“ท่านพี่ขอรับ...ข้าเจ็บ ท่านปล่อยข้าก่อนนะขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยลูบไล้แขนข้าที่เป็นปัญหาของท่านแม่ทัพอย่างช้า ๆโอ๊ย! ทำไมถึงได้ร้อนเช่นนี้ ร้อนอย่างกับเอามือไปจ่อไฟอย่างนั้นแหละเอ๊ะ! ดูเหมือนว่าเจ้าสีแดง ๆ นี่มันกำลังสูบเอาพลังชีวิตของท่านแม่ทัพไปด้วยใช่ไหม แย่ล่ะ...ต้องเร่งรีบจัดการก่อนที่ความพยายามของเขาจะสูญเปล่า แต่จะทำอย่างไรดี...คิดให้ออกสิเก้าเทียนรุ่ยเอาวะ...หวังว่าที่คิดออกในตอนนี้จะช่วยได้นะเก้าเทียนรุ่ยรีบคว้าเอาจานผัดมาราดใส่แขนของท่านแม่ทัพ หือ...แค่สะดุ้ง ความร้อนก็ยังมิลด แต่น่าจะพอช่วยชะลอสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่นะ ถ้าเช่นนั้นถ้วยต่อไปก็เอาเป็นซุปไข่ ก่อนจะตามด้วยต้มผักไปละกันเก้าเทียนรุ่ยแทบจะส่งเสียงร้องไชโยออกมาเมื่อแขนที่รัดรอบกายคลายออกจนเขาสามารถพาตนเองถอยออกมายื่นห่างจากแม่ทัพที่ตอนนี้ถูกเพลิงโทสะและเจ้าอะไรบางอย่างที่อยู่ที่แขนควบคุมไว้จนเรียกได้ว่ามิเหลือสติแล้วบ้าชะมัด...สงสัยยาที่ปรุงให้ท่านแม่ทัพจะน้อยเกินไป ถึงยังถูกไอ้เจ้านั่นที่อยู่ที่แขนควบคุมเอาไว้อีก คอยดูนะ...ได้สติกลับคืนมาเมื่อไหร่ เขาจะเพิ่มตัวยาไปอีกสิบเท่าเลย หากท่านแม่ทัพมิหายอย่ามาเรียกเขาว่
“เจ้า!”“อยากรู้อะไร เอาไว้ค่อยไถ่ถามกันในภายหลังเถอะนะ ตอนนี้ท่านทั้งสองช่วยกันจับท่านแม่ทัพไว้ให้ดีก่อน” แค่ลงมีดกดลงไปบนผิวเนื้อ ท่านแม่ทัพก็สะบัดเต็มแรงจนเขาแทบกระเด็นแล้ว มือเล็กยกปาดเหงื่อบนขมับด้วยความตกใจและขลาดกลัว“นั่นอะไรนะ”เขาจะไปรู้ไหมล่ะ ก็เห็นพร้อม ๆ กันเนี่ย“จับแขนท่านแม่ทัพดี ๆ กันหน่อยสิ” เก้าเทียนรุ่ยบ่นขณะเพิ่มแรงกดลงไปเต็มแรงที่มี ก่อนจะลากมีดเป็นทางยาวประมาณหนึ่งเพื่อให้มองเห็นข้างในว่ามันคือสิ่งใดกันแน่ อีกทั้งคิดว่าเลือดจะต้องออกมากแน่ ๆ จึงรีบยื่นมือไปคว้าผ้าสะอาดมาเตรียมเช็ดเลือด หากสิ่งที่เกิดขึ้นกลับมิเป็นเช่นที่เขาคิดเลย อีกทั้งตัวเขา รองแม่ทัพชิงชวนกับบุรุษอีกคนต่างก็ตกตะลึงในสิ่งที่ได้พบเห็นจนเอ่ยออกมาพร้อม ๆ กัน“นี่มันอะไรกันเนี่ย!”“หนอนเหรอ...” ลักษณะมันได้ มันคล้ายตัวหนอนจริง ๆ น่ะ หากสีของมันเป็นสีแดงราวกับสีของเลือด“รีบเอามันออกมาก่อนที่มันจะดูดเลือด ดูดพลังชีวิตของท่านแม่ทัพจนหมด ต้องกลับไปนอนเป็นผักเช่นเดิมอีก...คราวนี้อาจจะยาวนานเป็นปีเลยก็ได้” เสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวก็บอกมาให้เขารีบจัดการให้เร็วที่สุดก่อนที่เจ้าสิ่งนี้มันจะหายไป“แล้วจะเอ
