“คือ...ต้องหาผ้าชิ้นใหญ่ ๆ มาใช้ห่อผักพวกนี้ให้สดชื่นให้มากที่สุดนะ ข้าทำคนเดียวคงจะต้องใช้เวลานาน หากพวกท่านต้องการให้รีบไป ก็ต้องช่วย”
รองแม่ทัพพยักหน้า นายทหารสองคนก็รีบตามเก้าเทียนรุ่ยไปที่หลังบ้าน
“ท่านรอข้าตรงนี้ก่อนนะ ข้าขอไปหาท่านแม่ ขอผ้าชิ้นใหญ่ ๆ มาใช้ก่อน อ๋อ...ข้าลืมไปเลย ท่านช่วยไปเอารถที่ข้าใส่ผักที่ยังอยู่หน้าบ้านมาให้ด้วยนะขอรับ”
สั่งความเสร็จเก้าเทียนรุ่ยก็รีบเดินไปหาท่านแม่เพื่อค้นหาสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ ก่อนจะออกมาจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นโดยเร็วไวและมิลืมที่จะไปบอกกล่าวเจ้าของบ้านที่ให้เขากับท่านแม่เช่าอยู่ด้วยอัตราค่าเช่าที่ถูกมากเพื่อให้มาเก็บผักที่เหลือไปกินและแจกจ่ายเพื่อนบ้าน เพราะเขามิรู้เลยว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือเปล่า...มิได้คิดไปเอง แต่โอกาสที่ได้กลับมาที่นี่มีน้อยมาก เมื่อคิดดูแล้ว ถึงอยู่ห่างไกลเช่นนี้ยังมีคนตามหาตัวจนเจอ มินานคนพวกนั้นก็อาจจะล่วงรู้ก็เป็นไปได้ เสร็จเรื่องนี้แล้วเก้าเทียนรุ่ยคิดว่าจะต้องปรึกษากับท่านแม่เรื่องหาที่อยู่ใหม่ให้ห่างไกลจากคนพวกนั้น...มากเท่าไหร่ยิ่งดี
“เจ้ายังมีสิ่งใดที่ต้องนำไปอีกไหม”
“มิ...มิมีแล้วขอรับท่ารองแม่ทัพ” เก้าเทียนรุ่ยรีบเดินไปประคองท่านแม่เดินตามหลังนายทหารไป
“เราไปกับเถอะขอรับท่านแม่” หากยังมิทันจะได้ออกเดินทาง ก็ต้องหยุดเพราะวาจาของรองแม่ทัพ
“อย่างไรเจ้าก็จะไปทำการรักษาคน ข้ามิใจดำให้ท่านหมอเช่นเจ้าเดินเท้าตามไปหรอกนะ”
มิต้องมองเช่นนั้น เก้าเทียนรุ่ยรู้ดีว่ารูปร่างผอมบางที่เจอลมแรงสักหน่อยก็อาจจะปลิวไปได้ ให้เดินทางไกลคงจะป่วยก่อนไปถึง แล้วยังไงล่ะ จะให้เขาไปอย่างไรในเมื่อมีทหารเพียงแค่สามคนกับตัวรองแม่ทัพและม้าอีกหนึ่งตัวเท่านั้น
เก้าเทียนรุ่ยมองคนกล่าวด้วยความสงสัย ก่อนที่ปากมันจะไวเผลอถามออกไปว่า
“ให้นั่งบนม้ากับท่านหรือ...ข้าขี่ม้ามิเป็นหรอกนะขอรับ อีกทั้งข้าก็มิอาจปล่อยให้ท่านแม่เดินเท้าในขณะที่ข้าขี่ม้ามิได้ด้วย”
หากคำตอบที่ได้รับนะหรือ...เขาได้ขี่ม้าจริง ๆ หากเป็นการขี่ร่วมกับท่านแม่ ขณะที่รองแม่ทัพที่มีเพียงหน้าเดียว...นิ่งสนิทราวกับมีหน้ากากสวมไว้เดินจูงม้า
มีหลายเรื่องที่เก้าเทียนรุ่ยอยากจะไถ่ถามออกไป หากเมื่อเจอกับความนิ่งเงียบของรองแม่ทัพและนายทหารผู้ติดตาม ก็เลยคิดว่า...ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ต้องเป็นละกัน!
