เสียงของฉันมันเบาไปงั้นเหรอตุลถึงได้ทำเมิน เขาหยิบอุปกรณ์มาซ่อมรถต่อโดยทำเหมือนไม่เห็นว่าฉันยืนอยู่ ต้องทำวิธีไหนที่ผู้ชายคนนี้จะสนใจ พอยอมเขาก็เมิน พอวุ่นวายมากเขาก็รำคาญ ตรงกลางมันอยู่ตรงไหนงั้นเหรอ “ช่วยพูดอะไรกับพี่หน่อยได้ไหมตุล”“จะให้พูดอะไร” เขาถามโดยไม่ยอมเงยขึ้นมามองหน้า“ก็ที่พี่พูดไง ทำไมต้องทำเมินเหมือนไม่ได้ยิน”“เห็นไหมว่าทำอะไรอยู่”“เห็น แต่คุยกับพี่มันคงไม่ทำให้ตุลเสียเวลามากขนาดนั้นหรอก”“เสียเวลา” เขาตอบกลับทันควัน ทำเอาฉันพูดไม่ออก “พี่ซื้อของมาฝากตุลด้วยนะ” ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินกลับมาที่รถหยิบของฝากที่ซื้อมาจากทะเล ตุลยังคงนั่งซ้อมรถไม่สนใจอะไรเหมือนเดิม ฉันอยากเย็นชา อยากเมินทุกอย่างได้แบบนี้จัง “พี่เอาของวางไว้ให้ตรงนี้นะ” ฉันบอกแล้วเอาของวางไว้บนโต๊ะหินอ่อน “โกรธอะไรพี่หรือเปล่า” เพราะยังไม่อยากกลับฉันจึงหาเรื่องคุย แต่อีกคนไม่อยากคุยด้วยกับฉันสักเท่าไหร่ “เดี๋ยวเพื่อนจะมากินเหล้า รีบกลับไปซะ” “กินทุกวันเลยเหรอ” “เพิ่งกินวันนี้ ถามทำไมบอกว่าให้กลับบ้าน เกะกะฉิบ!” ตุลลุกขึ้นเดินเฉียดไหล่ฉันไปหยิบอะไรไม่รู้ เขาแสดงท่าทางที่แสนจะหงุดหงิดเอาม
#ภายในห้องรับแขก เฮียเฟยนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่พร้อมกับยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาไขว้ห้าง มือสองข้างประสานเข้าหากันสายตาจับจ้องมองฉันที่กำลังรู้สึกประหม่า “พ… พ่อล่ะคะ ไม่เห็นอยู่ที่บ้านเลย” ฉันพยายามถามเบี่ยงประเด็นแต่มันไม่ได้ผล “นั่งก่อนสิ”ฉันค่อย ๆ หย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา ไม่กล้าสบตากับเฮีย “อย่าทำท่าเคร่งขรึมแบบนั้นสิคะหนูกลัวนะเฮีย”เฮียเฟยถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ก่อนจะพูด “ไอ้เด็กนั่นเป็นเพื่อนของแฟนแพรใช่ไหม”“ค… ใครหรอคะหนูไม่รู้เรื่อง” ทั้งที่ถูกจับได้แล้วฉันก็ยังแถ ทั้งที่รู้ว่าไม่รอดแน่ ๆ “เฮียส่งลูกน้องคอยตามดูลิลมาตลอด ยังจะปกปิดอีกหรือไง”“เฮียทำแบบนั้นทำไมคะ” “น้องสาวเฮียชอบออกจากบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ บางวันไม่กลับมานอนที่บ้าน ตอนกลางวันก็ไม่อยู่บอกจะไปอู่ซ่อมรถ จะไม่ให้เฮียสงสัยเลยหรือไง” “…” “ไอ้เด็กนั่นมันทำอะไรลิล บอกมาเฮียจะไปจัดการมัน!!”“… เขาไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ มีแค่หนูที่ทำตัวเอง” ฉันก้มหน้าลงถอนหายใจออกมาเบา ๆ วันนี้เพิ่งตัดสินใจถอยออกมามันก็เลยเศร้ามากเป็นพิเศษ “ทำตัวเองยังไง?” เฮียทวนคำพูดของฉันแล้วขมวดคิ้วเข้ม “ทำให้ตัวเองเจ็บ ทำให้ตัวเองไร้ค่า ทำให้ตัวเองร้องไห้…” ฉันบอ
ฉันกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเมื่อรู้ว่าตัวเผลอเรียกชื่อเขาออกไปทั้งที่ควรทำเหมือนคนไม่รู้จัก “ว่าไงนะลิล” เควินเอียงคอมาถามเหมือนว่าเขาได้ยินเสียงของฉันเมื่อครู่ “ป… เปล่า” ตอนนี้ตุลก็ยังคงเพ่งมองเควินราวกับจะกัดกินเลือดเนื้อ จนกระทั่งหนังเริ่มฉายเขาถึงยอมหันไปมองจอ บรรยากาศในโรงหนังเงียบสงัดไร้เสียงคนคุยกัน มีเพียงเสียงหนังที่กำลังฉายอยู่ หัวใจของฉันมันเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ การที่เขานั่งใกล้กันแต่ทำเหมือนไม่รู้จักกันสำหรับตุลมันคงเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่สำหรับฉันมันยาก ฉันไม่ได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับหนังที่ฉาย แต่กำลังจดจ่ออยู่กับคนที่นั่งข้าง ๆ ความคิดเริ่มฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานาเฮือก! รู้สึกเหมือนมีอะไรเย็น ๆ มาแตะที่ขาอ่อนทำให้สะดุ้งเฮือกตกใจสุดขีด เมื่อก้มลงมองที่ขาก็เห็นฝ่ามือใหญ่ของตุลวางอยู่ ฉันจึงรีบปัดมือเขาออก ทำแบบนี้เพื่ออะไรกัน เป็นคนอยากให้ฉันถอย อยากให้ฉันเลิกยุ่ง แต่ตัวเองมายุ่งซะเองเป็นแบบนี้จะให้ฉันถอยยังไง ฉันหันมามองหน้าตุลที่นั่งข้าง ๆ เขาไม่ได้มีท่าทางสนใจอย่างการกระทำเมื่อคู่ สายตาคู่นั้นจ้องมองไปตรงหน้าไม่หันมามองฉันเลยสักนิด เขาก็แค่ต้องการปั่นหัวอยู่สินะ… เด็กค
ก็อก ๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นขณะที่ฉันกำลังนั่งเหม่อทำให้สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตู คนที่ยืนอยู่หน้าห้องคือเฮียเฟย เมื่อประตูถูกเปิดออกเฮียก็เดินแทรกตัวเข้ามาในห้อง พร้อมกับยิงคำถามใส่“คิดอะไรอยู่ถึงไปตกลงกับพ่อว่าจะหมั้น”“หนูปฏิเสธมาตลอด ครั้งนี้ถ้าปฏิเสธพ่อคงจะผิดคำพูดกับเพื่อน อาจจะมีปัญหากัน…”“มั่นใจว่าเหตุผลนี้?” เฮียเฟยถามสวนคำพูดของฉันอย่างรู้ทัน “…” พอถูกเฮียถามฉันก็เงียบแล้วหลบสายตา เพราะเหตุผลจริง ๆ มันไม่ใช่อย่างที่พูด “ทำแบบนี้รู้ไหมว่าตัวเองเองจะแย่ ต้องหมั้นกับใครก็ไม่รู้ ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักชีวิตจะเป็นยังไง”“หนูเชื่อว่าพ่อต้องหาคนดี ๆ มาเป็นคู่หมั้นของลูกสาวอยู่แล้วค่ะ เฮียไม่ต้องห่วงนะ”“หน้าตามันเป็นยังไงลิลก็ไม่เคยเจอ ถ้าอยากจะหมั้นก็น่าจะนัดเจอศึกษาดูใจกันก่อน”“เอาน่าเฮีย หนูเลือกแล้ว” “ที่ลิลเลือกแบบนี้เพราะไอ้เด็กนั่น?” “…” ฉันถอนหายใจออกมาเบา ๆ อยากจะตอบไปว่าใช่ ตุลมีส่วนให้ฉันตัดสินใจแบบนี้ แต่เงียบไปแบบนี้เฮียคงรู้คำตอบดีอยู่แล้ว “ทำไมต้องยอมทำอะไรบ้า ๆ เพราะมัน”“หนูขอโทษ” “ไปบอกพ่อว่าจะไม่ยอมหมั้นแล้วกลับไปอยู่ต่างป
