“ยากมาก...ต้องใช้เวลานาน ปรุงยาก็ต้องเยอะด้วย แต่นั่นมิสำคัญเท่ากับนายของท่านจะสู้หรือไม่ ต่อให้ข้าเก่งเพียงใดและใช้ยาที่ดีที่สุดทำการรักษา แต่ถ้าเขามิคิดสู้ ก็มิมีใครช่วยเขาได้หรอก นอกจากตัวเขาจะช่วยตนเองเท่านั้น”
การสนทนาไต่ถามเกี่ยวกับอาการป่วยของเขาดังเป็นระยะ มันเป็นเหมือนบทเพลงขับกล่อมให้เขาสามารถนอนหลับได้สนิทโดยมิฝันร้าย! ก่อนจะตื่นมาเพื่อกินอะไรบางอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวว่าเป็นยาผสมผักที่ปรุงเองเพื่อเพิ่มพลังทางร่างกายพร้อมกับปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา
ขม…เปรี้ยวและเผ็ดร้อนเป็นอย่างมาก หากตื่นอยู่ เขาคงจะต้องสำลักและไอจนหน้าดำหน้าแดงเป็นแน่
“ถือว่าใช้ได้...เป็นเช่นนี้ โอกาสฟื้นขึ้นมาก็มีมากเชียวล่ะ”
มิรู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเสียงที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความขบขันและสะใจ มันยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากที่จะลืมตาตื่นเพื่อจะได้มองหน้าผู้ที่กล่าวอยู่ให้ชัดเจน
เขามิอาจรับรู้ว่ายามนี้ผ่านไปกี่วันแล้ว รับรู้เพียงแค่มิว่าเวลาใดที่มิหลับคนผู้นั้นจะอยู่ด้วยเสมอและการกินยาที่มันช่างเต็มไปด้วยรสชาติอันแปลกประหลาด บางครั้งก็ขมแกมเค็มแฝงไว้ด้วยรสชาติที่เผ็ดร้อนราวกับว่าร่างกายมันร้อนราวกับถูกไฟเผา หากบางคราก็รสชาติหวานละมุนนุ่มลิ้นหากก็ยังคงมีความขมและเผ็ดอยู่
มิน่าเชื่อ! เขารับรู้ว่าตนเองเริ่มจะมีเรี่ยวแรงมากขึ้น สามารถขยับเคลื่อนร่างกายได้บ้าง จึงลองรวบรวมพลังปราณภายในร่างกายดู จากที่เคยท้อแท้และหมดหวังว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาก็รู้สึกมีความหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แก่นปราณที่มันเคยเย็นราวกับถูกน้ำแข็งห่อหุ้มเริ่มมีความร้อนแต่งแต้ม เส้นชีพจรที่มันถูกบางสิ่งบางอย่างกดทับอยู่เริ่มเต้นแรงและเร็วขึ้น
มินาน...เขาเชื่อว่าอีกมินานจะสามารถรวบรวมหล่อหลอมปราณภายในร่างจนสามารถเอาชนะและขับไล่สิ่งที่มันกัดกินภายในร่างกายได้!
เมื่อสามารถควบคุมตนเองได้บ้าง เขาก็อยากรู้ว่าหากมิยอมรับยารสชาติแปลกประหลาดจนความขม ฝาดและเผ็ดร้อนติดลำคอ คนที่เขาอยากจะเห็นหน้าที่สุดจะทำอย่างไร มิคาดคิดว่าคนผู้นี้จะทำให้เขาคาดมิถึงเอาเสียเลย
แม้จะมิได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดมาก เป็นเพียงแค่การแตะริมฝีปากด้วยว่าอีกฝ่ายป้อนยาเขาด้วยปากของตนเอง หากนั้นก็ทำให้เขาสามารถรวบรวมพลังและตื่นลืมตาขึ้นได้
ใบหน้าที่แดงระเรื่อ ริมฝีปากที่อ้าค้าง อีกทั้งดวงตาที่ตื่นตระหนกหากเต็มไปด้วยความสดใสมันกระแทกใจเขาอย่างแรง ในหูอื้ออึงไปเสียหมด ในสมองที่มันว่างเปล่าเกิดแสงสว่างวาบขึ้นมา พร้อมกับใจที่รับรู้เพียงแค่ว่า...มิอาจปล่อยมือจากคนตรงหน้าไปได้!
เมื่อรู้ว่ามีสิ่งใด...ใครที่ทำให้อยากเห็นหน้า อยากโอบกอดแนบชิดทุกชั่วยาม เขาก็มิอาจหลับยาวนานได้อีกแล้ว แม้จะเจ็บปวดเพียงใด เขาก็ต้องตื่น!
“ท่าน!”
หากครั้งแรกที่ได้เห็นหน้ามิทำให้พึงพอใจแล้ว...ครั้งนี้เมื่อยามได้ยินน้ำเสียงหวานใสที่ดังจากริมฝีปากสีราวกับกลีบเหลียนฮวา[1]เช่นเดียวกับสองแก้มที่อยากจะยกมือไปสัมผัสและมองสบกับดวงตากลมโตที่ฉายแววสดใส ตื่นตระหนกและหวาดหวั่นก็ทำให้หัวใจของเขาที่เต้นอ่อนล้าอยู่ถึงกับกระหน่ำเต้นอย่างรุนแรง
“ท่านฟื้นแล้ว”
วาจาที่หวานใสยังมิสู้กลิ่นหอมที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายคล้ายกับต้นหญ้าที่ได้รับน้ำฝนจนชุ่มฉ่ำ ริมบึงเหลียนฮวาที่ชู่ช่อเบ่งบานอยู่มีต้นไม้น้อยใหญ่กับสายลมพัดพาหอบเอาความสดชื่นมาให้ มันเป็นอะไรที่...
