ตอนที่ 5
น้ำใจของนาง
อาจเป็นเพราะยาที่กู่เหอให้คุณชายของเขาทานไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ทำให้มือหนาที่เคยกุมมือของนางเอาไว้แน่ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงทว่าเขาก็ยังคงจับมือของนางเอาไว้อยู่
หลิวซือนัวค่อย ๆ ดึงมือของนางออกจากมือใหญ่ของเขาอย่างช้า ๆ ครั้นอยู่ ๆ เจ้าของมือหนาที่เคยเกาะกุมมือนางเอาไว้แน่นราวปอกเหล็ก ก็สะบัดมือนางออกทันที ทั้งยังผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วทั้งที่นางสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า เวลานี้เขาไร้เรี่ยวแรงเพียงใดแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมานั่งจนได้
“ท่านรีบร้อนลุกขึ้นมาเช่นนี้ ร่างกายท่านอาจจะยังรับไม่ไหว หากหมดสติลงไปอีก ข้าว่าคงจะไม่ดีแน่” หลิวซือนัวเอ่ยขึ้น นางลุกขึ้นไปนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของรถม้าซึ่งตรงกันข้ามกับที่ร่างสูงของบุรุษตาบอดนั่งอยู่
“เจ้าเป็นใครกัน” เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงแหบแห้ง ทุกคำพูดในยามนี้ของเขาถูกเอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก
“ข้าก็คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่หลบพายุอยู่ที่อารามร้างเช่นกันกับท่านเมื่อ คืน” นางเอ่ยตอบกลับไปอย่างใจเย็น
จู่ ๆ ครั้งหนึ่งยามที่นางมองไปทางเขา เมื่อครู่กับรู้สึกสงสารเวทนา เขาขึ้นมา คุณชายผู้นี้แม้ภายนอกจะสวมใส่อาภรณ์ราคาแพง ทว่าร่างกาย กับซูบผอมจนแทบจะเห็นถึงกระดูก อีกทั้งตายังบอดทั้งสองข้าง ซ้ำร้ายยังบาดเจ็บที่ศีรษะ ชีวิตของคนผู้นี้เกินคำว่าอยู่มิสู้ตายไปแล้วหรือยังนางก็ไม่ อาจจะล่วงรู้แทนเขาได้ ทำได้เพียงนึกสงสารเขาอยู่ในใจ
หลิวซือนัวเข้าใจว่าคนที่มีสภาพเช่นเขาจิตใจย่อมไม่อาจสงบได้ อาจถึงขั้นวิตกกังวลต่าง ๆ นางจึงคิดที่จะใจเย็นกับเขาให้มากหน่อย บุรุษผู้นี้เพียงแค่มองก็สามารถรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนที่ค่อนข้างถือตัวและมีโลกส่วนตัวมากทีเดียว หากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นี้กับนางเพียงสองคนเห็นทีเขาก็คงไม่ยอมปริปากพูดกับนางแม้สักครึ่งคำเป็นแน่
“เกิดสิ่งใดขึ้นกับข้า” อวี้หนานไห่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ยามนี้สติของเขาเริ่มที่จะกลับมาชัดเจนมากขึ้นแล้ว และเขาเองก็จำเสียงของสตรีที่อยู่กับเขาตอนนี้ได้แล้ว นางก็คือคนจากอีกกลุ่มหนึ่งที่พักที่อารามร้างด้วยกันเมื่อคืน
“เกิดสิ่งใดขึ้นกับท่านข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เห็นว่าเป็นรถม้าของท่านเกิดอุบัติเหตุ ท่านเองก็ได้รับบาดเจ็บเพราะตกลงมาจากรถม้าด้วยเช่นกัน ตัวข้าและคนของข้าผ่านทางไปพบเข้าพอดี จึงได้ให้การช่วยเหลือพวกท่านตามที่กู่เหอคนของท่านได้ขอให้ช่วย”
“กู่เหอ ขอให้ช่วย?”
“ใช่แล้ว เวลานี้เขาก็น่าจะคุ้มกันอยู่ที่ท้ายขบวน พวกเราอีกไม่นานก็ น่าจะถึงโรงเตี้ยมแล้ว คุณชายท่านก็พักผ่อนให้สบายเถิด”
หลิวซือนัวตอบคำถามทุกอย่างของเขาอย่างใจเย็น
ตั้งแต่นั้นแม้ในรถม้าจะน่าอึดอัดอยู่บ้างเพราะมีบุรุษหน้าน้ำแข็งที่ดื้อดึงไม่ยอมนอนพักผ่อนดี ๆ มิหนำซ้ำเขายังพยายามนั่งทรงตัวมาตลอดทางทั้ง ๆ ที่ร่างกายเขาก็แทบจะไร้เรี่ยวแรงแล้ว
เป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำที่หลิวซือนัวรู้สึกว่าตัวเองไม่น่าไว้ใจเสียขนาด ที่ทำให้บุรุษที่บาดเจ็บถึงขั้นไม่กล้าพักผ่อนเพียงเพราะมีนางอยู่ด้วยเลยหรือ นี่นางน่ากลัวถึงขั้นนั้นเชียว
เขาคงไม่คิดว่านางจะฆ่าเขาหากเขาหลับไปหรอกกระมัง เขาจึงไม่กล้าหลับไปเช่นนี้ หรือว่านางควรจะเอ่ยบอกเขาไปตรง ๆ ดี ใช่แล้วควรบอกออกไปตรง ๆ ให้ชัดเจนจึงจะดีที่สุด
“คุณชายท่านหลับพักสักหน่อยเถอะ ข้าไม่ลงมือฆ่าท่านหรอกท่านวางใจได้”
