“หากมิกลัวว่าข้าบีบจมูกไปแล้วอาจทำให้ท่านสิ้นลมได้นะ...ข้าบีบจมูกท่านแล้วเอาน้ำผักผสมยาเคี่ยวกรอกปากแล้ว” มีทางไหนให้เขาป้อนน้ำผักเคี่ยวกับแม่ทัพใหญ่บ้างไหม คิดอยู่เป็นนานก็ค้นพบว่ามีอยู่หนึ่งวิธีที่ได้ผลแน่ หากเขานี่แหละ จะกล้าทำหรือเปล่า นั่นเท่ากับเขาต้องเสีย...
หากสุดท้ายแล้วเมื่อเห็นว่ามิมีทางใด เก้าเทียนรุ่ยก็ได้แต่กลอกตาไปมา ขณะเป่าน้ำสีดำเข้มที่กลิ่นมิทำให้เขาอยากจะกลืนลงท้องเลยมาอมไว้แล้วป้อนให้ท่านแม่ทัพใหญ่
“ข้าจะคิดค่าป้อนท่าน หนึ่งครั้งเท่ากับหนึ่งก้อนทอง” เขาเอ่ยด้วยความหงุดหงิดใจ ก็ตัวเขาในชาติภพนี้ อย่าว่าแต่ภรรยาเลย แม้กระทั่งคู่หมายก็ยังมิมี หากตอนนี้ต้องมาเสียจูบแรกและจูบที่สองให้กับท่านแม่ทัพปีศาจผู้นี้ไปแล้ว...เขาจะต้องคิดค่าเสียหายให้คุ้มค่า
เก้าเทียนรุ่ยรีบจัดการป้อนผักผสมยาด้วยปากต่อปากไปอีกสองครั้ง หากครั้งที่สองทำให้เขาถึงกับตื่นตะลึงทำอันใดมิถูก ด้วยว่ามีคนมาเห็นวิธีการนี้ของเขาถึงสองคน!
“เอ่อ...คือว่า...” ทั้งที่การกล่าวความจริงออกไปก็มิได้เป็นแปลกอันใด หากเพราะเขาเขินอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำตัวมิถูก จึงได้แต่หลบซ่อนใบหน้าที่มันคงจะแดงไปมองคนบนเตียง
“ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์”
รอยยิ้มเย็น ๆ ของรองแม่ทัพทำให้เก้าเทียนรุ่ยอยากจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าที่มันก็มิได้มีอยู่เลย ทั้งที่มิได้ทำสิ่งใดผิด หากความรู้สึกที่มันเกิดขึ้น...มันแปลกอย่างบอกมิถูก จนมิค่อยกล้าจะสบสายตาผู้ใด
“เอ้อร์เอ๋อร์ทำอันใดหรือลูก”
“ท่านแม่ คือข้า...” เก้าเทียนรุ่ยยิ้มแหย ๆ ให้กับมารดาที่แม้จะกลัวคนในจวนนี้ หากความคิดถึงและห่วงใยเขามีมากกว่า จึงเลือกที่จะมาหาเขาในวันนี้
“ข้ากำลังป้อนผักผสมยาเคี่ยวให้กับท่านแม่ทัพอยู่นะขอรับ วันนี้มิรู้ว่าเป็นอย่างไร ถึงได้กินยากกินเย็นเหลือเกิน ข้าก็เลย...” เขารีบบอกกล่าวพร้อมก้าวลงจากเตียงของท่านแม่ทัพอย่างรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองล้มลงเพื่อไปหามารดา
“เจ้าก็เลยต้องป้อนด้วยวิธีเช่นนี้นะหรือ”
“ความจริงข้าจะใช้วิธีใดรักษานายของท่าน มันก็มิแปลกมิใช่หรือขอรับท่านรองแม่ทัพ ขอเพียงแค่นายของท่านหายดีเท่านั้นนี่”
“มิแปลกและข้ามิสนใจด้วยว่าท่านจะใช้วิธีการใดรักษานายของข้า หากข้าเห็นหลายวันแล้วท่านแม่ทัพใหญ่ยังมิมีการเปลี่ยนแปลงอันใดเลย จนตอนนี้เริ่มคิดไปว่าท่านอาจจะมิได้มีฝีมือดังที่เขาเล่าลือกันมา”
ชิชะ...ท่านรองแม่ทัพปากเสียนี่! อยากตบปากจริง ๆ
“ท่านนี่นะ...” เก้าเทียนรุ่ยถอนหายใจแรง ๆ อย่างเหนื่อยหน่ายใจ “ช่างกล่าวออกมาได้ หากข้ามิมีฝีมือ ท่านจะได้มายืนถกเถียงดูแคลนข้าอยู่เช่นนี้หรือ เรื่องที่เกิดขึ้นในป่า ยังพิสูจน์ฝีมือข้ามิเพียงพอหรืออย่างไรกัน...คนจริงเขามิโอ้อวดฝีมือกันหรอกนะท่านรองแม่ทัพ” เขากล่าวย้ำลงไปอีกครั้ง
ความจริงแล้วเขาก็มิรู้เลยว่าตนเองจะมีความสามารถทางด้านนี้ด้วย คิดเพียงแค่ว่า การมาอยู่ยังภพนี้นั้นปลูกผักได้ดี ให้ผลเร็วและทำให้หลายคนหายป่วยไข้ได้ก็ดี ใครจะคิดเล่าว่าเมื่อยามคับขัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความกลัวและความสูญเสีย ในตอนนั้นเองหูก็พลันได้ยินเสียง...
ครั้งแรกก็คิดไปว่าตนเองหูฝาดและคิดมากไปเอง หากเมื่อได้ยินซ้ำอีกครั้ง...
