ตอนที่ 7
ปราการด่านสุดท้าย
"รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ
"หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล
อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น
"ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
"เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน
"คุณหนูบ่าวขอไปกับท่านเถิดนะเจ้าคะ ห่างกับคุณหนูเช่นนี้บ่าวต้องเป็นห่วงท่านจนอกแตกตายแน่" เสี่ยวหนิงอ้อนวอนทั้งน้ำตา นางไม่อยากแยกกับคุณหนูของนาง อีกทั้งยังกลัวว่าทั้งคุณหนูและพี่ชายของนางจะเกิดเรื่องอีกด้วย
"เสี่ยวหนิง ทำตามที่ข้าสั่ง พวกเรายิ่งไปด้วยกันเยอะโอกาสรอดยิ่งน้อง แต่หากแยกกันไปเช่นนี้ย่อมจะต้องดีกว่าแน่" นางเอ่ยกับสาวใช้ของตนอย่างอีกครั้ง ก่อนจะพาเสี่ยวหนิงมาส่งที่รถม้าด้วยตัวนางเอง
"คุณหนู..."
"เสี่ยวหนิง จำไว้เจ้าต้องรีบไปให้ไกลที่สุด ห้ามเหลียวกลับมามองอีกเป็นอันขาด"
"คุณหนู..."
"ไป...รีบไปซะเสี่ยวหนิง" นางเอ่ยออกมาอีกครั้งพลางส่งยิ้มกว้างไปให้สาวใช้คนสนิทของตนอย่างต้องการปลอบโยน
"เสี่ยวหนิง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องตามคนมาช่วยพวกเราได้แน่" คำพูดสุดท้ายของหลิวซือนัวถูกเอ่ยฝากไปกับสายลม
นางหันไปมองรถม้าที่เพิ่งจะเคลื่อนตัวออกไป เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปสมทบกับพวกของนางที่ยังเหลืออยู่
กู่หรูขึ้นม้าแล้ว คุณชายของนางก็เช่นเดียวกัน แม้บุรุษร่างกายซีดเซียวบนม้ามองดูแล้วเหมือนกับว่าพร้อมที่จะตกลงมาจากบนหลังม้าได้ทุกเมื่อ และถ้าหากระหว่างทางเกิดตกลงไปจริง ๆ ก็คงจะเจ็บไม่เบาทีเดียวอาจจะถึงขั้นกระดูกหักสักสองสามท่อนได้
หลิวซือนัวยังจำได้ดีถึงคำพูดของกู่เหอว่าอาการของคุณชายอวี้ของพวกเขาไม่เหมาะที่จะเกิดการกระทบกระเทือนหนัก ความจริงแล้วไม่ควรขี่ม้าด้วยซ้ำ นางรู้ดีแต่เวลานี้ม้าคือวิธีเดียวที่จะพาพวกนางไปจากที่นี่ได้
ขี่ม้าเป็นวิธีเดียวที่พวกนางจะมีโอกาสรอดจากภัยนี้ได้ แม้โอกาสจะน้อยเต็มทีก็ตาม แต่หลิวซือนัวก็จะขอเสี่ยงดวงไปกับโอกาสน้อยนิดนี้
เจ้าของใบหน้าอวบอิ่มเดินเข้าไปหาเสี่ยวชิงที่ถือเชือกจูงม้าสองตัวเอาไว้ ซึ่งตัวหนึ่งย่อมเป็นของเขา อีกตัวหนึ่งก็คือของนาง
กู่หรู เสี่ยวชิง คุณชายอวี้ และนาง พวกเราทั้งสี่คนย่อมต้องใช้ม้าถึงสี่ตัว ส่วนม้าที่เหลือนางได้สั่งให้เสี่ยวชิงปล่อยไปแล้ว
"ข้าจะขี่ม้าตัวเดียวกันกับคุณชายอวี้ ระหว่างทางพวกเจ้าสองคนจะได้คุ้มกันพวกเราได้ง่ายขึ้น" นางเอ่ยขึ้นก่อนจะให้เสี่ยวชิงช่วยนางขึ้นมาตัวเดียวกับคุณชายอวี้ได้สำเร็จ
นางชิงเป็นคนควบคุมม้าเองและให้คุณชายอวี้นั่งซ้อนด้านหลังนางเอาไว้แทน
"เสี่ยวชิง ส่งเชือกมาให้ข้า"
"เชือกขอรับ" แม้จะไม่เข้าใจนักว่าคุณหนูสั่งให้เขานำเชือกไปให้ทำไม แต่ตนก็หยิบเชือกที่กองอยู่ที่พื้นใกล้ ๆ ส่งให้ไปตามคำสั่ง
"มัดติดกันเอาไว้จะได้ไม่พลัดตกม้าลงไป" หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นหลังจากที่นางลงมือมัดเชือกที่ลำตัวคุณชายอวี้กับนางติดเอาไว้ด้วยกัน