“เอ่อ...ท่านรองแม่ทัพขอรับ” บุรุษตรงหน้ารีบยื่นมือมาห้ามเหมือนจะรู้ว่าเขานั้นคิดไถ่ถามอันใด แต่เพราะจำเป็นต้องรู้จึงต้องไถ่ถาม
“ถึงอย่างไรเราก็ต้องรู้ขอรับท่านแม่ อย่างน้อยข้าก็ควรจะได้รู้ไปบ้างว่า เขาผู้นั้นเป็นใครและป่วยมานานเท่าใดแล้ว อีกทั้งป่วยด้วยโรคประหลาดอันใด ไยท่านแม่ทัพถึงได้ดั้นด้นติดตามหาตัวข้าที่ก็ไร้ชื่อเสียงอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้เพื่อไปทำการรักษาทั้งที่มิรู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่”
“ไยต้องรู้ในยามนี้ ไปถึงก็ได้รู้”
เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลอกตาไปมา “จะรู้ช้าหรือเร็วก็รู้เหมือนกันมิใช่หรือขอรับ การที่ข้ารู้เร็วอาการ รู้ระยะเวลาที่ป่วยเร็วเท่าไหร่ จะยิ่งเป็นการดีกับการคิดหาหนทางช่วยเหลือได้เร็วมิใช่หรืออย่างไร...รู้ช้า เกิดรักษามิได้ ข้าก็ยังพอจะได้มีเวลาคิดว่าทำอย่างไร หัวข้ากับท่านแม่จะยังอยู่ที่เดิม มิถูกตัดจนแยกห่างจากกัน” กล่าวออกไปแล้วเก้าเทียนรุ่ยก็เพิ่งจะคิดขึ้นมาได้ จะยกมือปิดปากในตอนนี้ก็มิทันแล้ว ก็เลยได้แต่กลอกตาและถูกมือท่านแม่เพื่อบอกให้ท่านใจเย็นที่สุด
“ข้ารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นผู้ที่มีความสำคัญมาก...มิเช่นนั้นคงจะมิทำให้ท่านที่เป็นถึงรองแม่ทัพจะต้องมาเชิญข้าด้วยตนเอง...ถึงแม้จะมิเต็มใจที่จะมาก็ตาม” หากมิใช่ว่าเร่งรีบให้ไปทำการรักษาและปรุงอาหารให้คนผู้นั้นได้กินเพื่อจะได้ให้หายจากการเจ็บป่วยโดยเร็วละก็...ท่านรองแม่ทัพคงจะมิยินยอมทำตามความต้องการของเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้หรอกนะ
อย่างไรนะหรือ...ครั้งแรกจะพาเก้าเทียนรุ่ยผู้นี้ไปเพียงลำพังนะสิ หากเมื่อเขายืนยัน...นอนยัน อย่างไรก็มิยอมไป หากมิพาท่านแม่และข้าวของทั้งหมดไปด้วย จากที่ต้องเดินทางกันเลยก็ต้องรอคอยเพื่อจัดเตรียมรถม้าและรถที่สามารถพาผักของเขาไปด้วยนะสิ
“เหลียนซีฮัน...เสวียนลิ่วหลาง”
“มีอันใดหรือขอรับท่านแม่” ยังมิทันจะสิ้นวาจาของรองแม่ทัพ ท่านแม่ก็ใบหน้าซีดเผือดแล้ว เหมือนอยากจะพูดอันใดกับเขา หากก็มิกล้าหรืออาจจะตกใจและหวาดกลัวเกินกว่าจะกล่าวออกมา
หากเก้าเทียนรุ่ยคิดมิผิด นามที่ถูกกล่าวถึงดูท่าจะเป็นบุรุษ...ที่น่าจะเป็นบุรุษที่มีความสำคัญยิ่ง
“ท่านแม่เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ เขาผู้นั้นเป็นใคร...มิต้องกลัวขอรับ หากเรามิทำสิ่งใดผิด เขาก็เอาผิดเรามิได้” ก็กล่าวไปอย่างนั้นเองแหละ ด้วยรู้ว่าสำหรับบางคนแล้ว...อำนาจอยู่ในมือ จะทำอันใดก็ทำได้ทั้งนั้น ชีวิตตนเองคือที่สุด ส่วนชีวิตผู้อื่นนะหรือ...ก็แค่ขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น จะเป็นจะตายไม่มีค่าให้สนใจ
“เกิดอันใดขึ้น” ด้วยว่าท่านแม่ยังมิทันจะได้กล่าวอันใด ด้านนอกรถม้าก็มีเสียงดังขึ้น ทำให้เก้าเทียนรุ่ยรีบยื่นมือออกไปเปิดผ้าม่านออกดู ก็เหมือนจะพบว่ามิมีสิ่งใดผิดปกติไป
“ท่านแม่รอในนี้นะขอรับ ข้าจะลงไปดูว่าด้านล่างนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ”
“อย่าเลยเอ้อร์เอ๋อร์ อันตราย”
“มิเป็นไรขอรับ ตัวข้ายังมีความสำคัญอยู่ ท่านแม่ทัพหน้าตายผู้นั้นมิยอมให้ข้าเป็นอันใดไปเด็ดขาด...มิเป็นไรขอรับ ข้าเอาตัวรอดได้” เก้าเทียนรุ่ยส่งยิ้มให้กับท่านแม่ที่พยายามห้ามมิให้ลงจากรถม้า
“เชื่อใจข้านะขอรับ มิว่าเกิดอันใดขึ้น ข้าเอาตัวรอดได้และยังจะพาท่านแม่หนีไปได้ด้วย” มิได้เชื่อมั่นในพลังของตนเองหรอกนะ หากเชื่อในบางสิ่งบางอย่างที่คนผู้นั้นให้ติดตัวมากับการมาอยู่อาศัยในร่าง...เก้าเทียนรุ่ย
“ระวังตัวด้วยนะเอ้อร์เอ๋อร์”
