เก้าเทียนรุ่ยตบมือผู้เป็นมารดาเบา ๆ ก่อนจะกระโดดลงจากรถม้าไปหาท่านรองแม่ทัพหน้าตายที่ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องมิขาดฝัน เขากวาดตามองไปยังทหารผู้ติดตามที่หากจำมิได้ เมื่อแรกเริ่มเดินทางกันมีประมาณห้าคน หากตอนนี้เหลือเพียงแค่สี่ เขายังมิทันจะได้ไถ่ถามสิ่งใดต่อก็ได้ยินเสียงร้องที่จับทิศทางมิได้ดังมา
“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านรองแม่ทัพ”
“ลงมาทำไม กลับขึ้นไปบนรถม้าเดี๋ยวนี้”
“ลงมาดู เผื่อจะช่วยท่านได้บ้างไงขอรับ” ดูเหมือนว่าใบหน้าและสายตาของท่านแม่ทัพจะมิเกรงกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากมิใช่เหล่าทหารผู้ติดตามที่ออกอาการละล้าละลัง หันรีหันขวางคล้ายจะหวาดกลัวกับบางสิ่งบางอย่างเป็นอย่างมาก
“กลับไปอยู่บนรถม้า อย่าให้ข้าต้องจับเจ้าขึ้นไป!”
หากรองแม่ทัพก็มิทันจะได้ทำอย่างที่กล่าวออกมา เสียงร้องจากนายทหารผู้ติดตามก็ดังมาอีกครั้ง คราวนี้ได้เห็นว่ามีเถาวัลย์ซึ่งมีหนามแหลมคมเคลื่อนตัวมาอย่างเร็วและรัดเข้าที่ข้อเท้าของนายทหารผู้โชคร้ายพร้อมกับดึงไปอย่างรวดเร็วเกินที่ว่าใครจะช่วยเหลือได้ทันและยังจะมาจากอีกหลายทิศทาง พุ่งตรงมาจุดมุ่งหมายคือทุกคนที่อยู่ในที่นี้ หากเมื่อมาถึงตัวเขากลับหยุดชะงักและรีบหันไปโจมตีผู้อื่น แม้จะสงสัยว่าเป็นเพราะเหตุใด หากดูเหมือนว่าจะมีเถาวัลย์บางส่วนพุ่งตรงไปยังรถม้า
“ท่านแม่!” แม้เขาจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วแล้ว หากก็ยังมิทันเถาวัลย์ที่โจมตีม้าและล้อขอรถม้าอย่างรวดเร็ว หากโชคดีที่รองแม่ทัพได้ทำการช่วยท่านแม่ได้ก่อนที่ท่านจะตกลงมาได้รับบาดเจ็บ ทว่านายทหารที่มาด้วยตอนนี้เหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้น
“แม่มิเป็นอันใด เจ้าล่ะเอ้อร์เอ๋อร์”
เก้าเทียนรุ่ยรีบล่ะสายตาจากสิ่งที่เห็นไปให้ความสนใจท่านแม่ที่ตอนนี้หวาดกลัวจนตัวสั่น แม้จะพยายามข่มกลั้นความกลัวที่มีอยู่ หากในดวงตาก็ยังเต็มไปด้วยน้ำตาและใบหน้าก็ซีดเผือดด้วยเช่นกัน
“ข้ามิเป็นอันใดขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยบอกกับผู้เป็นมารดาก่อนจะรีบวิ่งไปเก็บดาบที่นายทหารผู้ติดตามทำตกไว้มาถือไว้ แขนอีกข้างหนึ่งก็โอบกอดท่านแม่ไว้
“ท่านแม่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ข้าไว้นะขอรับ เถาวัลย์พวกนั้นดูเหมือนจะมิกล้าเข้าใกล้ข้าสักเท่าใด” เขากระซิบบอก ด้วยกลัวว่าเมื่อรองแม่ทัพหน้าตายนั่นได้ยินเข้าแล้วเกิดเข้าใจผิดคิดไปว่าเขาสั่งให้เถาวัลย์พวกนี้มาทำร้ายทุกคนก็เป็นไปได้
“เรารีบไปจากที่นี่กันดีกว่าเอ้อร์เออร์”
ถึงแม้จะคิดเช่นท่านแม่ หากเก้าเทียนรุ่ยก็มิใช่คนใจดำที่จะมิคิดช่วยเหลือผู้อื่น แม้รองแม่ทัพจะฝีมือดีเพียง ทว่าถูกโจมตีจากทุกทิศทางและมิยอมให้หยุดพักหายใจเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องเหน็ดเหนื่อยและบาดเจ็บอยู่แล้ว หากเขามิคิดทำสิ่งใดสักอย่าง คนพวกนี้ต้องตายกันหมดเป็นแน่ แล้วจะทำอย่างไรดี
เขาคิดทบทวนถึงครั้งนั้น...ใช้วิธีการใดขอร้องให้ต้นไม้ใบหญ้าช่วยเหลือให้ตนเองและท่านแม่ปลอดภัย แต่เวลาจวนเจียนเช่นนี้ สมองกลับตีบตัน ได้แต่มองทหารและรองแม่ทัพรับมือกับเถาวัลย์เหล่านั้นโดยมิอาจช่วยเหลือได้
จะให้เรื่องมันเป็นเช่นนี้มิได้ มันต้องมีหนทางสิ...เขาจะทำยังไงดี คิดให้ออกสิ...
