ก็มิได้มีสิ่งใดให้น่าแปลกใจ ความรู้สึกแรกเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องนี้ หากก็ยังมีกลิ่นที่ทำให้เขาต้องรีบใช้สัมผัสที่มีหาที่มาของมัน หากมันก็เป็นเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้งเท่านั้นก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหายไปราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเขาเพียงแค่คิดมากไปเอง
มีอีกสิ่งที่เก้าเทียนรุ่ยสัมผัสได้หลังจากที่เดินเข้ามาในห้องนี้...มันร้อนอบอ้าวและความแห้งแล้งที่มันทำให้นึกถึงความแห้งแล้งเหมือนอยู่ในทะเลทราย ก่อนที่เขาจะได้พบกับ...
อึ้ง!!! และกลัวจนตัวสั่นเมื่อเห็นผู้ที่นอนอยู่บนเตียง จนเผลอก้าวถอยไปด้านหลัง ไปยืนงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ จึงได้เอ่ยปากไถ่ถามรองแม่ทัพที่ยังคงมิยอมเอ่ยปากกล่าวอันใด หากสายตาที่มองมายังเขาพร้อมกับบ่งบอก...
เป็นอย่างไรเล่า เจ้าก็เหมือนผู้อื่นที่มาทำการรักษา เพียงแค่เห็นก็ส่ายศีรษะไปแล้ว เมื่อตรวจดูก็รีบกล่าวเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว
“ขออภัย...ขออภัยด้วยท่านรองแม่ทัพ ความรู้ข้ายังน้อย มิอาจทำการรักษานายของท่านได้”
เจ้าเด็กเอ้อร์เอ๋อร์ปากดี...ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน
เก้าเทียนรุ่ยมองบุรุษบนเตียงสลับกับรองแม่ทัพอยู่ครู่ใหญ่พร้อมกับความคิดที่ว่า...รองแม่ทัพผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้ไปบังคับแกมข่มขู่ให้ข้ามารักษาคนที่ตายไปแล้วนะ แต่...เมื่อมองดี ๆ ก็เหมือนจะเห็นว่าคนบนเตียงถึงจะเหมือนคนตายหากคล้ายจะยังมีลมหายใจอยู่
เขาควรมั่นใจก่อนใช่ไหม บุรุษตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่ มิใช่ว่าตายไปก่อนที่จะได้รักษา เขามิยอมรับความผิดที่ตนเองมิได้กระทำหรอกนะ
เมื่อรู้ว่าต้องทำสิ่งใด เก้าเทียนรุ่ยก็รีบเดินเข้าไปมองบุรุษที่นอนแน่นิ่งมิไหวติง กวาดสายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดร่างกายที่ผอมจนแทบจะเรียกได้ว่ามีเพียงแค่หนังที่ห่อหุ้มกระดูกเอาไว้ หากก็มีบางส่วนนูนขึ้นมาอยู่หลายจุด ดูเหมือนว่าผิวจะมีสีดำคล้ำและยังจะแห้งเกรียมด้วย มันเหมือนกับถูกดูดน้ำออกไปจนหมด แม้กระทั่งใบหน้าก็มิแตกต่างกันเลย
เกิดอะไรขึ้นกับคนผู้นี้กันเนี่ย!
หากเขาจะต้องทำการรักษา ก็ต้องมั่นใจก่อนว่ายังมีชีวิตอยู่ เก้าเทียนรุ่ยจึงรีบยื่นมือไปใกล้จมูกก็พบว่ายังมีลมหายใจอยู่ก็โล่งใจไปนิดหนึ่ง
“เจ้าคิดว่าจะรักษาได้หรือไม่”
เก้าเทียนรุ่ยเหลือบมองรองแม่ทัพ มือเล็กยกขึ้นลูบปลายคาง “น่าสนใจมาก...น่าสนใจยิ่งนัก”
“ว่าอย่างไร เจ้าสามารถรักษานายข้าได้หรือไม่”
เมื่อครู่ตอนที่เขาถาม...ก็อมพะนำมิยอมบอกกล่าว คราวนี้เก้าเทียนรุ่ยจึงแกล้งทำเป็นมิสนใจรองแม่ทัพหน้าตาย ขณะกวาดสายตามองบุรุษบนเตียงอย่างสนใจ
“เขา...เป็นแบบนี้มานานเท่าใดแล้ว ห้ามบอกว่ามิรู้หรือมิยอมบอกเรื่องใด ๆ ให้ข้ารู้ทั้งสิ้น หากมิเช่นนั้น...ข้ามิรักษานายของท่าน!” เก้าเทียนรุ่ยกล่าวอย่างเด็ดขาด ด้วยเรื่องนี้ร้ายแรงยิ่ง เขาต้องรู้เพื่อจะได้หาทางรักษาให้หายขาด
“เจ้า! เจ้ารักษาได้”
เก้าเทียนรุ่ยทำเพียงแค่เหลือบมองรองแม่ทัพอย่างมิใส่ใจ ด้วยว่าบุรุษที่อยู่เบื้องหน้ามีอะไรให้น่าสนใจมากกว่า
“เจ้ากล่าวจริงใช่ไหม”
“หนัก! ดูเหมือนว่าขาข้างก้าวล่วงสู่น้ำพุเหลืองไปแล้ว”
“นี่เจ้า!”
