“แม่รู้แล้ว”
“ท่านบอกลูกน้องด้วยนะท่านรองแม่ทัพ ให้คอยดูแลช่วยเหลือแม่ข้า อย่าให้แม่ข้าต้องเหนื่อย มิเช่นนั้นข้าจะให้ท่านแม่ทัพเอาเรื่องพวกเจ้า!”
“เจ้าคิดว่าทำได้ รู้หรือไม่ บ้านมีกฎบ้าน ทหารก็มีกฎของทหาร”
“ก็พอรู้นิดหน่อย แต่ท่านควรจะรู้นะท่านรองแม่ทัพ...ผักพวกนั้นเป็นอาหารและวัตถุดิบที่ใช้ผสมทำยารักษานายของท่านให้หาย หากดูแลมันมิดี เติบโตไม่ทันท่วงที นายของท่านนั่นแหละที่จะมีปัญหา” เอาสิ...ศึกนี้ใครมันจะเป็นฝ่ายมีชัย
“มิต้องห่วง ข้าจะเป็นคนคอยดูแลท่านแม่เจ้าให้เอง”
“รับปากแล้วทำมิได้ ท่านก็เป็นลูกเต่า”
“เอ้อร์เอ๋อร์”
หากเก้าเทียนรุ่ยเลือกที่จะมิสนใจคำตักเตือนของท่านแม่และยังส่งยิ้มออดอ้อนไปอีก “หากมิเป็นการรบกวนท่านรองแม่ทัพจนเกินไป...ช่วยนำถังอาบน้ำพร้อมกับน้ำที่ต้มพออุ่นมาให้ข้าด้วยนะขอรับ”
หากจำมิผิด มีบางตัวยาที่เผลอหยิบมาโดยมิตั้งใจเมื่อวันไปหาซื้อยากับรองแม่ทัพยังอยู่ในกระเป๋าย่าม ตอนนี้ท่านแม่ทัพเริ่มจะรู้สึกตัวแล้ว เขาควรเร่งฟื้นฟูร่างกายเพิ่มเติม
“เจ้าคิดทำสิ่งใด”
“ในเมื่อท่านมอบอำนาจในการรักษาท่านแม่ทัพให้ข้าแล้ว...ข้าจะทำสิ่งใดเพื่อให้นายของท่านหาย มันก็ล้วนขึ้นอยู่กับข้ามิใช่หรือ ท่านมีหน้าที่เพียงแค่ ทำตามที่ข้าต้องการมิใช่หรืออย่างไร” หากบอกเรื่องที่เขาตั้งใจจะทำให้รองแม่ทัพหน้าตายได้รู้ เขาได้อับอายจนมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแน่ เรื่องนี้ต้องปกปิดเป็นความลับอย่างที่สุด!
“อ๋อ...ถังใหญ่ ๆ ที่พอจะนั่งได้สองคนนะ”
คอยดูนะ การรักษาครั้งนี้เสร็จสิ้นลงเมื่อใด เขาจะเรียกค่าเสียหายให้ได้เป็นหลายร้อยตำลึงทองเลย!
เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วตอนนี้ก็เหลือแค่...เก้าเทียนรุ่ยมองไปยังคนบนเตียง คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะพาอีกฝ่ายมาลงถังได้โดยไม่ต้องพึ่งพาทหารที่อยู่ด้านนอก
แม้ว่าท่านแม่ทัพจะนอนเป็นผักมิไหวติง หากถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นบุรุษที่ทั้งสูงและใหญ่ ต่างจากตัวเขาที่เป็นเพียงบุรุษร่างเล็ก เพรียวและบาง การจะพยุงอีกฝ่ายที่มิได้สติมาลงถังน้ำ...ดูไปแล้วก็ยากมิน้อย
“ท่านนะ รีบฟื้นมาได้แล้ว...ภาระจริง ๆ เลย” เก้าเทียนรุ่ยบ่นพึมพำ ที่ผ่านมาคนที่เขาให้การช่วยเหลือ ให้ผักหญ้าไปกิน จะได้ช่วยไม่ให้ตนเองเจ็บป่วยหนักหนาสาหัสจนต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานในการรักษา แม้อีกฝ่ายจะฟื้นแล้ว เขาก็ยังมิมั่นใจเลยว่าจะหายเป็นปกติหรือไม่ แต่...ขอให้ฟื้นมีสติมาก่อนเถอะ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็ค่อยคิดต่อไป
“ท่านช่วยให้ความร่วมมือกับข้าด้วยนะ” เก้าเทียนรุ่ยจับเอาสองขาของท่านแม่ทัพให้ห้อยลงมาเท้าแนบกับพื้น ก่อนจะทั้งผลักและดันกายใหญ่ให้ลุกขึ้นนั่ง หากเพราะยังเป็นคนป่วยที่มิได้สติ การจะทำให้อีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งนั้นเป็นไปได้ยาก กว่าจะทำให้อีกฝ่ายนั่งเอนตัวอิงกับร่างผอมบางของตนเองได้ ก็ทำเอาเขาถึงกับได้เหงื่อและเหนื่อยหอบเลยทีเดียว
“ท่านนี่นะ...กินอะไรเข้าไปหนักหนา ทำไมตัวถึงได้หนักแบบนี้”
ปากก็บ่น มือก็จัดการถอดเสื้ออีกฝ่ายจนเหลือเพียงแค่...ผิวกายสีน้ำตาลอ่อนค่อนไปทางเหลืองที่บนแผ่นหลังเต็มไปด้วยร่องรอยของบาดแผลทั้งเก่าและใหม่ที่ทำให้ใจรู้สึกมิดี มิว่าใครต่างก็รักชีวิตของตนเองทั้งนั้น มิได้อยากที่จะห้ำหั่นหรือทำร้ายใคร หากความเป็นจริงแล้วใครแข็งแกร่งกว่าคนนั้นก็จะอยู่รอด
“ตอนบาดแผลพวกนี้เกิดขึ้น ท่านคงจะเจ็บน่าดู” เก้าเทียนรุ่ยเผลอกล่าวขณะวางมือบนผิวเนื้อพลางลูบไล้ไปตามบาดแผลที่มิได้รับการรักษาให้ดี จนเกิดเป็นแผลเป็นบ้างก็ลึกบ้างก็ตื้น
มิใช่สิ...ตอนนี้เขาควรรีบพาท่านแม่ทัพไปลงถังแช่น้ำยาสมุนไพรมิใช่เวลาที่จะมาสงสัยว่าแผลใดเกิดจากที่ไหน ไปมีเรื่องกับผู้ใดมา
“ถึงท่านจะยังมิได้สติ แต่ข้าขอร้องละนะ...ช่วยทำตัวให้เบา ให้ความร่วมมือให้ข้าพาท่านไปถึงถังน้ำเร็ว ๆ หน่อยนะ” เก้าเทียนรุ่ยค่อย ๆ ประคองร่างสูงใหญ่เอาไว้ขณะก้าวลงจากเตียงแล้วจับแขนกำยำมาพาดบนบ่าให้ร่างแกร่งเอนอิงลงมาเพื่อจะได้พาอีกฝ่ายไปแช่ในน้ำที่มียาสมุนไพรผสมไว้ ทว่า...
เคยดูทีวีผ่านตามาบ้าง ฉากที่คนตัวเล็กโอบประคองคนตัวใหญ่ อย่างนางเอกตัวเล็กนิดเดียวพาพระเอกที่ตัวใหญ่กว่ามากที่เมามิได้สติไปนอนบนเตียง ก็เห็นว่ามันมิได้ยากอะไรเลยสักนิดและยังจะได้ผลดีด้วยนี่น่า แล้วทำไมเวลาเขาทำมันถึงได้เป็นแบบนี้กันล่ะ...