“ทางซ้าย...ซ้ายของท่าน ไม่ใช่ซ้ายของข้า” เก้าเทียนรุ่ยรีบบอกไปเมื่อตั้งสติได้แล้วใจสงบมากพอที่หูจะได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านซ้ายของท่านรองแม่ทัพ
“ด้านหลัง...หลังท่านนั่นแหละ มาทั้งบนและล่างเลย” แม้จะถูกสงสัย เขารู้ได้อย่างไร หากรองแม่ทัพก็ยังมิคิดไถ่ถาม...ในตอนนี้ ด้วยกำลังเร่งจัดการกับเถาวัลย์ตามที่เขาบอกได้จนเกือบจะหมด ยกเว้นเมื่อมันมาพร้อมกันจากหลายทิศทาง โจมตีอย่างหนักหน่วงและรุนแรง
“ท่านรองแม่ทัพ!” เก้าเทียนรุ่ยถลาไปจะช่วยอย่างลืมตัวไป จนมิทันได้ระวังเถาวัลย์เส้นหนึ่งที่มาจากด้านหลัง รัดท่านแม่และดึงท่านแม่ไปต้นไม้ต้นหนึ่งที่ตอนนี้มีบุรุษร่างเล็กในอาภรณ์สีขาวที่ในมือมีพัดเดินออกมาด้วยท่าทางสง่างามยืนอยู่
“ท่านมีความแค้นใด ๆ ที่ต้องสะสางกับท่านรองแม่ทัพก็ทำไป แต่อย่ายุ่งเกี่ยวกับท่านแม่ของข้า...คืนท่านมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยด้วยเพลิงโทสะเมื่อเห็นว่าท่านแม่ถูกเถาวัลย์พวกนั้นรัดจนขยับเคลื่อนกายมิได้
“หือ...หนุ่มน้อยนี่เป็นผู้ใดกัน”
“ข้าจะเป็นผู้ใดมิเกี่ยวกับท่าน ปล่อยท่านแม่ข้า...อย่าให้ต้องกล่าวซ้ำเป็นครั้งที่สาม มิเช่นท่านศพท่านมิสวยแน่” ตอนนี้โทสะที่มีทำให้เก้าเทียนรุ่ยรู้สึกเหมือนกับว่าในร่างกายมีพลังงานบางอย่างไหลวนเวียนอยู่ มันท้าทายความกล้า มันร้อนเร่า มันฮึกเหิม มันพร้อมที่จะสั่งสอนบางคนให้หลาบจำ!
“ช่างน่ากลัวเสียจริง” บุรุษร่างเล็กกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน อีกทั้งใบหน้าก็คลี่ยิ้มระรื่น “ท่าทางเคร่งขรึมและดุดันกลับน่ามองและน่ากิน...มาก”
สายตาของบุรุษร่างเล็กที่มองเขาเต็มไปด้วยความหิวกระหาย อีกทั้งเถาวัลย์นั้นรัดท่านแม่จนร่างเล็กบางแทบจะหายไป ก็ยิ่งทำให้เก้าเทียนรุ่ยเกิดโทสะอย่างที่มิอาจระงับไว้ได้
จะแตะใครก็ได้ทั้งนั้น แต่ห้าม...แตะต้องท่านแม่ของเขา!
“ข้ามิคิดว่าเจ้าจะกล้าเล่นลอบกัดเช่นนี้...เปียวอัน” รองแม่ทัพที่ตอนนี้บาดเจ็บอย่างหนัก มือซ้ายยกขึ้นปาดเลือดที่ริมฝีปากก่อนจะจับหัวไหล่ด้านขวาที่ตอนนี้มีเลือดไหลรินออกมาเอ่ยออกมาด้วยความเจ็บแค้น
“เจ้าก็รู้ มีสิ่งใดบ้างที่ข้ามิกล้า วันนี้ข้าแค่อยากมาเล่นสนุกกับเจ้า...นิดหน่อยเท่านั้นเอง หากมินึกว่าจะได้เจอ...ของดีเข้า”
“หากมิยอมปล่อยท่านแม่ข้า...ท่านจะได้พบของดีอย่างที่ต้องร้องอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงโหยหวนแน่” แม้จะมิมั่นใจเลยว่าสิ่งที่คิดจะทำร้ายอีกฝ่ายพร้อมกับช่วยเหลือท่านแม่ได้สำเร็จ แต่จะมิให้เขาคิดทำสิ่งใดเลยนะหรือ...มิมีทาง เป็นไปมิได้
รอยยิ้มเยือกเย็นแต้มริมฝีปากบางขณะร่างเล็กเดินไปยังรถม้าที่แม้ว่าไม้ที่ล้อจะแตกหักไปบ้าง หากก็ยังมิเสียหายจนใช้การมิได้ ภายในมีกล่องที่ใส่ยาไว้หลายชนิดที่เก้าเทียนรุ่ยก็ยังงุนงงอยู่มิน้อยว่ามันช่วยรักษาอะไร ก็เขาไม่รู้จักสักนิด
แต่ก็คงจะไม่มีอะไรให้แปลกใจแล้วล่ะ ก็อยู่ดี ๆ เขาเกิดรู้ว่าผักที่ปลูกไว้หลังเรือน ผลไม้ รวมถึงต้นไม้ใบหญ้าที่พบเห็นได้ทั่วไปสามารถนำมาปรุงตัวยาที่สามารถรักษาผู้คนให้หายได้ หากนั้นก็ยังมิเท่ากับความกล้าที่มิรู้ว่ามันมาจากที่ใด ไม่กลัวว่าจะถูกทำร้ายยามที่เอ่ยปากออกไปว่า สามารถรักษาผู้คนที่ป่วยไข้ให้หายได้ ยังดีที่ทุกคนกินเข้าไปแล้วหายจริง ๆ มิตายอย่างที่ปากพาหาเรื่องให้หัวกับตัวขาดจากกันเมื่อได้ยาที่ต้องการแล้วเก้าเทียนรุ่ยก็นำไปมอบให้กับท่านรองแม่ทัพและนายทหารที่เหลืออยู่อีกสองคน “หากอยากพาข้าไปทำการปรุงอาหารให้กับนายของท่าน ก็กินยานี่พร้อมกับผักในรถสักสองสามต้น...มินานเลือดก็หยุด พลังก็จะฟื้นคืนด้วยเช่นกัน ส่วนบุรุษผู้นั้น ข้าจะเป็นคนจัดการเอง...กล้าจับท่านแม่ของข้าไป ฮึ...ต่อให้ร้องอ้อนวอนจนเสียงขาดหาย ก็อย่าหวังว่าข้าจะปรานี”“ประมาณตนหน่อยคุณชายเอ้อร์ อย่าให้ข้าต้องเป็นคนฝังท่านก่อนจะได้ไปทำการรักษานายของข้า”หากเก้าเทียนรุ่ยกลับส่งยิ้มหวาน...เพียงแค่ปากมิใช่ดวงตาที่มันร้อนผ่าวไปให้กับท่านรองแม่ทัพ“ท่านนั่นแหละ เงียบปากไปเลย เอาตัวเองให้รอดก่อนจะมาดูแลผู้อื่นเถอะ”เก้าเทียนรุ่ยเอ