ทั้งที่เอ่ยไปตามตรงแล้ว ไฉนผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าคำพูดของ นางยิ่งทำให้เขาไม่กล้าข่มตาหลับลงได้ นางแอบเห็นเขาแอบหยิกเนื้อตัวเองอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดนางจึงต้องเป็นฝ่ายแกล้งหลับไปแทน
จากแกล้งหลับก็กลายเป็นว่านางเผลอหลับไปจริง ๆ ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เพราะเสียงเรียกที่ดังมาจากด้านนอกรถม้า
“เรามาถึงโรงเตี้ยมแล้วขอรับคุณหนู เชิญคุณหนูลงรถม้าเถิดขอรับ”
“ข้าจะลงไปก่อน ท่านรอกู่เหอก็แล้วกัน”
นางเอ่ยก่อนที่จะเดินลงรถม้าไป บุรุษตาบอดผู้นี้ยังคงนั่งนิ่งเช่นเดิมไม่ขยับไปไหน เขาไม่แม้จะเอ่ยตอบกลับนางแม้สักคำ
บุรุษผู้นี้เย่อหยิ่งยิ่งนัก
หลิวซือนัวลงจากรถม้าโดยมีเสี่ยวหลินที่ยืนคอยอยู่ก่อนแล้วช่วยจับประคองนางเดินลงมาจากรถม้า นางและเสี่ยวหนิงรวมถึงคนอื่น ๆ ต่างยืนรอกันอยู่ที่หน้าโรงเตี้ยม เพราะยามนี้เสี่ยวชิงและแม่นางกู่หรูซึ่งเสี่ยวหนิงบอกว่านางเป็นน้องสาวของกู่เหอกำลังเข้าไปตรวจสอบด้านในโรงเตี้ยมด้วยกันกับเสี่ยวชิง
โชคดีที่พวกนางมาถึงโรงเตี้ยม ก่อนที่ฟ้าจะมืด อีกทั้งโรงเตี้ยมแห่งนี้แม้จะอยู่กลางป่าแต่ภายนอกก็ไม่ได้ดูย่ำแย่ แม้จะดูทรุดโทรมไปหน่อยทว่ากับดูสะอาดสะอ้านดีทีเดียว
ด้านกู่เหอก็กำลังเผชิญหน้ากับคุณชายของตนอยู่ด้านในรถม้า
กู่เหอคุกเข่าลงต่อหน้าผู้เป็นนาย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“คุณชายท่านเป็นเช่นไรบ้าง ข้าน้อยจะประคองท่านเข้าไปพักผ่อนในโรงเตี้ยมนะขอรับ”
“อืม” เจ้าของใบหน้าซูบผอมเอ่ยออกมาสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ก่อนจะยอมให้คนสนิทประคองตนเพื่อลงรถม้า ทว่ายังไม่ทันที่คนทั้งคู่จะลงมาจากรถม้าได้สำเร็จ อยู่ ๆ ไม่รู้ว่าลมพายุมาจากไหน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้าวของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระจาดตะกร้าหรือสิ่งของที่มีน้ำหนักเบาต่างก็ถูกลมพายุนี้พลัดจนปลิวกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
หลิวซือนัวและเสี่ยวหนิงเห็นท่าไม่ดีพวกนางก็เตรียมที่จะวิ่งเข้าไปด้านในโรงเตี้ยม พอดีกับที่อยู่ ๆ ไม่รู้ว่ากระจาดอันใหญ่ปลิวมาจากไหนกู่เหอที่ประคองผู้เป็นนายอยู่ลงมือปัดกระจาดอันนั้นทันที ก่อนที่มันจะปลิวมาถูกตัวคุณชายของเขาได้
ส่วนอวี้หนานไห่นั้นแม้ตนจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ในขณะนี้อีกทั้งยังไม่สามารถใช้วรยุทธ์ได้ ทว่าสัมผัสที่เฉียบคมของเขาก็ยังสามารถใช้งานได้อย่างดีอยู่ เขาจึงสามารถรับรู้ได้ถึงทิศทางที่สิ่งของพลัดเข้ามาได้เช่นเดียวกัน
ร่างกายของเขาขยับหลบไปเองโดยธรรมชาติ ทำให้ตัวเขาหลุดออกจากการประคองของคนสนิท อีกทั้งดูเหมือนว่าเขาจะก้าวพลาดทำให้ยามนี้ร่างกายของเขากำลังจะตกลงมาจากบนรถม้า
ท่ามกลางความโกลาหล ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก กู่เหอพยายามจะคว้าตัวคุณชายของตนทว่ากับไม่ทันเสียแล้ว มีเพียงแค่ชายเสื้อที่ฉีกขาดเพียงเท่านั้นที่เขาสามารถคว้าติดมือมาได้
เป็นหลิวซือนัวที่หันไปเห็นร่างสูงอันเริ่มคุ้นตาที่กำลังเสียหลักล้มลงมาจากรถม้า ไวกว่าความคิดเจ้าของร่างอวบอิ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ถลาไปเพื่อพยายามช่วยร่างสูงที่กำลังจะตกลงมา โดยลืมนึกถึงกำลังของตนเอง ทำให้เวลานี้แม้จะช่วยร่างสูงเอาไว้ได้ทว่าพวกเขาทั้งสองต่างก็พากันล้มลงมากระแทกพื้นอย่างแรง นางซึ่งรับแรงกระแทกแทนบุรุษตาบอดจึงได้รู้สึกเจ็บร้าวไปทั่วทั้งแผ่นหลังบาง โชคดีที่ศีรษะนางไม่ได้เป็นอะไร นางไม่รู้ว่าเขาเอามือมารองศีรษะนางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่จึงทำให้นางไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะศีรษะกระแทกพื้นแม้สักนิด
“คุณหนู!!!”
“คุณชาย!!!”