เก้าเทียนรุ่ยตบมือผู้เป็นมารดาเบา ๆ ก่อนจะกระโดดลงจากรถม้าไปหาท่านรองแม่ทัพหน้าตายที่ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องมิขาดฝัน เขากวาดตามองไปยังทหารผู้ติดตามที่หากจำมิได้ เมื่อแรกเริ่มเดินทางกันมีประมาณห้าคน หากตอนนี้เหลือเพียงแค่สี่ เขายังมิทันจะได้ไถ่ถามสิ่งใดต่อก็ได้ยินเสียงร้องที่จับทิศทางมิได้ดังมา“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านรองแม่ทัพ”“ลงมาทำไม กลับขึ้นไปบนรถม้าเดี๋ยวนี้”“ลงมาดู เผื่อจะช่วยท่านได้บ้างไงขอรับ” ดูเหมือนว่าใบหน้าและสายตาของท่านแม่ทัพจะมิเกรงกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากมิใช่เหล่าทหารผู้ติดตามที่ออกอาการละล้าละลัง หันรีหันขวางคล้ายจะหวาดกลัวกับบางสิ่งบางอย่างเป็นอย่างมาก“กลับไปอยู่บนรถม้า อย่าให้ข้าต้องจับเจ้าขึ้นไป!”หากรองแม่ทัพก็มิทันจะได้ทำอย่างที่กล่าวออกมา เสียงร้องจากนายทหารผู้ติดตามก็ดังมาอีกครั้ง คราวนี้ได้เห็นว่ามีเถาวัลย์ซึ่งมีหนามแหลมคมเคลื่อนตัวมาอย่างเร็วและรัดเข้าที่ข้อเท้าของนายทหารผู้โชคร้ายพร้อมกับดึงไปอย่างรวดเร็วเกินที่ว่าใครจะช่วยเหลือได้ทันและยังจะมาจากอีกหลายทิศทาง พุ่งตรงมาจุดมุ่งหมายคือทุกคนที่อยู่ในที่นี้ หากเมื่อมาถึงตัวเขากลับหยุดชะงักและรี
แต่ก็คงจะไม่มีอะไรให้แปลกใจแล้วล่ะ ก็อยู่ดี ๆ เขาเกิดรู้ว่าผักที่ปลูกไว้หลังเรือน ผลไม้ รวมถึงต้นไม้ใบหญ้าที่พบเห็นได้ทั่วไปสามารถนำมาปรุงตัวยาที่สามารถรักษาผู้คนให้หายได้ หากนั้นก็ยังมิเท่ากับความกล้าที่มิรู้ว่ามันมาจากที่ใด ไม่กลัวว่าจะถูกทำร้ายยามที่เอ่ยปากออกไปว่า สามารถรักษาผู้คนที่ป่วยไข้ให้หายได้ ยังดีที่ทุกคนกินเข้าไปแล้วหายจริง ๆ มิตายอย่างที่ปากพาหาเรื่องให้หัวกับตัวขาดจากกันเมื่อได้ยาที่ต้องการแล้วเก้าเทียนรุ่ยก็นำไปมอบให้กับท่านรองแม่ทัพและนายทหารที่เหลืออยู่อีกสองคน “หากอยากพาข้าไปทำการปรุงอาหารให้กับนายของท่าน ก็กินยานี่พร้อมกับผักในรถสักสองสามต้น...มินานเลือดก็หยุด พลังก็จะฟื้นคืนด้วยเช่นกัน ส่วนบุรุษผู้นั้น ข้าจะเป็นคนจัดการเอง...กล้าจับท่านแม่ของข้าไป ฮึ...ต่อให้ร้องอ้อนวอนจนเสียงขาดหาย ก็อย่าหวังว่าข้าจะปรานี”“ประมาณตนหน่อยคุณชายเอ้อร์ อย่าให้ข้าต้องเป็นคนฝังท่านก่อนจะได้ไปทำการรักษานายของข้า”หากเก้าเทียนรุ่ยกลับส่งยิ้มหวาน...เพียงแค่ปากมิใช่ดวงตาที่มันร้อนผ่าวไปให้กับท่านรองแม่ทัพ“ท่านนั่นแหละ เงียบปากไปเลย เอาตัวเองให้รอดก่อนจะมาดูแลผู้อื่นเถอะ”เก้าเทียนรุ่ยเอ
“ตื่นแล้วหรือเอ้อร์เออร์” “ขอรับ...” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับ พลางยกสองมือชูขึ้นก่อนจะนำข้างหนึ่งมาปิดปากเอาไว้ แม้จะได้นอนหลับพักผ่อนที่น่าจะนานอยู่ หากเขาก็ยังคงรู้สึกอ่อนเพลียจนอยากที่จะนอนพักอีกสักหน่อย ทว่า...“ถึงที่หมายแล้วหรือขอรับท่านแม่” มิน่าจะใช่ เขายังรู้สึกเหมือนกับว่ารถม้าที่นั่งอยู่เคลื่อนไหวอยู่เลย อีกทั้งเหมือนกับจะได้ยินเสียงของผู้คนที่อยู่นอกรถม้าด้วย ดูเหมือนว่าการเดินทางและเรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้ท่านแม่เองก็เหนื่อยมิใช่น้อย ตอนนี้ถึงได้มีท่าทางอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด เก้าเทียนรุ่ยจึงยื่นมือออกไปและปิดผ้ายื่นหน้าออกไปด้านนอกเพื่อไถ่ถามรองแม่ทัพที่น่าจะเร่งรีบเดินทางจนมิยอมหยุดพัก เมื่อรวมเข้ากับอาการบาดเจ็บที่ได้รับมา ตอนนี้ถึงได้ดูท่าทางเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าอย่างที่เห็นได้ชัด“เจ้าหลับไปนาน ข้านึกว่าจะมิตื่นขึ้นมาเสียแล้ว”“ปากเสีย...เป็นท่านมากกว่าที่ข้านึกว่าจะมิไหว แต่เห็นแล้วว่ายังแข็งแรงดีอยู่ แสดงว่ายาที่ข้าให้ท่านกินพร้อมกับผักพวกนั้นใช้รักษาแผลบาดเจ็บได้ดีจริง ๆ ด้วย เนี่ยนะเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าใช้ยานั่น นับถือความใจกล้าของท่านที่ยอมกินยานั่น เป็นหนูท