ในความทรงจำของเก้าเทียนรุ่ยที่ยังหลงเหลือให้เขาผู้เป็นเจ้าของร่างคนใหม่รับรู้ นอกจากเรื่องที่ถูกซิงเยียนฮูหยินรังแกแล้ว เขาก็เห็นว่ายังมีใครอีกคนที่ทิ้งความเจ็บปวดและหวาดกลัวไว้ให้ด้วยเพราะคิดว่าอย่างไรตนเองก็เป็นบุตรชายคนโตที่มีหน้าที่ดูแลปกป้องมารดาและคนในเรือน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้และฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง เพียงแค่คิดว่าจะต้องนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวให้บิดารู้ หากสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เก้าเทียนรุ่ยถูกบิดาหยิบเอาจานฝนหมึกมาปาใส่ แล้วยังจะตบหน้าซ้ำอีกครั้งพร้อมกับกล่าวว่า...“น้ำหน้าอย่างเจ้านี่ คิดจะเป็นคนดูแลตระกูลเก้าคนต่อไปแทนข้า...ช่างน่าขันยิ่งนัก กลับไปได้แล้ว” จากนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของเก้าเทียนรุ่ยก็จับเอาร่างเล็กโยนออกมาจากห้องหนังสือ “หากมิจำเป็นก็อย่ามาหาข้าอีก” แล้วประตูห้องหนังสือก็ปิดลงดังปังในยามนั้นเด็กน้อยยังมิเข้าใจ คิดเพียงแค่ว่าบิดาหวังดีและโกรธเคืองที่ตนเองทำตัวเป็นเด็กโตเกินวัย หากเมื่อครั้นมารดาป่วยจำเป็นต้องหาหมอมารักษา ยามนั้นเก้าเทียนรุ่ยก็วิ่งหน้าตาตื่นไปหาบิดา หากสิ่งที่ได้ยินกลับทำให้น้ำตาของเด็กน้อยรินไหลอาบแก้ม...“นางจะเป็นหรือตาย ม
“จริงหรือที่ลิ่วหลางดีขึ้น”“เป็นความจริงขอรับ แม้ยังมิฟื้น...”“ไหนว่าดีขึ้น แล้วทำไมถึงยังมิฟื้น”เก้าเทียนรุ่ยถึงกับนิ่วหน้ารีบยกมือขึ้นปิดใบหูเพราะน้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่แผดดังของบุรุษนามโหยวเจียน“นั่นสิ มิใช่ว่าเจ้ากล่าวอวดว่าตนเองเก่งหรืออย่างหรือไร”“มิได้ขอรับท่านทั้งสอง ข้าน้อยกล่าวความจริง หากมิเชื่อท่านไถ่ถามความจริงนี้จากท่านรองแม่ทัพชิงชวนได้ หากว่าอาการของท่านแม่ทัพนั้นหนักหนามาก...การที่จะฟื้นตัวขึ้นมาย่อมต้องใช้เวลาขอรับ ยิ่งการรักษาของข้าได้ผลเช่นนี้ มิเกินสามคืนหลังจากนี้ ท่านแม่ทัพฟื้นแน่นอนขอรับ” ด้วยสภาพท่านแม่ทัพยามนี้ หากบอกว่ายังมิฟื้น ย่อมมีผู้คลางแคลงใจ บอกไปเช่นนี้นะดีที่สุดแล้ว“จริงหรือ”“จริงแท้ขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยคลี่ยิ้มเล็กน้อย ถึงแม้สองคนนี้จะมิใช่ศัตรูของท่านแม่ทัพ หากก็เชื่อได้อย่างหนึ่งว่ามีโอกาสเป็นผู้กระจายข่าวเรื่องท่านแม่ทัพออกไป มิว่าผู้ใดที่หลบซ่อนกายอยู่ ย่อมต้องเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องนี้จนต้องเร่งหาทางทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นแน่“ข้าจะไปดูลิ่วหลาง อย่างไรข้าต้องเห็นกับตาว่าลิ่วหลางดีขึ้นจริง ๆ มิใช่คำพูดลอย ๆ จากปากของเจ้าหมอที่มิน่าเชื่อถือ
“เก้าซูเหย้าหวังให้บุตรสาวของตนเองได้เป็นฟูเหรินของท่านแม่ทัพ”แม้จะคิดว่ามันคงเป็นมิได้ หากเมื่อคิดไตร่ครองตามความเป็นจริงแล้ว ก็คิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก ด้วยว่ายามนี้ตระกูลเก้าทั้งสายหลักและสายรองต่างก็แก่งแย่งชิงดีกัน สายรองที่เมื่อก่อนนั้นทำธุรกิจการค้า ตอนนี้เริ่มอยากจะเพิ่มอำนาจให้กับตนเองด้วยการผูกมิตรกับผู้ที่รับราชการ อีกทั้งยังให้ลูกหลานตนเองส่วนหนึ่งสอบเคอจวี่[1] ในขณะที่สายหลักอย่างบิดาของเก้าเทียนรุ่ย...ย่อมยอมมิได้อยู่แล้ว การที่จะรักษาฐานอำนาจและตำแหน่งของตนเองให้มั่นคง ย่อมต้องหารทางผูกมิตรกับผู้ที่มีอำนาจ หากบุตรสาวได้เป็นฟูเหรินของท่านแม่ทัพ...เพียงแค่คิดว่ามีสตรียืนเคียงข้างท่านแม่ทัพ ในใจเขาก็หงุดหงิดอย่างที่สุด ยิ่งหากเป็นบุตรสาวของสตรีผู้นั้นอีก เก้าเทียนรุ่ยก็ยิ่งอึดอัด หัวหูร้อนไปหมด เกิดอยากจะยื้อเวลาให้ผู้ที่นอนหลับอยู่บนเตียงนั้นหลับยาวไปอีก...ยาวนาน หรือไม่ก็ปลุกให้รีบฟื้นขึ้นมาแทบทุบ ๆ ให้ช้ำไปทั้งตัว“ส่วนโหยวเจียนนั้นยิ่งเป็นไปมิได้เลย”“ทำไมละ”“โหยวเจียนเป็นอาของฮองเฮา เท่ากับได้เป็นอาของโอรสสวรรค์ อยู่เหนือคนทั่วแผ่นดินแต่อยู่ใต้เพียงแค่หลานตนเอง
แม้เก้าเทียนรุ่ยจะสงสัยว่าการที่เขาเรียกท่านแม่ทัพว่าท่านพี่มันมีอะไรเป็นพิเศษหรือ เพราะเมื่อครั้งก่อนที่ชิงชวนได้ยินก็มีอาการแปลกใจเช่นกัน หากเรื่องนี้เอาไว้เขาค่อยไถ่ถามท่านแม่ทัพให้รู้ ตอนนี้จะต้องทำให้คนที่มีโทสะอยู่สงบจิตใจก่อนที่จะเกิดเหตุมิคาดฝันขึ้นมาอีก ที่คราวนี้เขามิมั่นใจเลยว่าจะรับมือได้“ใจเย็น ๆ นะขอรับ อาหารที่ท่านกินกับโทสะทำให้ข้าค้นพบสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ท่านปวดศีรษะ หากก็ยังมิแน่ชัดว่าจะยังคงมีอีกหรือไม่ เอาไว้ข้าค่อยบอกกล่าวเรื่องราวให้ท่านฟังในภายหลังนะขอรับ ตอนนี้ถือว่าข้าขอ...ร่างกายท่านพี่ยังมิฟื้นดี” เก้าเทียนรุ่ยลูบไล้ต้นแขนข้างที่มีบาดแผลของท่านแม่ทัพ“ท่านต้องทำใจให้สงบนิ่ง อย่ามีโทสะ...