"คุณหนูหลิว หรือไม่ก็ให้ข้าน้อยขี่ม้าตัวเดียวกันกับคุณชายเองจะดีกว่าหรือไม่" กู่หรูเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าคุณชายของนางถูกมัดติดเอาไว้กับตัวคุณหนูหลิว เกรงว่าคุณชายของนางจะอึดอัดและไม่พอใจ อีกทั้งนางนั้นกลัวว่าคุณชายของนางจะเป็นอันตรายด้วย มิสู้ให้ขี่มาไปกับนางแทน เช่นนี้นางจึงจะได้ระวังได้ถูก
"เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว พวกข้าอยู่ตรงกลาง พวกเจ้าสองคนเป็นวรยุทธ์คอยป้องกันอยู่ซ้ายขวาจะดีกว่า หากเจ้าเป็นคนพาเขาไปเองเกรงว่าจะต่อสู้ไม่สะดวก" หลิวซือนัวเอ่ยต่อ
"แต่..." กู่หรูไม่เห็นด้วย ยังไงนางก็อยากจะคุ้มกันคุณชายของนางเองจึงตั้งใจจะเอ่ยขัดอีกครั้ง
"กู่หรู ทำตามที่คุณหนูหลิวสั่ง" เจ้าของน้ำเสียงไร้เรียวแรงเอ่ยขึ้น เขามองตรงไปที่ผู้ติดตามหญิงของตนด้วยสายตานิ่งเฉย
แม้ว่าที่ดวงตาของคุณชายของนางจะมีผ้าคาดปิดเอาไว้แต่กู่หรูก็สามารถจดจำได้ดีว่าสายตาของคุณชายที่กำลังมองมาจะต้องเป็นเช่นไร กู่หรูจึงได้ยอมทำตามที่คุณหนูหลิวสั่งแต่โดยดีไม่คิดค้านขึ้นอีก
เขานิ่งเฉยรอดูเหตุการณ์เงียบๆอยู่นานโดยไม่ได้เสนอความคิดเห็นใดๆ จนกระทั่งเวลานี้เขาเริ่มรู้สึกว่าพิษในร่างกายของตนนั้นเริ่มจะกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่เพิ่งกินยาที่กู่เหอให้ไปได้ไม่นาน
อวี้หนานไห่คาดว่ายาที่ต้มที่นี่จะต้องมีปัญญาแน่ ดังนั้นก่อนที่อาการจะกำเริ่มจนเขาทนไม่ไหวหากจะหนีก็ต้องรีบไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ไม่อาจมัวแต่เสียเวลาได้อีก
ในเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว พวกนางก็เตรียมตัวจะออกเดินทางกันทันที เสียงโห่ร้องที่ดังมาจากด้านหน้าทำให้พวกเขารีบกระตุกส่ายบังคับม้าให้ออกวิ่งทันที
เสี่ยวชิงคือผู้ที่ควบม้าออกมาเป็นคนสุดท้าย เพราะต้องเป็นผู้จุดไฟเผาโรงเตี้ยมแห้งนี้ซะก่อน
ทันทีที่คบเพลิงในมือชายหนุ่มถูกโยนเข้าไปยังกองฟางที่กองสุมกันอยู่ชิดกับตัวโรงเตี้ยม ไฟก็รุกไหม้กองฟางทันที
แน่นอนว่าคนที่สั่งให้เขาเผาโรงเตี้ยมแห่งนี้ไปซะหาใช่ใครอื่น แต่เป็นคุณหนูหลิวซือนัว คุณหนูของเขานั่นเอง
คุณหนูสั่งให้เขาเผาโรงเตี้ยมนี้ซะภายหน้าจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้กับผู้โชคร้ายคนอื่นอีก ส่วนสองตายาคุณหนูก็สั่งให้เขากับกู่หรูพาไปมัดไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ห่างจากโรงเตี้ยมพอสมควร ไกลพอที่ไฟจะไม่ลามไปถึงพวกเขาทั้งสองได้
อีกทั้งเผาโรงเตี้ยมก็จะทำให้เกิดควันจากการเผาไหม้จำนวนมาก แน่นอนว่ามันน่าจะมากพอให้ที่นี่กลายเป็นจุดสังเกต และเมื่อเป็นจุดสังเกตก็จะดึงดูดคนของทางการให้เข้ามาตรวจสอบดู ที่นี้คนของทางการก็อาจจะได้พบกับเสี่ยวหนิงเร็วขึ้นอีก เมื่อรับรู้สถานการณ์ของพวกนางจากเสี่ยวหนิงแล้วก็คงจะรีบรุดตามมาให้ความช่วยเหลือพวกเราแน่
จู่ ๆ ไฟก็ไหม้โรงเตี้ยม แน่นอนว่าพวกโจรที่แห่กันเข้ามาต่างก็พากันตื่นตระหนก พวกมันพากันวิ่งออกห่างจากมาจากตัวโรงเตี้ยมทันที
