ตอนที่ 4
ผู้ร่วมทางคนใหม่
กว่าฝนจะหยุดตกลงมาก็เป็นเวลาเช้าวันใหม่แล้ว ขบวนเดินทางทั้งสองที่หยุดพักหลบฝนตั้งแต่เมื่อคืนต่างก็พากันเตรียมตัวที่จะออกเดินทางกันต่อแล้ว
ยามนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งนัก ราวกับว่าเมื่อวานมิได้มีพายุฝนตกหนักมาก่อน ดั่งคำที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ท้องฟ้าเบื้องหน้าของนางในยามนี้งดงามมากจริง ๆ
กลุ่มก้อนเมฆรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายกับปลาทองที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า
“เสี่ยวหนิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท ที่กำลังตรวจดูสิ่งของที่ถูกลำเรียงขึ้นไปยังรถม้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เจ้าคะ คุณหนู” นางขานรับคำคุณหนูของตนทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะเดินไปที่ทางด้านหน้าทางเข้าอารามที่คุณหนูของนางยืนอยู่
“บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ”
“เจ้าลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ”
สิ้นเสียงของคุณหนูที่เอ่ยออกมา เสี่ยวหนิงก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทันที ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ
“บนท้องฟ้า เมฆปรากฏเป็นรูปปลาทอง เป็นมงคลนักเจ้าค่ะคุณหนู”
“ข้ารู้แล้ว จึงได้เรียกให้เจ้ามองอย่างไรเล่า” นางเอ่ยขึ้นพลางยิ้มอย่างเอ็นดูสาวใช้ของนาง
ไม่เพียงแค่หลิวซือนัวกับเสี่ยวหนิงเท่านั้นที่ได้เห็นเมฆมงคลนี้ เพราะเสียงดีใจและตื่นเต้นของเสี่ยวหนิงเมื่อครู่ทำเอาทุกคนที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้นต่างก็เงยหน้าขึ้นไปมองเมฆมงคลบนท้องฟ้าเช่นเดียวกันหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งคนในขบวนเดินทางอีกขบวนหนึ่ง ซึ่งแม้พวกเขาจะขึ้นม้าเตรียมออกเดินทางกันแล้วก็ยังแหงนหน้าขึ้นมองเมฆมงคลนี้เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะพากันออกเดินทางทันที
พวกเขาไม่ได้มีท่าทีหรือการส่งเสียงดังใด ๆ เช่นขบวนของพวกนาง เพียงแค่จากไปเงียบ ๆ โดยไม่มีแม้แต่คำล่ำลาแม้สักครึ่งคำ
หลังจากที่ขบวนพวกเขาออกไปได้ไม่นาน ขบวนของนางจึงได้ออกเดินทางต่อไปเช่นเดียวกัน
นางและเสี่ยวหนิงนั่งอยู่ในรถม้าตลอดทางมีเพียงแค่แวะลงไปทานอาหารกลางวันและพักเหนื่อยกันเพียงเวลาสองก้านธูปเท่านั้นพวกนางก็พากันออกเดินทางต่อ จากที่เสี่ยวชิงบอกมาคืนนี้พวกนางน่าจะโชคดีมีโรงเตี้ยมให้เข้าพัก ไม่ต้องแวะพักในป่าหรือแถววัดร้างอีก
นี่ก็จวนจะเย็นมากแล้ว ไม่เกินหนึ่งชั่วยามฟ้าก็คงจะมืด ตามที่เสี่ยวชิงบอกพวกนางก็น่าจะไปถึงโรงเตี้ยมที่ว่าก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป
“คุณหนูขอรับ ทางข้างหน้าดูเหมือนจะเป็นขบวนเดินทางที่พักอยู่กับเราเมื่อคืนขอรับ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีปัญหาบางอย่าง” เสียงเสี่ยวชิงเอ่ยบอกนางผ่านจากช่องหน้าต่างของรถม้า
“เช่นนั้น เจ้าก็เข้าไปดูพวกเขาหน่อยเถอะ พวกเราถือโอกาสพักสักเดี๋ยวก็แล้วกัน” นางเอ่ยขึ้นอย่างมีน้ำใจ
ไม่นานรถม้าของหลิวซือนัวก็หยุดลง นางให้เสี่ยวหนิงประคองนางลงมาจากรถม้า ก่อนจะมองไปยังรถม้าของขบวนเดินทางอีกขบวนหนึ่งถึงได้เห็นว่า รถม้าของพวกเขานั้นมีปัญหา ล้อของรถม้าคันนั้นหลุดหายไปไหนก็ไม่ทราบ
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่เพียงรถม้าของพวกเขาเท่านั้นที่มีปัญหา ผู้ที่เคยโดยสารอยู่ภายในก็น่าจะเกิดปัญหาเช่นเดียวกัน ซึ่งนางรู้ดีว่าผู้ที่โดยสาร อยู่บนรถม้าก็คือบุรุษตาบอดผู้นั้นแน่นอน และเขาก็คงเป็นเหตุให้เวลานี่ทุกคนในขบวนเดินทางของเขาและของนางต่างพากันไปยืนมุมอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จนไม่อาจเห็นชายตาบอดผู้นั้นได้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่
นางและสาวใช้คนสนิทแม้จะอยากรู้เหตุการณ์อยู่บ้างแต่ก็เลือกที่จะยืนรั้งอยู่ไกล ๆ เท่านั้น ไม่ได้พากันเดินเข้าไปมุงดูร่วมด้วยแต่อย่างไร
“คุณหนูขอรับ คุณชายของพวกเขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะเพราะตกลงมาจากรถม้าขอรับ”
เป็นเสี่ยวชิงที่เข้ามารายงานนางหลังจากที่เมื่อครู่เขาได้เข้าไปดูอาการของคุณชายท่านนั้น อีกทั้งยังพาผู้ติดตามคนหนึ่งของขบวนข้าง ๆ กลับมาด้วยผู้หนึ่ง
“คาราวะคุณหนู ข้าน้อยกู่เหอขอรับเป็นหัวหน้าขบวนเดินทางของคุณชายในครั้งนี้”
“พวกท่านมีอะไรจะให้พวกข้าช่วยใช่หรือไม่ มีสิ่งใดก็รีบเอ่ยมาเถอะ” หลิวซือนัวเอ่ยถามขึ้น นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องมีสิ่งใดให้นางช่วยแน่ ๆ ถึงได้เข้ามาแนะนำตัวกับนาง ทั้งที่เมื่อคืนนี้ต่อให้จะนำชามาให้เล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นน้ำใจแต่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าพวกเขาอยากจะแนะนำตัวหรือทำความรู้จักใด ๆ กับคนในขบวนของพวกนางเลย
“เช่นนั้นข้าน้อยขอเอ่ยตามตรงเลยนะขอรับ รถม้าเราไปต่อไม่ได้แล้วขอรับ อีกอย่างคุณชายของเราก็ยังได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอีกด้วย แม้แผลจะไม่รุนแรงนักแต่ก็กระทบกระเทือนกับดวงตาที่รักษาอยู่ไม่น้อยทีเดียว หากให้ขึ้นม้าและขี่ไปเกรงว่าจะยิ่งกระทบกระเทือนมากขึ้น จึงอยากจะขอให้คุณชายของข้าน้อยโดยสารรถม้าของคุณหนูไปพร้อมกันกับท่านได้หรือไม่ เมื่อครู่ข้าถามพี่ชิงแล้วเห็นว่าจุดหมายของพวกท่านก็คือโรงเตี้ยมกลางป่าเช่นกัน” กู่เหอร่ายยาวออกมาทันที
แน่นอนว่าเห็นคนเดือดร้อนอีกทั้งยังมาขอให้ช่วยเช่นนี้ นางไม่มีทางที่จะปฏิเสธไม่ช่วยแน่หากว่าตนพอจะช่วยเหลือได้