“ตื่นแล้วหรือเอ้อร์เออร์” “ขอรับ...” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับ พลางยกสองมือชูขึ้นก่อนจะนำข้างหนึ่งมาปิดปากเอาไว้ แม้จะได้นอนหลับพักผ่อนที่น่าจะนานอยู่ หากเขาก็ยังคงรู้สึกอ่อนเพลียจนอยากที่จะนอนพักอีกสักหน่อย ทว่า...“ถึงที่หมายแล้วหรือขอรับท่านแม่” มิน่าจะใช่ เขายังรู้สึกเหมือนกับว่ารถม้าที่นั่งอยู่เคลื่อนไหวอยู่เลย อีกทั้งเหมือนกับจะได้ยินเสียงของผู้คนที่อยู่นอกรถม้าด้วย ดูเหมือนว่าการเดินทางและเรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้ท่านแม่เองก็เหนื่อยมิใช่น้อย ตอนนี้ถึงได้มีท่าทางอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด เก้าเทียนรุ่ยจึงยื่นมือออกไปและปิดผ้ายื่นหน้าออกไปด้านนอกเพื่อไถ่ถามรองแม่ทัพที่น่าจะเร่งรีบเดินทางจนมิยอมหยุดพัก เมื่อรวมเข้ากับอาการบาดเจ็บที่ได้รับมา ตอนนี้ถึงได้ดูท่าทางเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าอย่างที่เห็นได้ชัด“เจ้าหลับไปนาน ข้านึกว่าจะมิตื่นขึ้นมาเสียแล้ว”“ปากเสีย...เป็นท่านมากกว่าที่ข้านึกว่าจะมิไหว แต่เห็นแล้วว่ายังแข็งแรงดีอยู่ แสดงว่ายาที่ข้าให้ท่านกินพร้อมกับผักพวกนั้นใช้รักษาแผลบาดเจ็บได้ดีจริง ๆ ด้วย เนี่ยนะเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าใช้ยานั่น นับถือความใจกล้าของท่านที่ยอมกินยานั่น เป็นหนูท
“ที่เจ้าทำอยู่ คงมิได้คิดจะบ่ายเบี่ยงมิยอมไปรักษานายของข้าหรอกนะ”ถามอย่างกับว่าเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างนั้นแหละ ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง...เขากับท่านแม่อยากจะหนีไปตั้งแต่ได้เห็นประตูทางเข้าที่นี่แล้ว ตอนที่ถูกบังคับให้มาด้วย ก็คิดอยู่แล้วล่ะ ผู้ที่เก้าเทียนรุ่ยต้องมาดูแลและปรุงอาหารให้ จะต้องเป็นคนสำคัญมาก หากใครจะคิดเล่าว่าคนผู้นั้นจะเป็นถึง...พลาดแล้ว...เขาพลาดไปแล้ว หากชวนท่านแม่หนีไปตั้งแต่เจอกับบุรุษชุดขาวนั่นตั้งแต่อยู่ในป่า ตอนนี้เขาก็คงมิต้องลำบากใจระคนขลาดกลัวเช่นนี้หรอกขอห้องให้ท่านแม่ได้พักผ่อน...ความจริงคือพาท่านให้ห่างไกลจากความวิตกกังวลและหวาดกลัวหลังจากที่ได้รู้ว่าเขาต้องทำการดูแลปรุงอาหารให้ใครนั่นแหละ ส่วนตัวเขาเองก็ได้อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ให้สะอาดขึ้น ยามเมื่อเข้าไปหาคนผู้นั้น จะได้มิต้องกังวลว่าตนเองจะมีกลิ่นมิพึงประสงค์และเชื้อโรคติดไป“ท่านจะเอาอันใดกับข้า...ตอนที่ข้าอาบน้ำ ท่านก็คอยให้คนไปจับตามองแทบจะทุกหนึ่งจิบชา[1] กลัวข้าจะหนี...คิดว่าข้าทำได้หรือไง ทุกที่...มีแต่คนของท่านเต็มไปหมด แค่มดก็ยังแทบจะหลุดรอดสายตาไปไม่ได้ นี่ข้าเป็นคนนะ จะหลุดรอดสายตาคนของท่านไปไ
ก็มิได้มีสิ่งใดให้น่าแปลกใจ ความรู้สึกแรกเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องนี้ หากก็ยังมีกลิ่นที่ทำให้เขาต้องรีบใช้สัมผัสที่มีหาที่มาของมัน หากมันก็เป็นเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้งเท่านั้นก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหายไปราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเขาเพียงแค่คิดมากไปเองมีอีกสิ่งที่เก้าเทียนรุ่ยสัมผัสได้หลังจากที่เดินเข้ามาในห้องนี้...มันร้อนอบอ้าวและความแห้งแล้งที่มันทำให้นึกถึงความแห้งแล้งเหมือนอยู่ในทะเลทราย ก่อนที่เขาจะได้พบกับ...