ลู่ข่ง
บุรุษร่างยักษ์ เจ้าของแผลเป็นยาวบนใบหน้า ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าโจรมองตามหลังกลุ่มคนที่ขี่ม้าออกไปอย่างโกรธแค้น ที่แผนการปล้นของตนถูกทำลายจนไม่เหลือท่า"ไป ตามพวกมันไป ตามไปฆ่าพวกมันให้หมด!!!" โจรเหี้ยมตะโกนสั่งลูกน้องตน ด้วยความโกรธเกรี้ยว
ทันทีที่เสียงตะโกนดังออกมา ลูกสมุนโจรเดนตายก็กระโจนพุ่งตัวตามไปยังทางที่หัวหน้าตนบอกทันที พวกมันนับสิบตามไปอย่างไม่คิดชีวิต ฝีเท้าแต่ละคนว่องไวกว่าคนทั่วไปนัก พวกมันแทบไม่ต่างกับนักฆ่ามืออาชีพเลยด้วยซ้ำ หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือพวกมันนี่แหละคือ นักฆ่า มืออาชีพที่แท้จริง
เสียงโห่ร้องรวมไปถึงเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมาทำให้พวกหลิวซือนัวยิ่งมุ่งไปข้างหน้า
โชคดีที่พวกโจรยังตามพวกนางมาได้ไม่ประชิดตัว อีกอย่างพวกมันต่างก็ใช้แรงเท้าวิ่ง อย่างไรก็สู้ฝีเท้าม้าไม่ได้ ตามมาสักพักก็คงหมดแรงเลิกวิ่งตามกันไปเอง
คิดไปถึงเช่นนั้นพวกนางก็เริ่มที่จะเบาใจได้บ้างแล้ว แต่แล้วความคิดที่วาดฝันเอาไว้ก็ถูกทำลายลงเมื่อจู่ ๆ พวกที่วิ่งตามในตอนแรกก็ถูกแทนที่ด้วยพวกมันที่ขี่ม้าแทน จากที่หันไปมองเห็นด้วยสายตา พวกที่ขี่ม้าตามมามีไม่ต่ำกว่าห้าคน
"พวกมันมีกำลังม้า ตามมาจะทันแล้ว" เสี่ยวชิงเอ่ยขึ้น
"ตามมาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ อย่างไรก็ยากที่จะไม่ต้องสู้แล้ว" กู่หรูซึ่งขี่ม้าขนาบข้างอยู่ด้านหลังของผู้เป็นนายเช่นเดียวกันกับเสี่ยวชิงเอ่ยต่อ
ในเมื่อสุดท้ายแล้วการสู้และต้านกำลังของพวกโจรเอาไว้ดูจะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้านายทั้งสองรอดไปได้ พวกเขาซึ่งเป็นผู้ติดตามอารักษ์ขาเจ้านายทั้งสองรู้ดีว่าควรทำเช่นไร
กู่หรูและเสี่ยวชิง ควบคุมม้าให้หยุดวิ่งและหันไปเผชิญหน้ากับพวกโจรทันที พวกเขาทั้งสองทำตัวเป็นปราการด่านสุดท้ายเพื่อปกป้องนายด้วยชีวิต
หลิวซือนัวหันย้อนกลับไปมอง กู่หรู และเสี่ยวชิง เมื่อเห็นว่าเสียงฝีเท้าม้าของทั้งคู่หายไป
นางกลับเห็นคนทั้งคู่บังคับม้ากลับไป รอเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างอาจหาญ จังหวะหนึ่งที่นางเห็นเสี่ยวชิงและกู่หรูหันมายิ้มให้พวกนางก่อนจะหันหน้าไปยังทางที่พวกโจรกำลังใกล้เข้ามา
ก่อนจะหันกลับไป พวกเขายังเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาได้อย่างพร้อมเพียงกัน ประโยคนั้นทำเอาหลิวซือนัวที่ได้ยินใจรู้สึกหายขึ้นมาในทันที
"คุณหนู ท่านรีบหนีไปเถอะ / คุณชาย ท่านรีบหนีไปเถอะ"
แม้แทบจะไม่อาจควบม้าต่อไปได้ แต่หลิวซือนัวกับต้องพยายามควบคุมม้าให้วิ่งต่อไปให้เร็วที่สุด โดยได้แต่หวังว่า ยิ่งนางสามารถหนีไปได้ไกลมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งจะทำให้เสี่ยวชิงและกู่หรูสามารถหาจังหวะหนีไปได้เร็วขึ้นมากเท่านั้น
นางหวังว่าพวกเขาทั้งสองคนจะรอดปลอดภัย และพวกเราจะได้กลับมาเจอกันอีก...