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างพากันร้องออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะพากันกรูเข้ามา ประคองนางและเขาเข้าไปในโรงเตี้ยมในทันที
ภายในห้องพักที่ชั้นสองของโรงเตี้ยมกลางป่า หลังจากที่หลิวซือนัว ล้างตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยามนี้จึงได้นั่งหันหลังอยู่บนเตียงใหญ่เพื่อให้สาว ใช้คนสนิทของนางทายาที่แผ่นหลังให้
“คุณหนู รู้หรือไม่เจ้าคะว่าเมื่อครู่บ่าวตกใจเพียงใดที่เห็นคุณหนูล้มลงไปเช่นนั้น” เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา ยิ่งได้เห็นรอยช้ำหลายแห่งบนแผ่นหลัง ที่เคยขาวนวลเนียนดุจหยกล้ำค่าของคุณหนูของนางแล้ว เสี่ยวหนิงก็ยิ่งน้ำตาไหลออกมามากกยิ่งขึ้น “แผ่นหลังของคุณหนูหากมีแผลเป็นขึ้นมา เสี่ยวหนิงตายก็คงไม่อาจชดใช้ได้”
“แค่แผลฟกช้ำเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้ร้ายแรงอะไร ใยเจ้าต้องคร่ำ ครวญเสียยกใหญ่เช่นนี้ด้วย”
“คุณหนู ท่านยังไม่ได้ออกเรือน หากมีแผลเป็นขึ้นมาจะทำเช่นไรเจ้าค่ะ อีกอย่างบ่าวสาบานกับฮูหยินใหญ่เอาไว้แล้วว่าจะดูแลคุณหนูให้ดี แต่บ่าวกลับทำไม่ได้ กลับเมืองเป่ยโจวไปก็คงได้แต่ให้ฮูหยินใหญ่ลงโทษแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงยังคงคร่ำครวญต่อไม่เลิก มือก็บรรจงทายาให้คุณหนูของนางอย่างแผ่วเบาระมัดระวังเป็นที่สุด
“ฟกช้ำเล็กน้อยเท่านี้ไม่นานก็หาย เจ้าไม่บอกท่านแม่ ข้าไม่บอกท่านแม่ก็พอแล้วกระมัง อย่างได้คร่ำครวญอีกเลย” นางเอ่ยราวกับเป็นเรื่องง่ายๆ ทว่าสาวใช้ของนางกับยังเห็นเป็นเรื่องจริงจังอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยน
“บ่าวจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ ปกปิดความจริงซ้ำยังเป็นความผิดถือเป็นโทษนะเจ้าคะ บ่าวไม่อาจทำเช่นนั้นได้หรอกเจ้าค่ะ”
“แม้ว่าจะเป็นคำสั่งของข้า เจ้าก็ทำไม่ได้เช่นนั้นหรือ”
หลิวซือนัวเอ่ยถาม เสี่ยวหนิงเด็กคนนี้แม้จะมุทะลุไปบ้างทว่ากับเป็นคนจริงใจยิ่ง เพื่อนางแล้วเสี่ยวหนิงก็พร้อมทำให้ทุกอย่าง ความจริงใจของเสี่ยวหนิงนางรู้ดีกว่าใครและยิ่งไม่อยากเห็นนางถูกลงโทษ ฉะนั้นหากการลงโทษนี้นางสามารถช่วยได้ นางย่อมต้องช่วยแน่
“คุณหนู….”
“เจ้าเป็นสาวใช้คนสนิทของข้า เป็นคนที่ใกล้ชิดอีกทั้งข้ารู้ดีว่าเจ้าพร้อมที่จะปกป้องข้ามากที่สุด ข้าเองก็ไม่อยากให้เจ้าเจ็บตัวเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องที่หลังข้าจะมีแผลเป็นหรือไม่ก็ไม่ต้องบอกท่านแม่หรอก อีก อย่างแค่เพียงรอยช้ำไม่ใช่รอยแผลจะได้กลายเป็นแผลเป็นได้ เจ้าก็อย่าได้ กังวลไปนักเลย ทำใจให้สบายเถอะ”
“เจ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว บ่าวจะไม่บอกเรื่องนี้แก่ฮูหยินใหญ่ก็ได้เจ้าค่ะ หากว่าคุณหนูจะยอมให้สัญญากับบ่าวสักข้อหนึ่ง”
“เจ้าอยากให้ข้าสัญญาสิ่งใด”
“บ่าวอยากให้คุณหนูสัญญาว่าจะไม่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้อีก ผู้ใดจะ บาดเจ็บก็ช่างเขา คุณหนูต้องเอาตัวเองให้รอดปลอดภัยไว้ก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
แน่นอนว่าหลิวซือนัวก็ไม่อาจมองข้ามความเป็นห่วงและความจริงใจของเสี่ยวหนิงได้ นางจึงได้รับปากรับคำสาวใช้คนสนิทของนางเป็นอย่างดี
“ข้าให้สัญญากับเจ้า ต่อจากนี้จะดูแลตัวเองให้ดีไม่หุนหันพลันแล่นอีก”
นางรับคำไปแล้ว ทว่าก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดสิ่งใดที่ทำให้นางต้อง หุนหันพลันแล่นไปโดยไม่รู้ตัวอีกหรือไม่
ความจริงแล้วการที่นางถลาไปช่วยคุณชายตาบอดผู้นั้นก็ไม่รู้ว่าจะถือว่าเป็นการหุนหันพลันแล่นได้หรือไม่ จะอธิบายว่าอย่างไรดี ทั้ง ๆ ที่ตอนนางพุ่งไปช่วยเขานางเองก็ยังไม่ทันรู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ด้วยซ้ำ หากจะโทษก็คงจะต้องโทษความหูไวตาไวของนางที่เห็นอะไรเกิดขึ้นก็มักจะพุ่งออกไปก่อนโดยธรรมชาติของร่างกายนางนั่นแหละ
