“แย่แล้ว ๆ ต้องรีบหนี” ปากกล่าวเช่นนั้นหากความกลัวทำให้เก้าเทียนรุ่ยตัวสั่น แม้สมองจะสั่งการให้หนีหากตัวกลัวแข็งทื่อราวกับก้อนหิน ยิ่งเมื่อแขนข้างหนึ่งถูกจับเอาไว้ก็ยิ่งทำให้เขาลนลานจนมิรู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“ปล่อยข้านะ...ปล่อย!” หากยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ แรงที่ทุ่มลงมาบนแขนก็ยิ่งมากเท่านั้น หากมิรีบ...มินานแขนเขาคงจะหักเป็นแน่
“ท่านแม่ขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยพยายามข่มกลั้นความกลัวเอาไว้ก่อนจะเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่วเบาที่ดูเหมือนว่าเมื่อเขาลดอาการแข็งขืนลง เมื่อเห็นว่าท่านแม่ทัพหยุดชะงักไป มันก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมา กล้าที่จะเอ่ยต่อไปว่า
“ท่าน...ปล่อยข้าเถอะขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยรีบปลดมือที่บีบแขนออกอย่างช้า ๆ โดยที่ดวงตายังคงมองสบกับท่านแม่ทัพอยู่ แม้จะมิใช่คนช่างสังเกตอะไรเลย หากก็ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น เหมือนกับว่าภายในร่างกายของท่านแม่ทัพจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น เขาก็มิรู้ว่าเผลอตัวจับมือแกร่งไปได้อย่างไร
“จะอะไรก็ตามที่ท่านมีสติรับรู้และต้านมันอยู่ ข้าเชื่อว่าท่านสู้มันได้แน่นอน ข้าเชื่อเช่นนั้นนะขอรับ”
กลิ่น...มันเหมือนจะบางเบาสลับรุนแรงขึ้นเป็นระยะ หากได้ทานผักผสมยาที่ข้าเคี่ยวนานเกือบจะสองชั่วยาม[1] ท่านแม่ทัพน่าจะมีแรงต้านทานสิ่งที่เกิดขึ้นนะ หากเมื่อจะไปทำอย่างที่คิด กลิ่นเหม็นจนทำให้มึนศีรษะก็ถาโถมเข้าหาอย่างรุนแรงและรวดเร็วพร้อมกับมือเขาที่ถูกจับกุมเอาไว้
“เฮ้ย!” ยังมิทันจะได้ขัดขืนเขาก็ถูกเหวี่ยงลงมาบนเตียงนอนพร้อมกับสองแขนที่ถูกจับไปตรึงไว้เหนือศีรษะ กายแกร่งนั่งทับบนกายเขา ในดวงตาที่ขาวโพลนจ้องมองมาพร้อมกับ...แสยะยิ้ม นั่นยังมิทำให้เก้าเทียนรุ่ยใจเท่ากับกายที่แม้จะผอมแห้งแต่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งโน้มลงมา
“ปล่อย...ปล่อยข้านะ!”
