนปีศาจใดที่เขาเคยพบหัวใจของเขาเริ่มคล้อยตามนางอย่างช้าๆ เขาสะบัดหัวเบาๆ พยายามดึงความคิดของตนให้กลับมาเป็นปกติ นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ที่เขาเข้าป่าอนธการมา เขามาที่นี่เพื่อหาผลอมฤตเพื่อรักษาลั่วอี๋เฟิง แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะหลงลืมความตั้งใจเดิมไปเสียแล้วหลังจากล่าไก่ป่ามาสองตัวและกระต่ายอีกหนึ่งตัว ฮั่วอู๋ซวนก็หาองุ่นป่ามาใส่กระบุงเต็มเพื่อตามใจเจ้าจิ้งจอกหิมะที่ชอบกินมัน เขาอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงใบหน้าดีใจของนางตอนที่นางเคี้ยวองุ่นหวานฉ่ำระหว่างที่เขากำลังกลับกระท่อม จู่ๆ ผีเสื้อสีทองตัวหนึ่งก็บินมาตรงหน้า มันคืออาคมส่งข่าวจากสำนักคุนหลุน ฮั่วอู๋ซวนเผลอขมวดคิ้ว หยุดฝีเท้าแล้วจ้องมองผีเสื้อที่ลอยอยู่ตรงหน้าอย่างสนใจเมื่อผีเสื้อสีทองค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองแสง เนื้อความจากศิษย์พี่ก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา เนื้อความนั้นชัดเจนว่าซือจุนและศิษย์พี่ทุกคนต่างเป็นห่วงและต้องการให้เจ้ากลับสำนักโดยด่วนฮั่วอู๋ซวนยืนนิ่ง พยายามคิดทบทวนเหตุผลที่เขามาที่นี่ และท
หลังจากที่นั่งนิ่งไปสักพัก เขาจึงถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก คิดถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่เขาต้องกลับไปทำที่สำนัก แต่ใจของเขากลับผูกพันกับที่นี่และกับนาง จนไม่อาจทำใจให้จากไปได้“เจ้าดูเงียบไปนะ มีอะไรในใจหรือเปล่า?” ฉีเยี่ยนหลี่เอ่ยถาม นางขยับเข้าใกล้เขา มองดูเขาด้วยสายตาอ่อนโยนและเป็นห่วงฮั่วอู๋ซวนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ“ไม่มีอะไร...”เหลือเวลาอีกสามวัน ก็จะครบกำหนดหนึ่งเดือนที่ฮั่วอู๋ซวนได้ตกลงกับเจ้าจิ้งจอก ชายหนุ่มได้แต่นั่งถอนหายใจอย่างคิดไม่ตกไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เขาไม่อยากไปจากที่นี่ ไม่อยากไปจากฉีเยี่ยนหลี่ แต่ถ้าเขาไม่กลับไปรับรองว่าพวกซือจุนและศิษย์พี่คนอื่นๆ จะต้องออกมาตามหาเขาที่นี่แน่ และนั่นอาจจะทำให้เกิดการต่อสู้ขึ้นได้ เขาไม่อยากให้เจ้าจิ้งจอกของเขาต้องเจอกับอันตรายใดๆฮั่วอู๋ซวนรู้สึกเหมือนหัวใจของเขากำลังแตกออกเป็นสองเสี่ยง เขายืนอยู่ระหว่างความรู้สึกที่ขัดแย้ง ความรักที่มีต่อศิษย์พี่ลั่วอี๋เฟิง ผู้ซึ่งเป็นเสมือนแสงสว่างและที่พึ่งพิงมาตลอดชีวิต กับความรู้สึกอันลึกซึ้งที่เขาเริ่มมีต่อฉีเยี่ยนหลี่ ปีศาจจิ้งจอกผู้ทำให้ชีวิตของเขาในป่าทึบเต็มไปด้วยส
ยามค่ำคืนอันเงียบสงัด พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้า เสียงขลุ่ยที่ไพเราะดังกังวานขึ้น แผ่วเบาแต่มีเสน่ห์ดึงดูดเหมือนเสียงเพลงจากสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้นฮั่วอู๋ซวนที่กำลังพักผ่อนอยู่ในกระท่อมได้ยินเสียงนั้นและรู้สึกเหมือนถูกสะกด เขาค่อยๆ ลุกจากที่นอน พลางเดินออกจากกระท่อมไปยังต้นเสียงเมื่อมาถึงลานกว้างนอกกระท่อม เขาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหญิงสาวผมยาวสีน้ำหมึกนั่งอยู่บนกิ่งสูงของต้นสาลี่ เพียงแค่เห็นแผ่นหลังและท่าทางเป่าขลุ่ยของนาง