“เป็นความผิดของท่านนั่นและที่ตัวหนักเกินไป”
เก้าเทียนรุ่ยได้บ่นงึมงำใส่คนที่ยังมิยอมฟื้นมาเสียที ทว่า...เขาก็รู้สึกว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างที่แปลก ๆ อยู่นะ ทำไมคนที่ยังมิฟื้นถึงได้ทำตัวเหมือนกับว่าทิ้งน้ำหนักลงมายังตัวเขาเสียมากมายจนเกือบจะทำให้เซและล้มลง
“หากท่านมิยอมช่วยให้ข้าพาไปยังถังน้ำเพื่อแช่สมุนไพรง่าย ๆ น่ะ ข้าจะ...จะกลิ้งท่านไปแทน” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยด้วยความหงุดหงิด เขาเริ่มต้นประคองท่านแม่ทัพให้เดินไปที่ถังน้ำด้วยแรงทั้งหมดที่มี หากยังมิทันจะก้าวเดินเลยด้วยซ้ำ เขาก็รับน้ำหนักที่ทิ้งลงมามิไหว เลยต้องปล่อยให้ร่างสูงใหญ่ล้มลงไปบนเตียง โดยมีตัวเขานอนทับอยู่ด้านบน
“นี่ท่าน!...ข้าโกรธท่านแล้วนะ ถ้ายังจะมิช่วยกันอีก...ข้าจะกลิ้งท่านไปจริง ๆ ” เก้าเทียนรุ่ยขู่ไปเสียงเข้ม หากชักช้าไป...น้ำจะเย็นจนยาใช้มิได้ผลนะสิ
เขาจะทำอย่างไรดี!
อ๋อ...ใช่แล้ว หากให้ท่านแม่ทัพขึ้นหลัง ถึงร่างของเก้าเทียนรุ่ยจะเล็กกว่ามาก หากก็น่าจะได้ผลอยู่ มิลองก็มิรู้…
เก้าเทียนรุ่ยรีบเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าของท่านแม่ทัพที่ศีรษะเอียงไปด้านหนึ่งและตาก็ยังปิดอยู่ แต่มิรู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าถูกจ้องมอง!
ก็ไม่นี่น่า...ท่านแม่ทัพยังมิได้สติสักหน่อย สงสัยว่าเขาจะคิดมากเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ เก้าเทียนรุ่ยส่ายศีรษะขณะหันกายและย่อลงพร้อมกับนำเอาสองแขนกำยำมาพาดบนไหล่ก่อนที่เขาจะยืดตัวขึ้น
“คนอะไรจะหนักขนาดนี้เนี่ย” เก้าเทียนรุ่ยอดบ่นมิได้ เพราะน้ำหนักที่ทิ้งลงมาทำให้เขายืดตัวแทบมิขึ้น สองขาก็สั่น หากเพียงแค่ลมหายใจมิทันจะหมด ความหนักที่เจอก็ลดน้อยลงไปและยังจะพาท่านแม่ทัพไปที่ถังน้ำได้โดยง่ายอีกด้วย“หากมิคิดว่าคนข้างนอกจะรีบเข้ามาจับกุมข้านะ ข้าจะปล่อยให้ท่านล้มคะมำหัวจุ่มลงไปในถังน้ำอุ่นผสมยาไปเลย” หากสิ่งที่เขาทำได้นะหรือ พยายามประคองร่างที่สูงเพรียวเอาไว้ ขณะเดียวกันก็พยายามยกขาของอีกฝ่ายให้เข้าไปอยู่ในถังน้ำอุ่นผสมยาที่กว่าจะเสร็จ ก็ทำเอาเก้าเทียนรุ่ยถึงกับได้เหงื่อจัดให้อีกฝ่ายแช่น้ำอุ่นผสมยาสมุนไพรพร้อมกับจัดท่าทางให้ท่านแม่ทัพจมอยู่ในน้ำยามากที่สุดได้แล้ว เก้าเทียนรุ่ยก็ยืนหายใจหอบแรงอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปจุ่มมือลงไปในน้ำก็เห็นว่าสำหรับท่านแม่ทัพใหญ่คงจะกระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนได้ดี หากสำหรับตัวเขาแล้วมันร้อนไปสักเล็กน้อย หากทำอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ลงแช่สมุนไพรเพื่อช่วยนวดกระตุ้นร่างกายให้อีกฝ่ายคงจะ...มิไหว จะใช้มือตักน้ำมาราดรดบนไหล่ แผ่นหลังและหน้าอกบางส่วนอาจจะทำให้มือมีปัญหาได้ น่าจะต้องใช้ผ้าผืนเล็กมาช่วย คิดได้อย่างนั้นก็รีบไปค้นหาผ