“นายท่านต้องการให้ช่วยสิ่งใด เชิญกล่าว”
แม้เขาจะงุนงงกับเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัว หากเมื่อเหลียวมองรอบกายด้วยคิดว่าท่านรองแม่ทัพไถ่ถาม ก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังรับมือกับเถาวัลย์ที่พุ่งเข้าหาจนแทบมิทันจะได้หายใจด้วยซ้ำ ก็เลยรู้ว่ามิใช่ หากสิ่งใดเล่าที่กล่าวกับเขา...แล้วเรื่องราวที่ท่านแม่เล่าให้ฟังเมื่อครั้งที่เขาได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้ จากที่เคยคิดว่ามันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เขาคิดมากไปเอง ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ แต่พอมาคิดอีกที...นี่ก็อาจเป็นความสามารถอีกอย่างที่คนผู้นั้นให้ติดตัวเพื่อให้เขาอยู่รอดที่นี่...ในภพนี้ก็เป็นไปได้
ถึงมันจะเป็นเพียงแค่ความคิดเป็นความต้องการของตนเองที่หวังจะช่วยมารดา หรือจะเป็นความหวังจะทำให้ตนเองมีชีวิตรอดก็แล้วแต่ สิ่งที่ได้ยินจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม ในเมื่อรู้แล้วและต้องการมีชีวิตรอด เขาก็ควรทำ เมื่อคิดไปเช่นนั้นแล้วเขาก็เลยลองดู!
เริ่มแรกเขาก็ขอให้ใบหญ้าช่วย ตอนที่เห็นว่าใบหญ้าเปลี่ยนเป็นใบมีปลายแหลมและคม...เขาก็อึ้งมิน้อย คิดในใจไปว่า...นี่เราเก่งและทำได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ ไหน ๆ ต้นไม้และใบหญ้าก็ช่วยได้จริงอย่างที่บอกไป ถ้าเช่นนั้นก็ลองให้ช่วยท่านแม่กลับคืนมาและสั่งสอนคนมิดีด้วย...เขาก็เลยบอกออกไป แล้วมันก็เป็นจริง เขาก็ได้ท่านแม่คืนมา แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายเกิดความผิดปกติไป
ตอนที่คิดว่าจะลองทำอีกสักครั้ง หากอยู่ดี ๆ รอบกายก็ดับวูบ มืดจนมองมิเห็นสิ่งใดเลย ก่อนจะเห็นเป็นภาพเลือนราง มันเหมือนกับว่าเขาเดินอยู่ท่านกลางหมอกควันเพียงลำพัง หากหูกลับได้ยินเสียงร้องเรียกให้ช่วย เสียงที่ดังมาจากที่แสนไกล...ไกลมา คล้ายกับกำลังขอร้องให้ช่วย
“ใคร...ต้องการสิ่งใด” หากสิ่งที่ไถ่ถามออกไปกลับมิได้รับคำตอบ มีเพียงแค่เสียงคล้ายกับมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ มันรวดเร็วเสียจนเขามองมิทัน รับรู้เพียงแค่ว่ามีอะไรสักอย่างกระแทกเข้ากับร่างกายอย่างแรง จนแทบจะยืนมิอยู่ จนถึงตอนนี้เสียงแหบพร่าแผ่วเบายังคงดังติดอยู่ในความทรงจำ ยิ่งเมื่อเห็นคนบนเตียง...เหมือนกับความรู้สึกเหล่านี้ก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น ราวกับว่ามันกำลังเกิดอยู่ตรงหน้า
แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องศึกษาเรียนรู้เพื่อการอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยไร้คนมารบกวน หากตอนนี้เขามิควรคิดถึงเรื่องที่มันผ่านมาแล้ว ควรรับมือกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเสียก่อน
“แล้วข้าก็จะบอกให้ท่านรับรู้ไว้ด้วยนะ...ท่านแม่ทัพของท่านเพิ่งจะฟื้นมาประมือกับข้าเมื่อครู่นี้เอง ตอนนี้คงจะเพลียจนหลับยาวไปอีกหลายชั่วยาม”
“เจ้าคงจะมิคิดกล่าวเพื่อรักษาหน้าตนเองหรอกนะ”
“นี่ท่าน!” เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กัดฟันกรอด ๆ “หากมิเชื่อก็คอยดูละกัน อีกสักสองสามวัน นายของท่านจะต้องลุกขึ้นมาเอ่ยชวนท่านประมือเป็นแน่...มาก็ดีแล้ว ช่วยประคองนายของท่านลุกขึ้นนั่งหน่อยละกัน ข้าจะได้ป้อนยาให้สะดวก ๆ หน่อย” เขาจะได้ไม่ต้องป้อนแบบปากต่อปากอีก แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ มิค่อยมั่นใจเอาเสียเลย หางตามันกระตุกถี่ระรัวอย่างไรพิกล“เอ้อร์เอ๋อร์”“มิเป็นไรขอรับท่านแม่” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้าให้กับท่านแม่ที่ยังออกอาการหวาดผวาอย่างชัดเจน คิดว่าหลังจากนี้เขาคงจะต้องไถ่ถามให้ได้รู้ความ เหตุใดท่านแม่ถึงได้เกรงกลัวต่อแม่ทัพปีศาจที่ยังมิฟื้นเช่นนี้“เจ้าว่า...