“น่าสนใจดี” เขาพึมพำแผ่วเบา ยกปลายนิ้วสัมผัสผิวแก้มใสแต้มสีที่ช่างน่าสัมผัสยิ่ง อีกทั้ง...กลีบปากสีเหลียนฮวานั้นจะมีรสชาติเป็นเช่นไรกันนะ...
มันเหมือนกับเขาโดนล่อลวงให้ตกหลุมแห่งความลุ่มหลงดึงดูดเข้าหาอย่างถอนตัวมิขึ้น จากที่จะสัมผัสริมฝีปากนั้นด้วยมือ เขากลับเลือกที่จะกดจูบลงไปเพื่อให้ได้ลิ้มรสชาติ
มิผิดหวัง...
กลิ่นหอมสดชื่นและความหวานละมุนที่อบอวลอยู่ในปาก ทำให้เขาอยากจะสัมผัสให้มากขึ้น อยากเพิ่มแรงบดคลึงลงไปอีก ยิ่งถูกอีกฝ่ายปัดป้องและผลักไสก็ยิ่งทำให้อยากที่จะใกล้ชิดและจูบอีกฝ่ายด้วยความหนักหน่วงและดื่มด่ำมากยิ่งขึ้น
อา...มันมากกว่าที่คิดเอาไว้เลยนะ รสชาตินักปรุงยาตัวน้อยช่างหวานเสียจริง จูบแล้วมิอยากที่จะหยุดเลย แต่ก็กลัวอยู่ ถ้ามากเกินไป คนตัวเล็กกว่าจะหายใจมิออกไปเสียก่อน ก็เลยต้องยอมหยุดชั่วคราว หากก่อนจะหยุดเขาก็ขอจูบอีกฝ่ายอีกสักหน่อยละกัน อีกทั้งยังมีบางอย่างรบกวนใจเขาด้วย นั่นก็คือกลิ่นที่มันติดกายอยู่นี่แหละ...
“เจ้าทำสิ่งใดกับข้า...เหม็น”
แม้พลังปราณและเส้นชีพจรในร่างจะฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว หากมันก็ยังมิมากพอให้เขาเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างใจต้องการมากนัก ไหนจะวาจาที่ดูเหมือนว่าจะยังติดขัดอยู่มิน้อย หากการได้เห็นดวงตาของคนตัวเล็กวาววับไปมา ใบหน้าที่เปลี่ยนไปมาตามอารมณ์ก็ทำให้เขารู้สึกว่ามันคุ้มค่า
กลีบปากราวเหลียนฮวาช่างดึงดูดใจยิ่งนัก คนตัวเล็กตรงหน้าช่างเป็นคนที่...เหมาะสมกับการถูกรังแกมาก! ถึงมากที่สุดเลยล่ะ!
จนเขาอดที่จะคิดมิได้ หากได้อีกฝ่ายมาร่วมนอนเตียงเดียวกัน ตื่นนอนในยามเช้ามีคนตัวเล็กอยู่ในอ้อมกอด ดวงตาและใบหน้าจะแสดงออกมาเช่นไรนะ เพียงแค่คิดเขาก็อดที่จะตื่นเต้นมิได้ อยากจะเร่งให้ถึงยามค่ำคืนโดยเร็วและเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็มิรีรอที่จะชักชวนคนตัวเล็กมานอนอิงแอบแนบชิดกันบนเตียงนอนที่เมื่ออีกฝ่ายรู้เข้า...
มันเหมือนกับว่าเขาได้เห็นแมวขนปุยที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขู่เสือที่ตัวใหญ่กว่าเป็นเท่าตัว ทั้งที่เกรงกลัวอย่างมาก แต่ก็ยังพยายามที่จะเชิดหน้าสู้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่า...ทั้งน่ารักและน่าแกล้ง ทว่า...เป็นเขาผู้เดียวเท่านั้นที่ทำเช่นนั้นได้ หากมีผู้อื่นมารังแกกลั่นแกล้งเจ้าแมวน้อยตัวนี้ละก็...
“นี่ก็ดึกแล้ว”
หากสำหรับเขาที่เพิ่งจะตื่นลืมตาจากการหลับที่ยาวนานถือว่ามิใช่เวลาที่อยากจะนอนพักผ่อน นอกจากการต้องเรียกชิงชวนมาสอบถามให้ละเอียด ระหว่างที่หลับไปนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง จัดการหาผู้ที่ทำให้ตัวเขาต้องนอนหลับไปยาวนาน...
