ใครๆในใต้หล้าต่างก็รู้ว่าเทพเซียนเป็นผู้ถือตัวยิ่ง เพราะต่างก็มีรูปโฉมงดงามหลากหลาย
สำหรับเผ่ามาร แม้มีบ้างที่รูปโฉมงาม ทว่าส่วนใหญ่ก็จะหาได้ไม่มากนัก
ส่วนเทพอสูรนั้นไม่ต้องพูดถึง พวกเขามีรูปกายอัปลักษณ์ ดังนั้นจึงต้องหาภรรยาที่ไม่รังเกียจกัน นั่นคือสัตว์อสูร
เป่ยหานจวินมีชายาเป็นอสูรนางแมวแสนซน หนันอี้จวินมีชายาเป็นอสรพิษธารา ตงหลิงจวินมีชายาเป็นอดีตมนุษย์ ทว่าตายแล้วได้เกิดใหม่เป็นอสูรกระต่ายป่าน่าทะนุถนอม
ส่วนซีจงจวิน...ไม่เคยรู้จักเทพ หรือมารตนใด เพราะเขตเรือนของเขาติดชายแดนปรโลก ไม่มีสิ่งสวยงามเฉียดมาใกล้แถวนั้นมากนักดังเช่นเขตเรือนของสหายทั้งสาม
จะมีก็แต่วิญญาณผีร้ายที่หลุดออกมาจากนรกให้ต้องช่วยกำจัดและส่งคืนไปเท่านั้น
งานเลี้ยงยังคงดำเนินไป คนบนตำหนักสวรรค์ร่วมพบปะกินดื่มกันอย่างสำราญ
"คารวะมหาเทพ ขอพระองค์ทรงปกครองผืนฟ้า ปกปักษ์พสุธาแสนปี แสนๆปี"
ชุนหรงเซิน เทพผู้ดูแลมวลพฤกษาพนาไพรประสานมือถวายบังคม ขณะเดินเข้าตำหนักรับรอง
ด้านหลังชุนหรงเซินคือธิดาทั้งแปด ถอนสายบัวอย่างอ่อนช้อย
"เจ้าแห่งพฤกษามาเยือนเขาสวรรค์ครานี้ ดอกไม้คงบานทั่วเขาไปอีกพันๆปี"
มหาเทพเอ่ย มองเลยไปยังธิดาผู้งดงามสะท้านฟ้าสะเทือนปฐพีทั้งแปด
"มหาเทพทรงกล่าวหนักไปแล้ว"
ชุนหรงเซินยิ้มรับ เขามีธิดาเป็นเซียนบุปผางามเหนือเทพเซียนทั้งปวง ตั้งชื่อพวกนางตามกลิ่นกายที่หอมคล้ายดอกไม้นั้นๆ ทั้งเหมยกุย ไป๋หลัน หวงหลัน จวี๋ฮวา ฉาฮวา เหลียนฮวา ไป่เหอ และคนสุดท้องคือมี่ฮวา
แม้ความงามจะสูสีกัน ทว่าในบรรดาพี่น้องกลับมีมี่ฮวาที่โดดเด่นที่สุด ด้วยกลิ่นกายหอมประหลาดไม่มีดอกไม้ใดเทียบได้
นั่นจึงเป็นที่มาของนามมี่ฮวา ที่แปลว่าดอกไม้ปริศนา
คารวะกันเสร็จ เหล่าเทพและมารต่างก็นั่งชมขบวนนักสังคีตบรรเลงเพลง เซียนสตรีร่ายรำ บ้างก็เดินชมสวนนอกตำหนัก
มี่ฮวาออกมาเดินเล่นกับพี่ฉาฮวาและไป่เหอ ตลอดทางมีสายตาของเทพและมารหนุ่มทั้งหลายจ้องมาไม่วาง
"มารคนนั้นท่าทางดุดันน่าเกรงขามยิ่งนัก" ฉาฮวาเอ่ยขณะลอบมองชายหนุ่มร่างใหญ่ในชุดเผ่ามารเพลิงที่แอบมองนางเช่นกัน
"หากท่านพ่อรู้ว่าพี่ชอบคนเผ่ามาร พี่ตายแน่" ไป่เหอรู้ทันพี่สาวตนจึงว่าเย้า ให้ฉาฮวาทำท่าแก้มป่องไม่พอใจ
เทพและมารสงบศึกกันก็จริง แต่ใช่ว่าจะอยู่ร่วมกันได้ ต่างฝ่ายต่างถือตัว รักข้ามเผ่าจึงไม่มีวันเกิดขึ้น
มี่ฮวาเห็นพี่สาวทั้งสองหยอกกันไปมาก็นึกขำ พวกนางทั้งแปดยังไม่มีใครได้แต่งให้บุรุษเผ่าใดทั้งนั้น แต่เชื่อว่าท่านพ่อคงจองคนที่เหมาะสมที่สุดไว้ให้แล้ว
"คารวะเซียนบุปผางามทั้งสาม"
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นด้านหลัง พวกนางหันไปมองแล้วส่งยิ้มให้เมื่อพบว่าคนที่เดินเข้ามาหาเป็นคนคุ้นเคย
"คารวะท่านอวี้เวินฉิง ผู้บันดาลแสงสว่างแก่ผืนพิภพ"
ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาทักทายยิ้มรับชื่นใจเมื่อพวกนางหันมาทำความเคารพเขาน้ำเสียงร่าเริง
หากจะกล่าว อวี้เวินฉิงผู้นี้รู้จักและคุ้นเคยกับเซียนบุปผาทั้งแปดเป็นอย่างดี เขาคือโอรสคนกลางของเทพแห่งแสง ถือเป็นตระกูลที่สำคัญมากในแดนอุดร
และเขาคือหนึ่งในคนที่มุ่งมาดว่าจะได้ธิดาคนสุดท้องของชุนหรงเซินมาครอบครอง
"ไม่ชอบงานข้างในหรือ"
อวี้เวินฉิงถาม ดวงตายังไม่อาจละจากการมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด
ฉาฮวากับไป่เหอลอบสะกิดกันเล็กน้อยอย่างรู้งาน ก่อนจะเอื้อนเอ่ยเสียงหวาน
"จริงๆพวกข้าชอบดูระบำฟังดนตรีข้างในมาก แต่มี่ฮวาน่ะสิเจ้าคะ นางเบื่อบรรยากาศอึดอัดข้างในเลยขอออกมาสูดอากาศ พวกข้าเป็นห่วงเลยต้องตามออกมา"
"หากไม่รังเกียจ ท่านอวี้เวินฉิงอยู่เป็นเพื่อนเดินเล่นกับนางได้หรือไม่เจ้าคะ พวกข้าเดินกันจนเมื่อยไปหมดแล้ว"
"ท่านพี่"
เห็นพวกนางทำอ้อนวอน มี่ฮวาที่รู้ว่าพี่สาวมีจุดประสงค์อะไรจึงปรามเบาๆ
แน่นอนว่าเข้าทางคนถูกขอร้อง โอกาสหายากเช่นนี้เขาไม่เกี่ยงงอนอยู่แล้ว
"หากพวกท่านว่าเช่นนั้น ก็ย่อมได้"
แล้วเขาก็เดินนำไป ฉาฮวากับไป่เหอดันหลังน้องสาวให้ตามไป
มี่ฮวาเดินพูดคุยกับอวี้เวินฉิงไปเรื่อยๆ เขาชวนดูธรรมชาติรอบเขาสวรรค์ที่ไม่ค่อยคุ้นตานัก
ในแต่ละดินแดนจะมีธรรมชาติเป็นของตน มี่ฮวาที่ได้มาที่แผ่นดินใหญ่เป็นครั้งแรกจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก ต่างจากอวี้เวินฉิงที่มาเขาสวรรค์ทุกห้าพันปี เห็นสิ่งเหล่านี้จนชินเสียแล้ว
"เจ้าชอบต้นท้อสวรรค์มากหรือ"
เขาถามขณะมองหญิงสาวที่เงยหน้าดูต้นไม้ซึ่งออกดอกสีชมพูหวานทุกกิ่งก้าน สายลมพัดเอื่อยพาให้กลีบปลิวไสวราวจะชักชวนให้ร่วมร่ายรำ
"ข้าเพียงเห็นว่าสวยดีเจ้าค่ะ ที่แดนเราไม่มีต้นท้อสวรรค์ของจริงให้ดูเช่นนี้ หากอยากเห็นก็ต้องดูเอาจากรูปวาดของท่านอาจารย์"
"เจ้า..แน่ใจหรือว่าไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน"
อวี้เวินฉิงเอ่ยถาม หญิงสาวก็พยักหน้ามองเขา
"แน่ใจเจ้าค่ะ ท่านก็ทราบดีว่าท่านพ่อข้าไม่เคยให้ออกจากดินแดน หากไม่เห็นว่าข้าและพี่ๆถึงวัยที่สมควรมาคารวะท่านมหาเทพ ก็ไม่ยอมให้มาเจอคนเยอะเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ"
"ข้าเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อ มีลูกสาวงามเช่นนี้เป็นข้าคงไม่ให้ออกจากตำหนักแม้ก้าวเดียว จะถนอมไว้ชื่นชมคนเดียวเลย"
ว่าเช่นนั้นมี่ฮวาก็แก้มขึ้นสีระเรื่อ เอียงอายด้วยบุรุษตรงหน้ารูปงามนัก
เทพแห่งแสงผู้นี้อายุมากกว่านางเพียงหกพันกว่าปี เส้นผมสีทองสว่างดั่งอรุณรุ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ผิวกายขาวเนียน ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีน้ำเงินช่างดูสง่าผึ่งผาย
เมื่อได้รับคำชมจากเขา นางย่อมรู้สึกดี...