จะกล่าวว่าวาจาของเขาแผ่วเบาเกินไปก็มิใช่ เขาตะโกนออกไปสุดเสียงแล้วนะ แต่ก็ยังรู้สึกว่าเสียงที่เปล่งออกไปจะมิอาจทำให้ท่านแม่ทัพมีสติรับรู้และรู้สึกตัวว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ แล้วยังจะโน้มกายลงมาจนดวงตาใกล้จะแตะเข้ากับปลายจมูกของเขาด้วย นั่นทำให้เก้าเทียนรุ่ยเห็นว่าตรงกึ่งกลางหน้าผากของท่านแม่ทัพคล้ายจะปริ...มันเหมือนกับมีการเคลื่อนไหว หากความคิดของเขามันก็หยุดชะงักเมื่อปากของท่านแม่ทัพแนบลงมาบนแก้ม
เฮ้ย! เก้าเทียนรุ่ยได้แต่ทำตาโตก่อนจะกะพริบปริบ ๆ เมื่อโดนหอมแก้มโดยมิทันจะได้ตั้งตัว แม้ที่ซึ่งเขาจากมา เขาจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน หากสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างแฟนก็มีเพียงแค่การจับมือและโอบกอดกันเท่านั้น กว่าจะได้หอมแก้มก็คบกันเกือบจะเป็นปี อีกทั้งนับครั้งได้ที่เขาได้หอมแก้มแฟนสาว ส่วนจูบ...มิมีเลยสักครั้ง พอโน้มหน้าลงไปอีกฝ่ายก็เบี่ยงหน้าหนี หากตอนนี้...มิเพียงแค่ถูกหอมแก้มทั้งสองข้าง เขายังเกือบจะถูก...จูบ! ด้วย
“ปล่อยข้านะ!” เพราะอีกฝ่ายมิทันจะได้ตั้งตัวด้วยคล้ายจะดมดอมกลิ่นกายของเขาอยู่ เก้าเทียนรุ่ยเลยดึงมือออกมาและผลักร่างผอมบางออกไป หากอีกฝ่ายกลับหัวเราะอย่างที่เขาได้ฟังแล้วหนาวยะเยือกไปทั้งแผ่นหลัง แขนแข็งแกร่งยังจะสอดเกี่ยวเข้าที่เอวบางพร้อมกับดึงร่างบอบบางลงไปนอนแนบชิด...ใกล้ชิดเสียจนเก้าเทียนรุ่ยได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแผ่วเบามากดังก้องหู เสียงหัวเราะแทบมิสะกิดหูเขาเท่ากับปากอุ่นที่มันแนบลงมาบนมุมปากของเขา ก่อนจะมีเสียงกระซิบแหบพร่าที่ดังมาว่า...
“หอม...อยากกิน”
หะ! เขาได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ มองท่านแม่ทัพด้วยความงุนงง ก่อนจะคิดได้ว่าเขาควรรีบดันคนตรงหน้าให้ถอยห่างไป แต่กลับกลายเป็นว่าสองกายกลับแนบชิดกับท่านแม่ทัพที่ยกมือขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าเขา
“ปล่อย...ปล่อยข้านะ”
“หอมมาก...ขอกินหน่อย”
แล้วคนที่กล่าวอย่างกับคนที่ใจมิอยู่กับตัวก็กดจมูกลงมาที่แก้มของเขาที่หนักกว่าครั้งแรกด้วย เพราะจมูกและปากคลอเคลียอยู่บนแก้มเขา ก่อนจะขบเคลื่อนลงไปขบกัดลำคอ
“ปล่อยข้านะ” เก้าเทียนรุ่ยพูดเสียงสั่น เพราะสัมผัสที่ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ อย่างที่อธิบายมิได้ ยิ่งเขาเบี่ยงหน้าหนีและพยายามผลักไสมากเท่าไหร่ ท่อนแขนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแรงกลับรัดแน่นเสียจนเขาแทบหายใจมิออกที่มาพร้อมกับปากหนาขบเคลื่อนขึ้นมาจนแนบชิดกับริมฝีปากของเขาและกดลงมา...
“อื้อ...” หนักกว่าถูกรัดราวกับงูรัดเหยื่อก็จูบแรกของเขานี่แหละที่ถูกแม่ทัพปีศาจแย่งชิงไปหน้าด้าน ๆ
“อร่อย”
หะ! เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ เมื่อได้ยินคนที่แย่งชิงจูบแรกของตนเองไปกล่าวออกมาก่อนจะหมดสติและฟุบลงบนตัวเขา
‘มันเกิดอะไรขึ้น’ เก้าเทียนรุ่ยงุนงงไปขณะหนึ่ง ก่อนจะได้สติกลับมาเพราะกายใหญ่ที่ทับลงบนตัวเขา
“ท่านแม่ทัพ” เก้าเทียนรุ่ยยื่นมือไปทาบบนไหล่กว้างพลางเขย่ากายผอมบางอย่างขลาดกลัว หากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้สติก็เลยทุ่มแรงลงไปอีกนิด...ผลก็ยังคงเช่นเดิม แต่อย่างไรเขาก็ควรลองอีกครั้งที่แรงกว่าเดิมไปอีกเล็กน้อย
“ท่านแม่ทัพ” มิใช่เพียงแค่อีกฝ่ายมิโต้ตอบ หากกลิ่นที่เคยได้สัมผัสก็หายไปแล้วด้วย
ถ้าเช่นนั้น...ที่เขาสงสัยอยู่นั้น มิผิดจริง ๆ ดูเหมือนว่าผักผสมยาที่ปรุงมาจะมีส่วนช่วยปลุกสติให้ท่านแม่ทัพฟื้นขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้แม้เขาจะยังคงมีความวิตกกังวลและหวาดกลัวอยู่ หากก็ควรเร่งทำ...