[1] ดอกบัว
เขามิเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเหตุมาจากร่างกายที่กรำศึกมายาวนานเกิดประท้วง จะต้องมีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้กระทำแน่นอน ที่เขาจะต้องรีบสืบหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังให้ได้อย่างเร็วที่สุด ก่อนที่มันผู้นั้นจะทำเรื่องร้ายแรงเช่นนี้กับผู้อื่นอีก อีกทั้งยังมีอีกเรื่องที่สำคัญยิ่งมิแพ้กัน...เขามองร่างเล็กเพรียวที่ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความโมโห “เจ้ากล่าวว่า ข้าเพิ่งจะฟื้นไข้ จำเป็นต้องได้รับการรักษาและพักผ่อนอย่างเพียงพอ”“ใช่”“ถ้าเช่นนั้นก็...นอนกัน”“ท่านเข้าใจบ้างไหม ท่านเป็นนายและเป็นคนป่วย ส่วนข้าเป็นแค่บ่าวไพร่ที่มาดูแลรักษาให้ท่านหายดี หยุดเอาแต่ใจสักทีได้ไหมท่านแม่ทัพ”น้ำเสียงเหมือนแมวขู่ที่ ทำให้เขาอยากจะยั่วโทสะเจ้าตัวเล็กมากยิ่งขึ้น“นอนกอดกัน ถือว่ารักษาไหม” หากเจ้าตัวเล็กกลับบอกว่าจะไปตามชิงชวนมาให้มานอนกอดกับเขาแทนเสียนี่“ข้าต้องการเพียงเจ้า...อาซวง!” เจ้าตัวเล็กจะโต้ตอบเขากลับมาเช่นไรนะ“ข้าอยากมีเจ้านอนร่วมเตียง...อาซวง” หากเจ้าตัวเล็กก็ยังหาทางออกจากวาจากระเซ้าเย้าหยอกของเขาได้และยังจะยอมแพ้โดยที่ข้าถึงกับคาดมิถึง มันยิ่งทำให้เขารู้สึกว่า...คนเช่นนี้แหละที่ข้าปรารถนาจะอยู่ใกล้ชิด เหมาะ
“คุณชายเอ้อร์เอ๋อร์…” หากวาจาที่จะกล่าวหลังจากนั้นกลับหายไปเมื่อท่านรองแม่ทัพได้เห็นว่าเขานั่งอยู่บนตักของใครเขาได้แต่ยิ้มแหย ๆ แกมอับอายส่งไปให้ท่านรองแม่ทัพที่นอกจากความตกใจแล้วยังบ่งบอกถึงความดีใจ โล่งอกและคาดมิถึง ดูเหมือนในดวงตาคล้ายจะมีสีแดงและน้ำตาคลอเบ้าอยู่ด้วย“ท่านแม่ทัพ! ตื่นแล้วหรือขอรับ...ท่านหลับไปนานเลยนะขอรับ”“นั่นสิ”ดูเหมือนว่าทั้งคู่มีเรื่องที่อยากจะสนทนากัน หากก็มิรู้ว่าจะเริ่มต้นเช่นไรดี “ท่านสองคนคงจะมีเรื่องให้สนทนาถามไถ่กัน ที่ข้ามิควรจะร่วมรับรู้ ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปจัดการตนเองและจะรีบไปจัดการปรุงยาให้กับท่านแม่ทัพก่อนดีกว่านะขอรับ”“เดี๋ยวสิอาซวง”“อาซวง” รองแม่ทัพชิงชวนกล่าวเสียงเบาพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะมองเขาอย่างแปลกใจ“อย่ามองข้าเช่นนั้น เป็นท่านแม่ทัพของท่านตัดสินใจเองเออเอง ข้ามิรู้มิเข้าใจอะไรด้วยทั้งนั้น...แล้วก็นะ ท่านปล่อยข้าได้แล้ว” เก้าเทียนรุ่ยรีบปลดแขนที่โอบรัดรอบกายออกไป แต่กลับถูกท่านแม่ทัพกลั่นแกล้งเอา นอกจากมิปล่อยแล้วยังจะรัดเขาแน่นกว่าเดิมแล้วยังจะวางคางบนไหล่ด้วย“ท่าน...ท่านพี่”สองแก้มร้อนผ่าวราวกับยื่นหน้าไปลนไฟเมื่อต้องกล่าวคำนี
“ก่อนที่คนพวกนั้นจะมาถึง ข้าคิดว่าท่านควรจะกินอาหารก่อนนะขอรับ อาหารเหล่านี้ปรุงจากผักที่ข้าปลูกด้วยความรัก หวังว่าท่านจะ...กินมันจนหมด” ก็ใช่นะสิ...ขนาดเขาเองยังแทบมิกล้าจะทานเลย แล้วท่านแม่ทัพที่นั่งทำหน้ามิค่อยจะแน่ใจว่าอาหารบนโต๊ะกินได้หรือเปล่าจะมิลังเลใจได้อย่างไรกันล่ะ เก้าเทียนรุ่ยแอบอมยิ้ม ผัดผัก...ที่ใส่พริกสดตำพอแตกลงไปพอให้มีรสชาติเผ็ดร้อนซุปไข่และผักรวมเขาก็ผสมพริกป่นไปอีกช้อนใหญ่ ไหนจะโจ๊กเปล่าที่สามารถกินกับผัดผักและผักดอกสูตรพิเศษที่เขามักจะใช้รักษาคนป่วยเป็นไข้ได้ผลมาแล้วหลายรายอีกล่ะ รวมไปถึงต้มผักที่เคี่ยวกับกระดูกหมูที่เขาเพิ่งจะคิดได้ว่าควรจะต้องเพิ่มรสชาติให้หวานกลมกล่อมหากต้องเข้มข้นด้วยยาที่จะช่วยปรับธาตุร้อนและเย็นในร่างกายของท่านแม่ทัพให้สมดุล ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น...ทุกอย่างก็เพื่อท่านแม่ทัพผู้เดียวเท่านั้น“กินได้” คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาเข้มเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะมือก็หยิบตะเกียบเขี่ยผักในจานด้วยความสนใจระคนสงสัย“ทำไมจะกินมิได้ล่ะ ท่านรู้ไหมว่าข้าปรุงสุดฝีมือเลยนะ เพื่อบำรุงรักษาให้ท่านหายดีมีพละกำลังรวมถึงฟื้นฟูพลังปราณของท่านให้กลับเร็ว ๆ ด้