“ที่เจ้าทำอยู่ คงมิได้คิดจะบ่ายเบี่ยงมิยอมไปรักษานายของข้าหรอกนะ”ถามอย่างกับว่าเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างนั้นแหละ ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง...เขากับท่านแม่อยากจะหนีไปตั้งแต่ได้เห็นประตูทางเข้าที่นี่แล้ว ตอนที่ถูกบังคับให้มาด้วย ก็คิดอยู่แล้วล่ะ ผู้ที่เก้าเทียนรุ่ยต้องมาดูแลและปรุงอาหารให้ จะต้องเป็นคนสำคัญมาก หากใครจะคิดเล่าว่าคนผู้นั้นจะเป็นถึง...พลาดแล้ว...เขาพลาดไปแล้ว หากชวนท่านแม่หนีไปตั้งแต่เจอกับบุรุษชุดขาวนั่นตั้งแต่อยู่ในป่า ตอนนี้เขาก็คงมิต้องลำบากใจระคนขลาดกลัวเช่นนี้หรอกขอห้องให้ท่านแม่ได้พักผ่อน...ความจริงคือพาท่านให้ห่างไกลจากความวิตกกังวลและหวาดกลัวหลังจากที่ได้รู้ว่าเขาต้องทำการดูแลปรุงอาหารให้ใครนั่นแหละ ส่วนตัวเขาเองก็ได้อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ให้สะอาดขึ้น ยามเมื่อเข้าไปหาคนผู้นั้น จะได้มิต้องกังวลว่าตนเองจะมีกลิ่นมิพึงประสงค์และเชื้อโรคติดไป“ท่านจะเอาอันใดกับข้า...ตอนที่ข้าอาบน้ำ ท่านก็คอยให้คนไปจับตามองแทบจะทุกหนึ่งจิบชา[1] กลัวข้าจะหนี...คิดว่าข้าทำได้หรือไง ทุกที่...มีแต่คนของท่านเต็มไปหมด แค่มดก็ยังแทบจะหลุดรอดสายตาไปไม่ได้ นี่ข้าเป็นคนนะ จะหลุดรอดสายตาคนของท่านไปไ
ก็มิได้มีสิ่งใดให้น่าแปลกใจ ความรู้สึกแรกเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องนี้ หากก็ยังมีกลิ่นที่ทำให้เขาต้องรีบใช้สัมผัสที่มีหาที่มาของมัน หากมันก็เป็นเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้งเท่านั้นก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหายไปราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเขาเพียงแค่คิดมากไปเองมีอีกสิ่งที่เก้าเทียนรุ่ยสัมผัสได้หลังจากที่เดินเข้ามาในห้องนี้...มันร้อนอบอ้าวและความแห้งแล้งที่มันทำให้นึกถึงความแห้งแล้งเหมือนอยู่ในทะเลทราย ก่อนที่เขาจะได้พบกับ...อึ้ง!!! และกลัวจนตัวสั่นเมื่อเห็นผู้ที่นอนอยู่บนเตียง จนเผลอก้าวถอยไปด้านหลัง ไปยืนงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ จึงได้เอ่ยปากไถ่ถามรองแม่ทัพที่ยังคงมิยอมเอ่ยปากกล่าวอันใด หากสายตาที่มองมายังเขาพร้อมกับบ่งบอก...เป็นอย่างไรเล่า เจ้าก็เหมือนผู้อื่นที่มาทำการรักษา เพียงแค่เห็นก็ส่ายศีรษะไปแล้ว เมื่อตรวจดูก็รีบกล่าวเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว“ขออภัย...ขออภัยด้วยท่านรองแม่ทัพ ความรู้ข้ายังน้อย มิอาจทำการรักษานายของท่านได้”เจ้าเด็กเอ้อร์เอ๋อร์ปากดี...ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกันเก้าเทียนรุ่ยมองบุรุษบนเตียงสลับกับรองแม่ทัพอยู่ครู่ใหญ่พร้อมกับความคิดที่ว่า...รองแม่ทัพผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วใช่หรื
“หากเจ้าสามารถรักษาท่านแม่ทัพให้หายดีได้...จะให้ข้าเป็นม้า เป็นข้ารับใช้เจ้าไปตลอดชีวิตก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่เจ้าจะต้องการ”“ข้าจะทำเช่นนั้นไปทำไม ให้ท่านอยู่ใกล้ ข้าหายใจออก เอาเงินมิดีกว่าหรือไง อยากได้อะไรก็จะได้ซื้อได้ ดีกว่าที่ท่านกล่าวมาเป็นไหน ๆ ” ในเมื่อเขาอยากที่จะพาท่านแม่หนีไปให้ไกลจากคนพวกนั้น สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือ...การมีเงินให้เพียงพอคือสิ่งที่ดีที่สุดในยามนี้“มิถามเรื่องนี้แล้วก็ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าขอให้ท่านช่วยหาเตียงเล็ก ๆ มาให้ข้าสักหลัง เอามิต้องใหญ่นะ แต่ให้นอนสบาย”“จะเอามาทำไม ห้องที่ข้าจัดให้พักมิดีเพียงพอหรือไง”“ท่านนี่นะ...จะให้ข้ารักษานายของท่านโดยมิรู้อะไรเลยหรืออย่างไรกัน ข้าต้องอยู่ดูแลสังเกตอาการนายของท่านอย่างใกล้ชิดสิ จะได้จัดอาหารให้กินอย่างถูกต้อง จะได้หายเร็ว ๆ มิดีหรืออย่างไร”“ได้! ต้องการสิ่งใดก็บอกมา”“ขอพื้นที่สำหรับปลูกผัก” คิดว่าคนบนเตียงคงจะมิหายภายในสามวันเจ็ดวันเป็นแน่ เดือนหนึ่งก็คิดว่าน่าจะยังเร็วด้วยซ้ำ ในเมื่อจำเป็นต้องอยู่นาน ผักหญ้าที่เตรียมเอาไว้ก็คงจะมิเพียงพอ เขาจำเป็นต้องรีบจัดหามาเพิ่มให้เพียงพอและอย่างเร็วที่สุดด้วย“ส่วนจะปลู