ท่าน...ท่านแม่ทัพจูบเขา!เป็นไปได้ยังไง...เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง หากเมื่อตั้งสติได้ก็รีบทาบมือผลักร่างหนาแกร่งให้ออกห่าง ทว่า...ยิ่งผลักดันกลับยิ่งถูกรัดให้แนบชิดมากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำของกายท่านแม่ทัพอื้อ...เก้าเทียนรุ่ยพยายามประท้วง หากเมื่อเจอกับสัมผัสที่หนักหน่วง รุกเร้าและเอาแต่ใจ จูบที่ดูดดื่มเหมือนกำลังขโมยลมหายใจไป เขาเลยจำใจปล่อยให้ท่านแม่ทัพทำอย่างที่ใจต้องการหรือ...ก็มิใช่เขาแล้วล่ะ!นี่แนะ!ในเมื่อมือถูกรัดเอาไว้จนทำอะไรไม่ได้ หากเท้ายังว่างอยู่นี่น่า เก้าเทียนรุ่ยก็เลยต้องรีบเตะออกไป ทว่า...นอกจากจะมิหลุดออกจากอ้อมกอดของท่านแม่ทัพแล้ว เขายังจะเจ็บเท้าและยังจะถูกรัดจนร่างแทบจะจมหายไปในอกกว้างยิ่งกว่าเดิมด้วยยิ่งต่อต้านก็ยิ่งถูกกอดรัดแนบชิดกายแกร่งและยังจะถูกจูบอย่างหนักหน่วงจนเข่าอ่อน ท่านแม่ทัพก็เลยจับเอาขาทั้งสองของเขาให้โอบรัดรอบเอวเพื่อที่ตนเองจะได้กอดและจูบกันอย่างถนัดถนี่มากขึ้น แม้อยากจะต่อต้านมิยอมให้อีกฝ่ายจูบได้ง่าย ๆ หากเขาก็ทำอะไรมิถูกและยังจะถูกอีกฝ่ายจับทางเอาไว้ได้หมด ท่านแม่ทัพขบกัดกลีบปากสลับบดคลึง ก่อนจะสอด
“ยังมิได้รังแก...เลย”“ก็ที่ท่านทำอยู่นี่ไง” เก้าเทียนรุ่ยได้แต่ข่มกัดฟันโต้ตอบกลับไปเสียงสั่น ด้วยนิ้วของท่านแม่ทัพที่เคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายมันทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ จนแทบมิกล้าหายใจ“มิได้รังแก แค่...อยากกินเจ้า”ว่าแล้วท่านแม่ทัพก็โน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนไหล่และขบกัด!“ท่าน!”“อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าถูกรังแก”ปากหนาขบกัดเคลื่อนวนเวียนไปมาบนผิวเนื้อเนียนนุ่ม ขณะที่มือก็เริ่มลูบไล้จากหน้าอกเคลื่อนลงไปทีละน้อย...ทีละน้อย หยอกเย้ากับพุงน้อย ๆ จนเขาเริ่มหายใจมิทั่วท้อง“หรืออย่างนี้...”“ไม่! หยุดนะท่านแม่ทัพ” เก้าเทียนรุ่ยรีบร้องเรียกเสียงดังก่อนที่นิ้วยาวจะสอดเข้าไปใต้กางเกง“หือ...แลกเปลี่ยน”อะไรกันอีกละเนี่ย! เก้าเทียนรุ่ยได้แต่มึนงงจนคิดอะไรมิออก “ข้าหยุดรังแก...เจ้าจะให้สิ่งใดล่ะ”“แล้ว...แล้วแต่ท่านต้องการ” ตอนนี้ไม่ว่าจะต้องแลกกับสิ่งใด เขาคิดว่าควรจะต้องตอบตกลงไปก่อน เพราะมันดีกว่าถูกท่านแม่ทัพปีศาจกินเต้าหู้จนมิเหลือ“จริง”“ฮื่อ...ข้ารับปาก” ว่าจะมิทำตามที่กล่าวและจะรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดด้วย“มิน่าเชื่อ...เท่าไหร่”โว้ย! อะไรกันวะเนี่ย เก้าเทียนรุ่ยได้แต่งึมงำแผ่วเบา พลา