แต่เวลาแห่งความสุขนั้นคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะครู่ต่อมาก็ได้ยินเสียงดังแหลมเอ่ยขึ้นด้านหลัง
"ดอกไม้ต่อให้งามเท่าใด สักวันก็โรยรา"
น้ำเสียงเย้ยหยันนั้นทำให้คนทั้งสองหันไปมอง พบว่ามีนางมารยืนกอดอกท่าทางไม่พอใจอย่างมาก
ดูจากอาภรณ์กรุยกรายสีม่วงสลับดำ นางคงมาจากเผ่ามารราตรี ดวงตานางสีม่วงเปล่งประกายเฉี่ยวคมเป็นเอกลักษณ์ มีไฝเม็ดเล็กที่ใต้ตา รูปร่างบางผิวขาวซีดราวหิมะ
"จื่อสุ่ยจิง!"
อวี้เวินฉิงขานนามนั้นเสียงดัง นางกล้าว่ามี่ฮวาของเขาได้อย่างไร!
แต่คนโดนขึ้นเสียงใส่ดูจะไม่สะทกสะท้าน นางเดินเข้าไปมองหน้ามี่ฮวาใกล้ๆก่อนแสยะยิ้มร้าย
"เจ้านี่มันไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ สตรีเจ้าชู้มากรัก น่ารังเกียจ!"
มี่ฮวาได้แต่ขมวดคิ้วมอง เหตุใดสตรีที่ไม่รู้จักกันมาก่อนผู้นี้ถึงได้โผล่มาแล้วก็ว่านางปาวๆอย่างไม่มีเหตุผล
"เจ้าเป็นใคร"
"ก็คนที่มีบัญชีหนี้แค้นกับเจ้าอย่างไรเล่า!"
หนี้แค้น...
เมื่อไหร่กัน?
"เจ้ากล้ามายั่วยวนอวี้เวินฉิงเช่นนี้คงเพราะลืมฤทธิ์พัดเซียงเซียวของข้า แต่ไม่เป็นไรข้าจะช่วยเจ้ารื้อฟื้นมันเอง!!"
แล้วนางก็หยิบพัดจีบสีดำกาง อวดลวดลายจากหมึกขาวและทอง แต่งแต้มเป็นรูปทิวทัศน์ดวงจันทร์ท่ามกลางทุ่งหิมะเย็นยะเยือก
"หยุดนะจื่อสุ่ยจิง! อย่ามาก่อความวุ่นวายที่นี่"
อวี้เวินฉิงออกหน้าปกป้องมี่ฮวา นั่นยิ่งทำให้สตรีนามจื่อสุ่ยจิงเดือดดาลราวไฟสุมอก
"ท่านมันคนใจร้าย! ท่านรานน้ำใจข้า ข้าเฝ้าติดตามรักมั่นเพียงท่านแต่กลับไม่สนใจไยดีข้าสักนิด!"
จื่อสุ่ยจิงตวาดก้องจนทั้งเทพและมารแถวนั้นต่างก็เริ่มสนใจเดินเข้ามามุงดู
อวี้เวินฉิงเองก็โกรธ นางทำให้เขาอับอายต่อหน้าคนหลายเผ่า ทำให้ทุกคนมองว่าเขามีใจให้นางแล้วทิ้งมาหาอีกคนเช่นนี้ มี่ฮวาจะมองเขาอย่างไร!!
"หากเจ้าไม่หยุดสร้างเรื่อง ข้าจะเกลียดเจ้ามากกว่านี้แน่จื่อสุ่ยจิง!"
"ท่านก็เกลียดข้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ! ข้าจะทำอะไรก็ไม่เคยดีอยู่แล้วนี่!!"
นางร้องไห้น้ำตาร่วงเผาะ แต่ในสายตาของอวี้เวินฉิง หาได้ดูน่าสงสารไม่
จื่อสุ่ยจิงเป็นหลานของจอมมารราตรี นางก็จัดว่างามอยู่ แต่นิสัยแย่จนเกินรับได้ กิตติศัพท์เลื่องลือด้านความไม่ได้เรื่องและร้ายกาจไม่เป็นรองผู้ใด
และที่แย่ที่สุดคือ จื่อสุ่ยจิงหลงรักอวี้เวินฉิงมาหมื่นปี พยายามตามตื๊อถึงขนาดข้ามดินแดนเพื่อมาเจอเขาให้ได้อยู่บ่อยครั้ง
ทั้งที่ก็รู้ดีว่าเผ่ามารกับเผ่าเทพไม่อาจอยู่ร่วมกันได้แท้ๆ..
นอกจากเผ่าพันธุ์แล้ว รู้ทั้งรู้ว่าธาตุของทั้งคู่เป็นสิ่งที่ตีกันจนไม่อาจอยู่ใกล้กันได้ นางก็ยังพยายามอยู่นั่น
และหากเห็นว่านางเซียนที่ไหนเข้าใกล้อวี้เวินฉิง จื่อสุ่ยจิงก็จะไม่ปล่อยเด็ดขาด เป็นต้องตามไประรานหาเรื่องให้เดือดร้อนทุกที
จื่อสุ่ยจิงโกรธจนตัวสั่น หันมาระบายโทสะใส่มี่ฮวา ด้วยการโบกพัดจีบสีดำในมือ
วูบเดียวเท่านั้น ไอมารสีนิลพวยพุ่ง ตรงเข้าหมายทำร้ายเซียนบุปผา แต่ก็สูญสลายเมื่อต้องคมกระบี่สีเงินวาววับในมืออวี้เวินฉิง
เห็นเช่นนั้น ริมฝีปากอิ่มแดงอ้าค้าง ปกติชายผู้นั้นไม่เคยออกหน้าปกป้องสตรีนางไหนเท่านี้มาก่อน
มีเพียงมี่ฮวาที่เขาคอยดูแลใส่ใจ มีเพียงมี่ฮวาที่เขาหมายตา มีเพียงนางไม่ว่าจะกี่พันกี่หมื่นปีก็มีเพียงนาง...