สนามบินวันนี้เควินต้องกลับไปต่างประเทศแล้วฉันจึงมาส่งเขาด้วยตัวเอง “ไว้เจอกันนะ” ฉันยกมือขึ้นโบกมือบ้ายบายเพื่อน“อย่าลืมล่ะถ้าพ่อบังคับให้หมั้นต้องคิดถึงฉันเป็นคนแรก ฉันยินดีหมั้นตบตาพ่อเธอนะ” “หยุดพูดไร้สาระสักที ฉันตอบตกลงกับพ่อไปแล้ว” ฉันยิ้มเจือน ๆ หลังพูดจบ เควินเองก็ขมวดคิ้วเข้มหลังจากที่ได้ยินแบบนั้น “เธอจะหมั้นกับคนที่พ่อหาให้?” “อื้อ ฉันตัดสินใจแล้ว” “ไม่กลัวได้ผัวแก่? ถ้าเกิดไอ้นั่นอายุห้าสิบหกสิบเธอจะทำยังไง” “บ้าเหรอ” ฉันหลุดขำออกมาให้กับคำพูดของเควิน เขาตั้งใจพูดให้ขำ “ฉันยังหนุ่มยังแน่นแถมหล่อบาดใจขนาดนี้ เธอทำไมไม่เลือก”“ไปได้แล้วเดี๋ยวตกเครื่องนะ” ฉันจับเควินหันหลังแล้วผลักให้เดิน“นี่อยากให้ฉันกลับขนาดนั้นเลยเหรอวะ นี่เพื่อนนาน ๆ จะมาหาแสดงความอาลัยอาวรณ์ที่เพื่อนจะกลับหน่อยดิ”“ไม่คิดถึงไปเลย ๆ” “เธอมันยัยใจหิน” เควินหันมาบอกก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบศีรษะฉัน “ดูแลตัวเองดี ๆ เลือกคนที่ตัวเธอรักมันดีกว่าต้องฝืนทำอะไรที่ไม่อยากทำ” ครั้งนี้เขาพูดจริงจังมันยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่ฉันเลือกมันผิด “อื้อ ไว้ฉันจะไปหานะ ฝากบอกคิดถึงพวกนั้นด้วย^_^” เควินยิ้มก่อนจะหันหลังแล้
ตุลเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเอาแต่จ้องมองฉันราวกับคนที่มีความผิด ซึ่งตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร “ป… ปล่อยก่อนได้ไหม พี่เจ็บนะตุล” “รู้อยู่แล้วทำไมไม่บอก ถ้าบอกล่วงหน้าจะได้ต้อนรับดีกว่านี้” ตุลกัดฟันถาม “พูดเรื่องอะไรพี่งงไปหมดแล้ว” “เรื่องหมั้น อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง” “พี่เพิ่งรู้ว่าเป็นตุลก็ตอนที่เดินเข้ามา สาบานได้”“หึ!!” เขาก้มหน้าลงแล้วหัวเราะในลำคอออกมา ก่อนจะพูดต่อ “ไม่ใช่ว่านี่เป็นแผนหรอกเหรอ ทำท่าทางไม่รู้เรื่องทั้งที่รู้อยู่เต็มอก เป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือไง” “พ… พี่พูดอะไร” “พูดว่าจะบอกพ่อเรื่องนั้น ถ้าบอกพ่อคงจะให้เราหมั้นกัน เป็นอย่างที่พูดเอาไว้ทุกอย่าง ทำทีว่าถอยแต่มันคือแผนจะมัดมือให้ดิ้นไม่หลุด?” ฉันก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ตอนนี้เองว่าพูดคำนั้นไว้ ลืมไปสนิทเลย แต่ทำไมล่ะ ทำไมตุลถึงมั่นอกมั่นใจว่านี่คือแผนของฉัน ทำไมถึงไม่คิดว่าฉันก็ถูกบังคับมาเหมือนกัน “พี่เคยพูดแบบนั้นก็จริง แต่พี่ไม่ได้พูดกับพ่อไม่เคยบอกอะไรเลย ที่เราหมั้นกันเพราะพ่อพี่และพ่อตุลเป็นเพื่อนกันท่านสัญญา…”“มันเป็นแค่ข้ออ้างต่างหาก” เขาพูดสวนขึ้น น่าจะฟังฉันอธิบายสักนิด “ทำไมถึงคิดว่าเป็นข้ออ้างล่ะต