เก้าเทียนรุ่ยรีบผลักร่างของท่านแม่ทัพใหญ่ลงจากกาย จนเหนื่อยถึงทำได้สำเร็จ
“ท่านนี่นะ” เก้าเทียนรุ่ยจิ้มอกกว้างด้วยความโมโห “นอกจากจะนอนหลับยาวแล้ว ยังจะแย่งชิงเอาจูบแรกของข้าไปอีก มิเพียงแค่นั้นยังจะทำให้ข้าตื่นตระหนกมิน้อยเลย รอให้หายจากป่วยก่อนเถอะ ข้าจะเก็บเงินค่ารักษาให้มากที่สุด”
เก้าเทียนรุ่ยรีบเดินไปหยิบถ้วยยาและช้อนที่ทำจากไม้เพื่อตักยาป้อนให้กับท่านแม่ทัพ หากคราวนี้กลับมีปัญหา...มิว่าทำอย่างไรยาที่ป้อนก็มิเข้าไปในปากท่านแม่ทัพเลย หากยังคงทำเช่นนี้อยู่ เขาคงจะต้องกลับไปเคี่ยวน้ำผักใหม่อีกครั้งแน่
[1] 1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง
“หากมิกลัวว่าข้าบีบจมูกไปแล้วอาจทำให้ท่านสิ้นลมได้นะ...ข้าบีบจมูกท่านแล้วเอาน้ำผักผสมยาเคี่ยวกรอกปากแล้ว” มีทางไหนให้เขาป้อนน้ำผักเคี่ยวกับแม่ทัพใหญ่บ้างไหม คิดอยู่เป็นนานก็ค้นพบว่ามีอยู่หนึ่งวิธีที่ได้ผลแน่ หากเขานี่แหละ จะกล้าทำหรือเปล่า นั่นเท่ากับเขาต้องเสีย...หากสุดท้ายแล้วเมื่อเห็นว่ามิมีทางใด เก้าเทียนรุ่ยก็ได้แต่กลอกตาไปมา ขณะเป่าน้ำสีดำเข้มที่กลิ่นมิทำให้เขาอยากจะกลืนลงท้องเลยมาอมไว้แล้วป้อนให้ท่านแม่ทัพใหญ่“ข้าจะคิดค่าป้อนท่าน หนึ่งครั้งเท่ากับหนึ่งก้อนทอง” เขาเอ่ยด้วยความหงุดหงิดใจ ก็ตัวเขาในชาติภพนี้ อย่าว่าแต่ภรรยาเลย แม้กระทั่งคู่หมายก็ยังมิมี หากตอนนี้ต้องมาเสียจูบแรกและจูบที่สองให้กับท่านแม่ทัพปีศาจผู้นี้ไปแล้ว...เขาจะต้องคิดค่าเสียหายให้คุ้มค่าเก้าเทียนรุ่ยรีบจัดการป้อนผักผสมยาด้วยปากต่อปากไปอีกสองครั้ง หากครั้งที่สองทำให้เขาถึงกับตื่นตะลึงทำอันใดมิถูก ด้วยว่ามีคนมาเห็นวิธีการนี้ของเขาถึงสองคน!“เอ่อ...คือว่า...” ทั้งที่การกล่าวความจริงออกไปก็มิได้เป็นแปลกอันใด หากเพราะเขาเขินอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำตัวมิถูก จึงได้แต่หลบซ่อนใบหน้าที่มันคงจะแดงไปมองคนบนเตียง“ท่านก
“นี่ท่าน!” เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กัดฟันกรอด ๆ “หากมิเชื่อก็คอยดูละกัน อีกสักสองสามวัน นายของท่านจะต้องลุกขึ้นมาเอ่ยชวนท่านประมือเป็นแน่...มาก็ดีแล้ว ช่วยประคองนายของท่านลุกขึ้นนั่งหน่อยละกัน ข้าจะได้ป้อนยาให้สะดวก ๆ หน่อย” เขาจะได้ไม่ต้องป้อนแบบปากต่อปากอีก แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ มิค่อยมั่นใจเอาเสียเลย หางตามันกระตุกถี่ระรัวอย่างไรพิกล“เอ้อร์เอ๋อร์”“มิเป็นไรขอรับท่านแม่” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้าให้กับท่านแม่ที่ยังออกอาการหวาดผวาอย่างชัดเจน คิดว่าหลังจากนี้เขาคงจะต้องไถ่ถามให้ได้รู้ความ เหตุใดท่านแม่ถึงได้เกรงกลัวต่อแม่ทัพปีศาจที่ยังมิฟื้นเช่นนี้“เจ้าว่า...