“ข้ายินดีให้คุณชายของพวกท่านโดยสารไปกับข้าด้วย อีกเดี๋ยวข้าจะให้เสี่ยวหนิงจัดที่ในรถม้าเอาไว้ให้เขา อีกครู่หนึ่งท่านก็พาคุณชายท่านมาเถอะ”
“ขอบคุณ ขอบคุณมากขอรับคุณหนู”
รถม้าเคลื่อนตัวออกมาแล้ว ที่นั่งยาวฝั่งตรงข้ามกับที่นางนั่งอยู่ในเวลานี้ถูกจับจองด้วยบุรุษตาบอดผู้หนึ่ง ซึ่งในยามนี้เขามีผ้าผูกเอาไว้ที่ศีรษะและมีผ้าสีดำผูกเอาไว้ที่ตา ร่างสูงนอนอยู่อีกฝั่งอย่างนิ่งเฉย นางไม่รู้ว่ายามนี้เขาหลับหรือว่าตื่นอยู่กันแน่ แต่หากมองจากการที่เขาไม่ได้ขยับตัวเลยตั้งแต่ถูกพาขึ้นรถม้ามา เป็นไปได้มากว่าเขาอาจจะกำลังหลับอยู่
เพราะผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นผู้นี้มีปัญหาด้านสายตา แน่นอนว่าม่านและหน้าต่างของรถม้าย่อมต้องถูกปิดจนสนิทเพื่อไม่ให้มีแสงรอดเข้ามามากจนเป็นปัญหา แน่นอนว่าเมื่อหน้าต่างถูกปิดสนิทลมและอากาศภายนอกย่อมไม่สามารถผ่านเข้ามาได้เช่นกัน
เพื่อกันไม่ให้ภายในรถม้าอบอ้าวจนเกินไป นางจำต้องให้เสี่ยวหนิงเปลี่ยนไปขี่ม้ากับเสี่ยวชิงแทน ในรถม้ายามนี้จึงมีเพียงแค่นางและบุรุษตาบอดแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่ายามนี้เขาหลับอยู่หรือไม่เท่านั้น
รถเคลื่อนตัวมาเลื่อย ๆ จนกระทั้งเวลาผ่านไปเท่าไหร่นางเองก็ไม่แน่ใจ ทว่าอยู่ ๆ ร่างของบุรุษที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งที่นั่งของนางนั้น อยู่ๆเขาก็เริ่มขยับตัว เขายังคงนอนอยู่เช่นเดิมมีเพียงมือของเขาเท่านั้นที่ยามนางมองไปกลับกำลังกำแน่นคล้ายว่ากำลังอดทนต่ออะไรสักอย่างอยู่
ในรถม้ายามนี้มีเพียงนางและเขา หลิวซือนัวจึงอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นไปดูอาการของเขา อย่างน้อย ๆ หากเขามีอาการอะไรผิดปกตินางก็ยังสามารถเรียกคนของเขามาดูอาการได้ทันท่วงที
นางคุกเข่าลงกับพื้นรถม้าเบื้องหน้าที่มีร่างสูงใหญ่นอนอยู่ เมื่อนางเข้ามาใกล้เขาจึงได้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าและตามร่างกายของเขาเริ่มมีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก ริมฝีปากที่เริ่มซีดเซียวของเขาเริ่มถูกเจ้าตัวขบกัดเอาไว้คล้ายกับว่ากำลังอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดอยู่
“ท่าน ท่าน เป็นอะไรหรือไม่” นางเอ่ยถามเขา ทว่าเจ้าของร่างผอมแห้งก็ ไม่ได้ตอบกลับนางมา นางไม่แน่ใจว่ายามนี้เขายังได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยถามออกไปชัดเจนหรือไม่ จึงได้เลือกที่จะเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ของเขาเอาไว้แทน
ยามที่ได้สัมผัสมือของเขานางจึงรับรู้ได้ว่ามือของเขานั้นร้อนราวกับ ไฟทีเดียว เวลานี้เองนางจึงไม่อาจมองดูเขาอย่างเฉย ๆ ได้อีก หลิวซือนัวตะโกนสั่งให้ขบวนเดินทางหยุดทันที
“หยุดรถเดี๋ยวนี้!!! กู่เหอรีบตามกู่เหอมาเร็วเข้า!!!”