ข้างามไม่เท่ามี่ฮวาที่ตรงไหน ด้อยกว่าที่ใดกัน!!
"เป็นนางอีกแล้ว ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ท่านก็มองแต่นาง! แล้วข้าเล่า!! ข้าอยู่ตรงไหนในสายตาท่าน!!?"
จื่อสุ่ยจิงระเบิดความโกรธเกรี้ยว ตีโพยตีพายร้องไห้อย่างเด็กไม่รู้จักโต ทั้งที่นางอายุถึงหมื่นสี่พันปีเท่ามี่ฮวาแท้ๆ
แล้วโทสะก็เป็นพลังชั้นดีให้พัดเซียงเซียว นางสะบัดโบกอีกครั้งเกิดคลื่นพายุใหญ่
ทว่าก็ถูกลำแสงจากกระบี่ของอวี้เวินฉิงโต้กลับเช่นเดิม คลื่นพายุหายไป กลับกลายเป็นลำแสงนั้นพุ่งเข้าใส่จื่อสุ่ยจิงโดยตรง
"อั่ก!!!!"
ร่างนางมารปะทะกับแรงนั้นลอยหวือไปกระทบก้อนหินใหญ่ด้านหลัง เจ็บกายราวร่างแหลก หัวใจร้าวรานปานจะสลายเป็นฝุ่นผง
มี่ฮวาได้แต่ยืนอึ้งงันกับเกตุการณ์ตรงหน้า เสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้ทุกคนวิ่งออกมามุงดู
"จื่อสุ่ยจิง!!"
เพ่ยหว่านเดินออกมาเจอหลานสาวนอนสลบอยู่บนพื้นก็รีบวิ่งเข้าประคองร่างน้อยขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
"จื่อสุ่ยจิง! จื่อสุ่ยจิง!!"
เขาตะโกนเรียก กายบางค่อยๆปรือตาขึ้นเล็กน้อย ลูกแก้วสีม่วงใสเจิ่งนองด้วยน้ำตาเอื้อนเอ่ยหาเขาเสียงสั่น
"ท่านอา.."
นางพูดได้สองคำแล้วสลบไป เพ่ยหว่านโอบกอดหลานสาวไว้ หันกลับมามองอวี้เวินฉิงดวงตาแดงก่ำ
"ต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ!!!!"
อวี้เวินฉิงสะดุ้งตกใจ ชุนหรงเซินที่วิ่งตามออกมาเองก็ตกใจเช่นกัน เพราะเห็นลูกสาวคนเล็กไปยืนอยู่กลางวงนั้นด้วย
"มี่ฮวา เกิดอะไรขึ้น!?"
บิดาวิ่งเข้ามาหาลูกสาว สายตาที่มองอวี้เวินฉิงดูไม่ค่อยดีนัก
"ท่านพ่อ สตรีนางนั้นพุ่งเข้ามาทำร้ายข้า แต่ท่านอวี้เวินฉิงเข้ามาช่วยจึงเกิดการปะทะกันเจ้าค่ะ"
มี่ฮวาบอกไปตามตรง อวี้เวินฉิงคุกเข่าลง ประสานมือต่อหน้าชุนเซินหรง
"ข้าทำให้นางเดือดร้อน ขออภัยท่านเทพแห่งพฤกษา"
เขาขอโทษชุนหรงเซิน แต่กลับไม่สนใจเพ่ยหว่านและจื่อสุ่ยจิงสักนิด นั่นทำให้จอมมารราตรีเกรี้ยวโกรธเกินระงับ
"บังอาจ! เจ้าสูงส่งมาจากที่ใดกันถึงกล้าทำกับเราเผ่ามารราตรีเช่นนี้! เตรียมตัวรับโทษของเจ้าเสีย!!!"
ฉับพลันกระบี่เหล็กดำนับพันเล่มถูกเสกลอยคว้างเหนือศีรษะอวี้เวินฉิง คล้ายเตรียมทำมหาสงครามกับเทพแห่งแสงสุริยัน
ทว่าก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของเจ้าผู้ครองสรวงสวรรค์
"พวกเจ้าหยุดก่อน"
มหาเทพเสด็จออกจากที่ประทับ เดินมาหยุดระหว่างกลางด้วยท่าทางงามสง่าเหนือเทพทั้งปวง
"ที่นี่คือแผ่นดินของเรา หาใช่สมรภูมิ และวันนี้ก็เป็นงานเชื่อมสัมพันธ์ของพวกเจ้าสองเผ่า จะให้เกิดศึกนองเลือดด้วยเหตุใด"
มหาเทพตรัส ทุกสุรเสียงพลันหายวับ ทุกคนก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาเย็นเยียบของผู้พูด
แม้แต่เพ่ยหว่านที่เจ็บแค้นในใจก็ยังต้องยอมสยบ เก็บกระบี่ทั้งหมดเสีย
"จอมมารราตรี หลานสาวของเจ้าก่อเหตุ สมควรได้รับโทษ แต่เราจะละเว้นให้เพราะนางได้รับบาดเจ็บจากการกระทำนั้นแล้ว เท่านี้พอหรือไม่"
"ขอบพระทัยมหาเทพที่ทรงเมตตา"
เพ่ยหว่านประสานมือเบื้องหน้า ยอมรับแต่โดยดี
"ส่วนเจ้า เทพแห่งแสง โทษฐานที่ทำเกินกว่าเหตุ สร้างความร้าวฉานระหว่างเผ่าเทพและมาร เจ้าจงไปดูแลความสงบบนโลกมนุษย์ ห้ามกลับขึ้นสวรรค์ห้าพันปี"
"น้อมรับราชโองการมหาเทพ"
อวี้เวินฉิงกัดฟันเจ็บใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ด้วยเขาเองก็ผิดจริงจึงต้องยอมรับ
"เรื่องหมดแล้ว จอมมารราตรีพาหลานกลับไปรักษาตัวเถิด"
มหาเทพกล่าวจบก็เดินกลับเข้าที่พำนักพร้อมกับเทพเซียนชั้นสูงทั้งสิบหกองค์ตามไป
เหลือเพียงเซียนน้อย เซียนชรา เผ่ามารทั้งหลาย ยืนล้อมวงพูดวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา
อวี้เวินฉิงเหลือบมองมี่ฮวา นางก้มหน้าหลบเสียงเหล่านั้น อับอายแทบแทรกแผ่นดิน เดินตามหลังผู้เป็นบิดากลับเข้าที่พำนักเช่นกัน
ส่วนเพ่ยหว่านอุ้มจื่อสุ่ยจิงขึ้นมาแล้วหายตัวกลับแผ่นดินทักษิณไปทันที
เหลือก็แต่อวี้เวินฉิงที่ยังคงมองตามแผ่นหลังของมี่ฮวาค่อยๆไกลออกไปด้วยความอาลัย
อีกห้าพันปี.. นางจะรอเขาอยู่หรือไม่
*****************
เหมยกุย คือดอกกุหลาบ
ไป๋หลัน คือดอกจำปี
หวงหลัน คือดอกจำปา
จวี๋ฮวา คือดอกเบญจมาศ
เหลียนฮวา คือดอกบัว
ฉาฮวา คือดอกคามิเลีย
ไป่เหอ คือดอกลิลลี่