“แย่แล้ว ๆ ต้องรีบหนี” ปากกล่าวเช่นนั้นหากความกลัวทำให้เก้าเทียนรุ่ยตัวสั่น แม้สมองจะสั่งการให้หนีหากตัวกลัวแข็งทื่อราวกับก้อนหิน ยิ่งเมื่อแขนข้างหนึ่งถูกจับเอาไว้ก็ยิ่งทำให้เขาลนลานจนมิรู้ว่าจะทำอย่างไรดี“ปล่อยข้านะ...ปล่อย!” หากยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ แรงที่ทุ่มลงมาบนแขนก็ยิ่งมากเท่านั้น หากมิรีบ...มินานแขนเขาคงจะหักเป็นแน่“ท่านแม่ขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยพยายามข่มกลั้นความกลัวเอาไว้ก่อนจะเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่วเบาที่ดูเหมือนว่าเมื่อเขาลดอาการแข็งขืนลง เมื่อเห็นว่าท่านแม่ทัพหยุดชะงักไป มันก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมา กล้าที่จะเอ่ยต่อไปว่า“ท่าน...ปล่อยข้าเถอะขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยรีบปลดมือที่บีบแขนออกอย่างช้า ๆ โดยที่ดวงตายังคงมองสบกับท่านแม่ทัพอยู่ แม้จะมิใช่คนช่างสังเกตอะไรเลย หากก็ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น เหมือนกับว่าภายในร่างกายของท่านแม่ทัพจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น เขาก็มิรู้ว่าเผลอตัวจับมือแกร่งไปได้อย่างไร“จะอะไรก็ตามที่ท่านมีสติรับรู้และต้านมันอยู่ ข้าเชื่อว่าท่านสู้มันได้แน่นอน ข้าเชื่อเช่นนั้นนะขอรับ”กลิ่น...มันเหมือนจะบางเบาสลับรุนแรงขึ้นเป็นระยะ หากได้ทานผักผสมยาที่ข้าเ
“หากมิกลัวว่าข้าบีบจมูกไปแล้วอาจทำให้ท่านสิ้นลมได้นะ...ข้าบีบจมูกท่านแล้วเอาน้ำผักผสมยาเคี่ยวกรอกปากแล้ว” มีทางไหนให้เขาป้อนน้ำผักเคี่ยวกับแม่ทัพใหญ่บ้างไหม คิดอยู่เป็นนานก็ค้นพบว่ามีอยู่หนึ่งวิธีที่ได้ผลแน่ หากเขานี่แหละ จะกล้าทำหรือเปล่า นั่นเท่ากับเขาต้องเสีย...หากสุดท้ายแล้วเมื่อเห็นว่ามิมีทางใด เก้าเทียนรุ่ยก็ได้แต่กลอกตาไปมา ขณะเป่าน้ำสีดำเข้มที่กลิ่นมิทำให้เขาอยากจะกลืนลงท้องเลยมาอมไว้แล้วป้อนให้ท่านแม่ทัพใหญ่“ข้าจะคิดค่าป้อนท่าน หนึ่งครั้งเท่ากับหนึ่งก้อนทอง” เขาเอ่ยด้วยความหงุดหงิดใจ ก็ตัวเขาในชาติภพนี้ อย่าว่าแต่ภรรยาเลย แม้กระทั่งคู่หมายก็ยังมิมี หากตอนนี้ต้องมาเสียจูบแรกและจูบที่สองให้กับท่านแม่ทัพปีศาจผู้นี้ไปแล้ว...เขาจะต้องคิดค่าเสียหายให้คุ้มค่าเก้าเทียนรุ่ยรีบจัดการป้อนผักผสมยาด้วยปากต่อปากไปอีกสองครั้ง หากครั้งที่สองทำให้เขาถึงกับตื่นตะลึงทำอันใดมิถูก ด้วยว่ามีคนมาเห็นวิธีการนี้ของเขาถึงสองคน!“เอ่อ...คือว่า...” ทั้งที่การกล่าวความจริงออกไปก็มิได้เป็นแปลกอันใด หากเพราะเขาเขินอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำตัวมิถูก จึงได้แต่หลบซ่อนใบหน้าที่มันคงจะแดงไปมองคนบนเตียง“ท่านก
“ท่านแม่” “เอ้อร์เอ๋อร์”เรียกได้ว่า เมื่อเห็นเขาเปิดประตูห้องเข้าไปและร้องเรียก ท่านแม่ก็รีบพาร่างบอบบางพุ่งตรงมาหาในทันที สองมือเล็กเหี่ยวนุ่มเย็นจัดเช่นเดียวกับใบหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระคนวิตกกังวลมิแพ้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ มันทำให้เขารู้สึกมิค่อยดี หรือว่าท่านแม่...“ท่านแม่เจอ...แล้วหรือขอรับ” หากเจอกันแล้ว ยามที่เขาเจอกับบุรุษผู้นั้นมันต้องมีอะไรบางอย่างที่บอกให้รู้บ้างสิ แต่เท่าที่เห็น...จากความคิดของเขาเอง แม้จะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งเพียงใด แต่การได้เจอกับบุตรชายที่ได้ตายไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตกใจ...สงสัยและบังคับเอาคำตอบแน่นอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือบุรุษผู้นั้นมิได้สนใจในตัวเก้าเทียนรุ่ยที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด แทบจะมิปรายตามองด้วยซ้ำไป“แม้จะเห็นเพียงแค่ไกล ๆ ถึงการอยู่ด้วยกันจะมิได้รับการเอาใจใส่ แต่อย่างไรก็สามีภรรยากัน มีหรือที่แม่จะจดจำคนผู้นั้นมิได้ แม่รีบหลบมาอยู่แต่ในห้อง อยากจะไหว้วานนายทหารให้ส่งข่าวให้เอ้อร์เอ๋อร์รู้ แต่ก็กลัวจะถูกสงสัย เลยได้แต่รอด้วยความร้อนใจเช่นนี้”“ท่านแม่ไว้วางใจได้ขอรับ นอกจากเขาจะจำข้ามิได้แล้ว เขายังไม่