สิ้นเสียงตะโกนของนางรถม้าก็หยุดลงแทบจะในทันที ไม่นานกู่เหอก็เข้ามาในรถม้าตามที่นางเรียก
“คุณชายของเจ้า อยู่ๆ ก็ตัวร้อนขึ้นมา ทั้งยังดูทรมานมากทีเดียวรีบเข้ามาดูเร็วเข้าเถิด” นางเอ่ยพลางจะขยับตัวหลบให้กู่เหอเข้ามาดูอาการของคุณชายของเขาได้อย่างถนัด ทว่ายามที่นางจะลุกขึ้นหลีกทางนั้น มือของนางกับถูกเจ้าของมือใหญ่กุมเอาไว้แน่ไม่ยอมปล่อย ยิ่งนางออกแรงดึงมือของตัวเองออกก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกกุมเอาไว้แน่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ต้องสนใจข้า รีบดูอาการเขาเร็วเข้าเถิด” ในเมื่อเขาไม่ยอมปล่อยมือนางออก หลิวซือนัวจึงทำได้แค่ปล่อยเลยตามเลยไปก่อน
“พิษที่ดวงตาของคุณชายกำเริบขอรับ เพียงแค่กินยานี้ไม่นานอาการก็จะทุเลาลง” กู่เหอรีบเร่งนำยาเม็ดในมือตนป้อนให้คุณชายทันที เมื่อเห็นว่าคุณชายของตนนั้นกุมมือของคุณหนูตรงหน้าไม่ยอมปล่อย
“เช่นนั้นก็เร่งเดินทางต่อเถอะ คุณชายของเจ้าควรได้พักผ่อนดี ๆ โดยเร็ว”
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ อีกอย่าง…ข้าน้อยต้องขออภัยแทนคุณชายด้วยเรื่องที่กุมมือของคุณหนูเช่นนี้…”
กู่เหอเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิดแทนผู้เป็นนายของตนซึ่งยามนี้ยังไม่รู้สึกตัว แต่กลับสร้างความผิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เขาป่วย ข้าเข้าใจได้ ไม่ได้ถือสาหรือถือโกรธอันใดหรอก เร่งเดินทางต่อเถอะ”
ผู้ติดตามหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจเป็นอย่างมาก เตรียมตัวที่จะลงจากรถม้าเพื่อขึ้นม้าเร่งเดินทางต่อ
“อีกอย่าง ฝากบอกเสี่ยวหนิงด้วยว่าข้าไม่เป็นอะไร นางไม่ต้องลงจากม้าเข้ามาดูข้าหรอก” หลิวซือนัวไม่ลืมที่จะฝากคำพูดไปยังสาวใช้คนสนิทของนางที่นางคิดว่าเมื่อกู่เหอลงรถไปแล้ว คนต่อมาที่จะรีบร้อนเข้ามาก็คงไม่พ้นเสี่ยวหนิงเป็นแน่ และหากนางเข้ามาเห็นว่านางถูกบุรุษไม่ได้สติกุมมือเอาไว้แน่นเช่นนี้เสี่ยวหนิงจะต้องโวยวายขึ้นมาแน่ ๆ
หากเป็นอย่างนั้นย่อมจะเป็นปัญหาทำให้การเดินทางล่าช้าลงอีก เพราะฉะนั้นไม่ให้เสี่ยวหนิงเข้ามาเห็นเลยจะดีเสียกว่า อีกอย่างมือหนาที่กุมมือนางเอาไว้อีกไม่นานก็คงจะปล่อยมือนางไปเองหลังจากที่ยาที่กู่เหอให้เขาทานไปเมื่อครู่ออกฤทธิ์แล้ว
ตอนที่ 5น้ำใจของนาง อาจเป็นเพราะยาที่กู่เหอให้คุณชายของเขาทานไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ทำให้มือหนาที่เคยกุมมือของนางเอาไว้แน่ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงทว่าเขาก็ยังคงจับมือของนางเอาไว้อยู่ หลิวซือนัวค่อย ๆ ดึงมือของนางออกจากมือใหญ่ของเขาอย่างช้า ๆ ครั้นอยู่ ๆ เจ้าของมือหนาที่เคยเกาะกุมมือนางเอาไว้แน่นราวปอกเหล็ก ก็สะบัดมือนางออกทันที ทั้งยังผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วทั้งที่นางสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า เวลานี้เขาไร้เรี่ยวแรงเพียงใดแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมานั่งจนได้ “ท่านรีบร้อนลุกขึ้นมาเช่นนี้ ร่างกายท่านอาจจะยังรับไม่ไหว หากหมดสติลงไปอีก ข้าว่าคงจะไม่ดีแน่” หลิวซือนัวเอ่ยขึ้น