ฮั่วอู๋ซวนก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์เมื่อจบเสียงเพลง นางค่อยๆ หันมาสบตาเขาพร้อมกับยิ้มบาง ดวงตาสีทองของนางเปล่งประกายอ่อนโยน ทำให้เขารู้สึกว่าความเงียบสงบของป่าคืนนี้นั้นเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่ยากจะหาคำใดมาเปรียบ"ข้าจำได้ว่า วันนี้ตรงกับเทศกาลซีซีของพวกเจ้าใช่หรือไม่?" ฉีเยี่ยนหลี่เอ่ยถาม น้ำเสียงของนางนุ่มนวล และยังคงแฝงความสงสัยเช่นเดิม"ข้าชอบเรื่องสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัวมาก"“นี่เจ้ารู้จักเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ?"**ฉีเยี่ยนหลี่เพียงแค่หัวเราะเบาๆ และไหล่ของนางก็สั่นไหวด้วยความขบขัน "ข้าอยู่มาเป็นพันปีแล้วนะ จะให้ไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยได้อย่
ค่ำคืนนั้น ฮั่วอู๋ซวนและฉีเยี่ยนหลี่นั่งอยู่เคียงข้างกันใต้แสงจันทร์ ราวกับคู่รักในตำนานที่ได้พบกันในคืนหนึ่งของปี ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ และแสงดาวพราวพรายบนท้องฟ้า ทั้งสองคนได้จมอยู่ในห้วงเวลาที่ดูเหมือนจะเป็นนิรันดร์ว่ากันว่าวันเวลาแห่งความสุขนั้นแสนสั้น ในที่สุดวันนี้ก็ถึงครบกำหนดหนึ่งเดือนที่ทั้งสองได้ตกลงกัน...เช้าวันนี้ ฮั่วอู๋ซวนตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกหน่วงในอก แม้จะมีร่างงดงามของฉีเยี่ยนหลี่หลับอยู่ในอ้อมกอด แต่ดวงตาคมของเขากลับฉายแววไร้ชีวิตชีวาเขามองใบหน้าของนางอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าเขามองนานเท่าไหร่แล้ว รู้เพียงว่าไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ อยากจะจดจำภาพนี้ไว้ตลอดไป อยากจะมองใบหน้านี้ไปชั่วชีวิตทันใดนั้น ดวงตาสีทองคู่งามก็ค่อยๆ ลืมขึ้นมา สบเข้ากับสายตาของเขาที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว ฉีเยี่ยนหลี่คลี่ยิ้มอ่อนโยน นางยื่นหน้าเข้ามาจูบปลายคางของเขาเบาๆ"เจ้าตื่นนานแล้วหรือ?" จิ้งจอกสาวเอ่ยแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มแสนหวาน"เหตุใดถึงไม่ปลุกข้าเล่า หรือว่าเจ้าชอบมองหน้าข้ายามหลับนัก?"ฮั่วอู๋ซวนยิ้มเพียงน้อยนิด ไม่ตอบสิ่งใด ได้แต่มองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน"วั
จิ้งจอกสาวแค่นหัวเราะเบาๆ เสียงของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยันในชะตาของตนเอง ราวกับเย้ยหยันที่นางเผลอคิดเข้าข้างตัวเองว่าบางทีเขาอาจจะรักนางบ้าง“นี่เจ้าคิดจะฆ่าข้าจริงๆ สินะ…” นางพึมพำอย่างขมขื่น ความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้ามาในใจฮั่วอู๋ซวนยืนนิ่ง ตกใจกับคำพูดของนาง แต่ยังคงรักษาท่าทางเย็นชาไว้ เขาไม่สามารถปฏิเสธความปรารถนาที่ต้องการผลอมฤตเพื่อช่วยศิษย์พี่ของเขาได้ฉีเยี่ยนหลี่สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะหันหลังให้เขา เสียงของนางเปล่งออกมาเบาๆ และแฝงด้วยความเศร้าสุดหัวใจ“ได้…หากนี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าจะมอบให้เจ้า เพราะเดิมที…มันก็เป็นของของเจ้า”ฮั่วอู๋ซวนขมวดคิ้วไม่เข้าใจในคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังคงเงียบ จ้องมองนางที่ค่อยๆ หลับตาลง ทาบฝ่ามือลงตรงตำแหน่งของหัวใจตนเอง ประกายแสงสีเหลืองทองสว่างจ้าปรากฏขึ้นจนทำให้ดวงตาของเขาพร่ามัวผลึกลูกแก้วสีทองขนาดเท่ากำปั้นลอยขึ้นมาจากฝ่ามือของนาง ประกายแสงนั้นเจิดจ้าจนทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองสิ่งล้ำค่าที่ไม่เคยเห็นมาก่อนโดยที่เขาไม่เคยรู้ถึงผลร้ายที่จะตามมาหลังจากที่ปีศาจสูญเสียผลึกแก่นพลังวิญญาณ เขาคิดไปว่ามันคงคล้ายกับจินตานในร่างมนุษย์ หากเส
หลังจากที่ฮั่วอู๋ซวนจากไป ความเงียบงันก็เข้าครอบงำรอบตัวฉีเยี่ยนหลี่ นางยืนมองเส้นทางที่เขาเดินลับหายไป จนกระทั่งความรู้สึกที่ท่วมท้นก็ปะทุขึ้นราวกับทำนบที่แตกจิ้งจอกสาวสะอื้นอย่างรุนแรง หยาดน้ำตาไหลรินอาบแก้ม นางก้มหน้าเอามือกุมหน้าอก พยายามกลั้นเสียงร้องที่สั่นสะท้าน แต่มันกลับรุนแรงเกินกว่าจะอดทนไว้ได้ความเจ็บปวดในร่างกายและจิตใจของฉีเยี่ยนหลี่ผสมผสานกันจนแทบแยกไม่ออก ทุกย่างก้าวที่เคยมั่นคงกลับกลายเป็นความอ่อนแรงราวกับจะถล่มลงในทุกขณะ ร่างของนางสั่นสะท้าน หัวใจถูกบีบคั้นราวกับจะระเบิดออกมา เมื่อความรัก ความผิดหวัง และความเจ็บปวดรวมกันเป็นหนึ่งเดียวนางกระอักเลือดคำโต เลือดสีแดงสดไหลลงเปื้อนผืนดินที่เคยเป็นพยานแห่งความสุขในช่วงเวลาสั้นๆ ของนางและเขา ดวงตาสีทองที่เคยส่องประกายสดใสและอบอุ่นค่อยๆ หม่นแสงลง เหลือเพียงแววแห่งความอ้างว้างที่ไม่อาจทดแทนได้ฉีเยี่ยนหลี่หอบหายใจอย่างยากลำบาก รู้สึกถึงพลังในกายที่ค่อยๆ ริบหรี่ลงราวกับเทียนที่ใกล้จะดับ ฉีเยี่ยนหลี่พยายามกัดฟันพยุงร่างที่อ่อนแรง ก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ แม้จะต้องฝืนขาของตนเองที่สั่นเทาแทบจะยืนไม่อยู่ในหัวใจนางยังคงมีภาพความทร
ฮั่วอู๋ซวนก้าวเดินออกมาจากป่าอนธการด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งภาคภูมิใจในความสำเร็จและในขณะเดียวกันเขาก็มีความรู้สึกเจ็บแปลบที่อกข้างซ้ายแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าเมื่อเขาก้าวพ้นจากป่ามืดมิดที่เต็มไปด้วยอันตราย เส้นทางข้างหน้าที่เขาต้องเดินไปยังคงยาวไกล แต่กระนั้นหัวใจของเขากลับยังคงหวนระลึกถึงใครบางคนในป่าแห่งนั้นฮั่วอู๋ซวนก้าวเดินออกมาจากป่าอนธการด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งภาคภูมิใจในความสำเร็จและความรู้สึกหนักอึ้งที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจ แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าเมื่อเขาก้าวพ้นจากป่ามืดมิดที่เต็มไปด้วยอันตราย เส้นทางข้างหน้าที่เขาต้องเดินไปยังคงยาวไกล แต่กระนั้นหัวใจของเขากลับยังคงหวนระลึกถึงใครบางคนในป่าแห่งนั้น“ผลอมฤต” สิ่งล้ำค่าที่เขาเสี่ยงชีวิตไปตามหาจนสำเร็จ บัดนี้ถูกเก็บไว้ในถุงผ้าที่รัดแน่นอยู่ในอกเสื้อ มันเป็นผลไม้ในตำนานที่มีพลังทิพย์ ว่ากันว่าผู้ใดได้ครอบครองจะสามารถรักษาโรคภัยและฟื้นฟูพลังชีวิตได้อย่างมหัศจรรย์บรรดาปีศาจที่เคยคอยรอซุ่มโจมตีและคุกคามตลอดการเดินทางก่อนหน้านี้ ต่างถอยห่างเมื่อเขาถือผลอมฤตไว้อยู่กับตัว ราวกับว่ามันปล่อยพลังที่เป็นเสมือนเขตห