เมื่อครู่ได้ประมือกับท่านแม่ทัพใหญ่”“ฮื่อ” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับ ขณะเริ่มป้อนผักเคี่ยวสูตรพิเศษให้กับท่านแม่ทัพที่วันนี้มิรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่ ทำไมแม่ทัพตัวร้ายถึงไม่ยอมกินยา ทำต้องกลั่นแกล้งเขาเช่นนี้ด้วย...“ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่...แม่ทัพของท่านแกล้งข้า” เก้าเทียนรุ่ยกล่าวน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ เพราะมิว่าจะทำอย่างไรท่านแม่ทัพก็มิยอมกินผักเคี่ยวยาสูตรพิเศษก็ยังคงเหลือเท่าเดิม“ท่านแม่ทัพคงจะชอบของแปลก”ท
“แม่รู้แล้ว”“ท่านบอกลูกน้องด้วยนะท่านรองแม่ทัพ ให้คอยดูแลช่วยเหลือแม่ข้า อย่าให้แม่ข้าต้องเหนื่อย มิเช่นนั้นข้าจะให้ท่านแม่ทัพเอาเรื่องพวกเจ้า!”“เจ้าคิดว่าทำได้ รู้หรือไม่ บ้านมีกฎบ้าน ทหารก็มีกฎของทหาร”“ก็พอรู้นิดหน่อย แต่ท่านควรจะรู้นะท่านรองแม่ทัพ...ผักพวกนั้นเป็นอาหารและวัตถุดิบที่ใช้ผสมทำยารักษานายของท่านให้หาย หากดูแลมันมิดี เติบโตไม่ทันท่วงที นายของท่านนั่นแหละที่จะมีปัญหา” เอาสิ...ศึกนี้ใครมันจะเป็นฝ่ายมีชัย“มิต้องห่วง ข้าจะเป็นคนคอยดูแลท่านแม่เจ้าให้เอง”“รับปากแล้วทำมิได้ ท่านก็เป็นลูกเต่า”“เอ้อร์เอ๋อร์”หากเก้าเทียนรุ่ยเลือกที่จะมิสนใจคำตักเตือนของท่านแม่และยังส่งยิ้มออดอ้อนไปอีก “หากมิเป็นการรบกวนท่านรองแม่ทัพจนเกินไป...ช่วยนำถังอาบน้ำพร้อมกับน้ำที่ต้มพออุ่นมาให้ข้าด้วยนะขอรับ”หากจำมิผิด มีบางตัวยาที่เผลอหยิบมาโดยมิตั้งใจเมื่อวันไปหาซื้อยากับรองแม่ทัพยังอยู่ในกระเป๋าย่าม ตอนนี้ท่านแม่ทัพเริ่มจะรู้สึกตัวแล้ว เขาควรเร่งฟื้นฟูร่างกายเพิ่มเติม“เจ้าคิดทำสิ่งใด”“ในเมื่อท่านมอบอำนาจในการรักษาท่านแม่ทัพให้ข้าแล้ว...ข้าจะทำสิ่งใดเพื่อให้นายของท่านหาย มันก็ล้วนขึ้นอยู่กับข้า
“คนอะไรจะหนักขนาดนี้เนี่ย” เก้าเทียนรุ่ยอดบ่นมิได้ เพราะน้ำหนักที่ทิ้งลงมาทำให้เขายืดตัวแทบมิขึ้น สองขาก็สั่น หากเพียงแค่ลมหายใจมิทันจะหมด ความหนักที่เจอก็ลดน้อยลงไปและยังจะพาท่านแม่ทัพไปที่ถังน้ำได้โดยง่ายอีกด้วย“หากมิคิดว่าคนข้างนอกจะรีบเข้ามาจับกุมข้านะ ข้าจะปล่อยให้ท่านล้มคะมำหัวจุ่มลงไปในถังน้ำอุ่นผสมยาไปเลย” หากสิ่งที่เขาทำได้นะหรือ พยายามประคองร่างที่สูงเพรียวเอาไว้ ขณะเดียวกันก็พยายามยกขาของอีกฝ่ายให้เข้าไปอยู่ในถังน้ำอุ่นผสมยาที่กว่าจะเสร็จ ก็ทำเอาเก้าเทียนรุ่ยถึงกับได้เหงื่อจัดให้อีกฝ่ายแช่น้ำอุ่นผสมยาสมุนไพรพร้อมกับจัดท่าทางให้ท่านแม่ทัพจมอยู่ในน้ำยามากที่สุดได้แล้ว เก้าเทียนรุ่ยก็ยืนหายใจหอบแรงอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปจุ่มมือลงไปในน้ำก็เห็นว่าสำหรับท่านแม่ทัพใหญ่คงจะกระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนได้ดี หากสำหรับตัวเขาแล้วมันร้อนไปสักเล็กน้อย หากทำอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ลงแช่สมุนไพรเพื่อช่วยนวดกระตุ้นร่างกายให้อีกฝ่ายคงจะ...มิไหว จะใช้มือตักน้ำมาราดรดบนไหล่ แผ่นหลังและหน้าอกบางส่วนอาจจะทำให้มือมีปัญหาได้ น่าจะต้องใช้ผ้าผืนเล็กมาช่วย คิดได้อย่างนั้นก็รีบไปค้นหาผ
ท่าน...ท่านแม่ทัพจูบเขา!เป็นไปได้ยังไง...เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง หากเมื่อตั้งสติได้ก็รีบทาบมือผลักร่างหนาแกร่งให้ออกห่าง ทว่า...ยิ่งผลักดันกลับยิ่งถูกรัดให้แนบชิดมากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำของกายท่านแม่ทัพอื้อ...เก้าเทียนรุ่ยพยายามประท้วง หากเมื่อเจอกับสัมผัสที่หนักหน่วง รุกเร้าและเอาแต่ใจ จูบที่ดูดดื่มเหมือนกำลังขโมยลมหายใจไป เขาเลยจำใจปล่อยให้ท่านแม่ทัพทำอย่างที่ใจต้องการหรือ...ก็มิใช่เขาแล้วล่ะ!นี่แนะ!ในเมื่อมือถูกรัดเอาไว้จนทำอะไรไม่ได้ หากเท้ายังว่างอยู่นี่น่า เก้าเทียนรุ่ยก็เลยต้องรีบเตะออกไป ทว่า...นอกจากจะมิหลุดออกจากอ้อมกอดของท่านแม่ทัพแล้ว เขายังจะเจ็บเท้าและยังจะถูกรัดจนร่างแทบจะจมหายไปในอกกว้างยิ่งกว่าเดิมด้วยยิ่งต่อต้านก็ยิ่งถูกกอดรัดแนบชิดกายแกร่งและยังจะถูกจูบอย่างหนักหน่วงจนเข่าอ่อน ท่านแม่ทัพก็เลยจับเอาขาทั้งสองของเขาให้โอบรัดรอบเอวเพื่อที่ตนเองจะได้กอดและจูบกันอย่างถนัดถนี่มากขึ้น แม้อยากจะต่อต้านมิยอมให้อีกฝ่ายจูบได้ง่าย ๆ หากเขาก็ทำอะไรมิถูกและยังจะถูกอีกฝ่ายจับทางเอาไว้ได้หมด ท่านแม่ทัพขบกัดกลีบปากสลับบดคลึง ก่อนจะสอด
“ยังมิได้รังแก...เลย”“ก็ที่ท่านทำอยู่นี่ไง” เก้าเทียนรุ่ยได้แต่ข่มกัดฟันโต้ตอบกลับไปเสียงสั่น ด้วยนิ้วของท่านแม่ทัพที่เคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายมันทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ จนแทบมิกล้าหายใจ“มิได้รังแก แค่...อยากกินเจ้า”ว่าแล้วท่านแม่ทัพก็โน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนไหล่และขบกัด!“ท่าน!”“อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าถูกรังแก”ปากหนาขบกัดเคลื่อนวนเวียนไปมาบนผิวเนื้อเนียนนุ่ม ขณะที่มือก็เริ่มลูบไล้จากหน้าอกเคลื่อนลงไปทีละน้อย...ทีละน้อย หยอกเย้ากับพุงน้อย ๆ จนเขาเริ่มหายใจมิทั่วท้อง“หรืออย่างนี้...”“ไม่! หยุดนะท่านแม่ทัพ” เก้าเทียนรุ่ยรีบร้องเรียกเสียงดังก่อนที่นิ้วยาวจะสอดเข้าไปใต้กางเกง“หือ...แลกเปลี่ยน”อะไรกันอีกละเนี่ย! เก้าเทียนรุ่ยได้แต่มึนงงจนคิดอะไรมิออก “ข้าหยุดรังแก...เจ้าจะให้สิ่งใดล่ะ”“แล้ว...แล้วแต่ท่านต้องการ” ตอนนี้ไม่ว่าจะต้องแลกกับสิ่งใด เขาคิดว่าควรจะต้องตอบตกลงไปก่อน เพราะมันดีกว่าถูกท่านแม่ทัพปีศาจกินเต้าหู้จนมิเหลือ“จริง”“ฮื่อ...ข้ารับปาก” ว่าจะมิทำตามที่กล่าวและจะรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดด้วย“มิน่าเชื่อ...เท่าไหร่”โว้ย! อะไรกันวะเนี่ย เก้าเทียนรุ่ยได้แต่งึมงำแผ่วเบา พลา
เขาได้แต่อ้าปากค้าง...อยากก่นด่าออกไปว่า ไอ้บัดซบ! หากก็ทำได้เพียงแค่กลอกตาไปมา ขณะคิดว่าจะกล่าวออกไปอย่างไรให้ท่านแม่ทัพตรงหน้าเข้าใจว่าอะไรทำได้ สิ่งใดทำมิได้ สิ่งใดควรและสิ่งใดมิควร“หากท่านอยากถูกรักษาด้วยวิธีนี้ เดี๋ยวข้าจะไปบอกกล่าวให้ท่านรองแม่ทัพชิงชวนมานอนร่วมเตียงด้วย...คงจะช่วยได้มากเชียวล่ะ” อย่านึกว่าเขาจะรู้มิทันนะ แม่ทัพปีศาจตัวร้ายคิดทำสิ่งใดอยู่ ถึงเขาจะมิฉลาดเฉลียวสักเท่าใด หากเรื่องนี้ก็มิได้โง่จนมองมิออกว่าตนเองกำลังถูกหลอกกินเต้าหู้อยู่หรอกนะ“ไม่ต้องการชิงชวน แต่จะเอาเจ้า!”น้ำเสียงแม้จะเบาหากมีน้ำหนัก อีกทั้งสายตาที่มองมาเหมือนกับมีสองมือจับตรึงเอาไว้มิยอมให้เขาขยับ ก่อนที่ร่างหนาจะเคลื่อนตัวมาหาเขาอย่างรวดเร็ว กักร่างบอบบางให้ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่ง พลางโน้มใบหน้าลงมาจนริมฝีปากแนบชิดกับใบหูเพื่อบอกกับเขาว่า...“ข้าต้องการเพียงเจ้า...อาซวง!”อะไรนะ! เก้าเทียนรุ่ยพยายามคิดเรียบเรียงวาจาของท่านแม่ทัพอยู่ครู่หนึ่ง หากสติก็มิสมบูรณ์ด้วยใบหูถูกรุกรานจากปากอุ่นที่ขบกัดสลับเรียวลิ้นร่วมกระเซ้าเย้าแหย่ ไหนจะมือที่อยู่มินิ่ง ลูบไล้แผ่นหลังเรื่อยลงไปจนถึงสะเอว“ข้าอยากมี