นิ้วยาวลากไล้บนท่อนแขนกำยำอย่างแผ่วเบาพลางพึมพำออกมาว่า “แผลที่แขนสมานกันดีจนแทบมิเห็นรอยบาดแผลแล้ว ยาใส่แผลของข้าช่างได้ผลดียิ่งนัก” มิน่าเชื่อว่ายาเหล่านั้นจะทำให้บาดแผลหายเร็วเช่นนี้ มันช่างแปลกประหลาดเหลือที่จะกล่าว แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการดียิ่งเก้าเทียนรุ่ยลุกขึ้นเพื่อไปตรวจดูแขนอีกข้างของท่านแม่ทัพอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่คนอย่างเขาจะทำได้ แต่นอกจากบาดแผลจากการสู้รบและฝึกฝนฝีมือที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้วก็มิเห็นว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติไปเลยแม้แต่นิดเดียว“เจ้าหนอนแดงนั่นมันหลบซ่อนอยู่ตรงไหนกันนะ มันต้องมีร่องรอยบ้างสิ ข้าต้องหาเจอสิน่า” เก้าเทียนรุ่ยบ่นพึมพำพลางกวาดสายตามองแขนท่านแม่ทัพอย่างมิให้คลาดสายตาแม้สักจุดเดียว ก่อนจะเลยไปถึงแผงอกกว้างกำยำที่ดูอย่างไรก็เห็นจะมีเพียงแค่ร่องรอยของบาดแผลทั้งเก่าและใหม่มิมีร่องรอยของสิ่งที่ค้นหาอยู่เลย“คิดว่ามันจะยอมให้หาเจอง่าย ๆ หรือไง กระทั่งตัวข้าเองที่มีมันอยู่ในร่างกายยังมิรู้เลยนะ”“จะซ่อนให้ดียังไง มันก็หนอนที่ไร้ความคิดนะขอรับ จะปกปิดซุกซ่อนอย่างความคิดของคนได้ยังไงกันล่ะ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยออกไปขณะเดียวกันสำรวจร่างกายคนตรงหน้าอย่างละเอียด
แย่เข้าไปใหญ่ ทำอย่างนี้จะมีแต่จะทำให้คนเกลียดเขาเพิ่มมากขึ้นนะสิ หากเทียนรุ่ยก็มิอาจกล่าวสิ่งใดออกไปได้ นอกจาก“ใจเย็นก่อนนะขอรับท่านพี่ ที่ข้ากล่าวออกไปเพราะอยากให้ท่านคิดไตร่ตรองให้ดี อย่าทำสิ่งใดให้ศัตรูที่ยังหลบซ่อนกายอยู่ล่วงรู้”“ข้าคงเร่งรีบมากจนเกินไปจึงทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ ขอบใจที่เตือนข้านะอาซวง นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้อาซวงกังวลใจอยู่อีก ใช่หรือไม่”หากจะบอกว่ามิใช่...ย่อมเป็นไปมิได้ “เพราะเรามิรู้ว่าศัตรูอยู่ไกลหรือวางคนอยู่ใกล้ตัวเพียงใด การฟื้นมาของท่าน คนเหล่านั้นอาจจะล่วงรู้และเตรียมตัวรับมือไว้แล้วก็เป็นไปได้ การเดินทางรอนแรมทั้งที่ร่างกายเพิ่งจะฟื้นได้มินาน อาจจะทำให้หนอนแดงที่ข้าคิดว่ายังคงถูกฝังอยู่ในตัวท่านตื่นขึ้นมาเล่นงานอีกนะขอรับ ข้ากลัวท่านจะรับมือมันมิไหว” หากครั้งนี้ล้มหมดสติไปอีก ดูท่าว่าการจะทำให้ฟื้นขึ้นมาคงเป็นไปได้ยาก“หากมีอาซวงอยู่ด้วย ข้าย่อมมิกลัวสิ่งใด”“เอ่อ...” สายตาคู่นั้นมันช่างทำให้เขารู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวและหัวใจก็เต้นไหวอย่างรุนแรงด้วย นี่เขาเป็นอันใดไป“แม้ว่าเราจะเพิ่งพบเจอกัน หากข้าเชื่อว่าอาซวงจะมิทำร้ายข้า”สง
“ใช่แล้วลิ่วหลาง นับตั้งแต่เจ้าล้มป่วย เต่าน้อยเองก็ล้มป่วยเช่นกัน หากทั้งหมอหลวงจางและราชครูเหลิ่งกลับมิยอมบอกเรื่องนี้กับผู้ใด นี่หากว่ามิแอบได้ยินหมอหลวงจากกล่าวเรื่องเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านเรื่องยาที่ให้ไปหามา ข้าก็คงมิล่วงรู้ ข้าร้อนใจมากด้วยมิรู้ว่าจะบอกเรื่องนี้กับผู้ใดได้บ้าง”“ในราชสำนักน่าจะมีผู้ที่อยู่ฝั่งหมอหลวงจางและเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านอยู่มิน้อย”“มิต้องสนใจเรื่องใด กลับไปทำหน้าที่ของเจ้า...