“ท่านนี่ช่าง...เร่งร้อนเสียจริง” เก้าเทียนรุ่ยส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “ท่านควรให้ข้ามีเวลาศึกษา วิเคราะห์อาการก่อนไหมล่ะ...ยามไถ่ถามก็มิยอมบอกอะไรสักอย่าง มาตอนนี้ก็เร่งเร้าจะเอาผลอีก ช่างน่ารำคาญเสียจริง” เขาเสแสร้งทำเป็นอาจารย์ผู้ปราดเปรื่องเรืองวิชา ทั้งที่ความจริงตอนนี้ในหัวมันว่างเปล่าไปเสียหมด ยังคิดมิออกเลยด้วยซ้ำว่าจะทำการเริ่มต้นรักษาคนผู้นี้ยังไง
“ นายของท่านเจอกับสิ่งใดมา ร่างกายถึงได้เป็นเช่นนี้ หากข้าก็ยังมิรับปากนะว่าจะหายเป็นปกติภายในเร็ววัน ต้องดูด้วยว่าเป็นเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว”
“ท่านแม่ทัพบอกว่าปวดหัวมาตลอด จนเมื่อหลายเดือนก่อนก็ปวดอย่างรุนแรงจนถึงกับสงบไป หากมินานก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อท่านหมอมาตรวจก็มิพบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ”
“หากนายของท่านกลับปวดหัวมิยอมหาย...ปวดหนักขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้น อารมณ์...ที่คงจะต้องรุนแรงขึ้น มีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย อย่างอาเจียน ตาพร่า ปวดไปหมดทั้งตัว”
อันนี้บอกตามตรงว่าเขาคาดเดาเอาเองทั้งนั้น แต่คิดว่ามันคงจะต้องมีอาการคล้ายกับคนที่ปวดศีรษะอย่างปวดอยู่ข้างเดียว เหมือนถูกค้อนทุบ ปวดที่กระบอกตาจนลืมตาไม่ขึ้น บางครั้งก็อยากจะอาเจียนด้วย มันเป็นอาการที่เขาก็เคยเป็นยามเมื่อเจอเข้ากับอากาศที่มันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งร้อนมากก็จะยิ่งเป็นหนัก อีกอย่างก็น่าจะคล้ายกับคนที่มีอะไรฝังอยู่ในหัว...มั้ง!
“ใช่ หากทุกครั้งที่ให้หมอมาทำการรักษา ก็มิพบว่ามีสิ่งใดผิดปกติไป”
“หากอาการก็ยังคงเป็นอยู่ มิหายสักที มีแต่จะหนักขึ้น”
“จนเมื่อหลายเดือนก่อน นายท่านปวดจนสลบไป...มิยอมฟื้น พวกข้าแยกย้ายกันจะสืบเสาะค้นหาหมอฝีมือดีจากทุกแห่งเพื่อมารักษา แต่ก็มิเคยมีผู้ใดรักษาได้ ยิ่งเมื่อนายของข้าร่างกายเปลี่ยนแปลงไป หมอทุกคนล้วนแล้วแต่ทอดถอนใจ บอกว่ามิอาจทำการรักษาได้ด้วยกันทั้งนั้น”
เก้าเทียนรุ่ยได้แต่พยักหน้ารับ หากฟังไปก็เท่านั้นแหละ การรักษาคนผู้นี้คงจะต้องเค้นเอาความคิดอันน้อยนิดที่มีอยู่ในหัวออกมาให้มากที่สุด หากจะช่วยได้หรือไม่ ก็คงต้องขึ้นอยู่ดวงชะตาของคนผู้นี้ด้วย
“เขาได้กินดื่มอะไรหรือไม่...ด้วยสภาพเช่นนี้ ในเมื่อยังรอดอยู่ อย่างน้อยท่านก็คงมีวิธีการบางอย่างที่ทำให้นายของท่านมีน้ำและอาหารตกถึงท้องบ้างแหละ...นอกจากนอนเป็นผักเช่นนี้แล้ว นายของท่านยังมีอาการอื่นอีกหรือไม่”
เก้าเทียนรุ่ยได้แต่ส่ายศีรษะเมื่อเห็นว่ารองแม่ทัพขมวดคิ้วเข้าหากันจนหน้าผากย่น “อย่าง...เคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่รู้ตัวนะ” ที่เก้าเทียนรุ่ยคิดว่ามันอาจจะมีและเกี่ยวเนื่องกับกลิ่นที่เขาได้สัมผัสก่อนจะถึงห้องนี้
“ข้ามิรู้ว่าท่านปกปิดในสิ่งที่ข้าถาม หรือมิรู้จริง ๆ กันแน่ หากตอนนี้ข้ามีสองสามอย่างที่อยากจะรู้...ท่านดูแลท่านแม่ข้าดีแล้วใช่หรือไม่ ท่านได้กินอิ่ม ได้พักผ่อนในห้องที่ดีแล้วใช่ไหม” เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ เก้าเทียนรุ่ยก็ค่อยโล่งใจ แต่อย่างไรอีกสักครู่ก็ต้องไปดูท่านแม่ให้ท่านมั่นใจว่าเขายังปลอดภัยดี มิได้ถูก...รองแม่ทัพหน้าตายจับไปขังคุกอย่างที่ขู่เอาไว้ก่อนหน้า
“ข้าจะได้รับค่าปรุงอาหารให้นายของท่านเท่าไหร่”