หากกล่าวความจริงไปว่ามิชอบ เขาคงจะโดนสั่งขังลืมไว้ในคุกใต้ดินไหมล่ะนี่ “มิใช่ขอรับ...มิใช่ คือข้า...” เก้าเทียนรุ่ยรีบก้มหน้าขณะกล่าวออกไป “ข้ากลัวใครจะมาเห็นเข้านะขอรับ ปากคน...ยิ่งกล่าวก็ยิ่งยาวนะขอรับ ถึงแม้ข้าจะมิได้มีชื่อเสียงให้เสียหาย หากอย่างไรก็เป็นบุตรมีบิดามารดา หากพวกท่านได้ยินได้ฟังคนติฉินนินทาบุตร คงจะมิดีอยู่นะขอรับ”หรือว่าเขาจะยอมให้คนพวกนั้นเห็นดี จากนั้นก็แสร้งทำเป็นว่าโกรธเคืองจนทนไหว มิอยากที่จะรักษาท่านแม่ทัพมือไวให้หายและถือโอกาสนี้พาตนเองและท่านแม่ไปจากจวนแห่งนี้...จะว่าไป ความคิดนี้ก็เข้าท่าอยู่นะ แต่จะทำตอนนี้เห็นทีจะมิได้ เขาจะต้องอดทนรอคอยเวลาอีกสักหน่อย“หากมีผู้ใดกล้าทำเช่นนั้น ข้าจะสั่งโบยให้เข็ด” “ท่านพี่กล่าวเช่นนี้มิได้นะขอรับ ตอนนี้ข้ามิอยากให้มีเรื่องใดรบกวนท่านพี่มากไปกว่าการรักษาตนเองให้หายจากอาการแปลกประหลาดนี้ก่อน” เท่าที่ได้ตรวจดูหลายครั้งแล้ว ก็เกิดความรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าตรวจกี่ครั้งก็ตาม เขาสัมผัสถึงอาการป่วยของท่านแม่ทัพมิได้เลย มันเหมือนกับว่าร่างกายนี้มิได้เจ็บป่วยแต่อย่างใด หากเพียงแค่อ่อนเพลียจนมิมีแรงฟื้นขึ้นมาเท่านั้น
“ท่านพี่ขอรับ...ข้าเจ็บ ท่านปล่อยข้าก่อนนะขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยลูบไล้แขนข้าที่เป็นปัญหาของท่านแม่ทัพอย่างช้า ๆโอ๊ย! ทำไมถึงได้ร้อนเช่นนี้ ร้อนอย่างกับเอามือไปจ่อไฟอย่างนั้นแหละเอ๊ะ! ดูเหมือนว่าเจ้าสีแดง ๆ นี่มันกำลังสูบเอาพลังชีวิตของท่านแม่ทัพไปด้วยใช่ไหม แย่ล่ะ...ต้องเร่งรีบจัดการก่อนที่ความพยายามของเขาจะสูญเปล่า แต่จะทำอย่างไรดี...คิดให้ออกสิเก้าเทียนรุ่ยเอาวะ...หวังว่าที่คิดออกในตอนนี้จะช่วยได้นะเก้าเทียนรุ่ยรีบคว้าเอาจานผัดมาราดใส่แขนของท่านแม่ทัพ หือ...แค่สะดุ้ง ความร้อนก็ยังมิลด แต่น่าจะพอช่วยชะลอสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่นะ ถ้าเช่นนั้นถ้วยต่อไปก็เอาเป็นซุปไข่ ก่อนจะตามด้วยต้มผักไปละกันเก้าเทียนรุ่ยแทบจะส่งเสียงร้องไชโยออกมาเมื่อแขนที่รัดรอบกายคลายออกจนเขาสามารถพาตนเองถอยออกมายื่นห่างจากแม่ทัพที่ตอนนี้ถูกเพลิงโทสะและเจ้าอะไรบางอย่างที่อยู่ที่แขนควบคุมไว้จนเรียกได้ว่ามิเหลือสติแล้วบ้าชะมัด...สงสัยยาที่ปรุงให้ท่านแม่ทัพจะน้อยเกินไป ถึงยังถูกไอ้เจ้านั่นที่อยู่ที่แขนควบคุมเอาไว้อีก คอยดูนะ...ได้สติกลับคืนมาเมื่อไหร่ เขาจะเพิ่มตัวยาไปอีกสิบเท่าเลย หากท่านแม่ทัพมิหายอย่ามาเรียกเขาว่
“เจ้า!”“อยากรู้อะไร เอาไว้ค่อยไถ่ถามกันในภายหลังเถอะนะ ตอนนี้ท่านทั้งสองช่วยกันจับท่านแม่ทัพไว้ให้ดีก่อน” แค่ลงมีดกดลงไปบนผิวเนื้อ ท่านแม่ทัพก็สะบัดเต็มแรงจนเขาแทบกระเด็นแล้ว มือเล็กยกปาดเหงื่อบนขมับด้วยความตกใจและขลาดกลัว“นั่นอะไรนะ”เขาจะไปรู้ไหมล่ะ ก็เห็นพร้อม ๆ กันเนี่ย“จับแขนท่านแม่ทัพดี ๆ กันหน่อยสิ” เก้าเทียนรุ่ยบ่นขณะเพิ่มแรงกดลงไปเต็มแรงที่มี ก่อนจะลากมีดเป็นทางยาวประมาณหนึ่งเพื่อให้มองเห็นข้างในว่ามันคือสิ่งใดกันแน่ อีกทั้งคิดว่าเลือดจะต้องออกมากแน่ ๆ จึงรีบยื่นมือไปคว้าผ้าสะอาดมาเตรียมเช็ดเลือด หากสิ่งที่เกิดขึ้นกลับมิเป็นเช่นที่เขาคิดเลย อีกทั้งตัวเขา รองแม่ทัพชิงชวนกับบุรุษอีกคนต่างก็ตกตะลึงในสิ่งที่ได้พบเห็นจนเอ่ยออกมาพร้อม ๆ กัน“นี่มันอะไรกันเนี่ย!”“หนอนเหรอ...” ลักษณะมันได้ มันคล้ายตัวหนอนจริง ๆ น่ะ หากสีของมันเป็นสีแดงราวกับสีของเลือด“รีบเอามันออกมาก่อนที่มันจะดูดเลือด ดูดพลังชีวิตของท่านแม่ทัพจนหมด ต้องกลับไปนอนเป็นผักเช่นเดิมอีก...คราวนี้อาจจะยาวนานเป็นปีเลยก็ได้” เสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวก็บอกมาให้เขารีบจัดการให้เร็วที่สุดก่อนที่เจ้าสิ่งนี้มันจะหายไป“แล้วจะเอ