หลังจากที่เสี่ยวหนิงทายาให้นางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่นานประตูห้องพักของนางก็ถูกเคาะเรียก ผู้มาเยือนก็คือกู่หรูน้องสาวของกู่เหอหนึ่งในผู้ติดตามของคุณชายตาบอดผู้นั้นนั่นเอง
“แม่นางกู่ เป็นเจ้าเองหรือ มาหาข้าใช่หรือไม่” หลิวซือนัวเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร
“คุณชายมีคำสั่งให้ข้าน้อยนำยาแก้ฟกช้ำมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
กู่หรูผู้นี้เอ่ยออกมาอย่างนอบน้อมเช่นกัน แต่ท่าทางของนางกลับตรงกันข้าม กู่หรูผู้นี้มองก็รู้ว่าเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ อีกทั้งน่าจะเป็นผู้มีฝีมือไม่ใช่น้อยทีเดียว แม่นางกู่ผู้นี้จึงได้มีทีท่าองอาจห้าวหาญมิแพ้บุรุษ
“เสี่ยวหนิง เจ้ารับเอาไว้แทนข้าที”
นางเอ่ยสั่งเสี่ยวหนิงให้เข้าไปรับยาจากกู่หรูเอาไว้
“คุณชายยังให้ข้ากล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการแสดงคำขอบคุณที่คุณหนูได้ให้ความช่วยเหลือหลายครั้ง ค่าใช้จ่ายในโรงเตี้ยมทั้งหมดของพวกท่านทั้งขบวนเดินทาง คุณชายจะเป็นผู้รับผิดชอบให้ทั้งหมดเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจเจ้าค่ะ”
เป็นอย่างที่หลิวซือนัวคิดจริง ๆ ด้วย บุรุษตาบอดเจ้านางของนางคงต้องรีบตอบแทนนางอย่างรวดเร็วแน่ เย่อหยิ่งเช่นเขาย่อมไม่ชอบการติดค้างบุญคุณใคร เห็นได้ชัดตั้งแต่ที่เมื่อคืนเขาให้คนน้ำชาล้ำค่ามาให้แล้ว ครานี้ยิ่งแน่ใจบุรุษผู้นี้ยอมเสียเงินเท่าไหร่ก็ได้แต่จะไม่ยอมติดค้างน้ำใจผู้อื่นเด็ดเด็ดขาด
บุรุษผู้นี้หากไม่ใช่คนถือตัวรักศักดิ์ศรีมาก ก็คงจะเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเป็นที่สุด
“ให้เมื่อเป็นน้ำใจจากคุณชายของเจ้า ข้าเองก็จะไม่ปฏิเสธน้ำใจนี้ก็แล้วกัน”
“ฝากบอกคุณชายของเจ้าด้วยว่า ขอบคุณ อีกทั้งพวกเราไม่ได้ถือว่ามีบุญคุณใดติดค้างกัน ขอให้เขาวางใจเถิด”
ตอนที่ 6โรงเตี้ยมกลางป่า "บ่าวทำตามที่คุณชายสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" กู่หรูรายงานผู้เป็นนายของนาง "คุณหนูหลิวยังฝากบ่าวมาบอกท่านอีกว่า ระหว่างท่านกับนางไม่ได้มีผู้ใดติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณใด ๆ ต่อกันอีกเจ้าค่ะ" กู่หรูเมื่อรายงานเรื่องทั้งหมดแล้ว ครั้นเมื่อเห็นคุณชายของนางยังคงนิ่งเงียบอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนควรออกไปได้แล้ว นางจึงโค้งนำนับครั้งหนึ่งก่อนจะออกจากห้องพักของผู้เป็นนายไป ปล่อยให้กู่เหอพี่ชายนางอยู่ค่อยรับใช้คุณชายต่อเพียงผู้เดียว เหตุที่อวี้หนานไห่นิ่งเงียบเช่นนี้เพราะเขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขารู้ดีว่าคุณหนูหลิวที่กู่หรูเอ่ยถึงเมื่อครู่นางเข้าใจดีว่าเขาต้องการสิ่งใดจึงให้คนนำชาชั้นดีไปให้นาง ตั้งแต่ที่วัดร้าง เขาเองด้วยความที่ระวังตัวมาก จึงได้ให้กู่เหอนำชาสมุนไพรชั้นดีไปให้อีกขบวนหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ของเขาและยอมที่จะทนหนาว ทุกคนในขบวนของคุณหนูหลิวไม่มีใครใส่ใจหรือตกใจกับชาชั้นดีเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาต่างก็ถูกฝึกมาอย่างดี คุณหนูหลิวผู้นี้ก็ไม่ใช่สายของโจรป่าที่กำลังระบาดหนักอยู
ตอนที่ 7ปราการด่านสุดท้าย "รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ "หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น "ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน
ตอนที่ 8ไม่ไร้หนทาง นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ" เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป
ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว
ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย
ตอนที่ 11เริ่มการค้นหารอดมาจากความตายได้ถือเป็นปาฎิหาริย์ สำหรับเสี่ยวชิงและกู่หรูเป็นอย่างมาก กู่หรูยังจำเหตุการณ์ที่นางร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันกับเสี่ยวชิงได้ วันนั้นนางและเขาในฐานะที่เป็นบ่าวยินยอมและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะสละชีวิตเพื่อให้ผู้เป็นนายทั้งสองของตนหนีรอดทั้งเสี่ยวชิงและนางหมายจะตั้งตนเป็นดั่งเช่นกำแพงเหล็กกล้าที่ทนทาน พวกนางอดทนต่อสู้จนบาดแผลเต็มตัวแต่ก็ยังยืนหยัด เลือดไหลนองเต็มพื้นก็ยังคงกำดาบในมือเอาไว้แน่น ถึงแม้ว่าสุดท้ายพวกตนจะไม่สามารถยืนต้านพวกโจรเอาไว้ได้อีกแต่ก็ถือว่าถ่วงเวลาไปได้ไม่น้อยทีเดียว อย่างน้อย ๆ ก็คงจะพอให้ผู้เป็นนายตนหนีไปได้ไกลพอสมควรแล้วคงจะเป็นเพราะสวรรค์เกิดเมตตาเห็นว่าพวกนางภักดีจึงยังไม่อยากให้ตาย หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะพวกนางยังพอจะมีโชคดีเหลือติดตัวอยู่บ้าง จึงทำให้ในช่วงเวลาที่เกือบจะถือว่าเป็นช่วงเวลาสุดของชีวิต พี่ชายนางกู่เหอถึงได้ตามมาได้ทันพร้อมกับหน่วยลาดตระเวนของทางการที่ดูเหมือนว่าเป็นเสี่ยวหนิง สาวใช้ของคุณหนูหลิวเป็นผู้ตามให้มาช่วย ยามที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหลังความตายจึงได้รู้ว่า ตอนนี้นางและเสี่ยวชิงถูกพามารักษาตัวที่หม
ตอนที่ 12หมอเทวดาอู๋อินดึกสงัด คืนนี้อยู่ ๆ นางก็ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่ใคร่จะสบายใจนัก เจ้าของมือเรียวสวยรินน้ำใส่ชาม ก่อนจะยกดื่มหมดชามในคราเดียว ไม่ใช่ว่านางรู้สึกกระหาย เพียงต้องการให้ร่างกายได้รับความสดชื่นเพิ่มเข้ามาเพียงเท่านั้นแต่ก็ดูเหมือนน้ำเต็มชามนั้นจะไม่ได้ช่วยให้ใจนางสงบลงได้เลยร่างบางจึงลุกขึ้นสวมใส่เสื้อตัวนอกให้เรียบร้อย หมายจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อยให้ได้ผ่อนคลายบางตั้งแต่ที่ต้องอยู่ที่หมู่บ้านตู๋ชือแห่งนี้ ทุกวันคืนผ่านพ้นไปได้อย่างไม่ค่อยง่ายดายนัก ต้องคอยหลบซ่อนกลัวว่าจะถูกพบเห็นเข้า ในทุกๆวันนางไม่อาจแสดงความกังวลใจออกมาได้ จำต้องเก็บเอาไว้ภายในใจ และแสดงความร่าเริงออกมาแทน คุณชายอวี้ผู้นั้นค่อนข้างมืดมนทีเดียว ในใจเขาน่าจะมีเรื่องราวในด้านร้ายๆให้ค่อยคิดอยู่ตลอดเวลา หากเพิ่มความกังวลใจต่างๆของนางเข้าไปอีก ผลลัพธ์ก็คงจะเลวร้ายยิ่งกว่าแล้วนางก็คิดว่านางคิดถูกแล้วที่แสดงท่าทีร่าเริงออกมา หลายวันมานี้มันทำให้คุณชายอวี้นั่นผ่อนคลายลงได้อย่างมาก และนางคิดว่านั่นเป็นการดีต่อการรักษาของเขาเป็นอย่างมากรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าจะเข้าที่เข้าทางเช่นกัน
ตอนที่ 13สตรีผู้มีรูปโฉมดั่งในคัมภีร์จางซีรีบร้อนหมายจะเดินไปบอกอาจารย์เกี่ยวกับรูปเหมือนของแม่นางหลิวที่นางเคยเห็นอยู่ในคัมภีร์โบราณของหมู่บ้าน ทว่ายังไม่ทันที่นางจะได้เข้าไปแจ้งต่อท่านอาจารย์และศิษย์พี่หลงถึงเรื่องนี้ท่านพ่อของนางหรือก็คือหัวหน้าหมู่บ้านตู๋ชือ ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่เรือนหมอท้ายหมู่บ้านได้ ทั้งที่ในตามปกติแล้วหากท่านต้องการพบนางก็มักจะใช้ลูกพี่ลูกน้องของนางหรือไม่ก็คนในหมู่บ้าน ให้มาตามนางให้ไปพบ เนื่องด้วยขาข้างขวาของท่านพ่อของนางเดินเหินไม่สะดวกเพราะโรคเรื้อรัง จึงไม่เคยมาด้วยตนเองเลยสักครั้งครั้งนี้น่าแปลกที่ท่านพ่อกับเดินมาถึงที่นี่ด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่ารู้เรื่องของคนทั้งสองที่ศิษย์พี่ของนางได้ช่วยเอาไว้หรอกนะ แต่นางอาจจะคิดมากไปเอง เพราะหากท่านพ่อล่วงรู้ว่ามีคนนอกอยู่ในหมู่บ้านจริง คงพาคนมาหลายคนเพื่อจับตัวกลับไปแล้ว ไม่มีนางมาคนเดียวเช่นนี้"ท่านพ่อ ท่านมาที่นี่ด้วยตัวเองได้เช่นไร อยากพบข้าหรือเจ้าคะ ทำไมไม่ให้คนอื่นมาเรียกข้าเล่า" จางซีเอ่ยถามบิดาตน นางยิ้มแย้มเอ่ยถามอย่างปกติ พยายามไม่แสดงท่าทีผิดปกติใด ๆ "พ่อไม่ได้มาท้ายหมู่บ้านนานแล้ว ในฐานะหัวหน