“หากเจ้าสามารถรักษาท่านแม่ทัพให้หายดีได้...จะให้ข้าเป็นม้า เป็นข้ารับใช้เจ้าไปตลอดชีวิตก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่เจ้าจะต้องการ”“ข้าจะทำเช่นนั้นไปทำไม ให้ท่านอยู่ใกล้ ข้าหายใจออก เอาเงินมิดีกว่าหรือไง อยากได้อะไรก็จะได้ซื้อได้ ดีกว่าที่ท่านกล่าวมาเป็นไหน ๆ ” ในเมื่อเขาอยากที่จะพาท่านแม่หนีไปให้ไกลจากคนพวกนั้น สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือ...การมีเงินให้เพียงพอคือสิ่งที่ดีที่สุดในยามนี้“มิถามเรื่องนี้แล้วก็ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าขอให้ท่านช่วยหาเตียงเล็ก ๆ มาให้ข้าสักหลัง เอามิต้องใหญ่นะ แต่ให้นอนสบาย”“จะเอามาทำไม ห้องที่ข้าจัดให้พักมิดีเพียงพอหรือไง”“ท่านนี่นะ...จะให้ข้ารักษานายของท่านโดยมิรู้อะไรเลยหรืออย่างไรกัน ข้าต้องอยู่ดูแลสังเกตอาการนายของท่านอย่างใกล้ชิดสิ จะได้จัดอาหารให้กินอย่างถูกต้อง จะได้หายเร็ว ๆ มิดีหรืออย่างไร”“ได้! ต้องการสิ่งใดก็บอกมา”“ขอพื้นที่สำหรับปลูกผัก” คิดว่าคนบนเตียงคงจะมิหายภายในสามวันเจ็ดวันเป็นแน่ เดือนหนึ่งก็คิดว่าน่าจะยังเร็วด้วยซ้ำ ในเมื่อจำเป็นต้องอยู่นาน ผักหญ้าที่เตรียมเอาไว้ก็คงจะมิเพียงพอ เขาจำเป็นต้องรีบจัดหามาเพิ่มให้เพียงพอและอย่างเร็วที่สุดด้วย“ส่วนจะปลู
“แย่แล้ว ๆ ต้องรีบหนี” ปากกล่าวเช่นนั้นหากความกลัวทำให้เก้าเทียนรุ่ยตัวสั่น แม้สมองจะสั่งการให้หนีหากตัวกลัวแข็งทื่อราวกับก้อนหิน ยิ่งเมื่อแขนข้างหนึ่งถูกจับเอาไว้ก็ยิ่งทำให้เขาลนลานจนมิรู้ว่าจะทำอย่างไรดี“ปล่อยข้านะ...ปล่อย!” หากยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ แรงที่ทุ่มลงมาบนแขนก็ยิ่งมากเท่านั้น หากมิรีบ...มินานแขนเขาคงจะหักเป็นแน่“ท่านแม่ขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยพยายามข่มกลั้นความกลัวเอาไว้ก่อนจะเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่วเบาที่ดูเหมือนว่าเมื่อเขาลดอาการแข็งขืนลง เมื่อเห็นว่าท่านแม่ทัพหยุดชะงักไป มันก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมา กล้าที่จะเอ่ยต่อไปว่า“ท่าน...ปล่อยข้าเถอะขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยรีบปลดมือที่บีบแขนออกอย่างช้า ๆ โดยที่ดวงตายังคงมองสบกับท่านแม่ทัพอยู่ แม้จะมิใช่คนช่างสังเกตอะไรเลย หากก็ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น เหมือนกับว่าภายในร่างกายของท่านแม่ทัพจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น เขาก็มิรู้ว่าเผลอตัวจับมือแกร่งไปได้อย่างไร“จะอะไรก็ตามที่ท่านมีสติรับรู้และต้านมันอยู่ ข้าเชื่อว่าท่านสู้มันได้แน่นอน ข้าเชื่อเช่นนั้นนะขอรับ”กลิ่น...มันเหมือนจะบางเบาสลับรุนแรงขึ้นเป็นระยะ หากได้ทานผักผสมยาที่ข้าเ
“หากมิกลัวว่าข้าบีบจมูกไปแล้วอาจทำให้ท่านสิ้นลมได้นะ...ข้าบีบจมูกท่านแล้วเอาน้ำผักผสมยาเคี่ยวกรอกปากแล้ว” มีทางไหนให้เขาป้อนน้ำผักเคี่ยวกับแม่ทัพใหญ่บ้างไหม คิดอยู่เป็นนานก็ค้นพบว่ามีอยู่หนึ่งวิธีที่ได้ผลแน่ หากเขานี่แหละ จะกล้าทำหรือเปล่า นั่นเท่ากับเขาต้องเสีย...หากสุดท้ายแล้วเมื่อเห็นว่ามิมีทางใด เก้าเทียนรุ่ยก็ได้แต่กลอกตาไปมา ขณะเป่าน้ำสีดำเข้มที่กลิ่นมิทำให้เขาอยากจะกลืนลงท้องเลยมาอมไว้แล้วป้อนให้ท่านแม่ทัพใหญ่“ข้าจะคิดค่าป้อนท่าน หนึ่งครั้งเท่ากับหนึ่งก้อนทอง” เขาเอ่ยด้วยความหงุดหงิดใจ ก็ตัวเขาในชาติภพนี้ อย่าว่าแต่ภรรยาเลย แม้กระทั่งคู่หมายก็ยังมิมี หากตอนนี้ต้องมาเสียจูบแรกและจูบที่สองให้กับท่านแม่ทัพปีศาจผู้นี้ไปแล้ว...เขาจะต้องคิดค่าเสียหายให้คุ้มค่าเก้าเทียนรุ่ยรีบจัดการป้อนผักผสมยาด้วยปากต่อปากไปอีกสองครั้ง หากครั้งที่สองทำให้เขาถึงกับตื่นตะลึงทำอันใดมิถูก ด้วยว่ามีคนมาเห็นวิธีการนี้ของเขาถึงสองคน!“เอ่อ...คือว่า...” ทั้งที่การกล่าวความจริงออกไปก็มิได้เป็นแปลกอันใด หากเพราะเขาเขินอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำตัวมิถูก จึงได้แต่หลบซ่อนใบหน้าที่มันคงจะแดงไปมองคนบนเตียง“ท่านก