นางลุกขึ้นไปนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของรถม้าซึ่งตรงกันข้ามกับที่ร่างสูงของบุรุษตาบอดนั่งอยู่ “เจ้าเป็นใครกัน” เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงแหบแห้ง ทุกคำพูดในยามนี้ของเขาถูกเอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก “ข้าก็คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่หลบพายุอยู่ที่อารามร้างเช่นกันกับท่านเมื่อ คืน” นางเอ่ยตอบกลับไปอย่างใจเย็น จู่ ๆ ครั้งหนึ่งยามที่นางมองไปทางเขา เมื่อครู่กับรู้สึกสงสารเวทนา เขาข
ตอนที่ 6โรงเตี้ยมกลางป่า "บ่าวทำตามที่คุณชายสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" กู่หรูรายงานผู้เป็นนายของนาง "คุณหนูหลิวยังฝากบ่าวมาบอกท่านอีกว่า ระหว่างท่านกับนางไม่ได้มีผู้ใดติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณใด ๆ ต่อกันอีกเจ้าค่ะ" กู่หรูเมื่อรายงานเรื่องทั้งหมดแล้ว ครั้นเมื่อเห็นคุณชายของนางยังคงนิ่งเงียบอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนควรออกไปได้แล้ว นางจึงโค้งนำนับครั้งหนึ่งก่อนจะออกจากห้องพักของผู้เป็นนายไป ปล่อยให้กู่เหอพี่ชายนางอยู่ค่อยรับใช้คุณชายต่อเพียงผู้เดียว เหตุที่อวี้หนานไห่นิ่งเงียบเช่นนี้เพราะเขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขารู้ดีว่าคุณหนูหลิวที่กู่หรูเอ่ยถึงเมื่อครู่นางเข้าใจดีว่าเขาต้องการสิ่งใดจึงให้คนนำชาชั้นดีไปให้นาง ตั้งแต่ที่วัดร้าง เขาเองด้วยความที่ระวังตัวมาก จึงได้ให้กู่เหอนำชาสมุนไพรชั้นดีไปให้อีกขบวนหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ของเขาและยอมที่จะทนหนาว ทุกคนในขบวนของคุณหนูหลิวไม่มีใครใส่ใจหรือตกใจกับชาชั้นดีเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาต่างก็ถูกฝึกมาอย่างดี คุณหนูหลิวผู้นี้ก็ไม่ใช่สายของโจรป่าที่กำลังระบาดหนักอยู
ตอนที่ 7ปราการด่านสุดท้าย "รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ "หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น "ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน
ตอนที่ 8ไม่ไร้หนทาง นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ" เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป
ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว
ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย
บทนำ เริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง ความทรงจำอันแสนเศร้า การใช้ชีวิตอย่างลำบากยากเข็น ตลอดระยะเวลายี่สิบห้าปีที่ผ่านมาได้จบลงแล้ว จบลงด้วยความน่าเวทนาอย่างสุดแสน แม้จะเลื่อนรางเต็มที ทว่านางกลับยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้อย่างแจ่มชัด วันนั้นเป็นวันที่มีฝนตกลงมาในช่วงค่ำ นางจำได้ว่าในขณะที่กำลังรอข้ามถนนหลังจากเพิ่งเลิกงาน จู่ ๆ ก็มีรถพุ่งเข้ามาชนนางจนเสียชีวิต หยาดฝนที่ตกลงมาเป็นสายรวมตัวกันกลายเป็นแอ่งน้ำที่ไหลนองอยู่เต็มพื้น นางจำได้ดีว่าเลือดในกายของนางไหลรวมไปกับน้ำสกปรกเหล่านั้นมากมายเพียงใด มันมากพอที่ทั่วทั้งบริเวณนั้นจะเต็มไปด้วยเลือดแดงฉานน่าหวาดกลัว