งานเลี้ยงวันนั้นได้ผ่านมาแล้วอีกหลายปีเป็นหลายปีที่น่ารำคาญใจยิ่ง ด้วยมีข่าวลือแพร่สะพัดไปว่ามี่ฮวาแย่งชิงอวี้เวินฉิงมาจากจื่อสุ่ยจิงแรกๆมี่ฮวาไม่รู้อะไรจึงออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกตามปกติ กระทั่งเห็นสายตาคนรอบข้างที่เปลี่ยนนั่นแหละ ความรู้สึกนางถึงเปลี่ยนตามประกอบกับเหล่าคนใช้ที่ไปตลาดเช้าชอบเอาข่าวแปลกๆมาเล่าให้ฟัง ทำให้ยิ่งระคายหูจากนั้นนางก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในวัง แทบไม่กล้าย่างกรายออกจากตำหนักด้วยซ้ำ บิดานางก็อยากจะช่วยแก้ปัญหาให้ แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกเสียทีเขารู้ว่าลูกทุกข์ใจขนาดไหน นางไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อยในชีวิต กลับต้องมาติดในวังวนที่ใครก็ไม่รู้เป็นผู้สร้างเช่นนี้วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม มี่ฮวานั่งเหม่อลอยมองแจกันดอกไม้ในห้องโดยมีสายตาของพ่อและแม่แอบสอดส่องมาจากนอกหน้าต่างเห็นดวงตาไม่สดใสของลูกสาวแล้ว ฮูหยินต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่"เหตุใดผู้คนถึงขยันเล่าขานเรื่องไม่จริงกันนักนะ"นางบ่นน้ำเสียงหม่นลง กังวลกับคำร่ำลือไร้แก่นสารที่ฝังหัวคนนานเกินไป"เราจะช่วยลูกอย่างไรดีเจ้าคะ" นางหันมาถามตาละห้อยชุนหรงเซินเองก็ไม่รู้ เป็นที่ลือกันเช่นนี้ ไม่ว่าจะสูงส่งมาจากไหนก็ถูกรังเกียจได
ที่นี่...ที่ไหน?ชุนหรงเซินเปิดเปลือกตาหนักอึ้งช้าๆ สิ่งที่เห็นอย่างแรกเป็นเพดานไม้สูง คล้ายอยู่ในเรือนใครสักคนเทพเซียนไล่มองไปรอบๆ สายตาไปสะดุดเข้ากับร่างใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆเทพอสูร!!!เป็นเทพอสูรตัวแดงผู้มีสี่เขาหกมือ ด้านหลังมีหางปล้องสีดำเงาเยี่ยงแมงป่องพิษร้ายคนเจ็บทำท่าจะขยับตัวหนี ทว่าร่างกายกลับไม่ทำตามสมองสั่ง นอนนิ่งอยู่เช่นนั้นรอให้เทพอสูรเคลื่อนกายเข้ามาหาช้าๆกรงเล็บยาวยื่นมาใกล้ใบหน้า ชุนหรงเซินหลับตาปี๋ ใจเต้นดังดั่งเสียงประทัดด้วยความลุ้นระทึกข้ากำลังจะถูกฆ่า!!..แปะ..มือข้างหนึ่งที่ใหญ่เท่าศีรษะของเทพเซียนวางลงกลางหน้าผาก ครู่หนึ่งจึงยกออก"ไข้ลดแล้ว พักอีกสักหน่อยท่านก็จะหายดีขอรับ"น้ำเสียงเข้มดุของเทพอสูรทำให้ชุนหรงเซินค่อยๆลืมตาอีกครั้ง กะพริบปริบๆมองบุรุษที่นั่งชะโงกหน้ามองเขาเช่นกัน"รับโจ๊กเลยไหมขอรับ ข้าพึ่งต้มเสร็จคาดว่าท่านน่าจะตื่นมายามนี้พอดี"ฟังแล้วชวนให้ขมวดคิ้วงุนงง คราแรกไม่กล้ารับอาหารจากเทพอสูร แต่หลังจากได้กลิ่นโจ๊กหอม กระเพาะเจ้าปัญหาก็ส่งเสียงประท้วงขึ้นมาอย่างถูกจังหวะเสียอย่างนั้น"ค่อยๆลุกนะขอรับ"ฝ่ามือใหญ่ช้อนประคองร่างเทพเซียนขึ้นม
"เหงาเป็นอย่างไรหรือขอรับ"คำถามนั้นทำให้คนตอบถึงกับสะอึก ถ้อยคำทั้งหมดจุกอยู่ที่คอเทพอสูรผู้นี้ตายด้านไปแล้วอย่างนั้นหรือ.."ความเหงาก็คือห้วงอารมณ์หนึ่ง เป็นความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย จนเจ็บหน่วงในใจ"ชุนหรงเซินขยายความขึ้นเล็กน้อย แต่นั่นก็ยังไม่คลายความสงสัยได้มากพอ ซีจงจวินจึงถามต่อ"แล้วเมื่อใดถึงจะรู้สึกเหงาหรือขอรับ""ก็.. อย่างตอนที่อยากคุยกับใครสักคนแล้วไม่มีคนให้พูดด้วย หรือไม่มีคนที่ทำให้รู้สึกสบายใจอยู่ด้วย ทำให้คิดถึงจนรู้สึกโหวงเหวงในใจอะไรเทือกนั้น"หลังจากอธิบายไปแล้ว ซีจงจวินเพียงมองชุนหรงเซินนิ่งๆเช่นเดิม สีหน้าเขาไม่บ่งบอกสิ่งใดเลยแต่มือข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นมากุมอกซ้ายเอาไว้ ราวกับจะถามหัวใจว่าเป็นอย่างไรบ้าง.."เช่นนั้น ข้าก็รู้สึกเหงาแล้วขอรับ"ท่าทางของซีจงจวินทำให้เทพเซียนแห่งผืนป่าเข้าใจขึ้นมาทันทีนึกถอนคำพูดในใจที่ว่าเขาตายด้าน เพราะซีจงจวินยังมีหัวใจรับรู้ความรู้สึก เพียงแต่ไม่รู้จักมันเท่านั้น"ท่านเองก็เหงาเป็น คิดถึงเป็นเหมือนกันสินะ""ขอรับ ข้าคิดถึงขอรับ""ท่านคิดถึงผู้ใดหรือ"คำถามของชุนหรงเซินทำให้ซีจงจวินชะงักไป เขาทวนคิดคำพูดของตนก่อนหน้านี้แล้วก็ไ