“ท่าน...คนเพิ่งจะฟื้นไข้ ควรต้องพักผ่อนให้มาก ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็ว ๆ มีเรื่องอื่นใดก็ค่อยคุยกันพรุ่งนี้เถอะ” ควรเป็นเขาที่จะต้องรีบนอนหลับเอาแรง ตื่นมาพรุ่งนี้สมองจะได้ปลอดโปร่ง จะได้มีหนทางรับมือกับท่านแม่ทัพได้โดยมิเพลี่ยงพล้ำเช่นครั้งนี้“เจ้าจะนอน...เช่นนี้หรือ”ตอนแรกเก้าเทียนรุ่ยก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยมิเข้าใจ หากเมื่อเห็นสภาพของท่านแม่ทัพใหญ่ที่ตอนนี้มีเพียงแค่กางเกงและเสื้อตัวในติดกาย อีกทั้งผมที่ควรจะผูกรัดและสวมกวาน[1] ให้เหมาะสมกับฐานะแม่ทัพแห่งแคว้นฮั่นหยางก็มิได้อยู่ในที่ซึ่งมันควรอยู่ เขาก็เลยเข้าใจ“ข้าต้องคอยดูแลท่าน จะตอนไหนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ แต่งกายนอนเช่นนี้ก็มิแปลกอันใดมิใช่หรือไง” อีกทั้ง...เขาคิดเอาเองนะ อย่างน้อยแต่งกายเช่นนี้ก็พอจะป้องกันมิให้ถูกแม่ทัพกินเต้าหู้ได้โดยง่ายด้วย“จะมิมีใครทำอันตรายเจ้าได้ทั้งนั้น”หือ...เหมือนว่าท่านแม่ทัพจะกล่าวอะไรสักอย่างอยู่นะ หากเขาก็มิทันจะเอ่ยสิ่งใดออกไป เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ก็หลุดออกจากกายคงเหลือเพียงแค่กางเกงและเสื้อตัวในเท่านั้น อีกทั้งร่างบอบบางก็โดนกอดรัด ศีรษะถูกจับให้อยู่แนบชิดกับต้นไหล่กว้าง แขนกำยำพาดบ
“ยากมาก...ต้องใช้เวลานาน ปรุงยาก็ต้องเยอะด้วย แต่นั่นมิสำคัญเท่ากับนายของท่านจะสู้หรือไม่ ต่อให้ข้าเก่งเพียงใดและใช้ยาที่ดีที่สุดทำการรักษา แต่ถ้าเขามิคิดสู้ ก็มิมีใครช่วยเขาได้หรอก นอกจากตัวเขาจะช่วยตนเองเท่านั้น”การสนทนาไต่ถามเกี่ยวกับอาการป่วยของเขาดังเป็นระยะ มันเป็นเหมือนบทเพลงขับกล่อมให้เขาสามารถนอนหลับได้สนิทโดยมิฝันร้าย! ก่อนจะตื่นมาเพื่อกินอะไรบางอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวว่าเป็นยาผสมผักที่ปรุงเองเพื่อเพิ่มพลังทางร่างกายพร้อมกับปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาขม…เปรี้ยวและเผ็ดร้อนเป็นอย่างมาก หากตื่นอยู่ เขาคงจะต้องสำลักและไอจนหน้าดำหน้าแดงเป็นแน่“ถือว่าใช้ได้...เป็นเช่นนี้ โอกาสฟื้นขึ้นมาก็มีมากเชียวล่ะ”มิรู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเสียงที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความขบขันและสะใจ มันยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากที่จะลืมตาตื่นเพื่อจะได้มองหน้าผู้ที่กล่าวอยู่ให้ชัดเจนเขามิอาจรับรู้ว่ายามนี้ผ่านไปกี่วันแล้ว รับรู้เพียงแค่มิว่าเวลาใดที่มิหลับคนผู้นั้นจะอยู่ด้วยเสมอและการกินยาที่มันช่างเต็มไปด้วยรสชาติอันแปลกประหลาด บางครั้งก็ขมแกมเค็มแฝงไว้ด้วยรสชาติที่เผ็ดร้อนราวกับว่าร่างกายมันร้อนราวกับถูกไฟเผา หากบาง
“ท่านแม่” “เอ้อร์เอ๋อร์”เรียกได้ว่า เมื่อเห็นเขาเปิดประตูห้องเข้าไปและร้องเรียก ท่านแม่ก็รีบพาร่างบอบบางพุ่งตรงมาหาในทันที สองมือเล็กเหี่ยวนุ่มเย็นจัดเช่นเดียวกับใบหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระคนวิตกกังวลมิแพ้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ มันทำให้เขารู้สึกมิค่อยดี หรือว่าท่านแม่...“ท่านแม่เจอ...แล้วหรือขอรับ” หากเจอกันแล้ว ยามที่เขาเจอกับบุรุษผู้นั้นมันต้องมีอะไรบางอย่างที่บอกให้รู้บ้างสิ แต่เท่าที่เห็น...จากความคิดของเขาเอง แม้จะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งเพียงใด แต่การได้เจอกับบุตรชายที่ได้ตายไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตกใจ...สงสัยและบังคับเอาคำตอบแน่นอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือบุรุษผู้นั้นมิได้สนใจในตัวเก้าเทียนรุ่ยที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด แทบจะมิปรายตามองด้วยซ้ำไป“แม้จะเห็นเพียงแค่ไกล ๆ ถึงการอยู่ด้วยกันจะมิได้รับการเอาใจใส่ แต่อย่างไรก็สามีภรรยากัน มีหรือที่แม่จะจดจำคนผู้นั้นมิได้ แม่รีบหลบมาอยู่แต่ในห้อง อยากจะไหว้วานนายทหารให้ส่งข่าวให้เอ้อร์เอ๋อร์รู้ แต่ก็กลัวจะถูกสงสัย เลยได้แต่รอด้วยความร้อนใจเช่นนี้”“ท่านแม่ไว้วางใจได้ขอรับ นอกจากเขาจะจำข้ามิได้แล้ว เขายังไม่