ร่างของนางนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นที่ทั้งเย็นทั้งแข็งและเปียกชื้น เม็ดฝน เม็ดแล้วเม็ดเล่าตกลงมากระทบใส่ร่างของนางจนรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งตัว นางในยามนั้นสิ้นใจอย่างอเนจอนาถยิ่ง แต่จิตสุดท้ายกลับรู้สึกโกรธแค้นในโชคชะตาของตนนั้นเป็นที่สุด สวรรค์ให้นางเกิดเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องทำงานหนักสู้ชีวิตอย่างอยากลำบากก็ ช่างเถอะ ไฉนจึงต้องให้นางมาตายเช่นนี้ด้วย ทั้งชีวิตนี้แสนเศร้านักได
ตอนที่ 1ข้านี่แหละหลิวซือนัว สิบเอ็ดปีมาแล้วที่นางอยู่ในมิตินี้ในฐานะหลิวซือนัว ทุกอย่างในชีวิตราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง นางมีครอบครัวใหญ่ที่แสนอบอุ่น อีกทั้งนางยังเป็นที่รักของคนในครอบครัวเป็นอย่างมาก ทุกคนในสกุลหลิวล้วนแล้วแต่ดูแลนางอย่างดีราวกับประคองไว้บนมือก็กลัวจะตก อมไว้ในปากก็กลัวจะละลาย ไม่มีสิ่งใดที่นางต้องการแล้วจะไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางได้รับล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินหรือสิ่งของต่าง ๆ รวมไปถึงเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นเลิศทั้งสิ้น ชีวิตของนางต่างจากโลกเดิมอย่างชัดเจนราวกับหลังมือเป็นหน้ามือ จากที่เคยขัดสนกลับมั่งมีมากมายล้นเหลือ จนทำนางเผลอคิดไปว่าหรือชีวิตใหม่ในมิตินี้จะเป็นสิ่งที่สวรรค์ตั้งใจมอบแก่นาง ถึงกระนั้นนอกจากทรัพย์สินมากมายและครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว ดูเหมือนจะมีสิ่งหนึ่งที่นางอยากจะให้เป็นเช่นเดิมเหมือนในมิติก่อน นั่นก็คือในมิติก่อนนางกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ทว่าในมิตินี้เพียงแค่จิบชาไปหนึ่งถ้วยกับรู้สึกว่าตนอ้วนขึ้นเสียอย่างนั้น เหล่าแม่นางคุณหนูทั้งหลายในเมืองนี้ล้ว
ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย
ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว
ตอนที่ 8ไม่ไร้หนทาง นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ" เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป
ตอนที่ 7ปราการด่านสุดท้าย "รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ "หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น "ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน
ตอนที่ 6โรงเตี้ยมกลางป่า "บ่าวทำตามที่คุณชายสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" กู่หรูรายงานผู้เป็นนายของนาง "คุณหนูหลิวยังฝากบ่าวมาบอกท่านอีกว่า ระหว่างท่านกับนางไม่ได้มีผู้ใดติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณใด ๆ ต่อกันอีกเจ้าค่ะ" กู่หรูเมื่อรายงานเรื่องทั้งหมดแล้ว ครั้นเมื่อเห็นคุณชายของนางยังคงนิ่งเงียบอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนควรออกไปได้แล้ว นางจึงโค้งนำนับครั้งหนึ่งก่อนจะออกจากห้องพักของผู้เป็นนายไป ปล่อยให้กู่เหอพี่ชายนางอยู่ค่อยรับใช้คุณชายต่อเพียงผู้เดียว