เมื่อครู่ได้ประมือกับท่านแม่ทัพใหญ่”“ฮื่อ” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับ ขณะเริ่มป้อนผักเคี่ยวสูตรพิเศษให้กับท่านแม่ทัพที่วันนี้มิรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่ ทำไมแม่ทัพตัวร้ายถึงไม่ยอมกินยา ทำต้องกลั่นแกล้งเขาเช่นนี้ด้วย...“ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่...แม่ทัพของท่านแกล้งข้า” เก้าเทียนรุ่ยกล่าวน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ เพราะมิว่าจะทำอย่างไรท่านแม่ทัพก็มิยอมกินผักเคี่ยวยาสูตรพิเศษก็ยังคงเหลือเท่าเดิม“ท่านแม่ทัพคงจะชอบของแปลก”ท
“แม่รู้แล้ว”“ท่านบอกลูกน้องด้วยนะท่านรองแม่ทัพ ให้คอยดูแลช่วยเหลือแม่ข้า อย่าให้แม่ข้าต้องเหนื่อย มิเช่นนั้นข้าจะให้ท่านแม่ทัพเอาเรื่องพวกเจ้า!”“เจ้าคิดว่าทำได้ รู้หรือไม่ บ้านมีกฎบ้าน ทหารก็มีกฎของทหาร”“ก็พอรู้นิดหน่อย แต่ท่านควรจะรู้นะท่านรองแม่ทัพ...ผักพวกนั้นเป็นอาหารและวัตถุดิบที่ใช้ผสมทำยารักษานายของท่านให้หาย หากดูแลมันมิดี เติบโตไม่ทันท่วงที นายของท่านนั่นแหละที่จะมีปัญหา” เอาสิ...ศึกนี้ใครมันจะเป็นฝ่ายมีชัย“มิต้องห่วง ข้าจะเป็นคนคอยดูแลท่านแม่เจ้าให้เอง”“รับปากแล้วทำมิได้ ท่านก็เป็นลูกเต่า”“เอ้อร์เอ๋อร์”หากเก้าเทียนรุ่ยเลือกที่จะมิสนใจคำตักเตือนของท่านแม่และยังส่งยิ้มออดอ้อนไปอีก “หากมิเป็นการรบกวนท่านรองแม่ทัพจนเกินไป...ช่วยนำถังอาบน้ำพร้อมกับน้ำที่ต้มพออุ่นมาให้ข้าด้วยนะขอรับ”หากจำมิผิด มีบางตัวยาที่เผลอหยิบมาโดยมิตั้งใจเมื่อวันไปหาซื้อยากับรองแม่ทัพยังอยู่ในกระเป๋าย่าม ตอนนี้ท่านแม่ทัพเริ่มจะรู้สึกตัวแล้ว เขาควรเร่งฟื้นฟูร่างกายเพิ่มเติม“เจ้าคิดทำสิ่งใด”“ในเมื่อท่านมอบอำนาจในการรักษาท่านแม่ทัพให้ข้าแล้ว...ข้าจะทำสิ่งใดเพื่อให้นายของท่านหาย มันก็ล้วนขึ้นอยู่กับข้า
“คนอะไรจะหนักขนาดนี้เนี่ย” เก้าเทียนรุ่ยอดบ่นมิได้ เพราะน้ำหนักที่ทิ้งลงมาทำให้เขายืดตัวแทบมิขึ้น สองขาก็สั่น หากเพียงแค่ลมหายใจมิทันจะหมด ความหนักที่เจอก็ลดน้อยลงไปและยังจะพาท่านแม่ทัพไปที่ถังน้ำได้โดยง่ายอีกด้วย“หากมิคิดว่าคนข้างนอกจะรีบเข้ามาจับกุมข้านะ ข้าจะปล่อยให้ท่านล้มคะมำหัวจุ่มลงไปในถังน้ำอุ่นผสมยาไปเลย” หากสิ่งที่เขาทำได้นะหรือ พยายามประคองร่างที่สูงเพรียวเอาไว้ ขณะเดียวกันก็พยายามยกขาของอีกฝ่ายให้เข้าไปอยู่ในถังน้ำอุ่นผสมยาที่กว่าจะเสร็จ ก็ทำเอาเก้าเทียนรุ่ยถึงกับได้เหงื่อจัดให้อีกฝ่ายแช่น้ำอุ่นผสมยาสมุนไพรพร้อมกับจัดท่าทางให้ท่านแม่ทัพจมอยู่ในน้ำยามากที่สุดได้แล้ว เก้าเทียนรุ่ยก็ยืนหายใจหอบแรงอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปจุ่มมือลงไปในน้ำก็เห็นว่าสำหรับท่านแม่ทัพใหญ่คงจะกระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนได้ดี หากสำหรับตัวเขาแล้วมันร้อนไปสักเล็กน้อย หากทำอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ลงแช่สมุนไพรเพื่อช่วยนวดกระตุ้นร่างกายให้อีกฝ่ายคงจะ...มิไหว จะใช้มือตักน้ำมาราดรดบนไหล่ แผ่นหลังและหน้าอกบางส่วนอาจจะทำให้มือมีปัญหาได้ น่าจะต้องใช้ผ้าผืนเล็กมาช่วย คิดได้อย่างนั้นก็รีบไปค้นหาผ
ท่าน...ท่านแม่ทัพจูบเขา!เป็นไปได้ยังไง...เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง หากเมื่อตั้งสติได้ก็รีบทาบมือผลักร่างหนาแกร่งให้ออกห่าง ทว่า...ยิ่งผลักดันกลับยิ่งถูกรัดให้แนบชิดมากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำของกายท่านแม่ทัพอื้อ...เก้าเทียนรุ่ยพยายามประท้วง หากเมื่อเจอกับสัมผัสที่หนักหน่วง รุกเร้าและเอาแต่ใจ จูบที่ดูดดื่มเหมือนกำลังขโมยลมหายใจไป เขาเลยจำใจปล่อยให้ท่านแม่ทัพทำอย่างที่ใจต้องการหรือ...ก็มิใช่เขาแล้วล่ะ!นี่แนะ!ในเมื่อมือถูกรัดเอาไว้จนทำอะไรไม่ได้ หากเท้ายังว่างอยู่นี่น่า เก้าเทียนรุ่ยก็เลยต้องรีบเตะออกไป ทว่า...นอกจากจะมิหลุดออกจากอ้อมกอดของท่านแม่ทัพแล้ว เขายังจะเจ็บเท้าและยังจะถูกรัดจนร่างแทบจะจมหายไปในอกกว้างยิ่งกว่าเดิมด้วยยิ่งต่อต้านก็ยิ่งถูกกอดรัดแนบชิดกายแกร่งและยังจะถูกจูบอย่างหนักหน่วงจนเข่าอ่อน ท่านแม่ทัพก็เลยจับเอาขาทั้งสองของเขาให้โอบรัดรอบเอวเพื่อที่ตนเองจะได้กอดและจูบกันอย่างถนัดถนี่มากขึ้น แม้อยากจะต่อต้านมิยอมให้อีกฝ่ายจูบได้ง่าย ๆ หากเขาก็ทำอะไรมิถูกและยังจะถูกอีกฝ่ายจับทางเอาไว้ได้หมด ท่านแม่ทัพขบกัดกลีบปากสลับบดคลึง ก่อนจะสอด
“ยังมิได้รังแก...เลย”“ก็ที่ท่านทำอยู่นี่ไง” เก้าเทียนรุ่ยได้แต่ข่มกัดฟันโต้ตอบกลับไปเสียงสั่น ด้วยนิ้วของท่านแม่ทัพที่เคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายมันทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ จนแทบมิกล้าหายใจ“มิได้รังแก แค่...อยากกินเจ้า”ว่าแล้วท่านแม่ทัพก็โน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนไหล่และขบกัด!“ท่าน!”“อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าถูกรังแก”ปากหนาขบกัดเคลื่อนวนเวียนไปมาบนผิวเนื้อเนียนนุ่ม ขณะที่มือก็เริ่มลูบไล้จากหน้าอกเคลื่อนลงไปทีละน้อย...ทีละน้อย หยอกเย้ากับพุงน้อย ๆ จนเขาเริ่มหายใจมิทั่วท้อง“หรืออย่างนี้...”“ไม่! หยุดนะท่านแม่ทัพ” เก้าเทียนรุ่ยรีบร้องเรียกเสียงดังก่อนที่นิ้วยาวจะสอดเข้าไปใต้กางเกง“หือ...แลกเปลี่ยน”อะไรกันอีกละเนี่ย! เก้าเทียนรุ่ยได้แต่มึนงงจนคิดอะไรมิออก “ข้าหยุดรังแก...เจ้าจะให้สิ่งใดล่ะ”“แล้ว...แล้วแต่ท่านต้องการ” ตอนนี้ไม่ว่าจะต้องแลกกับสิ่งใด เขาคิดว่าควรจะต้องตอบตกลงไปก่อน เพราะมันดีกว่าถูกท่านแม่ทัพปีศาจกินเต้าหู้จนมิเหลือ“จริง”“ฮื่อ...ข้ารับปาก” ว่าจะมิทำตามที่กล่าวและจะรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดด้วย“มิน่าเชื่อ...เท่าไหร่”โว้ย! อะไรกันวะเนี่ย เก้าเทียนรุ่ยได้แต่งึมงำแผ่วเบา พลา
เขาได้แต่อ้าปากค้าง...อยากก่นด่าออกไปว่า ไอ้บัดซบ! หากก็ทำได้เพียงแค่กลอกตาไปมา ขณะคิดว่าจะกล่าวออกไปอย่างไรให้ท่านแม่ทัพตรงหน้าเข้าใจว่าอะไรทำได้ สิ่งใดทำมิได้ สิ่งใดควรและสิ่งใดมิควร“หากท่านอยากถูกรักษาด้วยวิธีนี้ เดี๋ยวข้าจะไปบอกกล่าวให้ท่านรองแม่ทัพชิงชวนมานอนร่วมเตียงด้วย...คงจะช่วยได้มากเชียวล่ะ” อย่านึกว่าเขาจะรู้มิทันนะ แม่ทัพปีศาจตัวร้ายคิดทำสิ่งใดอยู่ ถึงเขาจะมิฉลาดเฉลียวสักเท่าใด หากเรื่องนี้ก็มิได้โง่จนมองมิออกว่าตนเองกำลังถูกหลอกกินเต้าหู้อยู่หรอกนะ“ไม่ต้องการชิงชวน แต่จะเอาเจ้า!”น้ำเสียงแม้จะเบาหากมีน้ำหนัก อีกทั้งสายตาที่มองมาเหมือนกับมีสองมือจับตรึงเอาไว้มิยอมให้เขาขยับ ก่อนที่ร่างหนาจะเคลื่อนตัวมาหาเขาอย่างรวดเร็ว กักร่างบอบบางให้ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่ง พลางโน้มใบหน้าลงมาจนริมฝีปากแนบชิดกับใบหูเพื่อบอกกับเขาว่า...“ข้าต้องการเพียงเจ้า...อาซวง!”อะไรนะ! เก้าเทียนรุ่ยพยายามคิดเรียบเรียงวาจาของท่านแม่ทัพอยู่ครู่หนึ่ง หากสติก็มิสมบูรณ์ด้วยใบหูถูกรุกรานจากปากอุ่นที่ขบกัดสลับเรียวลิ้นร่วมกระเซ้าเย้าแหย่ ไหนจะมือที่อยู่มินิ่ง ลูบไล้แผ่นหลังเรื่อยลงไปจนถึงสะเอว“ข้าอยากมี
“ท่าน...คนเพิ่งจะฟื้นไข้ ควรต้องพักผ่อนให้มาก ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็ว ๆ มีเรื่องอื่นใดก็ค่อยคุยกันพรุ่งนี้เถอะ” ควรเป็นเขาที่จะต้องรีบนอนหลับเอาแรง ตื่นมาพรุ่งนี้สมองจะได้ปลอดโปร่ง จะได้มีหนทางรับมือกับท่านแม่ทัพได้โดยมิเพลี่ยงพล้ำเช่นครั้งนี้“เจ้าจะนอน...