ตอนพิเศษ 1แม่สามีของข้านั้นดียิ่งนักเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่นางแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ใหญ่สกุลอวี้ อวี้หนานไห่มีน้องสาวอยู่หนึ่งคนชื่ออวี้จินเชียง จากที่อวี้หนานไห่เล่าให้ฟังก็คือ อวี้จินเชียงนั้นอยู่ที่บ้านเดิมกับท่านยายของพวกเขาตั้งแต่ยังเยาว์เพราะมีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง อีกไม่นานอวี้หนานไห่ก็จะพานางไปเยี่ยมท่านตาท่านยายและน้องสาวของเขาเพราะว่าฮูหยินอวี้ไม่ใช่สิ เวลานี้นางควรจะเรียกว่าท่านแม่สามีถึงจะถูก เอ็นดูนางเป็นพิเศษดูแลต้อนรับนางเข้ามาเป็นอีกส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างอบอุ่น เหมือนกับว่านางเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ไม่ใช่เป็นเพียงลูกสะใภ้ ซ้ำยังชอบให้ท้ายนางอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะยกเลิกไม่ต้องให้นางมาคารวะทุกเช้า ให้เปลี่ยนมาเป็นมาทานมือเช้าเป็นเพื่อนนางบ้างก็พอ ยิ่งเป็นเรื่องข้าวของเครื่องประดับหรืออาภรณ์ แน่นอนว่าอาภรณ์ใหม่ ๆ ของนางไม่มีวันขาดแคลนเพราะว่านางเป็นบุตรสาวจากสกุลที่เปิดร้านอาภรณ์ แต่ยิ่งนางมีเสื้อผ้ามากมายเท่าไหร่ ท่านแม่สามีก็ยิ่งจะยื่นเครื่องประดับจำนวนมากมาให้นาง ทั้งของที่ประมูลมา ของที่หาซื้อได้ตามร้านหรือว่าเครื่องประดับที่ต้องสั่งทำจนยามนี่นางมีเครื่องประดั
ตอนที่ 45คำนับฟ้าดิน"หนึ่ง คำนับฟ้าดิน""สอง คำนับบิดามารดา""สาม สามีภรรยาคำนับกันและกัน"หลังจากเสร็จพิธีแล้วเจ้าสาวก็ถูกส่งตัวเข้าหอ ด้านเจ้าบ่าวก็ถูกรั้งตัวเอาไว้ในงานเลี้ยงมงคล เพื่อให้แขกที่มาร่วมงานดื่มอวยพร เป็นธรรมเนียมปกติที่ในงานมงคลเช่นนี้เจ้าบ่าวจะต้องถูกมอมเหล้าจากแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายรวมไปถึงญาติมิตรต่าง ๆ ที่มาร่วมงานอวี้หนานไห่ไม่ยอมให้ตนต้องตกเป็นเป้าให้ผู้อื่นมอมเหล้านานเกินไป เข้าทักทายแขกที่มาร่วมงานอยู่เกือบหนึ่งชั่วยามก็แอบปลีกตัวออกมาแล้วคืนเข้าหอเวลามีค่าแค่ไหน ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาบอกเขาก็รู้ดี ทันทีที่เข้าได้ก้าวเข้ามาในเรือนหอของตน บนเตียงก็พบกับภรรยา ใช่แล้วหลิวซือนัวภรรยาของเขา และนางจะเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์หลังจากคืนนี้ไป"อวี้หนานไห่เป็นเจ้าหรือ" เจ้าสาวของเขาซึ่งนั่งคลุมหน้าตัวตรงอยู่บนเตียงเอ่ยถามขึ้น"เป็นข้าเองภรรยารัก เจ้าควรเรียกข้าว่าท่านพี่ได้แล้ว" เขาเอ่ยก่อนจะก้าวเข้าไปหานาง และใช้ไม้ตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสดออกจากศีรษะของนางยามเมื่อผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวถูกเปิดออกแล้ว ความงดงามที่แสนตราตรึงในใจเขาก็ปรากฏขึ้น ใบหน้าของนางในเวลานี้ค่อน
ตอนที่ 44ความจริงใจของข้า"ดู ๆ ข้าก็คิดอยู่ว่าคุณหนูหลิวเหมือนใคร นางเหมือนฮูหยินหลิวนี่เอง ไม่ไหวหน้าผู้อื่นเช่นนี้ไม่มีผิด""ข้าน่ะหรือไม่ไว้หน้า พวกเจ้าต่างหากที่ไม่ไว้หน้ากันก่อน" ฮูหยินหลิวตอกกลับทันที แม่สื่อพวกนี้นางทนพูดดีด้วยอีกไม่ได้แล้ว"ฮูหยิน ท่านใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ" สาวใช้คนสนิทของฮูหยินหลิวรีบเข้ามาห้ามผู้เป็นนายตน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะย่ำแย่ลงไปทุกทีแล้ว"จะให้ข้าใจเย็นได้อย่าง...." ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยจบประโยค ผู้เฝ้าประตูคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้าเหมือนมีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างเสียก่อน"ฮูหยิน ฮูหยินขอรับ""มีอะไร เกิดอะไรขึ้น ถึงได้รีบร้อนขนาดนี้" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดีนัก เพราะเรื่องตรงหน้ายังไม่ทันได้สะสางก็ดูท่าว่าจะมีเรื่องใหม่เข้ามาแทรกเสียแล้ว"มีขบวน มีขบวน...ใหญ่ ขบวนใหญ่" อาจจะเป็นเพราะวิ่งมาด้วยความเร็ว ซ้ำยังตื่นเต้นจึงทำให้บ่าวชายผู้นี้พูดออกมาไม่รู้ความจนฮูหยินหลิวต้องเอ่ยถามซ้ำหลายรอบ"ขบวน ขบวนอะไร ขบวนอะไรใหญ่กันแน่""เหมือนว่าจะเป็นขบวนสินสอดสินะ" แม่สื่อคนที่หนึ่งผู้ขึ้น บ่าวชายที่มาแจ้งข่าวก็พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับว่าใช่"คงเป็