ในความทรงจำของเก้าเทียนรุ่ยที่ยังหลงเหลือให้เขาผู้เป็นเจ้าของร่างคนใหม่รับรู้ นอกจากเรื่องที่ถูกซิงเยียนฮูหยินรังแกแล้ว เขาก็เห็นว่ายังมีใครอีกคนที่ทิ้งความเจ็บปวดและหวาดกลัวไว้ให้ด้วยเพราะคิดว่าอย่างไรตนเองก็เป็นบุตรชายคนโตที่มีหน้าที่ดูแลปกป้องมารดาและคนในเรือน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้และฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง เพียงแค่คิดว่าจะต้องนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวให้บิดารู้ หากสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เก้าเทียนรุ่ยถูกบิดาหยิบเอาจานฝนหมึกมาปาใส่ แล้วยังจะตบหน้าซ้ำอีกครั้งพร้อมกับกล่าวว่า...“น้ำหน้าอย่างเจ้านี่ คิดจะเป็นคนดูแลตระกูลเก้าคนต่อไปแทนข้า...ช่างน่าขันยิ่งนัก กลับไปได้แล้ว” จากนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของเก้าเทียนรุ่ยก็จับเอาร่างเล็กโยนออกมาจากห้องหนังสือ “หากมิจำเป็นก็อย่ามาหาข้าอีก” แล้วประตูห้องหนังสือก็ปิดลงดังปังในยามนั้นเด็กน้อยยังมิเข้าใจ คิดเพียงแค่ว่าบิดาหวังดีและโกรธเคืองที่ตนเองทำตัวเป็นเด็กโตเกินวัย หากเมื่อครั้นมารดาป่วยจำเป็นต้องหาหมอมารักษา ยามนั้นเก้าเทียนรุ่ยก็วิ่งหน้าตาตื่นไปหาบิดา หากสิ่งที่ได้ยินกลับทำให้น้ำตาของเด็กน้อยรินไหลอาบแก้ม...“นางจะเป็นหรือตาย ม
“จริงหรือที่ลิ่วหลางดีขึ้น”“เป็นความจริงขอรับ แม้ยังมิฟื้น...”“ไหนว่าดีขึ้น แล้วทำไมถึงยังมิฟื้น”เก้าเทียนรุ่ยถึงกับนิ่วหน้ารีบยกมือขึ้นปิดใบหูเพราะน้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่แผดดังของบุรุษนามโหยวเจียน“นั่นสิ มิใช่ว่าเจ้ากล่าวอวดว่าตนเองเก่งหรืออย่างหรือไร”“มิได้ขอรับท่านทั้งสอง ข้าน้อยกล่าวความจริง หากมิเชื่อท่านไถ่ถามความจริงนี้จากท่านรองแม่ทัพชิงชวนได้ หากว่าอาการของท่านแม่ทัพนั้นหนักหนามาก...การที่จะฟื้นตัวขึ้นมาย่อมต้องใช้เวลาขอรับ ยิ่งการรักษาของข้าได้ผลเช่นนี้ มิเกินสามคืนหลังจากนี้ ท่านแม่ทัพฟื้นแน่นอนขอรับ” ด้วยสภาพท่านแม่ทัพยามนี้ หากบอกว่ายังมิฟื้น ย่อมมีผู้คลางแคลงใจ บอกไปเช่นนี้นะดีที่สุดแล้ว“จริงหรือ”“จริงแท้ขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยคลี่ยิ้มเล็กน้อย ถึงแม้สองคนนี้จะมิใช่ศัตรูของท่านแม่ทัพ หากก็เชื่อได้อย่างหนึ่งว่ามีโอกาสเป็นผู้กระจายข่าวเรื่องท่านแม่ทัพออกไป มิว่าผู้ใดที่หลบซ่อนกายอยู่ ย่อมต้องเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องนี้จนต้องเร่งหาทางทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นแน่“ข้าจะไปดูลิ่วหลาง อย่างไรข้าต้องเห็นกับตาว่าลิ่วหลางดีขึ้นจริง ๆ มิใช่คำพูดลอย ๆ จากปากของเจ้าหมอที่มิน่าเชื่อถือ
“ท่านแม่” “เอ้อร์เอ๋อร์”เรียกได้ว่า เมื่อเห็นเขาเปิดประตูห้องเข้าไปและร้องเรียก ท่านแม่ก็รีบพาร่างบอบบางพุ่งตรงมาหาในทันที สองมือเล็กเหี่ยวนุ่มเย็นจัดเช่นเดียวกับใบหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระคนวิตกกังวลมิแพ้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ มันทำให้เขารู้สึกมิค่อยดี หรือว่าท่านแม่...“ท่านแม่เจอ...แล้วหรือขอรับ” หากเจอกันแล้ว ยามที่เขาเจอกับบุรุษผู้นั้นมันต้องมีอะไรบางอย่างที่บอกให้รู้บ้างสิ แต่เท่าที่เห็น...จากความคิดของเขาเอง แม้จะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งเพียงใด แต่การได้เจอกับบุตรชายที่ได้ตายไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตกใจ...สงสัยและบังคับเอาคำตอบแน่นอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือบุรุษผู้นั้นมิได้สนใจในตัวเก้าเทียนรุ่ยที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด แทบจะมิปรายตามองด้วยซ้ำไป“แม้จะเห็นเพียงแค่ไกล ๆ ถึงการอยู่ด้วยกันจะมิได้รับการเอาใจใส่ แต่อย่างไรก็สามีภรรยากัน มีหรือที่แม่จะจดจำคนผู้นั้นมิได้ แม่รีบหลบมาอยู่แต่ในห้อง อยากจะไหว้วานนายทหารให้ส่งข่าวให้เอ้อร์เอ๋อร์รู้ แต่ก็กลัวจะถูกสงสัย เลยได้แต่รอด้วยความร้อนใจเช่นนี้”“ท่านแม่ไว้วางใจได้ขอรับ นอกจากเขาจะจำข้ามิได้แล้ว เขายังไม่