อึ้ง!!! และกลัวจนตัวสั่นเมื่อเห็นผู้ที่นอนอยู่บนเตียง จนเผลอก้าวถอยไปด้านหลัง ไปยืนงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ จึงได้เอ่ยปากไถ่ถามรองแม่ทัพที่ยังคงมิยอมเอ่ยปากกล่าวอันใด หากสายตาที่มองมายังเขาพร้อมกับบ่งบอก...เป็นอย่างไรเล่า เจ้าก็เหมือนผู้อื่นที่มาทำการรักษา เพียงแค่เห็นก็ส่ายศีรษะไปแล้ว เมื่อตรวจดูก็รีบกล่าวเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว“ขออภัย...ขออภัยด้วยท่านรองแม่ทัพ ความรู้ข้ายังน้อย มิอาจทำการรักษานายของท่านได้”เจ้าเด็กเอ้อร์เอ๋อร์ปากดี...ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกันเก้าเทียนรุ่ยมองบุรุษบนเตียงสลับกับรองแม่ทัพอยู่ครู่ใหญ่พร้อมกับความคิดที่ว่า...รองแม่ทัพผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วใช่หรื
“หากเจ้าสามารถรักษาท่านแม่ทัพให้หายดีได้...จะให้ข้าเป็นม้า เป็นข้ารับใช้เจ้าไปตลอดชีวิตก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่เจ้าจะต้องการ”“ข้าจะทำเช่นนั้นไปทำไม ให้ท่านอยู่ใกล้ ข้าหายใจออก เอาเงินมิดีกว่าหรือไง อยากได้อะไรก็จะได้ซื้อได้ ดีกว่าที่ท่านกล่าวมาเป็นไหน ๆ ” ในเมื่อเขาอยากที่จะพาท่านแม่หนีไปให้ไกลจากคนพวกนั้น สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือ...การมีเงินให้เพียงพอคือสิ่งที่ดีที่สุดในยามนี้“มิถามเรื่องนี้แล้วก็ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าขอให้ท่านช่วยหาเตียงเล็ก ๆ มาให้ข้าสักหลัง เอามิต้องใหญ่นะ แต่ให้นอนสบาย”“จะเอามาทำไม ห้องที่ข้าจัดให้พักมิดีเพียงพอหรือไง”“ท่านนี่นะ...จะให้ข้ารักษานายของท่านโดยมิรู้อะไรเลยหรืออย่างไรกัน ข้าต้องอยู่ดูแลสังเกตอาการนายของท่านอย่างใกล้ชิดสิ จะได้จัดอาหารให้กินอย่างถูกต้อง จะได้หายเร็ว ๆ มิดีหรืออย่างไร”“ได้! ต้องการสิ่งใดก็บอกมา”“ขอพื้นที่สำหรับปลูกผัก” คิดว่าคนบนเตียงคงจะมิหายภายในสามวันเจ็ดวันเป็นแน่ เดือนหนึ่งก็คิดว่าน่าจะยังเร็วด้วยซ้ำ ในเมื่อจำเป็นต้องอยู่นาน ผักหญ้าที่เตรียมเอาไว้ก็คงจะมิเพียงพอ เขาจำเป็นต้องรีบจัดหามาเพิ่มให้เพียงพอและอย่างเร็วที่สุดด้วย“ส่วนจะปลู
“แย่แล้ว ๆ ต้องรีบหนี” ปากกล่าวเช่นนั้นหากความกลัวทำให้เก้าเทียนรุ่ยตัวสั่น แม้สมองจะสั่งการให้หนีหากตัวกลัวแข็งทื่อราวกับก้อนหิน ยิ่งเมื่อแขนข้างหนึ่งถูกจับเอาไว้ก็ยิ่งทำให้เขาลนลานจนมิรู้ว่าจะทำอย่างไรดี“ปล่อยข้านะ...ปล่อย!” หากยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ แรงที่ทุ่มลงมาบนแขนก็ยิ่งมากเท่านั้น หากมิรีบ...มินานแขนเขาคงจะหักเป็นแน่“ท่านแม่ขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยพยายามข่มกลั้นความกลัวเอาไว้ก่อนจะเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่วเบาที่ดูเหมือนว่าเมื่อเขาลดอาการแข็งขืนลง เมื่อเห็นว่าท่านแม่ทัพหยุดชะงักไป มันก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมา กล้าที่จะเอ่ยต่อไปว่า“ท่าน...ปล่อยข้าเถอะขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยรีบปลดมือที่บีบแขนออกอย่างช้า ๆ โดยที่ดวงตายังคงมองสบกับท่านแม่ทัพอยู่ แม้จะมิใช่คนช่างสังเกตอะไรเลย หากก็ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น เหมือนกับว่าภายในร่างกายของท่านแม่ทัพจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น เขาก็มิรู้ว่าเผลอตัวจับมือแกร่งไปได้อย่างไร“จะอะไรก็ตามที่ท่านมีสติรับรู้และต้านมันอยู่ ข้าเชื่อว่าท่านสู้มันได้แน่นอน ข้าเชื่อเช่นนั้นนะขอรับ”กลิ่น...มันเหมือนจะบางเบาสลับรุนแรงขึ้นเป็นระยะ หากได้ทานผักผสมยาที่ข้าเ