“นี่ท่าน!” เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กัดฟันกรอด ๆ “หากมิเชื่อก็คอยดูละกัน อีกสักสองสามวัน นายของท่านจะต้องลุกขึ้นมาเอ่ยชวนท่านประมือเป็นแน่...มาก็ดีแล้ว ช่วยประคองนายของท่านลุกขึ้นนั่งหน่อยละกัน ข้าจะได้ป้อนยาให้สะดวก ๆ หน่อย” เขาจะได้ไม่ต้องป้อนแบบปากต่อปากอีก แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ มิค่อยมั่นใจเอาเสียเลย หางตามันกระตุกถี่ระรัวอย่างไรพิกล“เอ้อร์เอ๋อร์”“มิเป็นไรขอรับท่านแม่” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้าให้กับท่านแม่ที่ยังออกอาการหวาดผวาอย่างชัดเจน คิดว่าหลังจากนี้เขาคงจะต้องไถ่ถามให้ได้รู้ความ เหตุใดท่านแม่ถึงได้เกรงกลัวต่อแม่ทัพปีศาจที่ยังมิฟื้นเช่นนี้“เจ้าว่า...เมื่อครู่ได้ประมือกับท่านแม่ทัพใหญ่”“ฮื่อ” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับ ขณะเริ่มป้อนผักเคี่ยวสูตรพิเศษให้กับท่านแม่ทัพที่วันนี้มิรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่ ทำไมแม่ทัพตัวร้ายถึงไม่ยอมกินยา ทำต้องกลั่นแกล้งเขาเช่นนี้ด้วย...“ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่...แม่ทัพของท่านแกล้งข้า” เก้าเทียนรุ่ยกล่าวน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ เพราะมิว่าจะทำอย่างไรท่านแม่ทัพก็มิยอมกินผักเคี่ยวยาสูตรพิเศษก็ยังคงเหลือเท่าเดิม“ท่านแม่ทัพคงจะชอบของแปลก”ท
“แม่รู้แล้ว”“ท่านบอกลูกน้องด้วยนะท่านรองแม่ทัพ ให้คอยดูแลช่วยเหลือแม่ข้า อย่าให้แม่ข้าต้องเหนื่อย มิเช่นนั้นข้าจะให้ท่านแม่ทัพเอาเรื่องพวกเจ้า!”“เจ้าคิดว่าทำได้ รู้หรือไม่ บ้านมีกฎบ้าน ทหารก็มีกฎของทหาร”“ก็พอรู้นิดหน่อย แต่ท่านควรจะรู้นะท่านรองแม่ทัพ...ผักพวกนั้นเป็นอาหารและวัตถุดิบที่ใช้ผสมทำยารักษานายของท่านให้หาย หากดูแลมันมิดี เติบโตไม่ทันท่วงที นายของท่านนั่นแหละที่จะมีปัญหา” เอาสิ...ศึกนี้ใครมันจะเป็นฝ่ายมีชัย“มิต้องห่วง ข้าจะเป็นคนคอยดูแลท่านแม่เจ้าให้เอง”“รับปากแล้วทำมิได้ ท่านก็เป็นลูกเต่า”“เอ้อร์เอ๋อร์”หากเก้าเทียนรุ่ยเลือกที่จะมิสนใจคำตักเตือนของท่านแม่และยังส่งยิ้มออดอ้อนไปอีก “หากมิเป็นการรบกวนท่านรองแม่ทัพจนเกินไป...ช่วยนำถังอาบน้ำพร้อมกับน้ำที่ต้มพออุ่นมาให้ข้าด้วยนะขอรับ”หากจำมิผิด มีบางตัวยาที่เผลอหยิบมาโดยมิตั้งใจเมื่อวันไปหาซื้อยากับรองแม่ทัพยังอยู่ในกระเป๋าย่าม ตอนนี้ท่านแม่ทัพเริ่มจะรู้สึกตัวแล้ว เขาควรเร่งฟื้นฟูร่างกายเพิ่มเติม“เจ้าคิดทำสิ่งใด”“ในเมื่อท่านมอบอำนาจในการรักษาท่านแม่ทัพให้ข้าแล้ว...ข้าจะทำสิ่งใดเพื่อให้นายของท่านหาย มันก็ล้วนขึ้นอยู่กับข้า
“คนอะไรจะหนักขนาดนี้เนี่ย” เก้าเทียนรุ่ยอดบ่นมิได้ เพราะน้ำหนักที่ทิ้งลงมาทำให้เขายืดตัวแทบมิขึ้น สองขาก็สั่น หากเพียงแค่ลมหายใจมิทันจะหมด ความหนักที่เจอก็ลดน้อยลงไปและยังจะพาท่านแม่ทัพไปที่ถังน้ำได้โดยง่ายอีกด้วย“หากมิคิดว่าคนข้างนอกจะรีบเข้ามาจับกุมข้านะ ข้าจะปล่อยให้ท่านล้มคะมำหัวจุ่มลงไปในถังน้ำอุ่นผสมยาไปเลย” หากสิ่งที่เขาทำได้นะหรือ พยายามประคองร่างที่สูงเพรียวเอาไว้ ขณะเดียวกันก็พยายามยกขาของอีกฝ่ายให้เข้าไปอยู่ในถังน้ำอุ่นผสมยาที่กว่าจะเสร็จ ก็ทำเอาเก้าเทียนรุ่ยถึงกับได้เหงื่อจัดให้อีกฝ่ายแช่น้ำอุ่นผสมยาสมุนไพรพร้อมกับจัดท่าทางให้ท่านแม่ทัพจมอยู่ในน้ำยามากที่สุดได้แล้ว เก้าเทียนรุ่ยก็ยืนหายใจหอบแรงอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปจุ่มมือลงไปในน้ำก็เห็นว่าสำหรับท่านแม่ทัพใหญ่คงจะกระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนได้ดี หากสำหรับตัวเขาแล้วมันร้อนไปสักเล็กน้อย หากทำอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ลงแช่สมุนไพรเพื่อช่วยนวดกระตุ้นร่างกายให้อีกฝ่ายคงจะ...มิไหว จะใช้มือตักน้ำมาราดรดบนไหล่ แผ่นหลังและหน้าอกบางส่วนอาจจะทำให้มือมีปัญหาได้ น่าจะต้องใช้ผ้าผืนเล็กมาช่วย คิดได้อย่างนั้นก็รีบไปค้นหาผ