ท่านก็เหมือนกัน หากมาก่อกวนกันเช่นนี้ ก็รีบกลับไปพักผ่อนดีกว่านะขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยส่งยิ้มหวานให้กับเหลียนอ้ายฉีที่คงจะรู้ว่าหากมิทำตามที่เขากล่าว อาจจะต้องเจอกับเรื่องที่มิคาดฝัน ทั้งที่ความเป็นจริงเพราะมีมือของท่านแม่ทัพทาบอยู่บนแผ่นหลังมากกว่า จึงทำให้เขากล้าที่จะกล่าวออกไปอย่างที่ใจคิด“รู้สึกว่าการข่าวของข้าจะมิดีเอามาก ๆ เลยนะ เจ้าว่าไหมอาชวน”“ออกไปได้แล้ว”“ลิ่วห
“ข้ากำลังจะรายงานนายท่านโหยวเจียนอยู่เลยขอรับ แต่ก่อนนั้นข้าจะต้องไถ่ถามท่านเสียก่อน” คิดจะเล่นงานเขาใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นเขาเล่นงานท่านก่อนละกัน จะเอาให้หมดเนื้อหมดตัวเลย“อะไร”“ท่านมาเยี่ยมท่านแม่ทัพครั้งล่าสุด...นานหรือยังขอรับ”“ก็หลายวันอยู่นะท่านหมอ” เป็นซูเหย้าที่ตอบแทนโหยวเจียนที่ตอนนี้ยังโมโหจนหน้าดำหน้าแดงอยู่ เดี๋ยวจากแดงจะกลายเป็นคล้ำจนดำเพราะต้องเสียเงินให้เขาเป็นกำปั่น“ถ้าเช่นนั้นข้าอยากให้ท่านทั้งสองดูบางสิ่งที่ทำให้ข้ามั่นใจในวาจาที่เคยกล่าวมาตั้งแต่แรก...มิเกินสามวันท่านแม่ทัพจะต้องฟื้นแน่นอน” เพื่อให้ความมั่นใจกับทั้งสองคนตรงหน้าที่เขาจะเรียกเงินเข้ากระเป๋าให้มากที่สุด เก้าเทียนรุ่ยก็รีบกล่าวออกไป“ท่านทั้งสองสังเกตใบหน้าของท่านแม่ทัพสิขอรับ ระหว่างวันนี้กับก่อนหน้านั้นแตกต่างกันหรือไม่” หากมิแตกต่างก็คงจะเกินไปแล้วล่ะ กินอาหารเผ็ดร้อนเข้าไปเสียขนาดนั้น ใบหน้าและริมฝีปากย่อมยังมีสีสันอยู่แล้ว“ท่านว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่”“เจ้าอาจจะเอาสีมาป้ายไว้ก็ได้นี่”“ข้าหรือจะกล้าทำเช่นนั้น หากท่านโหยวเจียนยังมิเชื่อ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องดูผิวกายขอรับ...ครั้งแรกที่ข้าเห็น ก็ยังคิด
ช่างกล่าวได้อย่างโหดร้ายมาก นี่นะหรือที่ท่านอ้ายฉีกับชิงชวนกล่าว บุรุษผู้นี้มิอาจจะทำร้ายท่านแม่ทัพได้ จนกว่าจะได้เจอกับผู้ที่หลบซ่อนกายอยู่ ทำอย่างไรเขาก็ยังมิปักใจเชื่อแน่ว่าสองคนนี้จะมิเกี่ยวข้อง“ใจเย็นก่อนท่านโหยวเจียน กล่าวเช่นนี้ไปจะทำให้ท่านหมอขลาดกลัวจนอาจจะทำสิ่งใดผิดพลาดไปได้นะ”“ถ้ามิขู่ให้กลัว แล้วจะรักษาลิ่วหลางอย่างดีหรือไง” โหยวเจียนสะบัดมือด้วยความหงุดหงิดเก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลอกตากับความคิดของคนผู้นี้เสียจริง “ข้าจะดูแลรักษาท่านแม่ทัพให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าผู้น้อยจะทำได้ขอรับท่านโหยวเจียน หากตอนนี้ข้าต้องขออภัยที่จำเป็นต้องให้ท่านทั้งสองคนออกไปจากห้องนี้ก่อน”“นี่เจ้า! เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาไล่ข้า”“หากท่านทั้งสองจะอยู่ ข้าก็มิว่าอันใด แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้น...