“หากมิกลัวว่าข้าบีบจมูกไปแล้วอาจทำให้ท่านสิ้นลมได้นะ...ข้าบีบจมูกท่านแล้วเอาน้ำผักผสมยาเคี่ยวกรอกปากแล้ว” มีทางไหนให้เขาป้อนน้ำผักเคี่ยวกับแม่ทัพใหญ่บ้างไหม คิดอยู่เป็นนานก็ค้นพบว่ามีอยู่หนึ่งวิธีที่ได้ผลแน่ หากเขานี่แหละ จะกล้าทำหรือเปล่า นั่นเท่ากับเขาต้องเสีย...หากสุดท้ายแล้วเมื่อเห็นว่ามิมีทางใด เก้าเทียนรุ่ยก็ได้แต่กลอกตาไปมา ขณะเป่าน้ำสีดำเข้มที่กลิ่นมิทำให้เขาอยากจะกลืนลงท้องเลยมาอมไว้แล้วป้อนให้ท่านแม่ทัพใหญ่“ข้าจะคิดค่าป้อนท่าน หนึ่งครั้งเท่ากับหนึ่งก้อนทอง” เขาเอ่ยด้วยความหงุดหงิดใจ ก็ตัวเขาในชาติภพนี้ อย่าว่าแต่ภรรยาเลย แม้กระทั่งคู่หมายก็ยังมิมี หากตอนนี้ต้องมาเสียจูบแรกและจูบที่สองให้กับท่านแม่ทัพปีศาจผู้นี้ไปแล้ว...เขาจะต้องคิดค่าเสียหายให้คุ้มค่าเก้าเทียนรุ่ยรีบจัดการป้อนผักผสมยาด้วยปากต่อปากไปอีกสองครั้ง หากครั้งที่สองทำให้เขาถึงกับตื่นตะลึงทำอันใดมิถูก ด้วยว่ามีคนมาเห็นวิธีการนี้ของเขาถึงสองคน!“เอ่อ...คือว่า...” ทั้งที่การกล่าวความจริงออกไปก็มิได้เป็นแปลกอันใด หากเพราะเขาเขินอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำตัวมิถูก จึงได้แต่หลบซ่อนใบหน้าที่มันคงจะแดงไปมองคนบนเตียง“ท่านก
“นี่ท่าน!” เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กัดฟันกรอด ๆ “หากมิเชื่อก็คอยดูละกัน อีกสักสองสามวัน นายของท่านจะต้องลุกขึ้นมาเอ่ยชวนท่านประมือเป็นแน่...มาก็ดีแล้ว ช่วยประคองนายของท่านลุกขึ้นนั่งหน่อยละกัน ข้าจะได้ป้อนยาให้สะดวก ๆ หน่อย” เขาจะได้ไม่ต้องป้อนแบบปากต่อปากอีก แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ มิค่อยมั่นใจเอาเสียเลย หางตามันกระตุกถี่ระรัวอย่างไรพิกล“เอ้อร์เอ๋อร์”“มิเป็นไรขอรับท่านแม่” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้าให้กับท่านแม่ที่ยังออกอาการหวาดผวาอย่างชัดเจน คิดว่าหลังจากนี้เขาคงจะต้องไถ่ถามให้ได้รู้ความ เหตุใดท่านแม่ถึงได้เกรงกลัวต่อแม่ทัพปีศาจที่ยังมิฟื้นเช่นนี้“เจ้าว่า...เมื่อครู่ได้ประมือกับท่านแม่ทัพใหญ่”“ฮื่อ” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับ ขณะเริ่มป้อนผักเคี่ยวสูตรพิเศษให้กับท่านแม่ทัพที่วันนี้มิรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่ ทำไมแม่ทัพตัวร้ายถึงไม่ยอมกินยา ทำต้องกลั่นแกล้งเขาเช่นนี้ด้วย...“ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่...แม่ทัพของท่านแกล้งข้า” เก้าเทียนรุ่ยกล่าวน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ เพราะมิว่าจะทำอย่างไรท่านแม่ทัพก็มิยอมกินผักเคี่ยวยาสูตรพิเศษก็ยังคงเหลือเท่าเดิม“ท่านแม่ทัพคงจะชอบของแปลก”ท
“ท่านแม่” “เอ้อร์เอ๋อร์”เรียกได้ว่า เมื่อเห็นเขาเปิดประตูห้องเข้าไปและร้องเรียก ท่านแม่ก็รีบพาร่างบอบบางพุ่งตรงมาหาในทันที สองมือเล็กเหี่ยวนุ่มเย็นจัดเช่นเดียวกับใบหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระคนวิตกกังวลมิแพ้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ มันทำให้เขารู้สึกมิค่อยดี หรือว่าท่านแม่...“ท่านแม่เจอ...แล้วหรือขอรับ” หากเจอกันแล้ว ยามที่เขาเจอกับบุรุษผู้นั้นมันต้องมีอะไรบางอย่างที่บอกให้รู้บ้างสิ แต่เท่าที่เห็น...จากความคิดของเขาเอง แม้จะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งเพียงใด แต่การได้เจอกับบุตรชายที่ได้ตายไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตกใจ...สงสัยและบังคับเอาคำตอบแน่นอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือบุรุษผู้นั้นมิได้สนใจในตัวเก้าเทียนรุ่ยที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด แทบจะมิปรายตามองด้วยซ้ำไป“แม้จะเห็นเพียงแค่ไกล ๆ ถึงการอยู่ด้วยกันจะมิได้รับการเอาใจใส่ แต่อย่างไรก็สามีภรรยากัน มีหรือที่แม่จะจดจำคนผู้นั้นมิได้ แม่รีบหลบมาอยู่แต่ในห้อง อยากจะไหว้วานนายทหารให้ส่งข่าวให้เอ้อร์เอ๋อร์รู้ แต่ก็กลัวจะถูกสงสัย เลยได้แต่รอด้วยความร้อนใจเช่นนี้”“ท่านแม่ไว้วางใจได้ขอรับ นอกจากเขาจะจำข้ามิได้แล้ว เขายังไม่