นิ้วยาวลากไล้บนท่อนแขนกำยำอย่างแผ่วเบาพลางพึมพำออกมาว่า “แผลที่แขนสมานกันดีจนแทบมิเห็นรอยบาดแผลแล้ว ยาใส่แผลของข้าช่างได้ผลดียิ่งนัก” มิน่าเชื่อว่ายาเหล่านั้นจะทำให้บาดแผลหายเร็วเช่นนี้ มันช่างแปลกประหลาดเหลือที่จะกล่าว แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการดียิ่งเก้าเทียนรุ่ยลุกขึ้นเพื่อไปตรวจดูแขนอีกข้างของท่านแม่ทัพอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่คนอย่างเขาจะทำได้ แต่นอกจากบาดแผลจากการสู้รบและฝึกฝนฝีมือที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้วก็มิเห็นว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติไปเลยแม้แต่นิดเดียว“เจ้าหนอนแดงนั่นมันหลบซ่อนอยู่ตรงไหนกันนะ มันต้องมีร่องรอยบ้างสิ ข้าต้องหาเจอสิน่า” เก้าเทียนรุ่ยบ่นพึมพำพลางกวาดสายตามองแขนท่านแม่ทัพอย่างมิให้คลาดสายตาแม้สักจุดเดียว ก่อนจะเลยไปถึงแผงอกกว้างกำยำที่ดูอย่างไรก็เห็นจะมีเพียงแค่ร่องรอยของบาดแผลทั้งเก่าและใหม่มิมีร่องรอยของสิ่งที่ค้นหาอยู่เลย“คิดว่ามันจะยอมให้หาเจอง่าย ๆ หรือไง กระทั่งตัวข้าเองที่มีมันอยู่ในร่างกายยังมิรู้เลยนะ”“จะซ่อนให้ดียังไง มันก็หนอนที่ไร้ความคิดนะขอรับ จะปกปิดซุกซ่อนอย่างความคิดของคนได้ยังไงกันล่ะ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยออกไปขณะเดียวกันสำรวจร่างกายคนตรงหน้าอย่างละเอียด
แย่เข้าไปใหญ่ ทำอย่างนี้จะมีแต่จะทำให้คนเกลียดเขาเพิ่มมากขึ้นนะสิ หากเทียนรุ่ยก็มิอาจกล่าวสิ่งใดออกไปได้ นอกจาก“ใจเย็นก่อนนะขอรับท่านพี่ ที่ข้ากล่าวออกไปเพราะอยากให้ท่านคิดไตร่ตรองให้ดี อย่าทำสิ่งใดให้ศัตรูที่ยังหลบซ่อนกายอยู่ล่วงรู้”“ข้าคงเร่งรีบมากจนเกินไปจึงทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ ขอบใจที่เตือนข้านะอาซวง นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้อาซวงกังวลใจอยู่อีก ใช่หรือไม่”หากจะบอกว่ามิใช่...ย่อมเป็นไปมิได้ “เพราะเรามิรู้ว่าศัตรูอยู่ไกลหรือวางคนอยู่ใกล้ตัวเพียงใด การฟื้นมาของท่าน คนเหล่านั้นอาจจะล่วงรู้และเตรียมตัวรับมือไว้แล้วก็เป็นไปได้ การเดินทางรอนแรมทั้งที่ร่างกายเพิ่งจะฟื้นได้มินาน อาจจะทำให้หนอนแดงที่ข้าคิดว่ายังคงถูกฝังอยู่ในตัวท่านตื่นขึ้นมาเล่นงานอีกนะขอรับ ข้ากลัวท่านจะรับมือมันมิไหว” หากครั้งนี้ล้มหมดสติไปอีก ดูท่าว่าการจะทำให้ฟื้นขึ้นมาคงเป็นไปได้ยาก“หากมีอาซวงอยู่ด้วย ข้าย่อมมิกลัวสิ่งใด”“เอ่อ...” สายตาคู่นั้นมันช่างทำให้เขารู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวและหัวใจก็เต้นไหวอย่างรุนแรงด้วย นี่เขาเป็นอันใดไป“แม้ว่าเราจะเพิ่งพบเจอกัน หากข้าเชื่อว่าอาซวงจะมิทำร้ายข้า”สง
“ใช่แล้วลิ่วหลาง นับตั้งแต่เจ้าล้มป่วย เต่าน้อยเองก็ล้มป่วยเช่นกัน หากทั้งหมอหลวงจางและราชครูเหลิ่งกลับมิยอมบอกเรื่องนี้กับผู้ใด นี่หากว่ามิแอบได้ยินหมอหลวงจากกล่าวเรื่องเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านเรื่องยาที่ให้ไปหามา ข้าก็คงมิล่วงรู้ ข้าร้อนใจมากด้วยมิรู้ว่าจะบอกเรื่องนี้กับผู้ใดได้บ้าง”“ในราชสำนักน่าจะมีผู้ที่อยู่ฝั่งหมอหลวงจางและเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านอยู่มิน้อย”“มิต้องสนใจเรื่องใด กลับไปทำหน้าที่ของเจ้า...