ตอนที่ 43สู่ขออาจจะเป็นเพราะเดินทางไกลมาหลายวัน และก็ไม่ได้นอนพักดี ๆ มาตลอดทาง วันนี้หลิวซือนัวเลยตื่นสายกว่าปกติถึงหนึ่งชั่วยามด้วยกัน กว่าที่จะแต่งตัวหวีผมเสร็จก็กินเวลาช่วงเช้าไปไม่น้อยแล้ว"คุณหนูเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ให้บ่าวมาแจ้งท่านว่า หากคุณหนูแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คุณหนูไปพบฮูหยินใหญ่ที่โถงรับรองด้วยเจ้าค่ะ""ได้ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปแจ้งท่านแม่นะว่าประเดี๋ยวข้าแต่งตัวเสร็จแล้วจะรีบเข้าไปหาท่าน""เจ้าค่ะคุณหนู"สาวใช้ที่ท่านแม่ให้มาแจ้งข่าวนางจากกลับไปแล้ว เวลานี้จึงเหลือเพียงแค่นาง เสี่ยวหนิง และสาวใช้ในเรือนอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังช่วยพวกนางเลือกเครื่องประดับที่จะใส่ในวันนี้อยู่"เสี่ยวหนิง เจ้าว่าเหตุใดท่านแม่ถึงได้ให้คนมาตามข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ จะมีแขกสำคัญมาหรือไงนะ""บ่าวคิดว่าไม่น่าจะมีแขกนะเจ้าค่ะ ตั้งแต่เช้าไม่เห็นว่าในโรงครัวคึกคักเลย" ผู้เป็นสาวใช้เอ่ยออกมาตามที่นางคิด เพราะถ้าหากในจวนมีแขกสำคัญ ปกติแล้วในครัวก็มักจะคึกคักเป็นพิเศษเพราะต้องมีการเตรียมอาหารเอาไว้รับรองแขก"เช่นนั้นแล้วท่านแม่จะเรียกให้ข้าไปพบที่ห้องโถงทำไมกัน" หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นอย่างข้องใจคงมีแต่รีบ
ตอนที่ 42จากอีกเพียงวันเท่านั้นนางก็จะต้องเดินทางกลับเมืองเป่ยโจวแล้ว ตามกำหนดการเดินทางกลับที่ท่านแม่ของนางได้กำหนดเอาไว้ พี่ใหญ่ของนางหลิงเค่อกับพี่สะใภ้ฉือหนานเองก็จะเดินทางไปส่งนางกลับจวนและถือโอกาสให้พี่ฉือหนานได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมด้วย หลังจากวันนั้นที่อวี้หนานไห่และนางได้เปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง ความสัมพันธ์ของพวกนางก็มีสถานะเป็นคนรักของกันและกันอย่างเปิดเผย แต่เปิดเผยที่ว่านี้ก็จะมีแค่คนในครอบครัวของพวกนางเท่านั้นที่รู้ ส่วนคนนอกนางและอวี้หนานไห่ก็ไม่ได้สนใจว่าคนเหล่านั้นจะคิดจะพูดถึงพวกนางอย่างไรมีบางครั้งที่นางและอวี้หนานไห่ออกไปเดินเล่นที่ตลาดด้วยกันบ้างก็ไปรับประทานอาหารร่วมกันที่ร้านอาหารต่าง ๆ ในเมือง หลายครั้งก็มีข่าวลือตามมาบ้างทว่าส่วนใหญ่จะลือไปทางที่พวกนางเป็นสหายกันเสียมากกว่า ไม่มีการลือหรือการพูดไปถึงเรื่องเชิงชู้สาวใด ๆ ทั้งสิ้นแน่นอนว่าเรื่องลือเช่นนี้ไม่ถือเป็นผลเสียกับนาง หนำซ้ำยังถือว่าเป็นผลดีต่อร้านสกุลอาภรณ์สกุลหลิวไม่น้อยเช่นกัน เพราะผู้ใดที่อยากสนิทสนมกับหมู่ตึกอวี้ฟางก็จะต้องเข้าหาร้านอาภรณ์สกุลหลิวซึ่งลือกันว่าเป็นสหายกับหมู่ตึกอวี้ฟางเพื่อทำต
ตอนที่ 41รัก"ที่ห้องโถงใหญ่เอะอะอะไรกัน เหตุใดถึงได้เสียงดังมาถึงนี่ เจ้าไปดูหน่อยเถอะ" ฉือหนานเอ่ยขึ้น ก่อนจะสั่งให้สาวใช้คนสนิทของนางออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในวันมงคลเช่นนี้นอกจากฉือหนานแล้วในห้องรับรองขนาดเล็กซึ่งอยู่ติดกับห้องโถงใหญ่ก็มีหลิวซือนัวน้องสามีของนาง และก็ฉือฮั่วลูกพี่ลูกน้องของนางที่มาเยี่ยมนางจากบ้านเกิดเมื่อสองวันก่อนใครจะคิดเล่าว่าการมาที่นี่ของฉือฮั่วซึ่งอ่อนวัยกว่านางเกือบสี่ปีจะทำให้นางได้เจอกับรักแรกพบที่นี่ หนำซ้ำยังถูกสู่ขออย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า นางและผู้เป็นสามีที่ถือเป็นญาติสนิทจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ของฉือฮั่วแทนบิดามารดาของนางที่ไว้ใจฝากฝังบุตรสาวเอาไว้ด้วยเพราะเชื่อมั่นและไว้ใจนางกับสามีด้วยเพราะว่าทั้งฝ่ายสู่ขอและฝ่ายถูกสู่ขอต่างก็มีใจต่อกัน การตัดสินใจจริงเป็นไปอย่างดี ทุกฝ่ายตกลงปลงใจที่จะปลูกเรือนร่วมกันวันนี้แค่แลกหนังสือสินสอดเสร็จสิ้นก็หาวันดีจัดงานแต่งได้เลย ด้านหลิวซือนัวยามนี้นางกำลังวุ่นวายอยู่กับการเลือกผ้าไหมสีแดงเพื่อตัดชุดแต่งงานให้กับฉือฮั่ว สำหรับฉือฮั่วนั้นนางก็เห็นเป็นสหายมาเนิ่นนาน ซ้ำเมื่อพี่ฉือหนานแต่งเข้ามาจวนสกุลหลิวแล้