สุขภาพข้ายามนี้พอจะเดินทางไกลได้ไหมอาซวง”“ท่านเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเองนะขอรับ หากเดินทางไกล ข้ากลัวว่า...”“หากอาซวงจะร่วมเดินทางไปด้วย”เรื่องที่ได้รู้คงทำให้ท่านแม่ทัพร้อนใจมิใช่น้อย หากว่า...ยามนี้ยังเดินทางไกลมิได้จริง ๆ หากการรักษามิต่อเนื่อง อาจจะทำให้ร่างกายที่ดีขึ้นแล้วทรุดลงอย่างรวดเร็วจนอาจจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายได้“จะยังไงมันก็ยังมิควรนะขอรับ”“มิมีหนทางอื่นใดช่วยได้เลยหรือท่านหมอ”ซูเหย้าน่าจะพอรู้แล้วว่าท่านแม่ทัพจะเดินทางไปที่ใด“ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาอย่างไรเล่า แค่นี้ก็แก้ไขมิได้”ท่านแม่ทัพมองโหยวเจียนด้วยสายตาเยียบเย็น แต่กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า“ข้ารู้ว่าอาซว
“ลิ่วหลาง! ในที่สุด เจ้าก็ฟื้นแล้ว”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดที่นั่งอยู่ โหยวเจียนก็เอ่ยเสียงดังราวกับจะให้ได้ยินไปทั่วจวน พร้อมกันนั้นก็รีบเดินตรงลิ่วไปหาท่านแม่ทัพราวกับลมพัด หากกำลังจะยื่นมือไปจับกายแกร่งที่ยามนี้ผอมจนแทบจะมีเพียงแค่หนังหุ้มกระดูก แต่ท่านแม่ทัพกลับเบี่ยงกายหนีและยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด“หากเจ้ายังทำเสียงดังเช่นนี้อีก ก็กลับไปเสีย มิต้องมาให้เห็นหน้า”ก็พอจะคาดเดาได้ว่าท่านแม่ทัพเป็นผู้ที่มิสนใจผู้ใด ยกเว้นก็เพียงแค่ชิงชวน อ้ายฉีและน่าจะมีผู้ที่ถูกเรียกว่าเต่าน้อย แต่คิดมิถึงว่าจะกล่าวกับโหยวเจียนเช่นนี้ด้วยคนถูกไล่ตอนแรกก็มีสีหน้ามิค่อยดีสักเท่าไหร่ คงจะอับอายด้วยว่ามีผู้อื่นเช่นเขาและซูเหย้าที่เดินตามหลังมาอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าปอดเท่านั้น ใบหน้าที่แดงด้วยโทสะก็คลี่ยิ้มเช่นเดิม ทำราวกับเมื่อครู่มิได้ยินสิ่งใด“ก็ข้าดีใจที่เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าหมอผู้นี้ทำหน้าที่ของตนได้สมกับที่รับปากไว้ มิเสียแรงที่ข้ายอมเสียงเงินถึงหนึ่งกำปั่นเพื่อให้นำมาซื้อยารักษาเจ้า”ยามได้ยิน เขาคิดว่าโหยวเจียนจะโอ้อวดว่าตนเองมั่งมีเงินทองและอาศัยการจ่ายเงินในครั้งนี้ทวงบุญ
‘ดีมากอาซวง...เจ้าช่างรู้ใจข้าเสียยิ่งนัก’ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ เขาจะต้องคิดหาวิธีไล่สองคนนี้ออกไปจากห้องก่อนจะทนมิไหว ทำแผนของอาซวงพังมิเป็นท่าเอ๊ะ...ดูเหมือนอาซวงจะส่งสัญญาณบอกมาแล้ว เขาก็เลยรีบส่งเสียงที่คำราม พร้อมกับยกแขนและขาฟาดไปฟาดมาหวังว่าจะทำให้ทั้งสองคนที่บุกรุกมาสร้างความรำคาญใจให้เจ็บตัวสักหน่อย หากก็มิสำเร็จอย่างต้องการ ด้วยว่าโหยวเจียนแม้จะอ้วนพี แต่ก็ช่างเป็นคนที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วอย่างคาดมิถึง...เพียงแค่เขายกเท้าขึ้นจะถีบ อีกฝ่ายก็เผ่นไปถึงประตูห้องเสียแล้ว“เสียดาย”“ท่านพี่ว่าอะไรนะขอรับ”“ข้าว่าเสียดายที่ยังมิทันจะได้ถีบโหยวเจียนเลย”อาซวงหัวเราะ “ซูเหย้าผู้นั้นก็ไปเร็วเช่นกัน แต่กว่าจะไปก็ทำเอาข้าถึงกับเหนื่อยเหมือนกัน”“ขอโทษที่ทำให้อาซวงเหนื่อยนะ”มิรู้ว่าเขาจะคิดไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนว่าสายตาของอาซวงที่มองโหยวเจียนและซูเหย้าบ่งบอกว่า...มิไว้วางใจและน่าจะแฝงไว้ด้วยความสงสัยอยู่มิน้อย หากก็ยังคงปกปิดมิยอมเอ่ยปากบอกให้เขารู้ หากนั่นยังมิเท่าสิ่งที่อาซวงบอกมา...‘ในตัวเขา...มีบางสิ่งฝังอยู่!’แม้มิอยากเชื่อ หากเมื่อก้มลงมองแขนที่ได้