เทพเซียนทั่วทั้งแผ่นดินอุดรเดินทางมายังวังของเทพแห่งพฤกษาเพื่อเข้าร่วมงานดูตัวที่จัดอย่างสมฐานะเซียนตระกูลใหญ่ในตำหนักรับรองมีบุรุษนั่งปั้นยิ้มหน้าสลอนกันเต็มไปหมด ต่างสวมใส่อาภรณ์ชั้นดีเพื่อบ่งบอกความร่ำรวยและอำนาจตระกูลตั้งแต่นั่งคุยเช้าจรดค่ำ ไม่มีใครเลยที่ทำให้มี่ฮวาพึงใจ ทุกคนล้วนแต่เข้ามาเพื่ออวดอ้างว่าตนทำสิ่งนั้นได้สิ่งนี้ได้ ไม่ก็พยายามหาของมาเพื่อหลอกล่อซื้อใจนางบ้างป้อนคำหวาน ป้อยอกันจนระคายหู หาได้มีความจริงใจสักนิด เพราะได้เห็นรูปโฉมงดงามจึงอยากได้มี่ฮวาไปประดับเรือน ราวกับนางเป็นสิ่งของ...ไม่ดูถูกกันมากเกินไปหน่อยหรือสุดท้ายก็จบลงด้วยการให้เทพเซียนเหล่านั้นกลับวังของตัวเองไป โดยมี่ฮวาอ้างว่านางต้องใช้เวลาในการตัดสินใจสักหน่อย"ไม่มีใครถูกใจเจ้าบ้างหรือ"ชุนหรงเซินเอ่ยถาม มี่ฮวาที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็ได้แต่ส่ายหน้า"จะให้ข้าชอบได้อย่างไรเจ้าคะ พวกเขาถูกใจที่รูปโฉม หากแต่งให้แล้ววันหนึ่งความสวยข้าโรยราดั่งดอกไม้เหี่ยวเฉาไปตามกาล จะไม่โยนทิ้งไปเสียง่ายๆหรือเจ้าคะ"บิดาฟังเข้าใจ นิสัยบุรุษเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อแรกยังไม่ได้ก็จะทำทุกทางเพื่อให้ได้มา แต่หากลองได้เบื่อแล้วก็คง
ชุนหรงเซินหันมองที่ซีจงจวินทันที หัวคิ้วขมวดปมแน่นซีจงจวินไปทำอะไรที่แม่น้ำลืมเลือน ซึ่งอยู่ถึงสุดเขตดินแดนบูรพากันนะ..แต่ไม่ทันจะได้ถามต่อ ร่างของเทพอสูรก็ทรุดฮวบลงกองกับพื้นเสียแล้วเปลือกตาของซีจงจวินปิดสนิท บ่งบอกว่าเข้าสู่ห้วงนิทราไปเรียบร้อยชุนหรงเซินได้แต่ถอนหายใจกับปริศนาที่ชายผู้นี้ทิ้งเอาไว้ให้ ก่อนจัดแจงให้เขานอนในท่าที่ดูเรียบร้อยขึ้น แล้วตนก็นั่งดื่มสุราต่อผู้เดียวทั้งคืน...ดวงตะวันเริ่มเลื่อนขึ้นสู่ท้องฟ้า เหล่าสัตว์อสูรตื่นจากการหลับใหลซีจงจวินเองก็ตื่นตามเวลาปกติเช่นกัน แต่เช้านี้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย"โอยยย..."เขาครางเสียงต่ำ ฤทธิ์สุราสวรรค์ช่างร้อนแรง เล่นเอาปวดหัวตาลายจนไม่อาจทรงตัวได้ดีนัก"ตื่นแล้วหรือ"ชุนหรงเซินยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตั้งแต่เมื่อคืน มองซีจงจวินที่ตอนนี้อยู่ในท่าประหลาดเทพอสูรคุกเข่าก้มตัวต่ำศีรษะแทบติดพื้น มือสองข้างกุมขมับ อีกสี่ข้างยันพื้นเอาไว้ หางปล้องยาวชูขึ้นสูงดูๆไปแล้วก็เหมือนแมงป่องจริงๆ เป็นแมงป่องยักษ์ที่กำลังอารมณ์ไม่ดี เกรงว่าหากเข้าไปกวนใจจะโดนฆ่าตายได้ง่ายๆ"ดื่มน้ำยาสร่างเมานี่เสีย"ชุนหรงเซินยื่นถ้วยยาส่งให้ซีจงจวิน เขารับ
มี่ฮวาตื่นรับอรุณอันแจ่มใส ลุกมาทานสำรับเช้าพร้อมบิดามารดาและพี่ๆอย่างอารมณ์ดี"เจ้าคงหาสามียากขึ้นอีกแน่" สองฝาแฝดไป๋หลันและหวงหลันเอ่ย มี่ฮวาเพียงยู่ปากเล็กน้อยก่อนคีบกับข้าวกินแบบไม่ใส่ใจนัก"หากได้ไม่ดี ไม่มีเลยดีเสียกว่า" นางว่า ชุนหรงเซินก็ทำท่าหนักใจแม้จะโล่งที่อย่างน้อยลูกสาวก็ไม่ต้องแต่งให้คนที่ไม่เหมาะสม แต่ต่อไปคงมีข่าวลือเกี่ยวกับมี่ฮวากระจายไปทั่วอีกแน่แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อเหล่าสาวใช้กลับจากตลาดก็วิ่งเข้ามาหาพวกเขาพร้อมบอกข่าวที่เก็บได้จากการออกไปข้างนอกว่า'ลูกสาวคนเล็กของเทพแห่งพฤกษาปฏิเสธการเลือกคู่เพื่อรอเทพแห่งแสงผู้เคยเป็นคนรักของหลานจอมมาราตรี'ตะเกียบในมือหล่นทันทีหลังฟังจบ สาวใช้ยังบอกอีกว่า บางคนก็เล่าลือกันไปว่า'ว่ากันว่าแม่นางมี่ฮวาต้องการให้อวี้เวินฉิงกลับมาหานาง แต่อวี้เวินฉิงไม่มานางจึงไม่เลือกชายใด''แม่นางมี่ฮวาไม่รู้สูงต่ำ กลั่นแกล้งเทพเซียนปั่นหัวบุรุษแล้วตัดเยื่อใยไม่ไว้ไมตรี''ลูกสาวเทพแห่งวสันต์ต้องการเพิ่มระดับความนิยมของตน จึงจัดงานดูตัวปลอมๆขึ้นมา''ตอนนี้เหล่าเทพรู้ซึ้งแล้ว ต่อให้งามเพียงใด แต่คิดร้ายหมายล่มเมือง พวกเขาไม่มีใครอยากแต่งน
คืนนั้น หลังจากได้เห็นว่าดอกไม้ที่มี่ฮวาสร้างขึ้นไปอยู่บนเตียงของซีจงจวิน ชุนหรงเซินก็รีบกลับทันทีไม่อยู่ต่อหรือนำสุราติดมือไปด้วยสักไหเขารีบไปตระเตรียมจัดการกิจธุระที่จำเป็นทั้งหมด สะสางทุกสิ่งให้พร้อมสำหรับงานแต่งโดยเร็วอย่างไรเสียก็ต้องเอาซีจงจวินมาเป็นลูกเขยให้ได้!เย็นวันต่อมาชุนหรงเซินเรียกตัวมี่ฮวาให้ออกจากห้อง ออกอุบายว่าจะพาไปเที่ยวสูดอากาศในที่ดีๆ แล้วจึงพานางขึ้นรถลากเหาะข้ามแดนมาแม้จะเตรียมการไว้หมดแล้ว แต่เรื่องนี้ทั้งฮูหยินและลูกสาวทั้งแปดไม่มีใครรู้เลยสักคนมี่ฮวาเองก็ยังแปลกใจที่จู่ๆบิดาพานางออกมาที่ไกลๆ ทั้งที่เมื่อก่อนแทบไม่ให้ออกจากตำหนักด้วยซ้ำ"เรากำลังจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ"เสียงหวานเอ่ยถาม ชุนหรงเซินหันมาแย้มยิ้มให้ ตอบคำถามแบบตั้งใจเลี่ยง "ไปในที่ที่จะทำให้เจ้ามีความสุข""แล้วมันที่ไหนกันเล่าท่านพ่อ""เดี๋ยวถึงแล้วพ่อจะบอก"เหตุใดบิดาถึงไม่ยอมตอบตามตรงกันนะ..ผ่านไปเกือบสองชั่วยาม รถลากไร้ม้าเทียมร่อนลงจอดที่หน้าเรือนหลังหนึ่งมี่ฮวาและชุนหรงเซินลงจากรถ ตอนนั้นดวงตะวันได้หายลับไปแล้ว ท้องฟ้าครึ้มมีดวงดาวส่องให้แสงไม่สว่างเอาเสียเลยคนทั้งสองยืนนิ่งในความมืดไร