เหตุที่อวี้หนานไห่นิ่งเงียบเช่นนี้เพราะเขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขารู้ดีว่าคุณหนูหลิวที่กู่หรูเอ่ยถึงเมื่อครู่นางเข้าใจดีว่าเขาต้องการสิ่งใดจึงให้คนนำชาชั้นดีไปให้นาง ตั้งแต่ที่วัดร้าง เขาเองด้วยความที่ระวังตัวมาก จึงได้ให้กู่เหอนำชาสมุนไพรชั้นดีไปให้อีกขบวนหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ของเขาและยอมที่จะทนหนาว ทุกคนในขบวนของคุณหนูหลิวไม่มีใครใส่ใจหรือตกใจกับชาชั้นดีเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาต่างก็ถูกฝึกมาอย่างดี คุณหนูหลิวผู้นี้ก็ไม่ใช่สายของโจรป่าที่กำลังระบาดหนักอยู
ตอนที่ 5น้ำใจของนาง อาจเป็นเพราะยาที่กู่เหอให้คุณชายของเขาทานไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ทำให้มือหนาที่เคยกุมมือของนางเอาไว้แน่ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงทว่าเขาก็ยังคงจับมือของนางเอาไว้อยู่ หลิวซือนัวค่อย ๆ ดึงมือของนางออกจากมือใหญ่ของเขาอย่างช้า ๆ ครั้นอยู่ ๆ เจ้าของมือหนาที่เคยเกาะกุมมือนางเอาไว้แน่นราวปอกเหล็ก ก็สะบัดมือนางออกทันที ทั้งยังผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วทั้งที่นางสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า เวลานี้เขาไร้เรี่ยวแรงเพียงใดแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมานั่งจนได้ “ท่านรีบร้อนลุกขึ้นมาเช่นนี้ ร่างกายท่านอาจจะยังรับไม่ไหว หากหมดสติลงไปอีก ข้าว่าคงจะไม่ดีแน่” หลิวซือนัวเอ่ยขึ้น นางลุกขึ้นไปนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของรถม้าซึ่งตรงกันข้ามกับที่ร่างสูงของบุรุษตาบอดนั่งอยู่ “เจ้าเป็นใครกัน” เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงแหบแห้ง ทุกคำพูดในยามนี้ของเขาถูกเอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก “ข้าก็คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่หลบพายุอยู่ที่อารามร้างเช่นกันกับท่านเมื่อ คืน” นางเอ่ยตอบกลับไปอย่างใจเย็น จู่ ๆ ครั้งหนึ่งยามที่นางมองไปทางเขา เมื่อครู่กับรู้สึกสงสารเวทนา เขาข
ตอนที่ 4ผู้ร่วมทางคนใหม่ กว่าฝนจะหยุดตกลงมาก็เป็นเวลาเช้าวันใหม่แล้ว ขบวนเดินทางทั้งสองที่หยุดพักหลบฝนตั้งแต่เมื่อคืนต่างก็พากันเตรียมตัวที่จะออกเดินทางกันต่อแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งนัก ราวกับว่าเมื่อวานมิได้มีพายุฝนตกหนักมาก่อน ดั่งคำที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ท้องฟ้าเบื้องหน้าของนางในยามนี้งดงามมากจริง ๆ กลุ่มก้อนเมฆรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายกับปลาทองที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า “เสี่ยวหนิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท ที่กำลังตรวจดูสิ่งของที่ถูกลำเรียงขึ้นไปยังรถม้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “เจ้าคะ คุณหนู” นางขานรับคำคุณหนูของตนทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะเดินไปที่ทางด้านหน้าทางเข้าอารามที่คุณหนูของนางยืนอยู่ “บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ” “เจ้าลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ” สิ้นเสียงของคุณหนูที่เอ่ยออกมา เสี่ยวหนิงก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทันที ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ “บนท้องฟ้า เมฆปรากฏเป็นรูปปลาทอง เป็นมงคลนักเจ้าค่ะคุณหนู” “ข้ารู้แล้ว จึง