ท่าน...ท่านแม่ทัพจูบเขา!เป็นไปได้ยังไง...เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง หากเมื่อตั้งสติได้ก็รีบทาบมือผลักร่างหนาแกร่งให้ออกห่าง ทว่า...ยิ่งผลักดันกลับยิ่งถูกรัดให้แนบชิดมากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำของกายท่านแม่ทัพอื้อ...เก้าเทียนรุ่ยพยายามประท้วง หากเมื่อเจอกับสัมผัสที่หนักหน่วง รุกเร้าและเอาแต่ใจ จูบที่ดูดดื่มเหมือนกำลังขโมยลมหายใจไป เขาเลยจำใจปล่อยให้ท่านแม่ทัพทำอย่างที่ใจต้องการหรือ...ก็มิใช่เขาแล้วล่ะ!นี่แนะ!ในเมื่อมือถูกรัดเอาไว้จนทำอะไรไม่ได้ หากเท้ายังว่างอยู่นี่น่า เก้าเทียนรุ่ยก็เลยต้องรีบเตะออกไป ทว่า...นอกจากจะมิหลุดออกจากอ้อมกอดของท่านแม่ทัพแล้ว เขายังจะเจ็บเท้าและยังจะถูกรัดจนร่างแทบจะจมหายไปในอกกว้างยิ่งกว่าเดิมด้วยยิ่งต่อต้านก็ยิ่งถูกกอดรัดแนบชิดกายแกร่งและยังจะถูกจูบอย่างหนักหน่วงจนเข่าอ่อน ท่านแม่ทัพก็เลยจับเอาขาทั้งสองของเขาให้โอบรัดรอบเอวเพื่อที่ตนเองจะได้กอดและจูบกันอย่างถนัดถนี่มากขึ้น แม้อยากจะต่อต้านมิยอมให้อีกฝ่ายจูบได้ง่าย ๆ หากเขาก็ทำอะไรมิถูกและยังจะถูกอีกฝ่ายจับทางเอาไว้ได้หมด ท่านแม่ทัพขบกัดกลีบปากสลับบดคลึง ก่อนจะสอด
“ยังมิได้รังแก...เลย”“ก็ที่ท่านทำอยู่นี่ไง” เก้าเทียนรุ่ยได้แต่ข่มกัดฟันโต้ตอบกลับไปเสียงสั่น ด้วยนิ้วของท่านแม่ทัพที่เคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายมันทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ จนแทบมิกล้าหายใจ“มิได้รังแก แค่...อยากกินเจ้า”ว่าแล้วท่านแม่ทัพก็โน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนไหล่และขบกัด!“ท่าน!”“อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าถูกรังแก”ปากหนาขบกัดเคลื่อนวนเวียนไปมาบนผิวเนื้อเนียนนุ่ม ขณะที่มือก็เริ่มลูบไล้จากหน้าอกเคลื่อนลงไปทีละน้อย...ทีละน้อย หยอกเย้ากับพุงน้อย ๆ จนเขาเริ่มหายใจมิทั่วท้อง“หรืออย่างนี้...”“ไม่! หยุดนะท่านแม่ทัพ” เก้าเทียนรุ่ยรีบร้องเรียกเสียงดังก่อนที่นิ้วยาวจะสอดเข้าไปใต้กางเกง“หือ...แลกเปลี่ยน”อะไรกันอีกละเนี่ย! เก้าเทียนรุ่ยได้แต่มึนงงจนคิดอะไรมิออก “ข้าหยุดรังแก...เจ้าจะให้สิ่งใดล่ะ”“แล้ว...แล้วแต่ท่านต้องการ” ตอนนี้ไม่ว่าจะต้องแลกกับสิ่งใด เขาคิดว่าควรจะต้องตอบตกลงไปก่อน เพราะมันดีกว่าถูกท่านแม่ทัพปีศาจกินเต้าหู้จนมิเหลือ“จริง”“ฮื่อ...ข้ารับปาก” ว่าจะมิทำตามที่กล่าวและจะรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดด้วย“มิน่าเชื่อ...เท่าไหร่”โว้ย! อะไรกันวะเนี่ย เก้าเทียนรุ่ยได้แต่งึมงำแผ่วเบา พลา
“ท่านแม่” “เอ้อร์เอ๋อร์”เรียกได้ว่า เมื่อเห็นเขาเปิดประตูห้องเข้าไปและร้องเรียก ท่านแม่ก็รีบพาร่างบอบบางพุ่งตรงมาหาในทันที สองมือเล็กเหี่ยวนุ่มเย็นจัดเช่นเดียวกับใบหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระคนวิตกกังวลมิแพ้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ มันทำให้เขารู้สึกมิค่อยดี หรือว่าท่านแม่...“ท่านแม่เจอ...แล้วหรือขอรับ” หากเจอกันแล้ว ยามที่เขาเจอกับบุรุษผู้นั้นมันต้องมีอะไรบางอย่างที่บอกให้รู้บ้างสิ แต่เท่าที่เห็น...จากความคิดของเขาเอง แม้จะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งเพียงใด แต่การได้เจอกับบุตรชายที่ได้ตายไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตกใจ...สงสัยและบังคับเอาคำตอบแน่นอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือบุรุษผู้นั้นมิได้สนใจในตัวเก้าเทียนรุ่ยที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด แทบจะมิปรายตามองด้วยซ้ำไป“แม้จะเห็นเพียงแค่ไกล ๆ ถึงการอยู่ด้วยกันจะมิได้รับการเอาใจใส่ แต่อย่างไรก็สามีภรรยากัน มีหรือที่แม่จะจดจำคนผู้นั้นมิได้ แม่รีบหลบมาอยู่แต่ในห้อง อยากจะไหว้วานนายทหารให้ส่งข่าวให้เอ้อร์เอ๋อร์รู้ แต่ก็กลัวจะถูกสงสัย เลยได้แต่รอด้วยความร้อนใจเช่นนี้”“ท่านแม่ไว้วางใจได้ขอรับ นอกจากเขาจะจำข้ามิได้แล้ว เขายังไม่