นิ้วยาวลากไล้บนท่อนแขนกำยำอย่างแผ่วเบาพลางพึมพำออกมาว่า “แผลที่แขนสมานกันดีจนแทบมิเห็นรอยบาดแผลแล้ว ยาใส่แผลของข้าช่างได้ผลดียิ่งนัก” มิน่าเชื่อว่ายาเหล่านั้นจะทำให้บาดแผลหายเร็วเช่นนี้ มันช่างแปลกประหลาดเหลือที่จะกล่าว แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการดียิ่งเก้าเทียนรุ่ยลุกขึ้นเพื่อไปตรวจดูแขนอีกข้างของท่านแม่ทัพอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่คนอย่างเขาจะทำได้ แต่นอกจากบาดแผลจากการสู้รบและฝึกฝนฝีมือที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้วก็มิเห็นว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติไปเลยแม้แต่นิดเดียว“เจ้าหนอนแดงนั่นมันหลบซ่อนอยู่ตรงไหนกันนะ มันต้องมีร่องรอยบ้างสิ ข้าต้องหาเจอสิน่า” เก้าเทียนรุ่ยบ่นพึมพำพลางกวาดสายตามองแขนท่านแม่ทัพอย่างมิให้คลาดสายตาแม้สักจุดเดียว ก่อนจะเลยไปถึงแผงอกกว้างกำยำที่ดูอย่างไรก็เห็นจะมีเพียงแค่ร่องรอยของบาดแผลทั้งเก่าและใหม่มิมีร่องรอยของสิ่งที่ค้นหาอยู่เลย“คิดว่ามันจะยอมให้หาเจอง่าย ๆ หรือไง กระทั่งตัวข้าเองที่มีมันอยู่ในร่างกายยังมิรู้เลยนะ”“จะซ่อนให้ดียังไง มันก็หนอนที่ไร้ความคิดนะขอรับ จะปกปิดซุกซ่อนอย่างความคิดของคนได้ยังไงกันล่ะ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยออกไปขณะเดียวกันสำรวจร่างกายคนตรงหน้าอย่างละเอียด
แย่เข้าไปใหญ่ ทำอย่างนี้จะมีแต่จะทำให้คนเกลียดเขาเพิ่มมากขึ้นนะสิ หากเทียนรุ่ยก็มิอาจกล่าวสิ่งใดออกไปได้ นอกจาก“ใจเย็นก่อนนะขอรับท่านพี่ ที่ข้ากล่าวออกไปเพราะอยากให้ท่านคิดไตร่ตรองให้ดี อย่าทำสิ่งใดให้ศัตรูที่ยังหลบซ่อนกายอยู่ล่วงรู้”“ข้าคงเร่งรีบมากจนเกินไปจึงทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ ขอบใจที่เตือนข้านะอาซวง นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้อาซวงกังวลใจอยู่อีก ใช่หรือไม่”หากจะบอกว่ามิใช่...ย่อมเป็นไปมิได้ “เพราะเรามิรู้ว่าศัตรูอยู่ไกลหรือวางคนอยู่ใกล้ตัวเพียงใด การฟื้นมาของท่าน คนเหล่านั้นอาจจะล่วงรู้และเตรียมตัวรับมือไว้แล้วก็เป็นไปได้ การเดินทางรอนแรมทั้งที่ร่างกายเพิ่งจะฟื้นได้มินาน อาจจะทำให้หนอนแดงที่ข้าคิดว่ายังคงถูกฝังอยู่ในตัวท่านตื่นขึ้นมาเล่นงานอีกนะขอรับ ข้ากลัวท่านจะรับมือมันมิไหว” หากครั้งนี้ล้มหมดสติไปอีก ดูท่าว่าการจะทำให้ฟื้นขึ้นมาคงเป็นไปได้ยาก“หากมีอาซวงอยู่ด้วย ข้าย่อมมิกลัวสิ่งใด”“เอ่อ...” สายตาคู่นั้นมันช่างทำให้เขารู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวและหัวใจก็เต้นไหวอย่างรุนแรงด้วย นี่เขาเป็นอันใดไป“แม้ว่าเราจะเพิ่งพบเจอกัน หากข้าเชื่อว่าอาซวงจะมิทำร้ายข้า”สง
“ใช่แล้วลิ่วหลาง นับตั้งแต่เจ้าล้มป่วย เต่าน้อยเองก็ล้มป่วยเช่นกัน หากทั้งหมอหลวงจางและราชครูเหลิ่งกลับมิยอมบอกเรื่องนี้กับผู้ใด นี่หากว่ามิแอบได้ยินหมอหลวงจากกล่าวเรื่องเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านเรื่องยาที่ให้ไปหามา ข้าก็คงมิล่วงรู้ ข้าร้อนใจมากด้วยมิรู้ว่าจะบอกเรื่องนี้กับผู้ใดได้บ้าง”“ในราชสำนักน่าจะมีผู้ที่อยู่ฝั่งหมอหลวงจางและเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านอยู่มิน้อย”“มิต้องสนใจเรื่องใด กลับไปทำหน้าที่ของเจ้า...สุขภาพข้ายามนี้พอจะเดินทางไกลได้ไหมอาซวง”“ท่านเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเองนะขอรับ หากเดินทางไกล ข้ากลัวว่า...”