สุดท้ายชุนหรงเซินพามี่ฮวากลับเข้ามานั่ง หญิงสาวไม่พูดอะไร บิดาจึงเป็นคนคุยธุระกับทางฝ่ายเจ้าบ่าวแทนแน่นอนว่าซีจงจวินตอบตกลงอย่างง่ายดาย ไม่ว่าเรียกสินสอดราคามหาศาลเท่าใดก็ไม่เกี่ยง แล้วยังทำท่าดีใจเนื้อเต้นเขาก็เป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่หลงรูปกายสตรีเหมือนคนอื่นๆยิ่งคิดความรังเกียจที่มีต่อว่าที่สามีก็ยิ่งทับถมกันเป็นชั้นหนาในใจ...รุ่งเช้าตอนกลับบ้านที่แดนเหนือ ซีจงจวินยังคงมองตามแผ่นหลังของเทพธิดาบนรถลากค่อยๆห่างออกไป มี่ฮวาเองก็รู้และยิ่งไม่พอใจด้วยคิดว่าสายตานั้นจาบจ้วงหยาบคายเสียเหลือเกินมองกันจนจะทะลุไปถึงไหนต่อไหน ไม่ให้เกียรติกันสักนิด!...เดือนต่อมา พิธีมงคลสมรสถูกจัดขึ้นที่วังของชุนหรงเซิน เป็นงานที่ยิ่งใหญ่อลังการแม้แขกเหรื่อมีไม่มาก ฝ่ายเจ้าสาวมีคนในครอบครัวและญาติสนิท ส่วนทางเจ้าบ่าวมีแขกเป็นเทพอสูรเพียงสามองค์เท่านั้นเจ้าสาวอยู่ในอาภรณ์สีแดงสดปักดิ้นทองประณีตลายบงกช ชายยาวถึงหนึ่งจั้ง สวมมงกุฎทองประดับทับทิมสีแดงสดเม็ดเกือบเท่าฝ่ามือนับสิบเม็ดได้เจ้าบ่าวที่ปกติสวมแต่ชุดเกราะ บัดนี้อยู่ในอาภรณ์สีแดงเข้ากับเจ้าสาว ช่างดูเหมาะสมกันยิ่ง...อย่างน้อยซีจงจวินและเพื่อนเจ้า
ชีวิตดำเนินไปอย่างปกติ นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ซีจงจวินทำตัวเหมือนเรือนนี้ไม่ใช่เรือนของเขาข้าวไม่เคยกินร่วมโต๊ะ ไม่เคยนอนร่วมเตียงเคียงหมอน จะอาบน้ำต้องไปที่ธารน้ำตก เช้าตื่นมารับใช้นาง กลับบ้านมืดค่ำก็ยังรับใช้นางราวกับภรรยาเป็นนาย ส่วนเขาเป็นทาส..แต่ซีจงจวินก็ยังทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่รู้ว่าการเป็นสามีภรรายากันต้องปฏิบัติตัวอย่างไรถึงจะดีขอเพียงไม่หนีกันไปไหน จะเป็นตัวอะไรในสายตานางก็ช่างเถิด...ตะวันใกล้ลาลับ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีจากสว่างอ่อนเป็นครามคล้ำ ซีจงจวินและตงหลิงจวินยืนอยู่หน้าบันไดทางขึ้นเขาสวรรค์ รอเป่ยหานจวินและหนันอี้จวินมาผลัดเวรเช่นเดิม"นั่นไง มานู่นแล้ว"ตงหลิงจวินโบกไม้โบกมือให้เป่ยหานจวินและหนันอี้จวิน ส่วนซีจงจวินเมื่อเห็นร่างทั้งสองปรากฏอยู่ไกลๆก็หันมาเอ่ยลา"ข้าขอตัวกลับเลยนะขอรับ""อ้าว ไม่อยู่คุยกับพี่เป่ยหานพี่หนันอี้ก่อนหรือ" ตงหลิงจวินแปลกใจ เพราะปกติซีจงจวินจะรอให้ทั้งสองมาถึงก่อน คุยกันเล็กน้อยแล้วจึงลากลับ"ข้าจะรีบกลับไปทำอาหารเย็นให้มี่ฮวาขอรับ"คราวนี้ตงหลิงจวินหันมาขมวดคิ้วมอง เช่นเดียวกับเป่ยหานจวินและหนันอี้จวินที่พึ่งมาถึง"เมียเจ้าไม่ทำอาหา
"วันแรกก็มาทำงานสายเสียแล้วสหายข้า"ตงหลิงจวินเอ่ยทักเสียงสดใส คิดว่าหลังเสร็จพิธีเมื่อวานซีจงจวินคงนอนกกภรรยาจนไม่อยากลุกมาทำงานแต่ความจริงมันตรงกันข้ามเลยต่างหาก.."ขออภัยด้วยขอรับ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้พี่ตงหลิงลำบาก""ลำบากอะไรกันเล่า ข้าดีใจต่างหาก ในที่สุดเจ้าก็ได้มีความรักกับเขาสักที" ตงหลิงจวินเดินเข้ามาตบบ่าแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม ขณะที่ซีจงจวินมีสีหน้าเรียบเฉย"ข้าคิดว่าข้ายังไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความรักขอรับ""หืม? ก็เจ้ารักนางถึงแต่งกับนางไม่ใช่หรือซีจง""ข้าคิดว่าข้าอยากแต่งกับนางเพราะอยากอยู่ด้วยกันเท่านั้นขอรับ"..ซีจงจวินจะเข้าใจอะไรยากขนาดนี้"ก็เพราะพิศวาสนางไม่ใช่หรืออย่างไร เจ้าถึงได้อยากอยู่กับนาง อยากได้นางมาครอบครองเช่นนี้"..เพราะรักถึงอยากอยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ..เป็นเช่นนี้เอง"เข้าใจแล้วขอรับ ข้ารักมี่ฮวา"ตงหลิงจวินถึงกับถอนหายใจเหนื่อยหน่าย รู้ว่าซีจงจวินซื่อบื้อ แต่มันก็ควรจะมีขอบเขตบ้างไม่ใช่หรือ"เจ้าต้องคิดให้เร็วกว่านี้นะซีจง ผู้หญิงน่ะเอาใจยาก เข้าใจก็ยิ่งยาก เรื่องมากที่สุด จะครองทุกพื้นที่ในใจนางได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยรู้ไหม"ซีจงจวินฟังแล้วก็พยักหน้าต