เมื่อทุกอย่างจบลงตุลเป็นฝ่ายเปิดประตูออกไปข้างนอกก่อน พอเขาไปแล้วฉันก็รีบปิดประตูห้องน้ำแล้วร้องไห้ออกมา การกระทำของเขามันไร้ความรักความเห็นใจ ไม่คิดเลยว่าฉันต้องเจ็บปวดเพราะชอบเขาขนาดนี้ ทำยังไงถึงจะหยุดความรู้สึกได้ ฉันอยากเกลียด ไม่อยากรู้สึกรักแบบนี้ ฉันร้องไห้อยู่พักใหญ่ก่อนจะล้างหน้าแล้วเดินกลับมาที่ห้องรับแขก เพราะปล่อยให้ผู้ใหญ่รอนานเกินไปแล้ว “ทำไมไม่รอกลับมาพร้อมพี่ ปล่อยให้เดินกลับมาคนเดียวถ้าเกิดหลงขึ้นมา…”“ก็กลับมาถูกไม่เห็นจะหลง” ตุลพูดขัดพ่อของเขาทันที “เด็กสมัยนี้ชอบเถียงเป็นนิสัย เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” “พ่อคะ คุณลุงคะ หนูขอพูดอะไรหน่อยได้ไหมคะ” ฉันมองท่านทั้งสองก่อนจะหันมองตุล เขาดูพึงพอใจที่ฉันขัดแบบนี้ “ผู้ใหญ่กำลังคุยกันอย่าขัดสิลิล” พ่อดุฉันแต่คุณลุงยอมให้พูด “มีอะไรจะพูดก็ว่ามาสิหนูลิล” ฉันกำมือจนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อพร้อมกับถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ก่อนจะพูด “เรื่องหมั้นหนูขอยกเลิกได้ไหมคะ” พอพูดไปแบบนั้นทั้งพ่อและพ่อของตุลก็ต่างอึ้งกันไปเลยทั้งคู่ “เอ่อ… นี่ตาตุลไม่ได้พูดอะไรไม่ดีกับหนูลิลใช่ไหม” คุณลุงถามก่อนจะหันไปมองลูกชายเขม็ง แต่ตุลกลับทำตัว
อู่ซ่อมรถคิดไว้แล้วเชียวว่าต้องอยู่ที่นี่ ใช่จริง ๆ ด้วย ฉันมองตุลที่นั่งใช้แผ่นหลังพิงเสา ตอนนี้ชุดนักศึกษาของเขาเปื้อนไปด้วยเลือด ทั้งมุมปากและหัวคิ้วมีเลือดไหล“ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เด็กพวกนี้ทำไมถึงชอบมีเรื่องกันนัก” “มาทำไม” เสียงทุ้มที่แผ่วเบาถามฉันพร้อมกับมองด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม “นั่นสิ… พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมาทำไม น่าจะปล่อยให้เจ็บตายไปซะ” ฉันกำหมัดแน่นพูดประชดตัวเองที่เป็นห่วงเด็กหนุ่มตรงหน้ามากขนาดนี้ “กลับไปซะ!” เจ็บขนาดนั้นยังจะไล่ฉันอีกหรือไง “ทำไมไม่อยู่ที่บ้านจะกลับมาที่อู่ทำไม”“เพราะบ้านมันไม่น่าอยู่” ฉันถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเดินมาหาตุลที่เจ็บหนัก “พี่จะช่วยพยุงไปขึ้นรถ เจ็บขนาดนี้ต้องไปโรงพยาบาลนะ”“ไม่ไป”“จะไม่ไปได้ยังไง พี่จะช่วยพยุง” ฉันจะช่วยพยุงเขาขึ้นแท้ ๆ แต่ก็ถูกผลักออก “ทำไมดื้อแบบนี้นะ”“โดนทำแบบนั้นยังจะเป็นห่วงอีกรึไง โง่ชะมัด” “… ใช่พี่มันโง่ แต่พี่ขอยืนยันว่าเรื่องหมั้นมันไม่ใช่แผน พี่ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเลิกคิดว่านั่นคือแผนสักที” ตุลไม่ตอบอะไรเขาเบือนหน้าหนี้ไปทางอื่น จากนั้นบรรยากาศก็เงียบสงัด เราทั้งคู่ไม่พูดอะไ