เหล่าญาติพี่น้องที่ได้รับเนื้อไก่ต่างพากันกล่าวขอบคุณเจี่ยนอันอันพวกเขากัดหมั่นโถวคำหนึ่ง แล้วใช้มือหยิบเนื้อไก่ใส่ปากอย่างไม่รีรอ จากนั้นดื่มน้ำแกงไก่อึกใหญ่ ทุกคนล้วนกินกันอย่างอิ่มเอมและพึงพอใจเนื้อไก่ช่างอร่อยยิ่งนัก รสชาติเหนือกว่าสิ่งที่พวกเขาเคยลิ้มลองในจวนเสียอีกเหล่าทหารรักษาพระองค์ก็ไม่ได้ต่างกัน พวกเขาต่างกินเนื้อคำโตกันอย่างเอร็ดอร่อยน่าเสียดายยิ่งนักที่เนื้อไก่นั้นมีน้อยเกินไป พวกเขาได้ลิ้มรสกันเพียงไม่กี่ชิ้นก็หมดสิ้นแล้วโชคดีที่ยังมีน้ำแกงไก่หม้อใหญ่ ทหารรักษาพระองค์ต่างแบ่งกันคนละถ้วยสองถ้วย ไม่นานน้ำแกงก็หมดลงจนถึงก้นหม้อระหว่างนั้น เจี่ยนอันอันก็นำเนื้อไก่ไม่กี่ชิ้นไปให้ฉู่จวินสิงนางเองก็กินเนื้อไก่ไปบ้าง แต่เพราะเกรงว่าเนื้อจะไม่พอแบ่ง จึงไม่ได้กินมากไปกว่านั้นเจี่ยนอันอันคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ เพราะเนื้อไก่นั้นน้อยเกินไป แต่คนกลับมีมากนางจำต้องหาอาหารอื่นมาเพิ่มให้มากขึ้นเมื่อคิดได้เช่นนั้น เจี่ยนอันอันก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากโถงใหญ่หานซื่อเห็นเจี่ยนอันอันเดินออกไป คราวนี้เขาไม่ได้ตามนางไปเช่นเคยเจี่ยนอันอันเดินไปยังบริเวณหลังคร
ฉู่อันเจ๋อเห็นดังนั้น จึงรีบหยิบถุงน้ำมาให้ฉู่จวินสิงดื่ม “พี่รอง ท่านค่อยๆ กิน ไม่มีใครแย่งท่านหรอก”ฉู่จวินสิงดื่มน้ำแล้วจึงกลืนมันเทศที่ติดอยู่ในคอลงไปได้สายตาฉู่จวินสิงเย็นชาดั่งน้ำแข็ง จ้องฉู่อันเจ๋อเขม็งฉู่อันเจ๋อที่ถูกจ้องด้วยสายตานั้นถึงกับตัวสั่น เขาย่นคอลงแล้วพูดว่า “พี่รอง ท่านอย่ามองข้าเช่นนั้น สายตาท่านน่ากลัวเหลือเกิน”ฉู่จวินสิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง “หากเจ้ากล้าพูดเรื่องแต่งงานอีก ข้าจะเย็บปากเจ้าเสีย”ฉู่อันเจ๋อรู้ดีว่าพี่ชายรองของเขาเป็นคนที่พูดจริงทำจริง เขาตกใจจนรีบเอามือปิดปากทันที ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียวบทสนทนาของสองพี่น้องนั้น ทั้งหมดล้วนเข้าหูของเจี่ยนอันอันพอคิดถึงอนาคตที่ต้องเข้าพิธีแต่งงานกับฉู่จวินสิง ไม่เพียงแต่ต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเท่านั้น ยังต้องนอนบนเตียงเดียวกันอีกด้วยมุมปากของเจี่ยนอันอันก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกเล็กน้อยระหว่างนางกับฉู่จวินสิงนั้น เพิ่งจะรู้จักกันได้เพียงแค่สองวันเท่านั้นทั้งคู่แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกใดๆเจี่ยนอันอันยังไม่คิดอยากแต่งงานกับฉู่จวินสิงเร็วขนาดนี้อ