นิ้วยาวลากไล้บนท่อนแขนกำยำอย่างแผ่วเบาพลางพึมพำออกมาว่า “แผลที่แขนสมานกันดีจนแทบมิเห็นรอยบาดแผลแล้ว ยาใส่แผลของข้าช่างได้ผลดียิ่งนัก” มิน่าเชื่อว่ายาเหล่านั้นจะทำให้บาดแผลหายเร็วเช่นนี้ มันช่างแปลกประหลาดเหลือที่จะกล่าว แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการดียิ่งเก้าเทียนรุ่ยลุกขึ้นเพื่อไปตรวจดูแขนอีกข้างของท่านแม่ทัพอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่คนอย่างเขาจะทำได้ แต่นอกจากบาดแผลจากการสู้รบและฝึกฝนฝีมือที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้วก็มิเห็นว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติไปเลยแม้แต่นิดเดียว“เจ้าหนอนแดงนั่นมันหลบซ่อนอยู่ตรงไหนกันนะ มันต้องมีร่องรอยบ้างสิ ข้าต้องหาเจอสิน่า” เก้าเทียนรุ่ยบ่นพึมพำพลางกวาดสายตามองแขนท่านแม่ทัพอย่างมิให้คลาดสายตาแม้สักจุดเดียว ก่อนจะเลยไปถึงแผงอกกว้างกำยำที่ดูอย่างไรก็เห็นจะมีเพียงแค่ร่องรอยของบาดแผลทั้งเก่าและใหม่มิมีร่องรอยของสิ่งที่ค้นหาอยู่เลย“คิดว่ามันจะยอมให้หาเจอง่าย ๆ หรือไง กระทั่งตัวข้าเองที่มีมันอยู่ในร่างกายยังมิรู้เลยนะ”“จะซ่อนให้ดียังไง มันก็หนอนที่ไร้ความคิดนะขอรับ จะปกปิดซุกซ่อนอย่างความคิดของคนได้ยังไงกันล่ะ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยออกไปขณะเดียวกันสำรวจร่างกายคนตรงหน้าอย่างละเอียด
แย่เข้าไปใหญ่ ทำอย่างนี้จะมีแต่จะทำให้คนเกลียดเขาเพิ่มมากขึ้นนะสิ หากเทียนรุ่ยก็มิอาจกล่าวสิ่งใดออกไปได้ นอกจาก“ใจเย็นก่อนนะขอรับท่านพี่ ที่ข้ากล่าวออกไปเพราะอยากให้ท่านคิดไตร่ตรองให้ดี อย่าทำสิ่งใดให้ศัตรูที่ยังหลบซ่อนกายอยู่ล่วงรู้”“ข้าคงเร่งรีบมากจนเกินไปจึงทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ ขอบใจที่เตือนข้านะอาซวง นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้อาซวงกังวลใจอยู่อีก ใช่หรือไม่”หากจะบอกว่ามิใช่...ย่อมเป็นไปมิได้ “เพราะเรามิรู้ว่าศัตรูอยู่ไกลหรือวางคนอยู่ใกล้ตัวเพียงใด การฟื้นมาของท่าน คนเหล่านั้นอาจจะล่วงรู้และเตรียมตัวรับมือไว้แล้วก็เป็นไปได้ การเดินทางรอนแรมทั้งที่ร่างกายเพิ่งจะฟื้นได้มินาน อาจจะทำให้หนอนแดงที่ข้าคิดว่ายังคงถูกฝังอยู่ในตัวท่านตื่นขึ้นมาเล่นงานอีกนะขอรับ ข้ากลัวท่านจะรับมือมันมิไหว” หากครั้งนี้ล้มหมดสติไปอีก ดูท่าว่าการจะทำให้ฟื้นขึ้นมาคงเป็นไปได้ยาก“หากมีอาซวงอยู่ด้วย ข้าย่อมมิกลัวสิ่งใด”“เอ่อ...” สายตาคู่นั้นมันช่างทำให้เขารู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวและหัวใจก็เต้นไหวอย่างรุนแรงด้วย นี่เขาเป็นอันใดไป“แม้ว่าเราจะเพิ่งพบเจอกัน หากข้าเชื่อว่าอาซวงจะมิทำร้ายข้า”สง
“ใช่แล้วลิ่วหลาง นับตั้งแต่เจ้าล้มป่วย เต่าน้อยเองก็ล้มป่วยเช่นกัน หากทั้งหมอหลวงจางและราชครูเหลิ่งกลับมิยอมบอกเรื่องนี้กับผู้ใด นี่หากว่ามิแอบได้ยินหมอหลวงจากกล่าวเรื่องเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านเรื่องยาที่ให้ไปหามา ข้าก็คงมิล่วงรู้ ข้าร้อนใจมากด้วยมิรู้ว่าจะบอกเรื่องนี้กับผู้ใดได้บ้าง”“ในราชสำนักน่าจะมีผู้ที่อยู่ฝั่งหมอหลวงจางและเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านอยู่มิน้อย”“มิต้องสนใจเรื่องใด กลับไปทำหน้าที่ของเจ้า...สุขภาพข้ายามนี้พอจะเดินทางไกลได้ไหมอาซวง”“ท่านเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเองนะขอรับ หากเดินทางไกล ข้ากลัวว่า...”“หากอาซวงจะร่วมเดินทางไปด้วย”เรื่องที่ได้รู้คงทำให้ท่านแม่ทัพร้อนใจมิใช่น้อย หากว่า...