"เช่นนั้น ข้าก็ขอยื่นเงื่อนไขในการอยู่ร่วมกัน"ซีจงจวินฟังแล้วขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าภรรยาต้องการอะไรแต่ก็ยอมพยักหน้าตกลงแต่โดยดี"เงื่อนไขข้อแรก ห้ามเจ้าแตะต้องข้าแม้แต่ปลายเส้นผม และห้ามเข้าใกล้ข้าเกินระยะสิบฉื่อ""..."เจอข้อแรกเข้าไป ซีจงจวินก็ถึงกับสะอึกหากไม่แตะต้องกันแล้วจะเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไรแล้วภาพฝันที่เขาวาดไว้ การเสพสังวาสที่เหล่าสหายเทพอสูรเคยบรรยายให้ฟังว่ามันมอบความสุขให้มากมายเพียงใดเล่า...ซีจงจวินต้องยอมเก็บคำโต้แย้งเอาไว้ เกรงว่าพูดออกไปแล้วมี่ฮวาจะโมโหอีก"ข้อที่สอง ข้าจะยอมอยู่ห้องเดียวกับเจ้าแค่คืนนี้เท่านั้น ต่อจากนี้เจ้าต้องจัดห้องนอนห้องอื่นให้ข้า"...นี่แม้แต่นอนห้องเดียวกันยังไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ..."ข้อที่สาม ห้ามเจ้าพูดกับข้าเกินวันละยี่สิบคำ ห้ามมองหน้าข้าเกินวันละสองครั้ง""...""ข้อสี่ เจ้าต้องดูแลข้าอย่างดี ข้าวปลาอาหาร น้ำท่าให้อาบ เจ้าต้องเตรียมทั้งหมดรวมถึงทำความสะอาดบ้านด้วย""...""ข้อสุดท้าย ข้าสามารถเพิ่มและเปลี่ยนกฏอีกได้ไม่จำกัด หากเจ้าไม่ทำตามนี้ข้าจะหย่าแล้วกลับวังที่แดนอุดรทันที"ฟังไปซีจงจวินได้แต่กะพริบตาปริบๆมองภรรยาแสนเอาแต่ใจ ข้อก
สุดท้ายชุนหรงเซินพามี่ฮวากลับเข้ามานั่ง หญิงสาวไม่พูดอะไร บิดาจึงเป็นคนคุยธุระกับทางฝ่ายเจ้าบ่าวแทนแน่นอนว่าซีจงจวินตอบตกลงอย่างง่ายดาย ไม่ว่าเรียกสินสอดราคามหาศาลเท่าใดก็ไม่เกี่ยง แล้วยังทำท่าดีใจเนื้อเต้นเขาก็เป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่หลงรูปกายสตรีเหมือนคนอื่นๆยิ่งคิดความรังเกียจที่มีต่อว่าที่สามีก็ยิ่งทับถมกันเป็นชั้นหนาในใจ...รุ่งเช้าตอนกลับบ้านที่แดนเหนือ ซีจงจวินยังคงมองตามแผ่นหลังของเทพธิดาบนรถลากค่อยๆห่างออกไป มี่ฮวาเองก็รู้และยิ่งไม่พอใจด้วยคิดว่าสายตานั้นจาบจ้วงหยาบคายเสียเหลือเกินมองกันจนจะทะลุไปถึงไหนต่อไหน ไม่ให้เกียรติกันสักนิด!...เดือนต่อมา พิธีมงคลสมรสถูกจัดขึ้นที่วังของชุนหรงเซิน เป็นงานที่ยิ่งใหญ่อลังการแม้แขกเหรื่อมีไม่มาก ฝ่ายเจ้าสาวมีคนในครอบครัวและญาติสนิท ส่วนทางเจ้าบ่าวมีแขกเป็นเทพอสูรเพียงสามองค์เท่านั้นเจ้าสาวอยู่ในอาภรณ์สีแดงสดปักดิ้นทองประณีตลายบงกช ชายยาวถึงหนึ่งจั้ง สวมมงกุฎทองประดับทับทิมสีแดงสดเม็ดเกือบเท่าฝ่ามือนับสิบเม็ดได้เจ้าบ่าวที่ปกติสวมแต่ชุดเกราะ บัดนี้อยู่ในอาภรณ์สีแดงเข้ากับเจ้าสาว ช่างดูเหมาะสมกันยิ่ง...อย่างน้อยซีจงจวินและเพื่อนเจ้า
คืนนั้น หลังจากได้เห็นว่าดอกไม้ที่มี่ฮวาสร้างขึ้นไปอยู่บนเตียงของซีจงจวิน ชุนหรงเซินก็รีบกลับทันทีไม่อยู่ต่อหรือนำสุราติดมือไปด้วยสักไหเขารีบไปตระเตรียมจัดการกิจธุระที่จำเป็นทั้งหมด สะสางทุกสิ่งให้พร้อมสำหรับงานแต่งโดยเร็วอย่างไรเสียก็ต้องเอาซีจงจวินมาเป็นลูกเขยให้ได้!เย็นวันต่อมาชุนหรงเซินเรียกตัวมี่ฮวาให้ออกจากห้อง ออกอุบายว่าจะพาไปเที่ยวสูดอากาศในที่ดีๆ แล้วจึงพานางขึ้นรถลากเหาะข้ามแดนมาแม้จะเตรียมการไว้หมดแล้ว แต่เรื่องนี้ทั้งฮูหยินและลูกสาวทั้งแปดไม่มีใครรู้เลยสักคนมี่ฮวาเองก็ยังแปลกใจที่จู่ๆบิดาพานางออกมาที่ไกลๆ ทั้งที่เมื่อก่อนแทบไม่ให้ออกจากตำหนักด้วยซ้ำ"เรากำลังจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ"เสียงหวานเอ่ยถาม ชุนหรงเซินหันมาแย้มยิ้มให้ ตอบคำถามแบบตั้งใจเลี่ยง "ไปในที่ที่จะทำให้เจ้ามีความสุข""แล้วมันที่ไหนกันเล่าท่านพ่อ""เดี๋ยวถึงแล้วพ่อจะบอก"เหตุใดบิดาถึงไม่ยอมตอบตามตรงกันนะ..ผ่านไปเกือบสองชั่วยาม รถลากไร้ม้าเทียมร่อนลงจอดที่หน้าเรือนหลังหนึ่งมี่ฮวาและชุนหรงเซินลงจากรถ ตอนนั้นดวงตะวันได้หายลับไปแล้ว ท้องฟ้าครึ้มมีดวงดาวส่องให้แสงไม่สว่างเอาเสียเลยคนทั้งสองยืนนิ่งในความมืดไร
มี่ฮวาตื่นรับอรุณอันแจ่มใส ลุกมาทานสำรับเช้าพร้อมบิดามารดาและพี่ๆอย่างอารมณ์ดี"เจ้าคงหาสามียากขึ้นอีกแน่" สองฝาแฝดไป๋หลันและหวงหลันเอ่ย มี่ฮวาเพียงยู่ปากเล็กน้อยก่อนคีบกับข้าวกินแบบไม่ใส่ใจนัก"หากได้ไม่ดี ไม่มีเลยดีเสียกว่า" นางว่า ชุนหรงเซินก็ทำท่าหนักใจแม้จะโล่งที่อย่างน้อยลูกสาวก็ไม่ต้องแต่งให้คนที่ไม่เหมาะสม แต่ต่อไปคงมีข่าวลือเกี่ยวกับมี่ฮวากระจายไปทั่วอีกแน่แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อเหล่าสาวใช้กลับจากตลาดก็วิ่งเข้ามาหาพวกเขาพร้อมบอกข่าวที่เก็บได้จากการออกไปข้างนอกว่า'ลูกสาวคนเล็กของเทพแห่งพฤกษาปฏิเสธการเลือกคู่เพื่อรอเทพแห่งแสงผู้เคยเป็นคนรักของหลานจอมมาราตรี'ตะเกียบในมือหล่นทันทีหลังฟังจบ สาวใช้ยังบอกอีกว่า บางคนก็เล่าลือกันไปว่า'ว่ากันว่าแม่นางมี่ฮวาต้องการให้อวี้เวินฉิงกลับมาหานาง แต่อวี้เวินฉิงไม่มานางจึงไม่เลือกชายใด''แม่นางมี่ฮวาไม่รู้สูงต่ำ กลั่นแกล้งเทพเซียนปั่นหัวบุรุษแล้วตัดเยื่อใยไม่ไว้ไมตรี''ลูกสาวเทพแห่งวสันต์ต้องการเพิ่มระดับความนิยมของตน จึงจัดงานดูตัวปลอมๆขึ้นมา''ตอนนี้เหล่าเทพรู้ซึ้งแล้ว ต่อให้งามเพียงใด แต่คิดร้ายหมายล่มเมือง พวกเขาไม่มีใครอยากแต่งน