“ข้าจะรีบทำให้เสร็จโดยเร็วและจะรีบกลับมา” เก้าเทียนรุ่ยจับแขนแกร่งออกจากกายแล้วดันร่างของท่านแม่ทัพให้ล้มตัวลงนอน ถึงจะมิง่วงเพราะนอนมายาวนานแล้ว แต่อย่างไรร่างกายนี้ก็ยังอ่อนเพลียอยู่ ยังต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อจะได้มีแรงสู้กับสิ่งที่ฝังอยู่ภายในร่าง“เดี๋ยวสิ”เก้าเทียนรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อท่านแม่ทัพจับมือไว้มิยอมปล่อย “มีอะไรอีกหรือขอรับ”อย่างรวดเร็วจนเขามิทันจะได้ตั้งตัว กายแกร่งก็ผุดลุกขึ้นมาพร้อมกับปากหนาที่แนบลงมาบนแก้ม“รีบไปรีบกลับนะ...อาซวง”ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยร้อนผ่าว ขณะที่ดวงตาก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ แม้กระทั่งเดินออกมาแล้วสติก็ยังมิครบครัน ก่อนจะคิดได้ว่า เพราะเขาน่ารัก ท่านแม่ทัพที่เพิ่งจะพบหน้าถึงได้รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดู ถึงได้บอกด้วยการกระทำว่าเป็นพี่ชายที่รักน้องชายผู้นี้เป็นอย่างมาก ที่เขาควรจะต้องเร่งหาทางรักษาอีกฝ่ายให้หายให้เร็วที่สุดเป็นการตอบแทน...ใช่! ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนจะกล่าวถึงฝีมือทำอาหารของอาซวง แม้รสชาติจะจัดจ้านไป…มิน้อย บางครั้งก็แทบจะกลืนมิลง หากรวม ๆ แล้วก็อร่อยอยู่นะ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายต้องคอยเอาอกเอาใจ ป้อนด้วยท่าทางหงุดหงิดที่ทำใ
ช่างกล่าวได้อย่างโหดร้ายมาก นี่นะหรือที่ท่านอ้ายฉีกับชิงชวนกล่าว บุรุษผู้นี้มิอาจจะทำร้ายท่านแม่ทัพได้ จนกว่าจะได้เจอกับผู้ที่หลบซ่อนกายอยู่ ทำอย่างไรเขาก็ยังมิปักใจเชื่อแน่ว่าสองคนนี้จะมิเกี่ยวข้อง“ใจเย็นก่อนท่านโหยวเจียน กล่าวเช่นนี้ไปจะทำให้ท่านหมอขลาดกลัวจนอาจจะทำสิ่งใดผิดพลาดไปได้นะ”“ถ้ามิขู่ให้กลัว แล้วจะรักษาลิ่วหลางอย่างดีหรือไง” โหยวเจียนสะบัดมือด้วยความหงุดหงิดเก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลอกตากับความคิดของคนผู้นี้เสียจริง “ข้าจะดูแลรักษาท่านแม่ทัพให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าผู้น้อยจะทำได้ขอรับท่านโหยวเจียน หากตอนนี้ข้าต้องขออภัยที่จำเป็นต้องให้ท่านทั้งสองคนออกไปจากห้องนี้ก่อน”“นี่เจ้า! เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาไล่ข้า”“หากท่านทั้งสองจะอยู่ ข้าก็มิว่าอันใด แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้น...ท่านจะกล่าวโทษข้ามิได้นะขอรับ”“หมายความว่าอย่างไรหรือหมอ”“คือ...ด้วยยาที่ข้าให้ท่านแม่ทัพกินเข้าไปทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จากที่เคยนอนเป็นผักเน่าก็เคลื่อนไหวได้ แต่การเคลื่อนไหวนี่แหละขอรับที่ทำให้ข้ากลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพวกท่าน” ดูเหมือนว่าวาจาของเขาจะทำให้ท่านแม่ทัพรู้ว่าควรจะต้องทำเช่
“ข้ากำลังจะรายงานนายท่านโหยวเจียนอยู่เลยขอรับ แต่ก่อนนั้นข้าจะต้องไถ่ถามท่านเสียก่อน” คิดจะเล่นงานเขาใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นเขาเล่นงานท่านก่อนละกัน จะเอาให้หมดเนื้อหมดตัวเลย“อะไร”“ท่านมาเยี่ยมท่านแม่ทัพครั้งล่าสุด...นานหรือยังขอรับ”“ก็หลายวันอยู่นะท่านหมอ” เป็นซูเหย้าที่ตอบแทนโหยวเจียนที่ตอนนี้ยังโมโหจนหน้าดำหน้าแดงอยู่ เดี๋ยวจากแดงจะกลายเป็นคล้ำจนดำเพราะต้องเสียเงินให้เขาเป็นกำปั่น“ถ้าเช่นนั้นข้าอยากให้ท่านทั้งสองดูบางสิ่งที่ทำให้ข้ามั่นใจในวาจาที่เคยกล่าวมาตั้งแต่แรก...มิเกินสามวันท่านแม่ทัพจะต้องฟื้นแน่นอน” เพื่อให้ความมั่นใจกับทั้งสองคนตรงหน้าที่เขาจะเรียกเงินเข้ากระเป๋าให้มากที่สุด เก้าเทียนรุ่ยก็รีบกล่าวออกไป“ท่านทั้งสองสังเกตใบหน้าของท่านแม่ทัพสิขอรับ ระหว่างวันนี้กับก่อนหน้านั้นแตกต่างกันหรือไม่” หากมิแตกต่างก็คงจะเกินไปแล้วล่ะ กินอาหารเผ็ดร้อนเข้าไปเสียขนาดนั้น ใบหน้าและริมฝีปากย่อมยังมีสีสันอยู่แล้ว“ท่านว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่”“เจ้าอาจจะเอาสีมาป้ายไว้ก็ได้นี่”“ข้าหรือจะกล้าทำเช่นนั้น หากท่านโหยวเจียนยังมิเชื่อ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องดูผิวกายขอรับ...ครั้งแรกที่ข้าเห็น ก็ยังคิด