ยามนี้ยังเดินทางไกลมิได้จริง ๆ หากการรักษามิต่อเนื่อง อาจจะทำให้ร่างกายที่ดีขึ้นแล้วทรุดลงอย่างรวดเร็วจนอาจจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายได้“จะยังไงมันก็ยังมิควรนะขอรับ”“มิมีหนทางอื่นใดช่วยได้เลยหรือท่านหมอ”ซูเหย้าน่าจะพอรู้แล้วว่าท่านแม่ทัพจะเดินทางไปที่ใด“ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาอย่างไรเล่า แค่นี้ก็แก้ไขมิได้”ท่านแม่ทัพมองโหยวเจียนด้วยสายตาเยียบเย็น แต่กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า“ข้ารู้ว่าอาซว
“ลิ่วหลาง! ในที่สุด เจ้าก็ฟื้นแล้ว”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดที่นั่งอยู่ โหยวเจียนก็เอ่ยเสียงดังราวกับจะให้ได้ยินไปทั่วจวน พร้อมกันนั้นก็รีบเดินตรงลิ่วไปหาท่านแม่ทัพราวกับลมพัด หากกำลังจะยื่นมือไปจับกายแกร่งที่ยามนี้ผอมจนแทบจะมีเพียงแค่หนังหุ้มกระดูก แต่ท่านแม่ทัพกลับเบี่ยงกายหนีและยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด“หากเจ้ายังทำเสียงดังเช่นนี้อีก ก็กลับไปเสีย มิต้องมาให้เห็นหน้า”ก็พอจะคาดเดาได้ว่าท่านแม่ทัพเป็นผู้ที่มิสนใจผู้ใด ยกเว้นก็เพียงแค่ชิงชวน อ้ายฉีและน่าจะมีผู้ที่ถูกเรียกว่าเต่าน้อย แต่คิดมิถึงว่าจะกล่าวกับโหยวเจียนเช่นนี้ด้วยคนถูกไล่ตอนแรกก็มีสีหน้ามิค่อยดีสักเท่าไหร่ คงจะอับอายด้วยว่ามีผู้อื่นเช่นเขาและซูเหย้าที่เดินตามหลังมาอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าปอดเท่านั้น ใบหน้าที่แดงด้วยโทสะก็คลี่ยิ้มเช่นเดิม ทำราวกับเมื่อครู่มิได้ยินสิ่งใด“ก็ข้าดีใจที่เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าหมอผู้นี้ทำหน้าที่ของตนได้สมกับที่รับปากไว้ มิเสียแรงที่ข้ายอมเสียงเงินถึงหนึ่งกำปั่นเพื่อให้นำมาซื้อยารักษาเจ้า”ยามได้ยิน เขาคิดว่าโหยวเจียนจะโอ้อวดว่าตนเองมั่งมีเงินทองและอาศัยการจ่ายเงินในครั้งนี้ทวงบุญ
‘ดีมากอาซวง...เจ้าช่างรู้ใจข้าเสียยิ่งนัก’ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ เขาจะต้องคิดหาวิธีไล่สองคนนี้ออกไปจากห้องก่อนจะทนมิไหว ทำแผนของอาซวงพังมิเป็นท่าเอ๊ะ...ดูเหมือนอาซวงจะส่งสัญญาณบอกมาแล้ว เขาก็เลยรีบส่งเสียงที่คำราม พร้อมกับยกแขนและขาฟาดไปฟาดมาหวังว่าจะทำให้ทั้งสองคนที่บุกรุกมาสร้างความรำคาญใจให้เจ็บตัวสักหน่อย หากก็มิสำเร็จอย่างต้องการ ด้วยว่าโหยวเจียนแม้จะอ้วนพี แต่ก็ช่างเป็นคนที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วอย่างคาดมิถึง...เพียงแค่เขายกเท้าขึ้นจะถีบ อีกฝ่ายก็เผ่นไปถึงประตูห้องเสียแล้ว“เสียดาย”“ท่านพี่ว่าอะไรนะขอรับ”“ข้าว่าเสียดายที่ยังมิทันจะได้ถีบโหยวเจียนเลย”อาซวงหัวเราะ “ซูเหย้าผู้นั้นก็ไปเร็วเช่นกัน แต่กว่าจะไปก็ทำเอาข้าถึงกับเหนื่อยเหมือนกัน”“ขอโทษที่ทำให้อาซวงเหนื่อยนะ”มิรู้ว่าเขาจะคิดไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนว่าสายตาของอาซวงที่มองโหยวเจียนและซูเหย้าบ่งบอกว่า...มิไว้วางใจและน่าจะแฝงไว้ด้วยความสงสัยอยู่มิน้อย หากก็ยังคงปกปิดมิยอมเอ่ยปากบอกให้เขารู้ หากนั่นยังมิเท่าสิ่งที่อาซวงบอกมา...‘ในตัวเขา...มีบางสิ่งฝังอยู่!’แม้มิอยากเชื่อ หากเมื่อก้มลงมองแขนที่ได้
