ยามค่ำคืนอันเงียบสงัด พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้า เสียงขลุ่ยที่ไพเราะดังกังวานขึ้น แผ่วเบาแต่มีเสน่ห์ดึงดูดเหมือนเสียงเพลงจากสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้นฮั่วอู๋ซวนที่กำลังพักผ่อนอยู่ในกระท่อมได้ยินเสียงนั้นและรู้สึกเหมือนถูกสะกด เขาค่อยๆ ลุกจากที่นอน พลางเดินออกจากกระท่อมไปยังต้นเสียงเมื่อมาถึงลานกว้างนอกกระท่อม เขาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหญิงสาวผมยาวสีน้ำหมึกนั่งอยู่บนกิ่งสูงของต้นสาลี่ เพียงแค่เห็นแผ่นหลังและท่าทางเป่าขลุ่ยของนาง ฮั่วอู๋ซวนก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์เมื่อจบเสียงเพลง นางค่อยๆ หันมาสบตาเขาพร้อมกับยิ้มบาง ดวงตาสีทองของนางเปล่งประกายอ่อนโยน ทำให้เขารู้สึกว่าความเงียบสงบของป่าคืนนี้นั้นเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่ยากจะหาคำใดมาเปรียบ"ข้าจำได้ว่า วันนี้ตรงกับเทศกาลซีซีของพวกเจ้าใช่หรือไม่?" ฉีเยี่ยนหลี่เอ่ยถาม น้ำเสียงของนางนุ่มนวล และยังคงแฝงความสงสัยเช่นเดิม"ข้าชอบเรื่องสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัวมาก"“นี่เจ้ารู้จักเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ?"**ฉีเยี่ยนหลี่เพียงแค่หัวเราะเบาๆ และไหล่ของนางก็สั่นไหวด้วยความขบขัน "ข้าอยู่มาเป็นพันปีแล้วนะ จะให้ไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยได้อย่
ค่ำคืนนั้น ฮั่วอู๋ซวนและฉีเยี่ยนหลี่นั่งอยู่เคียงข้างกันใต้แสงจันทร์ ราวกับคู่รักในตำนานที่ได้พบกันในคืนหนึ่งของปี ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ และแสงดาวพราวพรายบนท้องฟ้า ทั้งสองคนได้จมอยู่ในห้วงเวลาที่ดูเหมือนจะเป็นนิรันดร์ว่ากันว่าวันเวลาแห่งความสุขนั้นแสนสั้น ในที่สุดวันนี้ก็ถึงครบกำหนดหนึ่งเดือนที่ทั้งสองได้ตกลงกัน...เช้าวันนี้ ฮั่วอู๋ซวนตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกหน่วงในอก แม้จะมีร่างงดงามของฉีเยี่ยนหลี่หลับอยู่ในอ้อมกอด แต่ดวงตาคมของเขากลับฉายแววไร้ชีวิตชีวาเขามองใบหน้าของนางอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าเขามองนานเท่าไหร่แล้ว รู้เพียงว่าไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ อยากจะจดจำภาพนี้ไว้ตลอดไป อยากจะมองใบหน้านี้ไปชั่วชีวิตทันใดนั้น ดวงตาสีทองคู่งามก็ค่อยๆ ลืมขึ้นมา สบเข้ากับสายตาของเขาที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว ฉีเยี่ยนหลี่คลี่ยิ้มอ่อนโยน นางยื่นหน้าเข้ามาจูบปลายคางของเขาเบาๆ"เจ้าตื่นนานแล้วหรือ?" จิ้งจอกสาวเอ่ยแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มแสนหวาน"เหตุใดถึงไม่ปลุกข้าเล่า หรือว่าเจ้าชอบมองหน้าข้ายามหลับนัก?"ฮั่วอู๋ซวนยิ้มเพียงน้อยนิด ไม่ตอบสิ่งใด ได้แต่มองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน"วั