ชุนหรงเซินหันมองที่ซีจงจวินทันที หัวคิ้วขมวดปมแน่นซีจงจวินไปทำอะไรที่แม่น้ำลืมเลือน ซึ่งอยู่ถึงสุดเขตดินแดนบูรพากันนะ..แต่ไม่ทันจะได้ถามต่อ ร่างของเทพอสูรก็ทรุดฮวบลงกองกับพื้นเสียแล้วเปลือกตาของซีจงจวินปิดสนิท บ่งบอกว่าเข้าสู่ห้วงนิทราไปเรียบร้อยชุนหรงเซินได้แต่ถอนหายใจกับปริศนาที่ชายผู้นี้ทิ้งเอาไว้ให้ ก่อนจัดแจงให้เขานอนในท่าที่ดูเรียบร้อยขึ้น แล้วตนก็นั่งดื่มสุราต่อผู้เดียวทั้งคืน...ดวงตะวันเริ่มเลื่อนขึ้นสู่ท้องฟ้า เหล่าสัตว์อสูรตื่นจากการหลับใหลซีจงจวินเองก็ตื่นตามเวลาปกติเช่นกัน แต่เช้านี้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย"โอยยย..."เขาครางเสียงต่ำ ฤทธิ์สุราสวรรค์ช่างร้อนแรง เล่นเอาปวดหัวตาลายจนไม่อาจทรงตัวได้ดีนัก"ตื่นแล้วหรือ"ชุนหรงเซินยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตั้งแต่เมื่อคืน มองซีจงจวินที่ตอนนี้อยู่ในท่าประหลาดเทพอสูรคุกเข่าก้มตัวต่ำศีรษะแทบติดพื้น มือสองข้างกุมขมับ อีกสี่ข้างยันพื้นเอาไว้ หางปล้องยาวชูขึ้นสูงดูๆไปแล้วก็เหมือนแมงป่องจริงๆ เป็นแมงป่องยักษ์ที่กำลังอารมณ์ไม่ดี เกรงว่าหากเข้าไปกวนใจจะโดนฆ่าตายได้ง่ายๆ"ดื่มน้ำยาสร่างเมานี่เสีย"ชุนหรงเซินยื่นถ้วยยาส่งให้ซีจงจวิน เขารับ
เทพเซียนทั่วทั้งแผ่นดินอุดรเดินทางมายังวังของเทพแห่งพฤกษาเพื่อเข้าร่วมงานดูตัวที่จัดอย่างสมฐานะเซียนตระกูลใหญ่ในตำหนักรับรองมีบุรุษนั่งปั้นยิ้มหน้าสลอนกันเต็มไปหมด ต่างสวมใส่อาภรณ์ชั้นดีเพื่อบ่งบอกความร่ำรวยและอำนาจตระกูลตั้งแต่นั่งคุยเช้าจรดค่ำ ไม่มีใครเลยที่ทำให้มี่ฮวาพึงใจ ทุกคนล้วนแต่เข้ามาเพื่ออวดอ้างว่าตนทำสิ่งนั้นได้สิ่งนี้ได้ ไม่ก็พยายามหาของมาเพื่อหลอกล่อซื้อใจนางบ้างป้อนคำหวาน ป้อยอกันจนระคายหู หาได้มีความจริงใจสักนิด เพราะได้เห็นรูปโฉมงดงามจึงอยากได้มี่ฮวาไปประดับเรือน ราวกับนางเป็นสิ่งของ...ไม่ดูถูกกันมากเกินไปหน่อยหรือสุดท้ายก็จบลงด้วยการให้เทพเซียนเหล่านั้นกลับวังของตัวเองไป โดยมี่ฮวาอ้างว่านางต้องใช้เวลาในการตัดสินใจสักหน่อย"ไม่มีใครถูกใจเจ้าบ้างหรือ"ชุนหรงเซินเอ่ยถาม มี่ฮวาที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็ได้แต่ส่ายหน้า"จะให้ข้าชอบได้อย่างไรเจ้าคะ พวกเขาถูกใจที่รูปโฉม หากแต่งให้แล้ววันหนึ่งความสวยข้าโรยราดั่งดอกไม้เหี่ยวเฉาไปตามกาล จะไม่โยนทิ้งไปเสียง่ายๆหรือเจ้าคะ"บิดาฟังเข้าใจ นิสัยบุรุษเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อแรกยังไม่ได้ก็จะทำทุกทางเพื่อให้ได้มา แต่หากลองได้เบื่อแล้วก็คง
"เหงาเป็นอย่างไรหรือขอรับ"คำถามนั้นทำให้คนตอบถึงกับสะอึก ถ้อยคำทั้งหมดจุกอยู่ที่คอเทพอสูรผู้นี้ตายด้านไปแล้วอย่างนั้นหรือ.."ความเหงาก็คือห้วงอารมณ์หนึ่ง เป็นความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย จนเจ็บหน่วงในใจ"ชุนหรงเซินขยายความขึ้นเล็กน้อย แต่นั่นก็ยังไม่คลายความสงสัยได้มากพอ ซีจงจวินจึงถามต่อ"แล้วเมื่อใดถึงจะรู้สึกเหงาหรือขอรับ""ก็.. อย่างตอนที่อยากคุยกับใครสักคนแล้วไม่มีคนให้พูดด้วย หรือไม่มีคนที่ทำให้รู้สึกสบายใจอยู่ด้วย ทำให้คิดถึงจนรู้สึกโหวงเหวงในใจอะไรเทือกนั้น"หลังจากอธิบายไปแล้ว ซีจงจวินเพียงมองชุนหรงเซินนิ่งๆเช่นเดิม สีหน้าเขาไม่บ่งบอกสิ่งใดเลยแต่มือข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นมากุมอกซ้ายเอาไว้ ราวกับจะถามหัวใจว่าเป็นอย่างไรบ้าง.."เช่นนั้น ข้าก็รู้สึกเหงาแล้วขอรับ"ท่าทางของซีจงจวินทำให้เทพเซียนแห่งผืนป่าเข้าใจขึ้นมาทันทีนึกถอนคำพูดในใจที่ว่าเขาตายด้าน เพราะซีจงจวินยังมีหัวใจรับรู้ความรู้สึก เพียงแต่ไม่รู้จักมันเท่านั้น"ท่านเองก็เหงาเป็น คิดถึงเป็นเหมือนกันสินะ""ขอรับ ข้าคิดถึงขอรับ""ท่านคิดถึงผู้ใดหรือ"คำถามของชุนหรงเซินทำให้ซีจงจวินชะงักไป เขาทวนคิดคำพูดของตนก่อนหน้านี้แล้วก็ไ