“ข้าจะรีบทำให้เสร็จโดยเร็วและจะรีบกลับมา” เก้าเทียนรุ่ยจับแขนแกร่งออกจากกายแล้วดันร่างของท่านแม่ทัพให้ล้มตัวลงนอน ถึงจะมิง่วงเพราะนอนมายาวนานแล้ว แต่อย่างไรร่างกายนี้ก็ยังอ่อนเพลียอยู่ ยังต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อจะได้มีแรงสู้กับสิ่งที่ฝังอยู่ภายในร่าง“เดี๋ยวสิ”เก้าเทียนรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อท่านแม่ทัพจับมือไว้มิยอมปล่อย “มีอะไรอีกหรือขอรับ”อย่างรวดเร็วจนเขามิทันจะได้ตั้งตัว กายแกร่งก็ผุดลุกขึ้นมาพร้อมกับปากหนาที่แนบลงมาบนแก้ม“รีบไปรีบกลับนะ...อาซวง”ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยร้อนผ่าว ขณะที่ดวงตาก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ แม้กระทั่งเดินออกมาแล้วสติก็ยังมิครบครัน ก่อนจะคิดได้ว่า เพราะเขาน่ารัก ท่านแม่ทัพที่เพิ่งจะพบหน้าถึงได้รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดู ถึงได้บอกด้วยการกระทำว่าเป็นพี่ชายที่รักน้องชายผู้นี้เป็นอย่างมาก ที่เขาควรจะต้องเร่งหาทางรักษาอีกฝ่ายให้หายให้เร็วที่สุดเป็นการตอบแทน...ใช่! ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนจะกล่าวถึงฝีมือทำอาหารของอาซวง แม้รสชาติจะจัดจ้านไป…มิน้อย บางครั้งก็แทบจะกลืนมิลง หากรวม ๆ แล้วก็อร่อยอยู่นะ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายต้องคอยเอาอกเอาใจ ป้อนด้วยท่าทางหงุดหงิดที่ทำใ
ช่างกล่าวได้อย่างโหดร้ายมาก นี่นะหรือที่ท่านอ้ายฉีกับชิงชวนกล่าว บุรุษผู้นี้มิอาจจะทำร้ายท่านแม่ทัพได้ จนกว่าจะได้เจอกับผู้ที่หลบซ่อนกายอยู่ ทำอย่างไรเขาก็ยังมิปักใจเชื่อแน่ว่าสองคนนี้จะมิเกี่ยวข้อง“ใจเย็นก่อนท่านโหยวเจียน กล่าวเช่นนี้ไปจะทำให้ท่านหมอขลาดกลัวจนอาจจะทำสิ่งใดผิดพลาดไปได้นะ”“ถ้ามิขู่ให้กลัว แล้วจะรักษาลิ่วหลางอย่างดีหรือไง” โหยวเจียนสะบัดมือด้วยความหงุดหงิดเก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลอกตากับความคิดของคนผู้นี้เสียจริง “ข้าจะดูแลรักษาท่านแม่ทัพให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าผู้น้อยจะทำได้ขอรับท่านโหยวเจียน หากตอนนี้ข้าต้องขออภัยที่จำเป็นต้องให้ท่านทั้งสองคนออกไปจากห้องนี้ก่อน”“นี่เจ้า! เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาไล่ข้า”“หากท่านทั้งสองจะอยู่ ข้าก็มิว่าอันใด แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้น...ท่านจะกล่าวโทษข้ามิได้นะขอรับ”“หมายความว่าอย่างไรหรือหมอ”“คือ...ด้วยยาที่ข้าให้ท่านแม่ทัพกินเข้าไปทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จากที่เคยนอนเป็นผักเน่าก็เคลื่อนไหวได้ แต่การเคลื่อนไหวนี่แหละขอรับที่ทำให้ข้ากลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพวกท่าน” ดูเหมือนว่าวาจาของเขาจะทำให้ท่านแม่ทัพรู้ว่าควรจะต้องทำเช่
“ข้ากำลังจะรายงานนายท่านโหยวเจียนอยู่เลยขอรับ แต่ก่อนนั้นข้าจะต้องไถ่ถามท่านเสียก่อน” คิดจะเล่นงานเขาใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นเขาเล่นงานท่านก่อนละกัน จะเอาให้หมดเนื้อหมดตัวเลย“อะไร”“ท่านมาเยี่ยมท่านแม่ทัพครั้งล่าสุด...นานหรือยังขอรับ”“ก็หลายวันอยู่นะท่านหมอ” เป็นซูเหย้าที่ตอบแทนโหยวเจียนที่ตอนนี้ยังโมโหจนหน้าดำหน้าแดงอยู่ เดี๋ยวจากแดงจะกลายเป็นคล้ำจนดำเพราะต้องเสียเงินให้เขาเป็นกำปั่น“ถ้าเช่นนั้นข้าอยากให้ท่านทั้งสองดูบางสิ่งที่ทำให้ข้ามั่นใจในวาจาที่เคยกล่าวมาตั้งแต่แรก...มิเกินสามวันท่านแม่ทัพจะต้องฟื้นแน่นอน” เพื่อให้ความมั่นใจกับทั้งสองคนตรงหน้าที่เขาจะเรียกเงินเข้ากระเป๋าให้มากที่สุด เก้าเทียนรุ่ยก็รีบกล่าวออกไป“ท่านทั้งสองสังเกตใบหน้าของท่านแม่ทัพสิขอรับ ระหว่างวันนี้กับก่อนหน้านั้นแตกต่างกันหรือไม่” หากมิแตกต่างก็คงจะเกินไปแล้วล่ะ กินอาหารเผ็ดร้อนเข้าไปเสียขนาดนั้น ใบหน้าและริมฝีปากย่อมยังมีสีสันอยู่แล้ว“ท่านว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่”“เจ้าอาจจะเอาสีมาป้ายไว้ก็ได้นี่”“ข้าหรือจะกล้าทำเช่นนั้น หากท่านโหยวเจียนยังมิเชื่อ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องดูผิวกายขอรับ...ครั้งแรกที่ข้าเห็น ก็ยังคิด