ผู้เป็นนายของพวกเขาไปแล้ว เสี่ยวชิงจึงหันไปชวนสตรีหาญที่ขนาบอยู่บนม้าข้าง ๆ สนทนาบ้าง
"เจ้าเคยฆ่าคนไหม" นี่คือคำถามที่เขาเอ่ยถามสตรีหาญ
"ย่อมต้องเคยฆ่า" นี่คือคำตอบที่นางให้เขา พร้อมกับการกระชับกระบี่ในมือตน
"ไม่กลัวที่จะต้องฆ่าเช่นนั้นหรือ" เขาถามนางอีกครั้ง "เหตุใดเจ้าจึงต้องฆ่า"
"เหตุผลเดียวกันกับเจ้า ก็เพราะต้องฆ่า จึงฆ่า" เอ่ยจบเจ้าของร่างบางก็ชักกระบี่คู่กายของตนออกมา ก่อนที่ผู้ติดตามผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองจะควบม้าเข้าไปปะทะกับพวกโจรชั่วในทันที
นัยน์ตาของคนกล้าทั้งคู่ไม่แม้จะปรากฏความกลัวอยู่ในนั้นแม้สักน้อยนิด เพราะพวกเขารู้ดีว่าที่หันดาบหันกระบี่พร้อมที่จะใช้มันปลดชีพชีวิตให้สิ้นนั้นเพราะเหตุใดกันแน่
พวกเขาต่างทำเพราะปกป้องคนที่พวกเขาควรปกป้องอย่างสุดกำลัง เพราะฉะนั้นทั้งดาบและกระบี่ของทั้งคู่จึงฟาดฟันออกไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
จวบจนกระทั่งคนทั้งคู่หมดแรงที่จะถือดาบและกระบี่เอาไว้ได้อีกต่อไป ทว่าพวกเขาก็เลือกที่จะใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีกุมด้ามดาบและกระบี่คู่กายของตนเอาไว้แน่
หน้าที่ของผู้ติดตามและอารักษ์ขา คือต่อสู้จนสุดตัวเพื่อผู้เป็นนายและมอบให้ได้แม้กระทั่งชีวิตที่จงรักภักดี
ตอนที่ 8ไม่ไร้หนทาง นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ" เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป
ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว
ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย
บทนำ เริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง ความทรงจำอันแสนเศร้า การใช้ชีวิตอย่างลำบากยากเข็น ตลอดระยะเวลายี่สิบห้าปีที่ผ่านมาได้จบลงแล้ว จบลงด้วยความน่าเวทนาอย่างสุดแสน แม้จะเลื่อนรางเต็มที ทว่านางกลับยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้อย่างแจ่มชัด วันนั้นเป็นวันที่มีฝนตกลงมาในช่วงค่ำ นางจำได้ว่าในขณะที่กำลังรอข้ามถนนหลังจากเพิ่งเลิกงาน จู่ ๆ ก็มีรถพุ่งเข้ามาชนนางจนเสียชีวิต หยาดฝนที่ตกลงมาเป็นสายรวมตัวกันกลายเป็นแอ่งน้ำที่ไหลนองอยู่เต็มพื้น นางจำได้ดีว่าเลือดในกายของนางไหลรวมไปกับน้ำสกปรกเหล่านั้นมากมายเพียงใด มันมากพอที่ทั่วทั้งบริเวณนั้นจะเต็มไปด้วยเลือดแดงฉานน่าหวาดกลัว ร่างของนางนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นที่ทั้งเย็นทั้งแข็งและเปียกชื้น เม็ดฝน เม็ดแล้วเม็ดเล่าตกลงมากระทบใส่ร่างของนางจนรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งตัว นางในยามนั้นสิ้นใจอย่างอเนจอนาถยิ่ง แต่จิตสุดท้ายกลับรู้สึกโกรธแค้นในโชคชะตาของตนนั้นเป็นที่สุด สวรรค์ให้นางเกิดเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องทำงานหนักสู้ชีวิตอย่างอยากลำบากก็ ช่างเถอะ ไฉนจึงต้องให้นางมาตายเช่นนี้ด้วย ทั้งชีวิตนี้แสนเศร้านักได