สุขภาพข้ายามนี้พอจะเดินทางไกลได้ไหมอาซวง”“ท่านเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเองนะขอรับ หากเดินทางไกล ข้ากลัวว่า...”“หากอาซวงจะร่วมเดินทางไปด้วย”เรื่องที่ได้รู้คงทำให้ท่านแม่ทัพร้อนใจมิใช่น้อย หากว่า...ยามนี้ยังเดินทางไกลมิได้จริง ๆ หากการรักษามิต่อเนื่อง อาจจะทำให้ร่างกายที่ดีขึ้นแล้วทรุดลงอย่างรวดเร็วจนอาจจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายได้“จะยังไงมันก็ยังมิควรนะขอรับ”“มิมีหนทางอื่นใดช่วยได้เลยหรือท่านหมอ”ซูเหย้าน่าจะพอรู้แล้วว่าท่านแม่ทัพจะเดินทางไปที่ใด“ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาอย่างไรเล่า แค่นี้ก็แก้ไขมิได้”ท่านแม่ทัพมองโหยวเจียนด้วยสายตาเยียบเย็น แต่กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า“ข้ารู้ว่าอาซว
“ลิ่วหลาง! ในที่สุด เจ้าก็ฟื้นแล้ว”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดที่นั่งอยู่ โหยวเจียนก็เอ่ยเสียงดังราวกับจะให้ได้ยินไปทั่วจวน พร้อมกันนั้นก็รีบเดินตรงลิ่วไปหาท่านแม่ทัพราวกับลมพัด หากกำลังจะยื่นมือไปจับกายแกร่งที่ยามนี้ผอมจนแทบจะมีเพียงแค่หนังหุ้มกระดูก แต่ท่านแม่ทัพกลับเบี่ยงกายหนีและยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด“หากเจ้ายังทำเสียงดังเช่นนี้อีก ก็กลับไปเสีย มิต้องมาให้เห็นหน้า”ก็พอจะคาดเดาได้ว่าท่านแม่ทัพเป็นผู้ที่มิสนใจผู้ใด ยกเว้นก็เพียงแค่ชิงชวน อ้ายฉีและน่าจะมีผู้ที่ถูกเรียกว่าเต่าน้อย แต่คิดมิถึงว่าจะกล่าวกับโหยวเจียนเช่นนี้ด้วยคนถูกไล่ตอนแรกก็มีสีหน้ามิค่อยดีสักเท่าไหร่ คงจะอับอายด้วยว่ามีผู้อื่นเช่นเขาและซูเหย้าที่เดินตามหลังมาอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าปอดเท่านั้น ใบหน้าที่แดงด้วยโทสะก็คลี่ยิ้มเช่นเดิม ทำราวกับเมื่อครู่มิได้ยินสิ่งใด“ก็ข้าดีใจที่เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าหมอผู้นี้ทำหน้าที่ของตนได้สมกับที่รับปากไว้ มิเสียแรงที่ข้ายอมเสียงเงินถึงหนึ่งกำปั่นเพื่อให้นำมาซื้อยารักษาเจ้า”ยามได้ยิน เขาคิดว่าโหยวเจียนจะโอ้อวดว่าตนเองมั่งมีเงินทองและอาศัยการจ่ายเงินในครั้งนี้ทวงบุญ
‘ดีมากอาซวง...เจ้าช่างรู้ใจข้าเสียยิ่งนัก’ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ เขาจะต้องคิดหาวิธีไล่สองคนนี้ออกไปจากห้องก่อนจะทนมิไหว ทำแผนของอาซวงพังมิเป็นท่าเอ๊ะ...ดูเหมือนอาซวงจะส่งสัญญาณบอกมาแล้ว เขาก็เลยรีบส่งเสียงที่คำราม พร้อมกับยกแขนและขาฟาดไปฟาดมาหวังว่าจะทำให้ทั้งสองคนที่บุกรุกมาสร้างความรำคาญใจให้เจ็บตัวสักหน่อย หากก็มิสำเร็จอย่างต้องการ ด้วยว่าโหยวเจียนแม้จะอ้วนพี แต่ก็ช่างเป็นคนที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วอย่างคาดมิถึง...เพียงแค่เขายกเท้าขึ้นจะถีบ อีกฝ่ายก็เผ่นไปถึงประตูห้องเสียแล้ว“เสียดาย”“ท่านพี่ว่าอะไรนะขอรับ”“ข้าว่าเสียดายที่ยังมิทันจะได้ถีบโหยวเจียนเลย”อาซวงหัวเราะ “ซูเหย้าผู้นั้นก็ไปเร็วเช่นกัน แต่กว่าจะไปก็ทำเอาข้าถึงกับเหนื่อยเหมือนกัน”“ขอโทษที่ทำให้อาซวงเหนื่อยนะ”มิรู้ว่าเขาจะคิดไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนว่าสายตาของอาซวงที่มองโหยวเจียนและซูเหย้าบ่งบอกว่า...มิไว้วางใจและน่าจะแฝงไว้ด้วยความสงสัยอยู่มิน้อย หากก็ยังคงปกปิดมิยอมเอ่ยปากบอกให้เขารู้ หากนั่นยังมิเท่าสิ่งที่อาซวงบอกมา...‘ในตัวเขา...มีบางสิ่งฝังอยู่!’แม้มิอยากเชื่อ หากเมื่อก้มลงมองแขนที่ได้