จิ้งจอกสาวแค่นหัวเราะเบาๆ เสียงของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยันในชะตาของตนเอง ราวกับเย้ยหยันที่นางเผลอคิดเข้าข้างตัวเองว่าบางทีเขาอาจจะรักนางบ้าง“นี่เจ้าคิดจะฆ่าข้าจริงๆ สินะ…” นางพึมพำอย่างขมขื่น ความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้ามาในใจฮั่วอู๋ซวนยืนนิ่ง ตกใจกับคำพูดของนาง แต่ยังคงรักษาท่าทางเย็นชาไว้ เขาไม่สามารถปฏิเสธความปรารถนาที่ต้องการผลอมฤตเพื่อช่วยศิษย์พี่ของเขาได้ฉีเยี่ยนหลี่สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะหันหลังให้เขา เสียงของนางเปล่งออกมาเบาๆ และแฝงด้วยความเศร้าสุดหัวใจ“ได้…หากนี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าจะมอบให้เจ้า เพราะเดิมที…มันก็เป็นของของเจ้า”ฮั่วอู๋ซวนขมวดคิ้วไม่เข้าใจในคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังคงเงียบ จ้องมองนางที่ค่อยๆ หลับตาลง ทาบฝ่ามือลงตรงตำแหน่งของหัวใจตนเอง ประกายแสงสีเหลืองทองสว่างจ้าปรากฏขึ้นจนทำให้ดวงตาของเขาพร่ามัวผลึกลูกแก้วสีทองขนาดเท่ากำปั้นลอยขึ้นมาจากฝ่ามือของนาง ประกายแสงนั้นเจิดจ้าจนทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองสิ่งล้ำค่าที่ไม่เคยเห็นมาก่อนโดยที่เขาไม่เคยรู้ถึงผลร้ายที่จะตามมาหลังจากที่ปีศาจสูญเสียผลึกแก่นพลังวิญญาณ เขาคิดไปว่ามันคงคล้ายกับจินตานในร่างมนุษย์ หากเส
หลังจากที่ฮั่วอู๋ซวนจากไป ความเงียบงันก็เข้าครอบงำรอบตัวฉีเยี่ยนหลี่ นางยืนมองเส้นทางที่เขาเดินลับหายไป จนกระทั่งความรู้สึกที่ท่วมท้นก็ปะทุขึ้นราวกับทำนบที่แตกจิ้งจอกสาวสะอื้นอย่างรุนแรง หยาดน้ำตาไหลรินอาบแก้ม นางก้มหน้าเอามือกุมหน้าอก พยายามกลั้นเสียงร้องที่สั่นสะท้าน แต่มันกลับรุนแรงเกินกว่าจะอดทนไว้ได้ความเจ็บปวดในร่างกายและจิตใจของฉีเยี่ยนหลี่ผสมผสานกันจนแทบแยกไม่ออก ทุกย่างก้าวที่เคยมั่นคงกลับกลายเป็นความอ่อนแรงราวกับจะถล่มลงในทุกขณะ ร่างของนางสั่นสะท้าน หัวใจถูกบีบคั้นราวกับจะระเบิดออกมา เมื่อความรัก ความผิดหวัง และความเจ็บปวดรวมกันเป็นหนึ่งเดียวนางกระอักเลือดคำโต เลือดสีแดงสดไหลลงเปื้อนผืนดินที่เคยเป็นพยานแห่งความสุขในช่วงเวลาสั้นๆ ของนางและเขา ดวงตาสีทองที่เคยส่องประกายสดใสและอบอุ่นค่อยๆ หม่นแสงลง เหลือเพียงแววแห่งความอ้างว้างที่ไม่อาจทดแทนได้ฉีเยี่ยนหลี่หอบหายใจอย่างยากลำบาก รู้สึกถึงพลังในกายที่ค่อยๆ ริบหรี่ลงราวกับเทียนที่ใกล้จะดับ ฉีเยี่ยนหลี่พยายามกัดฟันพยุงร่างที่อ่อนแรง ก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ แม้จะต้องฝืนขาของตนเองที่สั่นเทาแทบจะยืนไม่อยู่ในหัวใจนางยังคงมีภาพความทร