“หากอาซวงจะร่วมเดินทางไปด้วย”เรื่องที่ได้รู้คงทำให้ท่านแม่ทัพร้อนใจมิใช่น้อย หากว่า...ยามนี้ยังเดินทางไกลมิได้จริง ๆ หากการรักษามิต่อเนื่อง อาจจะทำให้ร่างกายที่ดีขึ้นแล้วทรุดลงอย่างรวดเร็วจนอาจจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายได้“จะยังไงมันก็ยังมิควรนะขอรับ”“มิมีหนทางอื่นใดช่วยได้เลยหรือท่านหมอ”ซูเหย้าน่าจะพอรู้แล้วว่าท่านแม่ทัพจะเดินทางไปที่ใด“ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาอย่างไรเล่า แค่นี้ก็แก้ไขมิได้”ท่านแม่ทัพมองโหยวเจียนด้วยสายตาเยียบเย็น แต่กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า“ข้ารู้ว่าอาซว
“ลิ่วหลาง! ในที่สุด เจ้าก็ฟื้นแล้ว”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดที่นั่งอยู่ โหยวเจียนก็เอ่ยเสียงดังราวกับจะให้ได้ยินไปทั่วจวน พร้อมกันนั้นก็รีบเดินตรงลิ่วไปหาท่านแม่ทัพราวกับลมพัด หากกำลังจะยื่นมือไปจับกายแกร่งที่ยามนี้ผอมจนแทบจะมีเพียงแค่หนังหุ้มกระดูก แต่ท่านแม่ทัพกลับเบี่ยงกายหนีและยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด“หากเจ้ายังทำเสียงดังเช่นนี้อีก ก็กลับไปเสีย มิต้องมาให้เห็นหน้า”ก็พอจะคาดเดาได้ว่าท่านแม่ทัพเป็นผู้ที่มิสนใจผู้ใด ยกเว้นก็เพียงแค่ชิงชวน อ้ายฉีและน่าจะมีผู้ที่ถูกเรียกว่าเต่าน้อย แต่คิดมิถึงว่าจะกล่าวกับโหยวเจียนเช่นนี้ด้วยคนถูกไล่ตอนแรกก็มีสีหน้ามิค่อยดีสักเท่าไหร่ คงจะอับอายด้วยว่ามีผู้อื่นเช่นเขาและซูเหย้าที่เดินตามหลังมาอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าปอดเท่านั้น ใบหน้าที่แดงด้วยโทสะก็คลี่ยิ้มเช่นเดิม ทำราวกับเมื่อครู่มิได้ยินสิ่งใด“ก็ข้าดีใจที่เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าหมอผู้นี้ทำหน้าที่ของตนได้สมกับที่รับปากไว้ มิเสียแรงที่ข้ายอมเสียงเงินถึงหนึ่งกำปั่นเพื่อให้นำมาซื้อยารักษาเจ้า”ยามได้ยิน เขาคิดว่าโหยวเจียนจะโอ้อวดว่าตนเองมั่งมีเงินทองและอาศัยการจ่ายเงินในครั้งนี้ทวงบุญ
‘ดีมากอาซวง...เจ้าช่างรู้ใจข้าเสียยิ่งนัก’ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ เขาจะต้องคิดหาวิธีไล่สองคนนี้ออกไปจากห้องก่อนจะทนมิไหว ทำแผนของอาซวงพังมิเป็นท่าเอ๊ะ...ดูเหมือนอาซวงจะส่งสัญญาณบอกมาแล้ว เขาก็เลยรีบส่งเสียงที่คำราม พร้อมกับยกแขนและขาฟาดไปฟาดมาหวังว่าจะทำให้ทั้งสองคนที่บุกรุกมาสร้างความรำคาญใจให้เจ็บตัวสักหน่อย หากก็มิสำเร็จอย่างต้องการ ด้วยว่าโหยวเจียนแม้จะอ้วนพี แต่ก็ช่างเป็นคนที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วอย่างคาดมิถึง...เพียงแค่เขายกเท้าขึ้นจะถีบ อีกฝ่ายก็เผ่นไปถึงประตูห้องเสียแล้ว“เสียดาย”“ท่านพี่ว่าอะไรนะขอรับ”“ข้าว่าเสียดายที่ยังมิทันจะได้ถีบโหยวเจียนเลย”อาซวงหัวเราะ “ซูเหย้าผู้นั้นก็ไปเร็วเช่นกัน แต่กว่าจะไปก็ทำเอาข้าถึงกับเหนื่อยเหมือนกัน”“ขอโทษที่ทำให้อาซวงเหนื่อยนะ”มิรู้ว่าเขาจะคิดไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนว่าสายตาของอาซวงที่มองโหยวเจียนและซูเหย้าบ่งบอกว่า...มิไว้วางใจและน่าจะแฝงไว้ด้วยความสงสัยอยู่มิน้อย หากก็ยังคงปกปิดมิยอมเอ่ยปากบอกให้เขารู้ หากนั่นยังมิเท่าสิ่งที่อาซวงบอกมา...‘ในตัวเขา...มีบางสิ่งฝังอยู่!’แม้มิอยากเชื่อ หากเมื่อก้มลงมองแขนที่ได้