หานซื่อลอบนึกชื่นชมความสามารถของเจี่ยนอันอันจากใจจริง เขารู้สึกได้รางๆ ว่าเจี่ยนอันอันไม่ใช่คนธรรมดา ความสามารถของนางคงไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้หลังจากทุกคนได้รับประทานอาหารจนอิ่มหนำ ความง่วงก็เข้ามาเยือน ผู้คนพากันนอนพักกันตามสถานที่ที่อยู่ใกล้ที่สุด และการนอนหลับในคืนนี้ก็เต็มไปด้วยความสบายใจเช้าวันรุ่งขึ้น เจี่ยนอันอันตื่นขึ้นมาเป็นคนแรก กองไฟที่เคยลุกโชนในยามค่ำคืนได้มอดดับไปนานแล้วเจี่ยนอันอันยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้า แล้วเริ่มทำเปลหามให้ฉู่จวินสิงนางใช้จีวรพระมัดเข้ากับไม้สองท่อน ไม่นานนักนางก็ทำเปลหามอย่างง่ายจนเสร็จเจี่ยนอันอันกำลังจะกลับไปนั่งที่เดิม แต่พลันรู้สึกถึงสายตาบางคู่ที่จ้องมองมาที่นางนางหันไปมองก็เห็นฉู่จวินสิงตื่นขึ้นมาแล้ว สายตาของเขาจับจ้องไปที่นางอย่างไม่วางตาเนื่องจากเมื่อคืนได้ดื่มน้ำแกงไก่และกินอิ่มเต็มที่ ใบหน้าของฉู่จวินสิงในตอนนี้ดูดีขึ้นกว่าก่อนมากเจี่ยนอันอันเดินเข้าไปตรวจสอบบาดแผลภายนอกของฉู่จวินสิงอีกครั้ง ยาที่นางทาไว้เมื่อคืนนี้เริ่มออกฤทธิ์แล้ว ทำให้บางส่วนของบาดแผลดีขึ้นมากเจี่ยนอันอันหยิบยารักษาแผลชุดใหม่ออกมา และเริ่มทาย
เจี่ยนอันอันเดินกลับเข้ามาในโถงใหญ่ก็พบว่าทุกคนตื่นกันหมดแล้วเนื่องจากเมื่อคืนพวกเขากินไก่และหมั่นโถวกันอย่างอิ่มหนำ ทำให้มันเทศเหลืออยู่ไม่น้อย และในตอนนี้ทุกคนก็ได้กินมันเทศที่เหลือจนหมดสิ้นเพื่อไม่ให้เสียเวลา หานซื่อจึงประกาศให้พวกเขาออกเดินทางทันที อากาศหลังฝนตกแจ่มใสเป็นพิเศษ ทุกคนออกจากวัดร้างและมุ่งหน้าเดินไปยังถนนในเมืองเฉาซาน เนื่องจากพวกเขาเป็นนักโทษเนรเทศ การเดินทางของพวกเขาจึงดึงดูดสายตาของชาวเมืองเฉาซานได้อย่างรวดเร็วผู้คนต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยถึงเรื่องราวของครอบครัวเยียนอ๋องบางคนจำได้ว่าเสื้อผ้าที่ฉู่จวินหลุนสวมใส่นั้นเป็นชุดที่มีเพียงอ๋องเท่านั้นที่สามารถสวมได้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์จึงยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ทว่าก็ยังไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่าคณะเดินทางนี้เป็นจวนอ๋องคนใด และพวกเขาก่ออาชญากรรมใด ถึงต้องถูกเนรเทศเช่นนี้เจี่ยนอันอันประคองฮูหยินใหญ่ เดินนำหน้ากลุ่มขบวนไปเหล่าญาติพี่น้องของจวนเยียนอ๋อง ต่างพากันเดินอย่างองอาจ ไม่ก้มหัวให้ใครแม้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านจะดังแว่วเข้ามา แต่ก็หาได้มีผู้ใดใส่ใจหรือหวั่นไหวแต่อย่างใดเมื่อพวกเขาเดินพ้นจากเมืองเฉาซ