เขาได้แต่อ้าปากค้าง...อยากก่นด่าออกไปว่า ไอ้บัดซบ! หากก็ทำได้เพียงแค่กลอกตาไปมา ขณะคิดว่าจะกล่าวออกไปอย่างไรให้ท่านแม่ทัพตรงหน้าเข้าใจว่าอะไรทำได้ สิ่งใดทำมิได้ สิ่งใดควรและสิ่งใดมิควร“หากท่านอยากถูกรักษาด้วยวิธีนี้ เดี๋ยวข้าจะไปบอกกล่าวให้ท่านรองแม่ทัพชิงชวนมานอนร่วมเตียงด้วย...คงจะช่วยได้มากเชียวล่ะ” อย่านึกว่าเขาจะรู้มิทันนะ แม่ทัพปีศาจตัวร้ายคิดทำสิ่งใดอยู่ ถึงเขาจะมิฉลาดเฉลียวสักเท่าใด หากเรื่องนี้ก็มิได้โง่จนมองมิออกว่าตนเองกำลังถูกหลอกกินเต้าหู้อยู่หรอกนะ“ไม่ต้องการชิงชวน แต่จะเอาเจ้า!”น้ำเสียงแม้จะเบาหากมีน้ำหนัก อีกทั้งสายตาที่มองมาเหมือนกับมีสองมือจับตรึงเอาไว้มิยอมให้เขาขยับ ก่อนที่ร่างหนาจะเคลื่อนตัวมาหาเขาอย่างรวดเร็ว กักร่างบอบบางให้ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่ง พลางโน้มใบหน้าลงมาจนริมฝีปากแนบชิดกับใบหูเพื่อบอกกับเขาว่า...“ข้าต้องการเพียงเจ้า...อาซวง!”อะไรนะ! เก้าเทียนรุ่ยพยายามคิดเรียบเรียงวาจาของท่านแม่ทัพอยู่ครู่หนึ่ง หากสติก็มิสมบูรณ์ด้วยใบหูถูกรุกรานจากปากอุ่นที่ขบกัดสลับเรียวลิ้นร่วมกระเซ้าเย้าแหย่ ไหนจะมือที่อยู่มินิ่ง ลูบไล้แผ่นหลังเรื่อยลงไปจนถึงสะเอว“ข้าอยากมี
“ท่าน...คนเพิ่งจะฟื้นไข้ ควรต้องพักผ่อนให้มาก ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็ว ๆ มีเรื่องอื่นใดก็ค่อยคุยกันพรุ่งนี้เถอะ” ควรเป็นเขาที่จะต้องรีบนอนหลับเอาแรง ตื่นมาพรุ่งนี้สมองจะได้ปลอดโปร่ง จะได้มีหนทางรับมือกับท่านแม่ทัพได้โดยมิเพลี่ยงพล้ำเช่นครั้งนี้“เจ้าจะนอน...เช่นนี้หรือ”ตอนแรกเก้าเทียนรุ่ยก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยมิเข้าใจ หากเมื่อเห็นสภาพของท่านแม่ทัพใหญ่ที่ตอนนี้มีเพียงแค่กางเกงและเสื้อตัวในติดกาย อีกทั้งผมที่ควรจะผูกรัดและสวมกวาน[1] ให้เหมาะสมกับฐานะแม่ทัพแห่งแคว้นฮั่นหยางก็มิได้อยู่ในที่ซึ่งมันควรอยู่ เขาก็เลยเข้าใจ“ข้าต้องคอยดูแลท่าน จะตอนไหนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ แต่งกายนอนเช่นนี้ก็มิแปลกอันใดมิใช่หรือไง” อีกทั้ง...เขาคิดเอาเองนะ อย่างน้อยแต่งกายเช่นนี้ก็พอจะป้องกันมิให้ถูกแม่ทัพกินเต้าหู้ได้โดยง่ายด้วย“จะมิมีใครทำอันตรายเจ้าได้ทั้งนั้น”หือ...เหมือนว่าท่านแม่ทัพจะกล่าวอะไรสักอย่างอยู่นะ หากเขาก็มิทันจะเอ่ยสิ่งใดออกไป เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ก็หลุดออกจากกายคงเหลือเพียงแค่กางเกงและเสื้อตัวในเท่านั้น อีกทั้งร่างบอบบางก็โดนกอดรัด ศีรษะถูกจับให้อยู่แนบชิดกับต้นไหล่กว้าง แขนกำยำพาดบ