นิ้วยาวลากไล้บนท่อนแขนกำยำอย่างแผ่วเบาพลางพึมพำออกมาว่า “แผลที่แขนสมานกันดีจนแทบมิเห็นรอยบาดแผลแล้ว ยาใส่แผลของข้าช่างได้ผลดียิ่งนัก” มิน่าเชื่อว่ายาเหล่านั้นจะทำให้บาดแผลหายเร็วเช่นนี้ มันช่างแปลกประหลาดเหลือที่จะกล่าว แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการดียิ่งเก้าเทียนรุ่ยลุกขึ้นเพื่อไปตรวจดูแขนอีกข้างของท่านแม่ทัพอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่คนอย่างเขาจะทำได้ แต่นอกจากบาดแผลจากการสู้รบและฝึกฝนฝีมือที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้วก็มิเห็นว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติไปเลยแม้แต่นิดเดียว“เจ้าหนอนแดงนั่นมันหลบซ่อนอยู่ตรงไหนกันนะ มันต้องมีร่องรอยบ้างสิ ข้าต้องหาเจอสิน่า” เก้าเทียนรุ่ยบ่นพึมพำพลางกวาดสายตามองแขนท่านแม่ทัพอย่างมิให้คลาดสายตาแม้สักจุดเดียว ก่อนจะเลยไปถึงแผงอกกว้างกำยำที่ดูอย่างไรก็เห็นจะมีเพียงแค่ร่องรอยของบาดแผลทั้งเก่าและใหม่มิมีร่องรอยของสิ่งที่ค้นหาอยู่เลย“คิดว่ามันจะยอมให้หาเจอง่าย ๆ หรือไง กระทั่งตัวข้าเองที่มีมันอยู่ในร่างกายยังมิรู้เลยนะ”“จะซ่อนให้ดียังไง มันก็หนอนที่ไร้ความคิดนะขอรับ จะปกปิดซุกซ่อนอย่างความคิดของคนได้ยังไงกันล่ะ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยออกไปขณะเดียวกันสำรวจร่างกายคนตรงหน้าอย่างละเอียด
แย่เข้าไปใหญ่ ทำอย่างนี้จะมีแต่จะทำให้คนเกลียดเขาเพิ่มมากขึ้นนะสิ หากเทียนรุ่ยก็มิอาจกล่าวสิ่งใดออกไปได้ นอกจาก“ใจเย็นก่อนนะขอรับท่านพี่ ที่ข้ากล่าวออกไปเพราะอยากให้ท่านคิดไตร่ตรองให้ดี อย่าทำสิ่งใดให้ศัตรูที่ยังหลบซ่อนกายอยู่ล่วงรู้”“ข้าคงเร่งรีบมากจนเกินไปจึงทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ ขอบใจที่เตือนข้านะอาซวง นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้อาซวงกังวลใจอยู่อีก ใช่หรือไม่”หากจะบอกว่ามิใช่...ย่อมเป็นไปมิได้ “เพราะเรามิรู้ว่าศัตรูอยู่ไกลหรือวางคนอยู่ใกล้ตัวเพียงใด การฟื้นมาของท่าน คนเหล่านั้นอาจจะล่วงรู้และเตรียมตัวรับมือไว้แล้วก็เป็นไปได้ การเดินทางรอนแรมทั้งที่ร่างกายเพิ่งจะฟื้นได้มินาน อาจจะทำให้หนอนแดงที่ข้าคิดว่ายังคงถูกฝังอยู่ในตัวท่านตื่นขึ้นมาเล่นงานอีกนะขอรับ ข้ากลัวท่านจะรับมือมันมิไหว” หากครั้งนี้ล้มหมดสติไปอีก ดูท่าว่าการจะทำให้ฟื้นขึ้นมาคงเป็นไปได้ยาก“หากมีอาซวงอยู่ด้วย ข้าย่อมมิกลัวสิ่งใด”“เอ่อ...” สายตาคู่นั้นมันช่างทำให้เขารู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวและหัวใจก็เต้นไหวอย่างรุนแรงด้วย นี่เขาเป็นอันใดไป“แม้ว่าเราจะเพิ่งพบเจอกัน หากข้าเชื่อว่าอาซวงจะมิทำร้ายข้า”สง
“ใช่แล้วลิ่วหลาง นับตั้งแต่เจ้าล้มป่วย เต่าน้อยเองก็ล้มป่วยเช่นกัน หากทั้งหมอหลวงจางและราชครูเหลิ่งกลับมิยอมบอกเรื่องนี้กับผู้ใด นี่หากว่ามิแอบได้ยินหมอหลวงจากกล่าวเรื่องเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านเรื่องยาที่ให้ไปหามา ข้าก็คงมิล่วงรู้ ข้าร้อนใจมากด้วยมิรู้ว่าจะบอกเรื่องนี้กับผู้ใดได้บ้าง”“ในราชสำนักน่าจะมีผู้ที่อยู่ฝั่งหมอหลวงจางและเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านอยู่มิน้อย”“มิต้องสนใจเรื่องใด กลับไปทำหน้าที่ของเจ้า...สุขภาพข้ายามนี้พอจะเดินทางไกลได้ไหมอาซวง”“ท่านเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเองนะขอรับ หากเดินทางไกล ข้ากลัวว่า...”