“ข้าจะรีบทำให้เสร็จโดยเร็วและจะรีบกลับมา” เก้าเทียนรุ่ยจับแขนแกร่งออกจากกายแล้วดันร่างของท่านแม่ทัพให้ล้มตัวลงนอน ถึงจะมิง่วงเพราะนอนมายาวนานแล้ว แต่อย่างไรร่างกายนี้ก็ยังอ่อนเพลียอยู่ ยังต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อจะได้มีแรงสู้กับสิ่งที่ฝังอยู่ภายในร่าง“เดี๋ยวสิ”เก้าเทียนรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อท่านแม่ทัพจับมือไว้มิยอมปล่อย “มีอะไรอีกหรือขอรับ”อย่างรวดเร็วจนเขามิทันจะได้ตั้งตัว กายแกร่งก็ผุดลุกขึ้นมาพร้อมกับปากหนาที่แนบลงมาบนแก้ม“รีบไปรีบกลับนะ...อาซวง”ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยร้อนผ่าว ขณะที่ดวงตาก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ แม้กระทั่งเดินออกมาแล้วสติก็ยังมิครบครัน ก่อนจะคิดได้ว่า เพราะเขาน่ารัก ท่านแม่ทัพที่เพิ่งจะพบหน้าถึงได้รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดู ถึงได้บอกด้วยการกระทำว่าเป็นพี่ชายที่รักน้องชายผู้นี้เป็นอย่างมาก ที่เขาควรจะต้องเร่งหาทางรักษาอีกฝ่ายให้หายให้เร็วที่สุดเป็นการตอบแทน...ใช่! ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนจะกล่าวถึงฝีมือทำอาหารของอาซวง แม้รสชาติจะจัดจ้านไป…มิน้อย บางครั้งก็แทบจะกลืนมิลง หากรวม ๆ แล้วก็อร่อยอยู่นะ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายต้องคอยเอาอกเอาใจ ป้อนด้วยท่าทางหงุดหงิดที่ทำใ
ช่างกล่าวได้อย่างโหดร้ายมาก นี่นะหรือที่ท่านอ้ายฉีกับชิงชวนกล่าว บุรุษผู้นี้มิอาจจะทำร้ายท่านแม่ทัพได้ จนกว่าจะได้เจอกับผู้ที่หลบซ่อนกายอยู่ ทำอย่างไรเขาก็ยังมิปักใจเชื่อแน่ว่าสองคนนี้จะมิเกี่ยวข้อง“ใจเย็นก่อนท่านโหยวเจียน กล่าวเช่นนี้ไปจะทำให้ท่านหมอขลาดกลัวจนอาจจะทำสิ่งใดผิดพลาดไปได้นะ”“ถ้ามิขู่ให้กลัว แล้วจะรักษาลิ่วหลางอย่างดีหรือไง” โหยวเจียนสะบัดมือด้วยความหงุดหงิดเก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลอกตากับความคิดของคนผู้นี้เสียจริง “ข้าจะดูแลรักษาท่านแม่ทัพให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าผู้น้อยจะทำได้ขอรับท่านโหยวเจียน หากตอนนี้ข้าต้องขออภัยที่จำเป็นต้องให้ท่านทั้งสองคนออกไปจากห้องนี้ก่อน”“นี่เจ้า! เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาไล่ข้า”“หากท่านทั้งสองจะอยู่ ข้าก็มิว่าอันใด แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้น...ท่านจะกล่าวโทษข้ามิได้นะขอรับ”“หมายความว่าอย่างไรหรือหมอ”“คือ...ด้วยยาที่ข้าให้ท่านแม่ทัพกินเข้าไปทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จากที่เคยนอนเป็นผักเน่าก็เคลื่อนไหวได้ แต่การเคลื่อนไหวนี่แหละขอรับที่ทำให้ข้ากลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพวกท่าน” ดูเหมือนว่าวาจาของเขาจะทำให้ท่านแม่ทัพรู้ว่าควรจะต้องทำเช่
“ข้ากำลังจะรายงานนายท่านโหยวเจียนอยู่เลยขอรับ แต่ก่อนนั้นข้าจะต้องไถ่ถามท่านเสียก่อน” คิดจะเล่นงานเขาใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นเขาเล่นงานท่านก่อนละกัน จะเอาให้หมดเนื้อหมดตัวเลย“อะไร”“ท่านมาเยี่ยมท่านแม่ทัพครั้งล่าสุด...นานหรือยังขอรับ”“ก็หลายวันอยู่นะท่านหมอ” เป็นซูเหย้าที่ตอบแทนโหยวเจียนที่ตอนนี้ยังโมโหจนหน้าดำหน้าแดงอยู่ เดี๋ยวจากแดงจะกลายเป็นคล้ำจนดำเพราะต้องเสียเงินให้เขาเป็นกำปั่น“ถ้าเช่นนั้นข้าอยากให้ท่านทั้งสองดูบางสิ่งที่ทำให้ข้ามั่นใจในวาจาที่เคยกล่าวมาตั้งแต่แรก...มิเกินสามวันท่านแม่ทัพจะต้องฟื้นแน่นอน” เพื่อให้ความมั่นใจกับทั้งสองคนตรงหน้าที่เขาจะเรียกเงินเข้ากระเป๋าให้มากที่สุด เก้าเทียนรุ่ยก็รีบกล่าวออกไป“ท่านทั้งสองสังเกตใบหน้าของท่านแม่ทัพสิขอรับ ระหว่างวันนี้กับก่อนหน้านั้นแตกต่างกันหรือไม่” หากมิแตกต่างก็คงจะเกินไปแล้วล่ะ กินอาหารเผ็ดร้อนเข้าไปเสียขนาดนั้น ใบหน้าและริมฝีปากย่อมยังมีสีสันอยู่แล้ว“ท่านว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่”“เจ้าอาจจะเอาสีมาป้ายไว้ก็ได้นี่”“ข้าหรือจะกล้าทำเช่นนั้น หากท่านโหยวเจียนยังมิเชื่อ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องดูผิวกายขอรับ...ครั้งแรกที่ข้าเห็น ก็ยังคิด