ตอนที่ 3มุ่งหน้าสู่เป่ยจู เป็นเวลากว่าห้าวันมาแล้วที่พวกนางเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเป่ยจู ตลอดทางแม้ไม่ได้สะดวกสบายเท่าใดนักแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ท่านพ่อท่านแม่ส่งผู้คุ้มกันที่คุ้นชินกับการเดินทางและมีวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไว้ใจได้มาทั้งหมดห้าคนด้วยกัน โดยที่หนึ่งในห้าคนนี้นั้นยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเสี่ยวหนิงอีกด้วย พี่ชายของเสี่ยวหนิงผู้นี้มีชื่อว่าเสี่ยวชิง ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าในการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่านางเองก็คุ้นชินกับเสี่ยวชิงเป็นอย่างดี การเดินทางของนางในครั้งนี้จึงไม่มีสิ่งใดน่ากังวลใจ จนกระทั่งเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่อยู่ ๆ ก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักโดยไม่ให้พวกนางทันได้ตั้งตัว “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่พี่ชายบอกกับข้าว่า ข้างหน้าอีกไม่ไกลจะมีอารามร้างอยู่ พวกเราสามารถไปหลบฝนที่นั่นก่อนได้เจ้าคะ” หลิวซือนัวได้ฟังก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมา เพราะดูท่าแล้วฝนนี้คงจะไม่หยุดตกง่าย ๆ เป็นแน่ อีกทั้งถนนเรียบชายป่าที่มีต้นไม้มากมายเช่นนี้หากฝืนเดินทางต่อไปย่อมมีแต่อันตราย อย่างไรก็ต้อ
ตอนที่2ข่าวลือหนาหู หลายวันที่ผ่านมานี้ มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการมีปากเสียงกันระหว่างคุณหนูสกุลหลิวและคุณหนูสกุลอี้ บ้างลือกันไปว่าคุณหนูหลิวเกิดความริษยาต่อคุณหนูอี้เพราะคุณหนูอี้นั่นมีรูปโฉมงดงามกว่า บ้างก็ว่าเป็นเพราะคุณหนูหลิวอยากแสดงอำนาจในมือตนให้เป็นที่ประจักษ์และคุณหนูอี้นั้นก็กลายมาเป็นผู้รับเคราะห์กรรมไปโดยไร้ความผิด ผู้คนที่ได้ยินข่าวลือต่างพากันสงสารคุณหนูสกุลอี้ เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพวกผู้คนที่พากันสงสารคุณหนูสกุลอี้นั้นย่อมต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณหนูหลิวในทางที่ไม่ดี “คุณหนูเจ้าคะ ข่าวลือพวกนี้ต้องเป็นคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นผู้สร้างขึ้นแน่นอนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นางในยามนี้รู้สึกโมโหแทนคุณหนูของนางเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะออกไปป่าวประกาศในทุกคนรู้กันให้ทั่วเมือง ว่าแท้จริงแล้วคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นคนเช่นไร “ก็แค่ข่าวลือเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่นานผู้คนก็จะพากันลืมไปเอง” นางเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น มือก็พลิกดูแบบลายปักในมือตนด้วยทีท่านิ่งเฉย “นางจงใจทำให้ชื่อเสียงคุณหนูเสียหา