“หากอาซวงจะร่วมเดินทางไปด้วย”เรื่องที่ได้รู้คงทำให้ท่านแม่ทัพร้อนใจมิใช่น้อย หากว่า...ยามนี้ยังเดินทางไกลมิได้จริง ๆ หากการรักษามิต่อเนื่อง อาจจะทำให้ร่างกายที่ดีขึ้นแล้วทรุดลงอย่างรวดเร็วจนอาจจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายได้“จะยังไงมันก็ยังมิควรนะขอรับ”“มิมีหนทางอื่นใดช่วยได้เลยหรือท่านหมอ”ซูเหย้าน่าจะพอรู้แล้วว่าท่านแม่ทัพจะเดินทางไปที่ใด“ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาอย่างไรเล่า แค่นี้ก็แก้ไขมิได้”ท่านแม่ทัพมองโหยวเจียนด้วยสายตาเยียบเย็น แต่กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า“ข้ารู้ว่าอาซว
“ลิ่วหลาง! ในที่สุด เจ้าก็ฟื้นแล้ว”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดที่นั่งอยู่ โหยวเจียนก็เอ่ยเสียงดังราวกับจะให้ได้ยินไปทั่วจวน พร้อมกันนั้นก็รีบเดินตรงลิ่วไปหาท่านแม่ทัพราวกับลมพัด หากกำลังจะยื่นมือไปจับกายแกร่งที่ยามนี้ผอมจนแทบจะมีเพียงแค่หนังหุ้มกระดูก แต่ท่านแม่ทัพกลับเบี่ยงกายหนีและยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด“หากเจ้ายังทำเสียงดังเช่นนี้อีก ก็กลับไปเสีย มิต้องมาให้เห็นหน้า”ก็พอจะคาดเดาได้ว่าท่านแม่ทัพเป็นผู้ที่มิสนใจผู้ใด ยกเว้นก็เพียงแค่ชิงชวน อ้ายฉีและน่าจะมีผู้ที่ถูกเรียกว่าเต่าน้อย แต่คิดมิถึงว่าจะกล่าวกับโหยวเจียนเช่นนี้ด้วยคนถูกไล่ตอนแรกก็มีสีหน้ามิค่อยดีสักเท่าไหร่ คงจะอับอายด้วยว่ามีผู้อื่นเช่นเขาและซูเหย้าที่เดินตามหลังมาอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าปอดเท่านั้น ใบหน้าที่แดงด้วยโทสะก็คลี่ยิ้มเช่นเดิม ทำราวกับเมื่อครู่มิได้ยินสิ่งใด“ก็ข้าดีใจที่เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าหมอผู้นี้ทำหน้าที่ของตนได้สมกับที่รับปากไว้ มิเสียแรงที่ข้ายอมเสียงเงินถึงหนึ่งกำปั่นเพื่อให้นำมาซื้อยารักษาเจ้า”ยามได้ยิน เขาคิดว่าโหยวเจียนจะโอ้อวดว่าตนเองมั่งมีเงินทองและอาศัยการจ่ายเงินในครั้งนี้ทวงบุญ
‘ดีมากอาซวง...เจ้าช่างรู้ใจข้าเสียยิ่งนัก’ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ เขาจะต้องคิดหาวิธีไล่สองคนนี้ออกไปจากห้องก่อนจะทนมิไหว ทำแผนของอาซวงพังมิเป็นท่าเอ๊ะ...ดูเหมือนอาซวงจะส่งสัญญาณบอกมาแล้ว เขาก็เลยรีบส่งเสียงที่คำราม พร้อมกับยกแขนและขาฟาดไปฟาดมาหวังว่าจะทำให้ทั้งสองคนที่บุกรุกมาสร้างความรำคาญใจให้เจ็บตัวสักหน่อย หากก็มิสำเร็จอย่างต้องการ ด้วยว่าโหยวเจียนแม้จะอ้วนพี แต่ก็ช่างเป็นคนที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วอย่างคาดมิถึง...เพียงแค่เขายกเท้าขึ้นจะถีบ อีกฝ่ายก็เผ่นไปถึงประตูห้องเสียแล้ว“เสียดาย”“ท่านพี่ว่าอะไรนะขอรับ”“ข้าว่าเสียดายที่ยังมิทันจะได้ถีบโหยวเจียนเลย”อาซวงหัวเราะ “ซูเหย้าผู้นั้นก็ไปเร็วเช่นกัน แต่กว่าจะไปก็ทำเอาข้าถึงกับเหนื่อยเหมือนกัน”“ขอโทษที่ทำให้อาซวงเหนื่อยนะ”มิรู้ว่าเขาจะคิดไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนว่าสายตาของอาซวงที่มองโหยวเจียนและซูเหย้าบ่งบอกว่า...มิไว้วางใจและน่าจะแฝงไว้ด้วยความสงสัยอยู่มิน้อย หากก็ยังคงปกปิดมิยอมเอ่ยปากบอกให้เขารู้ หากนั่นยังมิเท่าสิ่งที่อาซวงบอกมา...‘ในตัวเขา...มีบางสิ่งฝังอยู่!’แม้มิอยากเชื่อ หากเมื่อก้มลงมองแขนที่ได้