ฉู่อันเจ๋อเมื่อได้ยินข้อเสนอนั้น ก็รีบก้าวออกมาอย่างรวดเร็วพลางพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้าจะเป็นคนแบกท่านเอง!”ไม่พูดเปล่า เขาเดินมายังเบื้องหน้าของฉู่จวินหลุน คุกเข่าลงแล้วเตรียมจะแบกพี่ชายขึ้นหลังฉู่จวินหลุนมองดูภูเขาสูงตระหง่านอีกครั้ง ก่อนจะเหลือบมองฉู่อันเจ๋อด้วยสายตาหนักใจในที่สุดด้วยความจำใจ เขาจึงต้องละทิ้งรถเข็น แล้ววางแขนพาดลงบนบ่าของฉู่อันเจ๋อฉู่อันเจ๋อแบกพี่ชายขึ้นหลัง เดินตามคณะต่อไปแต่เมื่อไม่มีรถเข็น ก็เท่ากับว่ากลุ่มของพวกเขาขาดอีกคนที่สามารถต่อสู้ได้ไปหากอีกไม่นานกลุ่มโจรภูเขาจะเข้ามาปล้นจริงๆ พวกเขาจะปกป้องคนในครอบครัวของเยียนอ๋องอย่างไร?ในใจของฉู่จวินหลุนเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ หากไม่ใช่เพราะขาของเขาที่ไม่สามารถขยับได้เขาคงไม่ต้องให้ฉู่อันเจ๋อมาคอยแบกเช่นนี้เมื่อเหล่าญาติพี่น้องพากันปีนขึ้นมาจนถึงกลางภูเขาอย่างยากลำบาก ในที่สุดก็อ่อนล้าจนเดินต่อไปไม่ไหว ทุกคนจึงทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงหานซื่อเห็นดังนั้นก็รีบสั่งให้ทุกคนหยุดพักเจี่ยนอันอันนั่งลงข้างกายฮูหยินใหญ่ นางสอดส่องสายตามองไปรอบๆนางคิดว่าหากจะมีโจรปรากฏตัวขึ้นมาปล้นที่นี่ ย่อมต้องมีเส้น
ฮูหยินใหญ่เริ่มกังวล พวกเขามีคนในจวนอยู่ยี่สิบกว่าชีวิต บัดนี้ล้วนเป็นผู้ถูกเนรเทศหากตายลงใต้คมดาบของโจรภูเขา ก็จะไม่มีผู้ใดเก็บศพอีกทั้งนางยังไม่แน่ใจนักว่าทหารรักษาพระองค์เหล่านี้มีฝีมือเพียงพอที่จะเอาชนะโจรภูเขาได้ และจะสามารถปกป้องพวกเขาออกจากที่นี่ได้สำเร็จหรือไม่ฉู่จวินหลุนเองก็ขมวดคิ้ว จ้องมองเจี่ยนอันอันด้วยความสงสัยแม้ว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกเขาเผชิญกับกลุ่มคนชุดดำ เจี่ยนอันอันจะแสดงความกล้าหาญอย่างมาก ใช้เข็มเงินในมือนางสังหารคนเหล่านั้นจนหมดแต่ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญกับโจรภูเขา ที่นี่มีโจรภูเขามากมาย เข็มเงินของเจี่ยนอันอันจะฆ่าได้สักกี่คน?นอกจากนี้ ในบรรดาญาติพี่น้องเหล่านี้ ยังมีทั้งคนชราและคนเจ็บป่วยอยู่ ฉู่จวินสิงก็ยังเดินไม่ได้ อย่าว่าแต่จะลุกขึ้นต่อสู้กับโจรภูเขาเลย แม้จะมีเขากับฉู่อันเจ๋ออยู่ด้วย แต่ก็คงสู้พวกโจรไม่ได้ พวกเขาจะเอาชนะโจรภูเขาเหล่านั้นได้อย่างไร?ฮูหยินใหญ่จึงเอ่ยขึ้นว่า “อันอัน การไปยังค่ายโจรนั้นอันตรายมาก แม้ว่าภูเขานี้จะชันสักหน่อย แต่ข้าคิดว่าเราค่อยๆ เดินช้าๆ ก็ยังพอจะข้ามภูเขานี้ไปได้ ข้าว่าเราไม่ควรเสี่ยงไปค่ายโจรนะ”คำพูดของฮูหยิ