เช่นนี้หรือ”ตอนแรกเก้าเทียนรุ่ยก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยมิเข้าใจ หากเมื่อเห็นสภาพของท่านแม่ทัพใหญ่ที่ตอนนี้มีเพียงแค่กางเกงและเสื้อตัวในติดกาย อีกทั้งผมที่ควรจะผูกรัดและสวมกวาน[1] ให้เหมาะสมกับฐานะแม่ทัพแห่งแคว้นฮั่นหยางก็มิได้อยู่ในที่ซึ่งมันควรอยู่ เขาก็เลยเข้าใจ“ข้าต้องคอยดูแลท่าน จะตอนไหนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ แต่งกายนอนเช่นนี้ก็มิแปลกอันใดมิใช่หรือไง” อีกทั้ง...เขาคิดเอาเองนะ อย่างน้อยแต่งกายเช่นนี้ก็พอจะป้องกันมิให้ถูกแม่ทัพกินเต้าหู้ได้โดยง่ายด้วย“จะมิมีใครทำอันตรายเจ้าได้ทั้งนั้น”หือ...เหมือนว่าท่านแม่ทัพจะกล่าวอะไรสักอย่างอยู่นะ หากเขาก็มิทันจะเอ่ยสิ่งใดออกไป เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ก็หลุดออกจากกายคงเหลือเพียงแค่กางเกงและเสื้อตัวในเท่านั้น อีกทั้งร่างบอบบางก็โดนกอดรัด ศีรษะถูกจับให้อยู่แนบชิดกับต้นไหล่กว้าง แขนกำยำพาดบ
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”
“พวกท่านทุกคนต่างก็ทำกันอย่างดีที่สุดแล้ว นับจากนี้ก็ปล่อยให้ท่านพี่เป็นคนลงมือเถอะขอรับ...ฤทธิ์จากยาที่ท่านพี่กินเข้าไป...พลังที่มากเกินหากมิได้ถ่ายเทออกเพื่อปรับให้เหมาะสมจะทำร้ายเจ้าของร่าง ยามนี้หากท่านพี่ได้โคจรพลังรับมือกับคนพวกนั้น...ย่อมจะเป็นการดีมากขอรับ”เมื่อเก้าเทียนรุ่ยบอกเช่นนั้น ชิงชวนก็ปล่อยอาวุธในมือและทรุดกายลงเคียงข้างกับสหายทุกคนที่ต่างก็บาดเจ็บจนยืนมิไหวแต่มิวายเอ่ยกับเสวียนลิ่วหลางไปว่า “แต่หากท่านมิไหว ต้องรีบบอกพวกข้านะขอรับ” เสวียนลิ่วหลางพยักหน้ารับพลางกางอาณาเขตพลังปกป้องคนที่อยู่เบื้องหลังมิให้ได้รับผลกระทบ ก่อนที่ตนเองจะเข้าห้ำหั่นกับคนที่ถูกควบคุมอย่างรวดเร็วจนแม้กระทั่งซูเหย้าที่กว่าจะรู้ตัวก็ยามที่ได้เห็นลูกน้องฝีมือสูงของตนถูกปราณของเสวียนลิ่วหลางแยกร่างกายออกจากกัน“เจ้า!” ซูเหย้าโกรธจนหน้าเป็นสีเลือด เพราะมิว่าเขาจะสั่งการอย่างไร ลูกน้องของเขาก็มิอาจลุกมาเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างที่เคยเป็น“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้เจ้าคะนายท่าน” ซิงเยียนที่มั่นใจเสมอมา มิว่าอย่างไรก็จะมิมีผู้ใดจัดการกับคนที่ถูกหนอนพิษเพลิงพิรุณได้ถามอย่างตื่นตระหนก จะเป