“ข้าจะรีบทำให้เสร็จโดยเร็วและจะรีบกลับมา” เก้าเทียนรุ่ยจับแขนแกร่งออกจากกายแล้วดันร่างของท่านแม่ทัพให้ล้มตัวลงนอน ถึงจะมิง่วงเพราะนอนมายาวนานแล้ว แต่อย่างไรร่างกายนี้ก็ยังอ่อนเพลียอยู่ ยังต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อจะได้มีแรงสู้กับสิ่งที่ฝังอยู่ภายในร่าง“เดี๋ยวสิ”เก้าเทียนรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อท่านแม่ทัพจับมือไว้มิยอมปล่อย “มีอะไรอีกหรือขอรับ”อย่างรวดเร็วจนเขามิทันจะได้ตั้งตัว กายแกร่งก็ผุดลุกขึ้นมาพร้อมกับปากหนาที่แนบลงมาบนแก้ม“รีบไปรีบกลับนะ...อาซวง”ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยร้อนผ่าว ขณะที่ดวงตาก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ แม้กระทั่งเดินออกมาแล้วสติก็ยังมิครบครัน ก่อนจะคิดได้ว่า เพราะเขาน่ารัก ท่านแม่ทัพที่เพิ่งจะพบหน้าถึงได้รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดู ถึงได้บอกด้วยการกระทำว่าเป็นพี่ชายที่รักน้องชายผู้นี้เป็นอย่างมาก ที่เขาควรจะต้องเร่งหาทางรักษาอีกฝ่ายให้หายให้เร็วที่สุดเป็นการตอบแทน...ใช่! ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนจะกล่าวถึงฝีมือทำอาหารของอาซวง แม้รสชาติจะจัดจ้านไป…มิน้อย บางครั้งก็แทบจะกลืนมิลง หากรวม ๆ แล้วก็อร่อยอยู่นะ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายต้องคอยเอาอกเอาใจ ป้อนด้วยท่าทางหงุดหงิดที่ทำใ
ช่างกล่าวได้อย่างโหดร้ายมาก นี่นะหรือที่ท่านอ้ายฉีกับชิงชวนกล่าว บุรุษผู้นี้มิอาจจะทำร้ายท่านแม่ทัพได้ จนกว่าจะได้เจอกับผู้ที่หลบซ่อนกายอยู่ ทำอย่างไรเขาก็ยังมิปักใจเชื่อแน่ว่าสองคนนี้จะมิเกี่ยวข้อง“ใจเย็นก่อนท่านโหยวเจียน กล่าวเช่นนี้ไปจะทำให้ท่านหมอขลาดกลัวจนอาจจะทำสิ่งใดผิดพลาดไปได้นะ”“ถ้ามิขู่ให้กลัว แล้วจะรักษาลิ่วหลางอย่างดีหรือไง” โหยวเจียนสะบัดมือด้วยความหงุดหงิดเก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลอกตากับความคิดของคนผู้นี้เสียจริง “ข้าจะดูแลรักษาท่านแม่ทัพให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าผู้น้อยจะทำได้ขอรับท่านโหยวเจียน หากตอนนี้ข้าต้องขออภัยที่จำเป็นต้องให้ท่านทั้งสองคนออกไปจากห้องนี้ก่อน”“นี่เจ้า! เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาไล่ข้า”“หากท่านทั้งสองจะอยู่ ข้าก็มิว่าอันใด แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้น...ท่านจะกล่าวโทษข้ามิได้นะขอรับ”“หมายความว่าอย่างไรหรือหมอ”“คือ...ด้วยยาที่ข้าให้ท่านแม่ทัพกินเข้าไปทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จากที่เคยนอนเป็นผักเน่าก็เคลื่อนไหวได้ แต่การเคลื่อนไหวนี่แหละขอรับที่ทำให้ข้ากลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพวกท่าน” ดูเหมือนว่าวาจาของเขาจะทำให้ท่านแม่ทัพรู้ว่าควรจะต้องทำเช่
“ข้ากำลังจะรายงานนายท่านโหยวเจียนอยู่เลยขอรับ แต่ก่อนนั้นข้าจะต้องไถ่ถามท่านเสียก่อน” คิดจะเล่นงานเขาใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นเขาเล่นงานท่านก่อนละกัน จะเอาให้หมดเนื้อหมดตัวเลย“อะไร”“ท่านมาเยี่ยมท่านแม่ทัพครั้งล่าสุด...นานหรือยังขอรับ”“ก็หลายวันอยู่นะท่านหมอ” เป็นซูเหย้าที่ตอบแทนโหยวเจียนที่ตอนนี้ยังโมโหจนหน้าดำหน้าแดงอยู่ เดี๋ยวจากแดงจะกลายเป็นคล้ำจนดำเพราะต้องเสียเงินให้เขาเป็นกำปั่น“ถ้าเช่นนั้นข้าอยากให้ท่านทั้งสองดูบางสิ่งที่ทำให้ข้ามั่นใจในวาจาที่เคยกล่าวมาตั้งแต่แรก...มิเกินสามวันท่านแม่ทัพจะต้องฟื้นแน่นอน” เพื่อให้ความมั่นใจกับทั้งสองคนตรงหน้าที่เขาจะเรียกเงินเข้ากระเป๋าให้มากที่สุด เก้าเทียนรุ่ยก็รีบกล่าวออกไป“ท่านทั้งสองสังเกตใบหน้าของท่านแม่ทัพสิขอรับ ระหว่างวันนี้กับก่อนหน้านั้นแตกต่างกันหรือไม่” หากมิแตกต่างก็คงจะเกินไปแล้วล่ะ กินอาหารเผ็ดร้อนเข้าไปเสียขนาดนั้น ใบหน้าและริมฝีปากย่อมยังมีสีสันอยู่แล้ว“ท่านว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่”“เจ้าอาจจะเอาสีมาป้ายไว้ก็ได้นี่”“ข้าหรือจะกล้าทำเช่นนั้น หากท่านโหยวเจียนยังมิเชื่อ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องดูผิวกายขอรับ...ครั้งแรกที่ข้าเห็น ก็ยังคิด