ฮั่วอู๋ซวนก้าวเดินออกมาจากป่าอนธการด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งภาคภูมิใจในความสำเร็จและในขณะเดียวกันเขาก็มีความรู้สึกเจ็บแปลบที่อกข้างซ้ายแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าเมื่อเขาก้าวพ้นจากป่ามืดมิดที่เต็มไปด้วยอันตราย เส้นทางข้างหน้าที่เขาต้องเดินไปยังคงยาวไกล แต่กระนั้นหัวใจของเขากลับยังคงหวนระลึกถึงใครบางคนในป่าแห่งนั้นฮั่วอู๋ซวนก้าวเดินออกมาจากป่าอนธการด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งภาคภูมิใจในความสำเร็จและความรู้สึกหนักอึ้งที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจ แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าเมื่อเขาก้าวพ้นจากป่ามืดมิดที่เต็มไปด้วยอันตราย เส้นทางข้างหน้าที่เขาต้องเดินไปยังคงยาวไกล แต่กระนั้นหัวใจของเขากลับยังคงหวนระลึกถึงใครบางคนในป่าแห่งนั้น“ผลอมฤต” สิ่งล้ำค่าที่เขาเสี่ยงชีวิตไปตามหาจนสำเร็จ บัดนี้ถูกเก็บไว้ในถุงผ้าที่รัดแน่นอยู่ในอกเสื้อ มันเป็นผลไม้ในตำนานที่มีพลังทิพย์ ว่ากันว่าผู้ใดได้ครอบครองจะสามารถรักษาโรคภัยและฟื้นฟูพลังชีวิตได้อย่างมหัศจรรย์บรรดาปีศาจที่เคยคอยรอซุ่มโจมตีและคุกคามตลอดการเดินทางก่อนหน้านี้ ต่างถอยห่างเมื่อเขาถือผลอมฤตไว้อยู่กับตัว ราวกับว่ามันปล่อยพลังที่เป็นเสมือนเขตห
ในห้องที่เงียบสงัด ฮั่วอู๋ซวนขังตัวเองอยู่เพียงลำพัง ใจจดจ่ออยู่กับหม้อต้มยาที่ค่อยๆ ร้อนขึ้นทีละน้อย ภายใต้แสงไฟสีส้มที่ส่องวาบจากตะเกียง เขาเพิ่มสมุนไพรทีละชนิดลงไปอย่างระมัดระวัง กำหนดอัตราส่วนอย่างละเอียดอ่อนและแน่นอน ผลอมฤตที่ถูกขบเคี้ยวด้วยความมุ่งมั่นรอคอยขั้นตอนสุดท้ายของการหลอมยาในขณะที่เขาค่อยๆ หย่อนผลอมฤตลงไปในหม้อ แสงสีขาวเจิดจ้าก็วาบสว่างไปทั่วห้อง เขาสะดุ้งเฮือกและปิดตาแน่น หัวใจเต้นรัวขึ้นอย่างหวาดระแวงว่าอาจทำผิดขั้นตอนบางอย่างไป ทันใดนั้น เมื่อแสงหายไป ภาพเหตุการณ์ในอดีตเริ่มพรั่งพรูขึ้นในจิตใจเขาเป็นฉากๆ อย่างกับมันเป็นเศษเสี้ยวของความทรงจำที่คุ้นเคยฮั่วอู๋ซวนเห็นใบหน้าของฉีเยี่ยนหลี่ ทุกภาพล้วนสะท้อนถึงความทรงจำที่แก่นวิญญาณของนางฝากไว้กับผลึกในผลอมฤตนี้ในชาติที่แล้ว ฮั่วอู๋ซวนยังคงเป็นนักพรตผู้มีความสามารถสูงในการปราบปีศาจเช่นเดียวกับในชาตินี้ แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักใหญ่แห่งคุนหลุน และถูกวางตัวไว้ให้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักในอนาคตบิดาของเขาหมายมั่นให้เขาก้าวขึ้นเป็นผู้ดูแลและปกป้องสำนัก คาดหวังในศักดิ์ศรีและหน้าที่ที่