เมื่อขบวนเดินทางมาถึงระยะหนึ่งแล้ว ทหารรักษาพระองค์สองนายที่นำทางอยู่ก็หยุดเท้าลงพวกเขามองไปยังหานซื่อแล้วเอ่ยว่า “หัวหน้า หากเดินต่อไปอีกสองลี้ เราก็จะถึงค่ายโจรแล้ว ท่านจะให้เราเดินต่อไปหรือไม่?”หานซื่อเองก็ไม่ปรารถนาที่จะไปยังค่ายโจร แต่ในเมื่อเจี่ยนอันอันตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไป เขาจึงจำต้องกัดฟันกล่าวว่า “ทำตามที่คุณหนูใหญ่เจี่ยนต้องการเถิด เดินต่อไป”ทหารรักษาพระองค์ทั้งสองแม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็จำต้องนำทางทุกคนเดินหน้าต่อไปพวกเขาก้าวออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆ กลุ่มโจรภูเขาก็โผล่ออกมาจากรอบทิศทางหนึ่งในโจรที่ถือดาบยาวตะโกนขึ้นด้วยเสียงเกรี้ยวกราดว่า “หยุด! ทางนี้ข้าคือผู้เปิด ต้นไม้นี้ข้าคือผู้ปลูก หากเจ้าปรารถนาจะผ่านทางนี้ จงทิ้งทรัพย์สินไว้เป็นค่าเดินทาง หากกล้าปฏิเสธ จงมาให้ข้าฟันศีรษะเสีย อย่าหวังว่าจะมีคนเก็บศพเจ้าที่ทุ่งร้างนี้!”เมื่อทุกคนเพ่งมองไปยังคนที่พูด พวกเขาพบว่าคนที่ตะโกนดุด่ากลับเป็นหญิงสาววัยยี่สิบปีเศษนางเกล้าผมยาวเป็นมวย และใช้ผ้าผืนหนึ่งพันศีรษะไว้ทหารรักษาพระองค์ต่างดึงดาบจากเอวออกมาทันที พร้อมกับแสดงท่าทีระมัดระวัง จ้องมองหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างเ
เหวินอิงขมวดคิ้วแน่น จ้องมองหานซื่อด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาใช้เล่ห์กลกับข้า หากมีฝีมือก็สู้กับข้าตัวต่อตัว!”เจี่ยนอันอันยิ้มพลางเดินเข้าไปใกล้ ตบเบาๆ ที่ไหล่ของหานซื่อเป็นสัญญาณให้เขาวางกระบี่ลงหานซื่อแม้จะไม่เข้าใจว่าเจี่ยนอันอันต้องการทำอะไร แต่ก็ทำตามที่นางบอก เขาเก็บกระบี่ลงตามคำสั่งเหวินอิงเห็นดังนั้นก็หมายจะหยิบดาบที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาเพียงแต่ได้ยินเจี่ยนอันอันเอ่ยขึ้นว่า “เข็มเงินของข้าเคลือบยาพิษไว้ หากเจ้ากล้าขยับแม้เพียงนิดเดียว พิษจะกำเริบ และเจ้าจะตายทันที”เมื่อเหวินอิงได้ยินคำนี้ สีหน้าของนางพลันบิดเบี้ยวไม่น่ามองทันทีนางเริ่มรู้สึกว่าแขนทั้งสองข้างของตนนั้นเริ่มไร้ความรู้สึกแล้ว ไม่นานนัก ร่างกายครึ่งหนึ่งของเหวินอิงก็เริ่มแข็งเกร็งขึ้นสีหน้าของเหวินอิงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นางถลึงตามองเจี่ยนอันอัน ขบกรามแน่นแล้วพูดว่า “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงมาสร้างความวุ่นวายบนเขาของพวกข้า?”เจี่ยนอันอันยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน มองเหวินอิงพลางดึงเข็มเงินออกจากข้อมือของนางเมื่อเข็มเงินถูกดึงออก เหวินอิงรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือและในทันใดนั้น