“ข้าจะรีบทำให้เสร็จโดยเร็วและจะรีบกลับมา” เก้าเทียนรุ่ยจับแขนแกร่งออกจากกายแล้วดันร่างของท่านแม่ทัพให้ล้มตัวลงนอน ถึงจะมิง่วงเพราะนอนมายาวนานแล้ว แต่อย่างไรร่างกายนี้ก็ยังอ่อนเพลียอยู่ ยังต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อจะได้มีแรงสู้กับสิ่งที่ฝังอยู่ภายในร่าง“เดี๋ยวสิ”เก้าเทียนรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อท่านแม่ทัพจับมือไว้มิยอมปล่อย “มีอะไรอีกหรือขอรับ”อย่างรวดเร็วจนเขามิทันจะได้ตั้งตัว กายแกร่งก็ผุดลุกขึ้นมาพร้อมกับปากหนาที่แนบลงมาบนแก้ม“รีบไปรีบกลับนะ...อาซวง”ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยร้อนผ่าว ขณะที่ดวงตาก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ แม้กระทั่งเดินออกมาแล้วสติก็ยังมิครบครัน ก่อนจะคิดได้ว่า เพราะเขาน่ารัก ท่านแม่ทัพที่เพิ่งจะพบหน้าถึงได้รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดู ถึงได้บอกด้วยการกระทำว่าเป็นพี่ชายที่รักน้องชายผู้นี้เป็นอย่างมาก ที่เขาควรจะต้องเร่งหาทางรักษาอีกฝ่ายให้หายให้เร็วที่สุดเป็นการตอบแทน...ใช่! ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนจะกล่าวถึงฝีมือทำอาหารของอาซวง แม้รสชาติจะจัดจ้านไป…มิน้อย บางครั้งก็แทบจะกลืนมิลง หากรวม ๆ แล้วก็อร่อยอยู่นะ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายต้องคอยเอาอกเอาใจ ป้อนด้วยท่าทางหงุดหงิดที่ทำใ
ช่างกล่าวได้อย่างโหดร้ายมาก นี่นะหรือที่ท่านอ้ายฉีกับชิงชวนกล่าว บุรุษผู้นี้มิอาจจะทำร้ายท่านแม่ทัพได้ จนกว่าจะได้เจอกับผู้ที่หลบซ่อนกายอยู่ ทำอย่างไรเขาก็ยังมิปักใจเชื่อแน่ว่าสองคนนี้จะมิเกี่ยวข้อง“ใจเย็นก่อนท่านโหยวเจียน กล่าวเช่นนี้ไปจะทำให้ท่านหมอขลาดกลัวจนอาจจะทำสิ่งใดผิดพลาดไปได้นะ”“ถ้ามิขู่ให้กลัว แล้วจะรักษาลิ่วหลางอย่างดีหรือไง” โหยวเจียนสะบัดมือด้วยความหงุดหงิดเก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลอกตากับความคิดของคนผู้นี้เสียจริง “ข้าจะดูแลรักษาท่านแม่ทัพให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าผู้น้อยจะทำได้ขอรับท่านโหยวเจียน หากตอนนี้ข้าต้องขออภัยที่จำเป็นต้องให้ท่านทั้งสองคนออกไปจากห้องนี้ก่อน”“นี่เจ้า! เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาไล่ข้า”“หากท่านทั้งสองจะอยู่ ข้าก็มิว่าอันใด แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้น...ท่านจะกล่าวโทษข้ามิได้นะขอรับ”“หมายความว่าอย่างไรหรือหมอ”“คือ...ด้วยยาที่ข้าให้ท่านแม่ทัพกินเข้าไปทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จากที่เคยนอนเป็นผักเน่าก็เคลื่อนไหวได้ แต่การเคลื่อนไหวนี่แหละขอรับที่ทำให้ข้ากลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพวกท่าน” ดูเหมือนว่าวาจาของเขาจะทำให้ท่านแม่ทัพรู้ว่าควรจะต้องทำเช่
“ข้ากำลังจะรายงานนายท่านโหยวเจียนอยู่เลยขอรับ แต่ก่อนนั้นข้าจะต้องไถ่ถามท่านเสียก่อน” คิดจะเล่นงานเขาใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นเขาเล่นงานท่านก่อนละกัน จะเอาให้หมดเนื้อหมดตัวเลย“อะไร”“ท่านมาเยี่ยมท่านแม่ทัพครั้งล่าสุด...นานหรือยังขอรับ”“ก็หลายวันอยู่นะท่านหมอ” เป็นซูเหย้าที่ตอบแทนโหยวเจียนที่ตอนนี้ยังโมโหจนหน้าดำหน้าแดงอยู่ เดี๋ยวจากแดงจะกลายเป็นคล้ำจนดำเพราะต้องเสียเงินให้เขาเป็นกำปั่น“ถ้าเช่นนั้นข้าอยากให้ท่านทั้งสองดูบางสิ่งที่ทำให้ข้ามั่นใจในวาจาที่เคยกล่าวมาตั้งแต่แรก...มิเกินสามวันท่านแม่ทัพจะต้องฟื้นแน่นอน” เพื่อให้ความมั่นใจกับทั้งสองคนตรงหน้าที่เขาจะเรียกเงินเข้ากระเป๋าให้มากที่สุด เก้าเทียนรุ่ยก็รีบกล่าวออกไป“ท่านทั้งสองสังเกตใบหน้าของท่านแม่ทัพสิขอรับ ระหว่างวันนี้กับก่อนหน้านั้นแตกต่างกันหรือไม่” หากมิแตกต่างก็คงจะเกินไปแล้วล่ะ กินอาหารเผ็ดร้อนเข้าไปเสียขนาดนั้น ใบหน้าและริมฝีปากย่อมยังมีสีสันอยู่แล้ว“ท่านว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่”“เจ้าอาจจะเอาสีมาป้ายไว้ก็ได้นี่”“ข้าหรือจะกล้าทำเช่นนั้น หากท่านโหยวเจียนยังมิเชื่อ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องดูผิวกายขอรับ...ครั้งแรกที่ข้าเห็น ก็ยังคิด