ตอนที่ 40ผู้ใดจะแย่งนางไป ข้าไม่ยอมตลอดสามวันที่เขาต้องเดินทางออกจากเมืองเป่ยจู ไม่มีวันใดเลยที่เขาไม่กังวลหรือคิดถึงนาง ยิ่งเรื่องที่ได้ตัวแม่นมเฉียวผู้ซึ่งเป็นคนอยู่เบื้องหลังการที่นางหมดสติไปด้วยแล้ว เขากับทางการมีการพูดคุยกันเอาไว้แล้วว่าเรื่องทุกอย่างต้องจัดการให้เรียบร้อยและเงียบที่สุด จะต้องไม่ให้มีเรื่องอะไรที่จะมากระทบต่อชื่อเสียงของนางได้เป็นอันขาดอวี้หนานไห่รู้สึกเสียดายที่ตนไม่ได้ไปจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ก็คิดเอาไว้ว่าหลิวเค่อพี่ชายของหลิวซือนัวคงจัดการต่อไปได้ดีเช่นกัน นั่นจึงทำให้เขารู้สึกเบาใจได้เปราะหนึ่ง เมื่อเขากลับเข้ามาในเมืองเป่ยจู ก็สั่งให้รถม้าจอดที่ร้านขนมชื่อดังที่อยู่ใกล้กับประตูทางเข้าออกทิศตะวันตกเพื่อซื้อขนมจากร้านนี้ติดมือไปฝากหลิวซือนัว แม้เขาจะมีของฝากขึ้นชื่อจากพื้นที่ ๆ เขาเพิ่งกลับมาอยู่แล้วก็เถอะ แต่ก็ยังอยากเอาของฝากกลับไปให้นางหลาย ๆ อย่าง นางจะได้ดีใจที่ได้เห็นของฝากมากมายจากเขาในระหว่างที่รอให้ทางร้านห่อขนมที่เขาสั่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน รวมไปถึงขนมที่เขาเพิ่งเลือกซื้อเพิ่มเติมอยู่นั้น ก็มีสตรีวัยกลางคนสองคนก้าวเข้ามาเลือกซื้อขน
ตอนที่ 39ร้องขออย่างจริงใจเช้าวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่แสนจะวุ่นวายสำหรับหลิวซือนัว ตั้งแต่เช้าพี่ใหญ่ให้คนมาเรียกนางไปพบก่อนจะบอกนางว่าทางการพบตัวคนที่เป็นคนใส่ยาบางอย่างในดอกไม้จนทำให้นางหมดสติพลัดตกน้ำไปจนเกือบตายแล้วพี่ใหญ่ยังเอ่ยอีกว่าพรุ่งนี้ทางการต้องการให้นางเข้าไปเพื่อสอบปากคำบางอย่าง การไต่สวนคดีนี้จะทำโดยเงียบเชียบไม่ให้ภายนอกรู้ เพื่อให้ไม่เป็นที่เล่าลือกันไปผิด ๆ หลิวซือนัวเองก็คิดว่าจัดการเรื่องราวเหล่านี้ ให้เสร็จเงียบ ๆ จะดีซะกว่า เพราะว่านอกจากคนในครอบครัวและอวี้หนานไห่แล้วก็ไม่มีใครอื่นรู้ว่าเรื่องที่นางหมดสติพลัดตกทะเลไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุพรุ่งนี้ไปที่ศาลประจำเมืองนางก็จะได้รู้แล้วว่าผู้ใดที่อยู่เบื้องหลังและ ต้องการทำร้ายนาง อีกเพียงแค่วันเดียวนางก็จะรู้แล้วว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่ ต้องการให้นางตายหนำซ้ำยังลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้หลังจากที่นางกลับเรือนพักของตนมาได้ไม่นาน ก็มีสาวใช้มาแจ้งว่ามีคนมาของพบนาง "คุณหนูเจ้าค่ะ สาวใช้ที่เรือนหน้ามาแจ้งว่ามีคนมาขอพบท่านเจ้าค่ะ นางบอกว่าเป็นคุณหนูหยวนจือจากสกุลเวินมาขอพบท่าน" เสี่ยวหนิงเอ่ยรายงาน ตามที่สาวใช้ที่มาแจ้ง
ตอนที่ 38ไม่อยากบอกลา“ในเมืองเป่ยจู เจ้าคงเป็นบุรุษที่น่าอิจฉาที่สุด”“ทำไมเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้” เขาถามออกมาอย่างไม่เข้าใจนัก เมื่ออยู่ ๆ นางก็เอ่ยขึ้นมาซะอย่างนั้น“รอบตัวเจ้า มีสตรีงดงามมากมายรายล้อมอยู่ บุรุษใดบ้างจะไม่อิจฉา” นางเอ่ยตอบเขา ก่อนจะพยักพเยิดไปทางที่เหล่าแม่นางจากหอหยวนหมิงรวมตัวเตรียมพร้อมจะลงเรืออยู่"ข้าไม่เคยสนใจพวกนาง" เขาตอบไปในทันที"เป็นไปไม่ได้ที่บุรุษจะไม่สนใจสตรี ยิ่งสตรีแสนงามด้วยแล้ว" "เป็นไปได้ ข้านี่ไง""หากพวกนางมาได้ยินเข้าคงจะเสียใจแย่""เรื่องนั้นข้าไม่เคยคิดที่จะสนใจ" เขาเอ่ยออกมาตามความเป็นจริง ในชีวิตเขามีสตรีที่เขาจะให้ความสนใจเพียงแค่สามคนก็พอแล้ว แค่ ท่านแม่ น้องสาว และนางเท่านั้นไม่นานผู้ดูแลหอหยวนหมิงผู้ที่เคยขวางไม่ให้นางเข้าไปในหอก็เข้ามาหา"คารวะนายน้อยอวี้ คารวะคุณหนูหลิว" เจ๋อเหนียงเอ่ยขึ้นก่อนจะโค้งให้คนทั้งคู่"แม่นางเจ๋อเหนียง พวกเราพบกันอีกแล้วนะ" นางเอ่ยทักขึ้นพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร "ครั้งก่อนเป็นข้าไม่รู้ความ จึงได้กระทำการล่วงเกินคุณหนู ข้าต้องขออภัยด้วยนะเจ้าค่ะ" นางรู้ดีว่าตนควรขออภัยคุณหนูตรงหน้า อีกทั้งไม่ควรจะทำอะไรที่เป็นก