ฮั่วอู๋ซวนหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของจิ้งจอกสาวแล้วหยิบขลุ่ยไม้จากในห่อสัมภาระของเขา เขามอบขลุ่ยให้กับนาง"ของขวัญจากข้า เจ้าอยากลองเป่าดูไหม?"หญิงสาวรับขลุ่ยมาอย่างงุนงง "ให้ข้าหรือ?"ฮั่วอู๋ซวนยิ้มแล้วสอนนางจับขลุ่ย "นี่ไง จับอย่างนี้ แล้วก็เป่าเบาๆ แบบนี้"เสียงขลุ่ยดังขึ้นแผ่วเบาในป่าหิมะ สร้างบรรยากาศอันเงียบสงบและอบอุ่นในใจของทั้งคู่ฮั่วอู๋ซวนใช้ชีวิตกับจิ้งจอกหิมะในป่าอนธการอย่างสงบสุข ทั้งสองต่างพึ่งพาและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน วันแล้ววันเล่า กลางป่ามืดมิดที่เต็มไปด้วยกลิ่นของไอปีศาจ แม้จะเป็นสถานที่ที่อันตราย แต่ฮั่วอู๋ซวนก็กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดวันหนึ่งขณะที่เขานั่งซ่อมขลุ่ยที่เขามอบให้กับจิ้งจอกหิมะ หญิงสาวจิ้งจอกก็เดินเข้ามาพร้อมกับตะกร้าผลไม้"นี่ ผลไม้สด ข้าเก็บมาจากริมลำธาร ลองกินดูเถิด" ฉี่เยี่ยนหลี่ยิ้มพลางยื่นผลไม้ให้เขา"ขอบใจนะ" ฮั่วอู๋ซวนรับตะกร้ามา รู้สึกถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ เขานั่งลงข้างหญิงสาว ก่อนจะเล่าถึงการเดินทางของเขาและชีวิตในสำนัก"ข้าไม่เคยคิดเลยว่า การอยู่ห่างจากสำนักจะทำให้ข้ารู้สึกสงบสุขเช่นนี้ บางที… ข้าก็คิดว่าชีวิตนี้น่าจะใช้ร
“ท่านพ่อ… ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”ฮั่วอู๋ซวนถามด้วยความงุนงง แต่ทันใดนั้น เขาเห็นแววตาของบิดาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและความโกรธ“เจ้าบังอาจกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับปีศาจเช่นนี้ได้อย่างไร?” บิดาของเขาตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว“เจ้ามิได้รู้หรือว่าการเป็นนักพรตต้องรักษาความบริสุทธิ์ เพื่อพลังที่บริสุทธิ์และคงอยู่ในสัจธรรม แต่เจ้ากลับ… กลับเลือกที่จะเสพสมกับปีศาจ!”ฮั่วอู๋ซวนขบกรามแน่น “ท่านพ่อ ข้าไม่สนใจสัจธรรมที่ท่านกล่าว ข้ารู้เพียงว่า นางเป็นคนเดียวที่ทำให้ข้ารู้สึกสงบสุข และนางมิได้มีเจตนาร้ายใด ๆ ท่านอย่าได้โทษนางเลย”หญิงสาวจิ้งจอกที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เริ่มรู้สึกผิดหวังในตัวเอง“ท่านอาจารย์ ข้ามิได้มีเจตนาทำร้ายฮั่วอู๋ซวน ข้ารักเขาจริง ๆ… ข้าจะยอมถอยไปเพื่อไม่ให้ข้าต้องเป็นภาระของเขา…”แต่ฮั่วอู๋ซวนคว้ามือของฉี่เยี่ยนหลีไว้แน่น“ไม่! เจ้าจะไม่ไปไหน ข้าเลือกแล้วที่จะอยู่กับเจ้า หากท่านพ่อไม่อาจเข้าใจ ข้าก็จะไม่กลับไปที่สำนักอีก”เจ้าสำนักนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะสูดหายใจลึกและพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“ในเมื่อเจ้าเลือกเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ข้าจะนับว่าเจ้าไม่ใช่บุ