“ยากมาก...ต้องใช้เวลานาน ปรุงยาก็ต้องเยอะด้วย แต่นั่นมิสำคัญเท่ากับนายของท่านจะสู้หรือไม่ ต่อให้ข้าเก่งเพียงใดและใช้ยาที่ดีที่สุดทำการรักษา แต่ถ้าเขามิคิดสู้ ก็มิมีใครช่วยเขาได้หรอก นอกจากตัวเขาจะช่วยตนเองเท่านั้น”การสนทนาไต่ถามเกี่ยวกับอาการป่วยของเขาดังเป็นระยะ มันเป็นเหมือนบทเพลงขับกล่อมให้เขาสามารถนอนหลับได้สนิทโดยมิฝันร้าย! ก่อนจะตื่นมาเพื่อกินอะไรบางอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวว่าเป็นยาผสมผักที่ปรุงเองเพื่อเพิ่มพลังทางร่างกายพร้อมกับปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาขม…เปรี้ยวและเผ็ดร้อนเป็นอย่างมาก หากตื่นอยู่ เขาคงจะต้องสำลักและไอจนหน้าดำหน้าแดงเป็นแน่“ถือว่าใช้ได้...เป็นเช่นนี้ โอกาสฟื้นขึ้นมาก็มีมากเชียวล่ะ”มิรู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเสียงที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความขบขันและสะใจ มันยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากที่จะลืมตาตื่นเพื่อจะได้มองหน้าผู้ที่กล่าวอยู่ให้ชัดเจนเขามิอาจรับรู้ว่ายามนี้ผ่านไปกี่วันแล้ว รับรู้เพียงแค่มิว่าเวลาใดที่มิหลับคนผู้นั้นจะอยู่ด้วยเสมอและการกินยาที่มันช่างเต็มไปด้วยรสชาติอันแปลกประหลาด บางครั้งก็ขมแกมเค็มแฝงไว้ด้วยรสชาติที่เผ็ดร้อนราวกับว่าร่างกายมันร้อนราวกับถูกไฟเผา หากบาง
เขามิเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเหตุมาจากร่างกายที่กรำศึกมายาวนานเกิดประท้วง จะต้องมีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้กระทำแน่นอน ที่เขาจะต้องรีบสืบหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังให้ได้อย่างเร็วที่สุด ก่อนที่มันผู้นั้นจะทำเรื่องร้ายแรงเช่นนี้กับผู้อื่นอีก อีกทั้งยังมีอีกเรื่องที่สำคัญยิ่งมิแพ้กัน...เขามองร่างเล็กเพรียวที่ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความโมโห “เจ้ากล่าวว่า ข้าเพิ่งจะฟื้นไข้ จำเป็นต้องได้รับการรักษาและพักผ่อนอย่างเพียงพอ”“ใช่”“ถ้าเช่นนั้นก็...นอนกัน”“ท่านเข้าใจบ้างไหม ท่านเป็นนายและเป็นคนป่วย ส่วนข้าเป็นแค่บ่าวไพร่ที่มาดูแลรักษาให้ท่านหายดี หยุดเอาแต่ใจสักทีได้ไหมท่านแม่ทัพ”น้ำเสียงเหมือนแมวขู่ที่ ทำให้เขาอยากจะยั่วโทสะเจ้าตัวเล็กมากยิ่งขึ้น“นอนกอดกัน ถือว่ารักษาไหม” หากเจ้าตัวเล็กกลับบอกว่าจะไปตามชิงชวนมาให้มานอนกอดกับเขาแทนเสียนี่“ข้าต้องการเพียงเจ้า...อาซวง!” เจ้าตัวเล็กจะโต้ตอบเขากลับมาเช่นไรนะ“ข้าอยากมีเจ้านอนร่วมเตียง...อาซวง” หากเจ้าตัวเล็กก็ยังหาทางออกจากวาจากระเซ้าเย้าหยอกของเขาได้และยังจะยอมแพ้โดยที่ข้าถึงกับคาดมิถึง มันยิ่งทำให้เขารู้สึกว่า...คนเช่นนี้แหละที่ข้าปรารถนาจะอยู่ใกล้ชิด เหมาะ