ท่านจะกล่าวโทษข้ามิได้นะขอรับ”“หมายความว่าอย่างไรหรือหมอ”“คือ...ด้วยยาที่ข้าให้ท่านแม่ทัพกินเข้าไปทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จากที่เคยนอนเป็นผักเน่าก็เคลื่อนไหวได้ แต่การเคลื่อนไหวนี่แหละขอรับที่ทำให้ข้ากลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพวกท่าน” ดูเหมือนว่าวาจาของเขาจะทำให้ท่านแม่ทัพรู้ว่าควรจะต้องทำเช่
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”
“พวกท่านทุกคนต่างก็ทำกันอย่างดีที่สุดแล้ว นับจากนี้ก็ปล่อยให้ท่านพี่เป็นคนลงมือเถอะขอรับ...ฤทธิ์จากยาที่ท่านพี่กินเข้าไป...พลังที่มากเกินหากมิได้ถ่ายเทออกเพื่อปรับให้เหมาะสมจะทำร้ายเจ้าของร่าง ยามนี้หากท่านพี่ได้โคจรพลังรับมือกับคนพวกนั้น...ย่อมจะเป็นการดีมากขอรับ”เมื่อเก้าเทียนรุ่ยบอกเช่นนั้น ชิงชวนก็ปล่อยอาวุธในมือและทรุดกายลงเคียงข้างกับสหายทุกคนที่ต่างก็บาดเจ็บจนยืนมิไหวแต่มิวายเอ่ยกับเสวียนลิ่วหลางไปว่า “แต่หากท่านมิไหว ต้องรีบบอกพวกข้านะขอรับ” เสวียนลิ่วหลางพยักหน้ารับพลางกางอาณาเขตพลังปกป้องคนที่อยู่เบื้องหลังมิให้ได้รับผลกระทบ ก่อนที่ตนเองจะเข้าห้ำหั่นกับคนที่ถูกควบคุมอย่างรวดเร็วจนแม้กระทั่งซูเหย้าที่กว่าจะรู้ตัวก็ยามที่ได้เห็นลูกน้องฝีมือสูงของตนถูกปราณของเสวียนลิ่วหลางแยกร่างกายออกจากกัน“เจ้า!” ซูเหย้าโกรธจนหน้าเป็นสีเลือด เพราะมิว่าเขาจะสั่งการอย่างไร ลูกน้องของเขาก็มิอาจลุกมาเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างที่เคยเป็น“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้เจ้าคะนายท่าน” ซิงเยียนที่มั่นใจเสมอมา มิว่าอย่างไรก็จะมิมีผู้ใดจัดการกับคนที่ถูกหนอนพิษเพลิงพิรุณได้ถามอย่างตื่นตระหนก จะเป