“เจ้าสองคนฉลาดมิใช่น้อย หากเป็นสหายกัน งานที่ข้าทำคงจะสำเร็จไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่คนฉลาดเช่นเจ้าสองคนจะต้องสิ้นชีพในวันนี้” ซูเหย้ามองเสวียนลิ่วหลางตาวาว หากเขาดึงเอาหนอนพิษอีกสองตัวที่อยู่ในร่างอีกฝ่ายออกมาได้ ยามนั้นท่านประมุขก็จะต้องแข็งแกร่งจนมิอาจมีใครทำอันตรายได้อีกแล้ว“ผิดแล้วละซูเหย้า วันนี้หากจะมีคนไหนต้องจากไป ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”ยามแรกซูเหย้าจะถกเถียงว่า...เจ้าที่ร่างกายยังอ่อนแอจากการถูกหนอนพิษเล่นงาน กับเจ้าเด็กน้อยที่ถือตนว่าเก่งกล้าแต่ไร้วรยุทธ์จะสู้ข้าได้อย่างไร...หากเมื่อเขาได้เห็นประกายในดวงตาเป็นสีแดงเจิดจ้ากับพลังปราณอย่างรุนแรงที่แผ่ซ่านมาของเสวียนลิ่วหลางทำให้คิดไปว่า...หากมิใช่หนอนพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในกายเสวียนลิ่วหลางได้ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ก็แสดงว่าอีกฝ่ายได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน...เป็นไปมิได้!เสวียนลิ่วหลางหัวเราะก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “คิดว่าเจ้าก็คงจะพอคาดเดาได้แล้ว...ข้าสามารถบังคับเจ้าหนอนร้ายนั้นได้แล้ว”“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าก็ทำได้เพียงแค่ในยามนี้เท่านั้น อีกประเดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของข้าเช่นเดิม” มิใช่ว่าหนอนพิษของเขาใครจะบัง
“อาซวง!” เสวียนลิ่วหลางร้องเรียกสติเก้าเทียนรุ่ยที่ปล่อยให้เสียงจากภายนอกมามีผลกระทบกับการปรุงยาที่ใกล้จะสำเร็จอยู่มิช้ามินานนี้แล้ว “หากอยากช่วยทุกคนเจ้าจะต้องปรุงยาให้เสร็จนะ อีกมินานแล้ว...เราจะได้ไปดูด้วยอย่างไรเล่า ใครเป็นคนทำเรื่องเลวร้ายนี้”ถึงเขาจะพยายามข่มใจทำตามคำบอกกล่าวของเสวียนลิ่วหลาง เบื้องหน้าเตาปรุงยาลอยอยู่ระดับเดียวกับอก ภายในถูกปราณที่ถูกส่งจากสองกายก่อเกิดเป็นไฟเพื่อหลอมตัวยาทั้งหลายให้รวมเป็นหนึ่ง หากในหัวกลับได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและขอความช่วยเหลือดังมิยอมหยุด“ด้านนอกอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดอยู่ก็ได้นะ ในเมื่อทุกคนทุ่มเทปกป้องเราอย่างเต็มกำลัง…หากอยากช่วยทุกคน อาซวงก็ต้องปรุงโอสถให้สำเร็จ...ข้าเชื่อมั่นในตัวอาซวงนะ” เสวียนลิ่วหลางบีบกระชับมือเล็กดึงเก้าเทียนรุ่ยให้หลุดออกมาจากความกังวล“อาซวงสัญญากับข้าแล้วมิใช่หรือ จะเป็นฟูเหรินของข้า หากปรุงยารักษาข้ามิสำเร็จ แล้วจะเป็นฟูเหรินของข้าได้อย่างไรเล่า” เพราะวาจาของเสวียนลิ่วหลางที่ทำให้เก้าเทียนรุ่ยก็คิดขึ้นมาได้ มิใช่เพียงแค่บุรุษที่ยืนเคียงข้างในยามนี้ หากเขายังมีสหายที่ดีและท่านแม่ที่จะต้องดูแลด้ว