“คุณชายเอ้อร์เอ๋อร์…” หากวาจาที่จะกล่าวหลังจากนั้นกลับหายไปเมื่อท่านรองแม่ทัพได้เห็นว่าเขานั่งอยู่บนตักของใครเขาได้แต่ยิ้มแหย ๆ แกมอับอายส่งไปให้ท่านรองแม่ทัพที่นอกจากความตกใจแล้วยังบ่งบอกถึงความดีใจ โล่งอกและคาดมิถึง ดูเหมือนในดวงตาคล้ายจะมีสีแดงและน้ำตาคลอเบ้าอยู่ด้วย“ท่านแม่ทัพ! ตื่นแล้วหรือขอรับ...ท่านหลับไปนานเลยนะขอรับ”“นั่นสิ”ดูเหมือนว่าทั้งคู่มีเรื่องที่อยากจะสนทนากัน หากก็มิรู้ว่าจะเริ่มต้นเช่นไรดี “ท่านสองคนคงจะมีเรื่องให้สนทนาถามไถ่กัน ที่ข้ามิควรจะร่วมรับรู้ ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปจัดการตนเองและจะรีบไปจัดการปรุงยาให้กับท่านแม่ทัพก่อนดีกว่านะขอรับ”“เดี๋ยวสิอาซวง”“อาซวง” รองแม่ทัพชิงชวนกล่าวเสียงเบาพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะมองเขาอย่างแปลกใจ“อย่ามองข้าเช่นนั้น เป็นท่านแม่ทัพของท่านตัดสินใจเองเออเอง ข้ามิรู้มิเข้าใจอะไรด้วยทั้งนั้น...แล้วก็นะ ท่านปล่อยข้าได้แล้ว” เก้าเทียนรุ่ยรีบปลดแขนที่โอบรัดรอบกายออกไป แต่กลับถูกท่านแม่ทัพกลั่นแกล้งเอา นอกจากมิปล่อยแล้วยังจะรัดเขาแน่นกว่าเดิมแล้วยังจะวางคางบนไหล่ด้วย“ท่าน...ท่านพี่”สองแก้มร้อนผ่าวราวกับยื่นหน้าไปลนไฟเมื่อต้องกล่าวคำนี
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”
“พวกท่านทุกคนต่างก็ทำกันอย่างดีที่สุดแล้ว นับจากนี้ก็ปล่อยให้ท่านพี่เป็นคนลงมือเถอะขอรับ...ฤทธิ์จากยาที่ท่านพี่กินเข้าไป...พลังที่มากเกินหากมิได้ถ่ายเทออกเพื่อปรับให้เหมาะสมจะทำร้ายเจ้าของร่าง ยามนี้หากท่านพี่ได้โคจรพลังรับมือกับคนพวกนั้น...ย่อมจะเป็นการดีมากขอรับ”เมื่อเก้าเทียนรุ่ยบอกเช่นนั้น ชิงชวนก็ปล่อยอาวุธในมือและทรุดกายลงเคียงข้างกับสหายทุกคนที่ต่างก็บาดเจ็บจนยืนมิไหวแต่มิวายเอ่ยกับเสวียนลิ่วหลางไปว่า “แต่หากท่านมิไหว ต้องรีบบอกพวกข้านะขอรับ” เสวียนลิ่วหลางพยักหน้ารับพลางกางอาณาเขตพลังปกป้องคนที่อยู่เบื้องหลังมิให้ได้รับผลกระทบ ก่อนที่ตนเองจะเข้าห้ำหั่นกับคนที่ถูกควบคุมอย่างรวดเร็วจนแม้กระทั่งซูเหย้าที่กว่าจะรู้ตัวก็ยามที่ได้เห็นลูกน้องฝีมือสูงของตนถูกปราณของเสวียนลิ่วหลางแยกร่างกายออกจากกัน“เจ้า!” ซูเหย้าโกรธจนหน้าเป็นสีเลือด เพราะมิว่าเขาจะสั่งการอย่างไร ลูกน้องของเขาก็มิอาจลุกมาเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างที่เคยเป็น“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้เจ้าคะนายท่าน” ซิงเยียนที่มั่นใจเสมอมา มิว่าอย่างไรก็จะมิมีผู้ใดจัดการกับคนที่ถูกหนอนพิษเพลิงพิรุณได้ถามอย่างตื่นตระหนก จะเป