“เจ้าสองคนฉลาดมิใช่น้อย หากเป็นสหายกัน งานที่ข้าทำคงจะสำเร็จไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่คนฉลาดเช่นเจ้าสองคนจะต้องสิ้นชีพในวันนี้” ซูเหย้ามองเสวียนลิ่วหลางตาวาว หากเขาดึงเอาหนอนพิษอีกสองตัวที่อยู่ในร่างอีกฝ่ายออกมาได้ ยามนั้นท่านประมุขก็จะต้องแข็งแกร่งจนมิอาจมีใครทำอันตรายได้อีกแล้ว“ผิดแล้วละซูเหย้า วันนี้หากจะมีคนไหนต้องจากไป ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”ยามแรกซูเหย้าจะถกเถียงว่า...เจ้าที่ร่างกายยังอ่อนแอจากการถูกหนอนพิษเล่นงาน กับเจ้าเด็กน้อยที่ถือตนว่าเก่งกล้าแต่ไร้วรยุทธ์จะสู้ข้าได้อย่างไร...หากเมื่อเขาได้เห็นประกายในดวงตาเป็นสีแดงเจิดจ้ากับพลังปราณอย่างรุนแรงที่แผ่ซ่านมาของเสวียนลิ่วหลางทำให้คิดไปว่า...หากมิใช่หนอนพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในกายเสวียนลิ่วหลางได้ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ก็แสดงว่าอีกฝ่ายได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน...เป็นไปมิได้!เสวียนลิ่วหลางหัวเราะก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “คิดว่าเจ้าก็คงจะพอคาดเดาได้แล้ว...ข้าสามารถบังคับเจ้าหนอนร้ายนั้นได้แล้ว”“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าก็ทำได้เพียงแค่ในยามนี้เท่านั้น อีกประเดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของข้าเช่นเดิม” มิใช่ว่าหนอนพิษของเขาใครจะบัง
“อาซวง!” เสวียนลิ่วหลางร้องเรียกสติเก้าเทียนรุ่ยที่ปล่อยให้เสียงจากภายนอกมามีผลกระทบกับการปรุงยาที่ใกล้จะสำเร็จอยู่มิช้ามินานนี้แล้ว “หากอยากช่วยทุกคนเจ้าจะต้องปรุงยาให้เสร็จนะ อีกมินานแล้ว...เราจะได้ไปดูด้วยอย่างไรเล่า ใครเป็นคนทำเรื่องเลวร้ายนี้”ถึงเขาจะพยายามข่มใจทำตามคำบอกกล่าวของเสวียนลิ่วหลาง เบื้องหน้าเตาปรุงยาลอยอยู่ระดับเดียวกับอก ภายในถูกปราณที่ถูกส่งจากสองกายก่อเกิดเป็นไฟเพื่อหลอมตัวยาทั้งหลายให้รวมเป็นหนึ่ง หากในหัวกลับได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและขอความช่วยเหลือดังมิยอมหยุด“ด้านนอกอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดอยู่ก็ได้นะ ในเมื่อทุกคนทุ่มเทปกป้องเราอย่างเต็มกำลัง…หากอยากช่วยทุกคน อาซวงก็ต้องปรุงโอสถให้สำเร็จ...ข้าเชื่อมั่นในตัวอาซวงนะ” เสวียนลิ่วหลางบีบกระชับมือเล็กดึงเก้าเทียนรุ่ยให้หลุดออกมาจากความกังวล“อาซวงสัญญากับข้าแล้วมิใช่หรือ จะเป็นฟูเหรินของข้า หากปรุงยารักษาข้ามิสำเร็จ แล้วจะเป็นฟูเหรินของข้าได้อย่างไรเล่า” เพราะวาจาของเสวียนลิ่วหลางที่ทำให้เก้าเทียนรุ่ยก็คิดขึ้นมาได้ มิใช่เพียงแค่บุรุษที่ยืนเคียงข้างในยามนี้ หากเขายังมีสหายที่ดีและท่านแม่ที่จะต้องดูแลด้ว