“เจ้าสองคนฉลาดมิใช่น้อย หากเป็นสหายกัน งานที่ข้าทำคงจะสำเร็จไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่คนฉลาดเช่นเจ้าสองคนจะต้องสิ้นชีพในวันนี้” ซูเหย้ามองเสวียนลิ่วหลางตาวาว หากเขาดึงเอาหนอนพิษอีกสองตัวที่อยู่ในร่างอีกฝ่ายออกมาได้ ยามนั้นท่านประมุขก็จะต้องแข็งแกร่งจนมิอาจมีใครทำอันตรายได้อีกแล้ว“ผิดแล้วละซูเหย้า วันนี้หากจะมีคนไหนต้องจากไป ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”ยามแรกซูเหย้าจะถกเถียงว่า...เจ้าที่ร่างกายยังอ่อนแอจากการถูกหนอนพิษเล่นงาน กับเจ้าเด็กน้อยที่ถือตนว่าเก่งกล้าแต่ไร้วรยุทธ์จะสู้ข้าได้อย่างไร...หากเมื่อเขาได้เห็นประกายในดวงตาเป็นสีแดงเจิดจ้ากับพลังปราณอย่างรุนแรงที่แผ่ซ่านมาของเสวียนลิ่วหลางทำให้คิดไปว่า...หากมิใช่หนอนพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในกายเสวียนลิ่วหลางได้ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ก็แสดงว่าอีกฝ่ายได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน...เป็นไปมิได้!เสวียนลิ่วหลางหัวเราะก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “คิดว่าเจ้าก็คงจะพอคาดเดาได้แล้ว...ข้าสามารถบังคับเจ้าหนอนร้ายนั้นได้แล้ว”“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าก็ทำได้เพียงแค่ในยามนี้เท่านั้น อีกประเดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของข้าเช่นเดิม” มิใช่ว่าหนอนพิษของเขาใครจะบัง
“อาซวง!” เสวียนลิ่วหลางร้องเรียกสติเก้าเทียนรุ่ยที่ปล่อยให้เสียงจากภายนอกมามีผลกระทบกับการปรุงยาที่ใกล้จะสำเร็จอยู่มิช้ามินานนี้แล้ว “หากอยากช่วยทุกคนเจ้าจะต้องปรุงยาให้เสร็จนะ อีกมินานแล้ว...เราจะได้ไปดูด้วยอย่างไรเล่า ใครเป็นคนทำเรื่องเลวร้ายนี้”ถึงเขาจะพยายามข่มใจทำตามคำบอกกล่าวของเสวียนลิ่วหลาง เบื้องหน้าเตาปรุงยาลอยอยู่ระดับเดียวกับอก ภายในถูกปราณที่ถูกส่งจากสองกายก่อเกิดเป็นไฟเพื่อหลอมตัวยาทั้งหลายให้รวมเป็นหนึ่ง หากในหัวกลับได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและขอความช่วยเหลือดังมิยอมหยุด“ด้านนอกอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดอยู่ก็ได้นะ ในเมื่อทุกคนทุ่มเทปกป้องเราอย่างเต็มกำลัง…หากอยากช่วยทุกคน อาซวงก็ต้องปรุงโอสถให้สำเร็จ...ข้าเชื่อมั่นในตัวอาซวงนะ” เสวียนลิ่วหลางบีบกระชับมือเล็กดึงเก้าเทียนรุ่ยให้หลุดออกมาจากความกังวล“อาซวงสัญญากับข้าแล้วมิใช่หรือ จะเป็นฟูเหรินของข้า หากปรุงยารักษาข้ามิสำเร็จ แล้วจะเป็นฟูเหรินของข้าได้อย่างไรเล่า” เพราะวาจาของเสวียนลิ่วหลางที่ทำให้เก้าเทียนรุ่ยก็คิดขึ้นมาได้ มิใช่เพียงแค่บุรุษที่ยืนเคียงข้างในยามนี้ หากเขายังมีสหายที่ดีและท่านแม่ที่จะต้องดูแลด้ว