ตอนที่ 1ข้านี่แหละหลิวซือนัว สิบเอ็ดปีมาแล้วที่นางอยู่ในมิตินี้ในฐานะหลิวซือนัว ทุกอย่างในชีวิตราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง นางมีครอบครัวใหญ่ที่แสนอบอุ่น อีกทั้งนางยังเป็นที่รักของคนในครอบครัวเป็นอย่างมาก ทุกคนในสกุลหลิวล้วนแล้วแต่ดูแลนางอย่างดีราวกับประคองไว้บนมือก็กลัวจะตก อมไว้ในปากก็กลัวจะละลาย ไม่มีสิ่งใดที่นางต้องการแล้วจะไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางได้รับล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินหรือสิ่งของต่าง ๆ รวมไปถึงเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นเลิศทั้งสิ้น ชีวิตของนางต่างจากโลกเดิมอย่างชัดเจนราวกับหลังมือเป็นหน้ามือ จากที่เคยขัดสนกลับมั่งมีมากมายล้นเหลือ จนทำนางเผลอคิดไปว่าหรือชีวิตใหม่ในมิตินี้จะเป็นสิ่งที่สวรรค์ตั้งใจมอบแก่นาง ถึงกระนั้นนอกจากทรัพย์สินมากมายและครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว ดูเหมือนจะมีสิ่งหนึ่งที่นางอยากจะให้เป็นเช่นเดิมเหมือนในมิติก่อน นั่นก็คือในมิติก่อนนางกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ทว่าในมิตินี้เพียงแค่จิบชาไปหนึ่งถ้วยกับรู้สึกว่าตนอ้วนขึ้นเสียอย่างนั้น เหล่าแม่นางคุณหนูทั้งหลายในเมืองนี้ล้ว
ตอนที่2ข่าวลือหนาหู หลายวันที่ผ่านมานี้ มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการมีปากเสียงกันระหว่างคุณหนูสกุลหลิวและคุณหนูสกุลอี้ บ้างลือกันไปว่าคุณหนูหลิวเกิดความริษยาต่อคุณหนูอี้เพราะคุณหนูอี้นั่นมีรูปโฉมงดงามกว่า บ้างก็ว่าเป็นเพราะคุณหนูหลิวอยากแสดงอำนาจในมือตนให้เป็นที่ประจักษ์และคุณหนูอี้นั้นก็กลายมาเป็นผู้รับเคราะห์กรรมไปโดยไร้ความผิด ผู้คนที่ได้ยินข่าวลือต่างพากันสงสารคุณหนูสกุลอี้ เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพวกผู้คนที่พากันสงสารคุณหนูสกุลอี้นั้นย่อมต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณหนูหลิวในทางที่ไม่ดี “คุณหนูเจ้าคะ ข่าวลือพวกนี้ต้องเป็นคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นผู้สร้างขึ้นแน่นอนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นางในยามนี้รู้สึกโมโหแทนคุณหนูของนางเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะออกไปป่าวประกาศในทุกคนรู้กันให้ทั่วเมือง ว่าแท้จริงแล้วคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นคนเช่นไร “ก็แค่ข่าวลือเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่นานผู้คนก็จะพากันลืมไปเอง” นางเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น มือก็พลิกดูแบบลายปักในมือตนด้วยทีท่านิ่งเฉย “นางจงใจทำให้ชื่อเสียงคุณหนูเสียหา
ตอนที่ 3มุ่งหน้าสู่เป่ยจู เป็นเวลากว่าห้าวันมาแล้วที่พวกนางเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเป่ยจู ตลอดทางแม้ไม่ได้สะดวกสบายเท่าใดนักแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ท่านพ่อท่านแม่ส่งผู้คุ้มกันที่คุ้นชินกับการเดินทางและมีวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไว้ใจได้มาทั้งหมดห้าคนด้วยกัน โดยที่หนึ่งในห้าคนนี้นั้นยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเสี่ยวหนิงอีกด้วย พี่ชายของเสี่ยวหนิงผู้นี้มีชื่อว่าเสี่ยวชิง ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าในการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่านางเองก็คุ้นชินกับเสี่ยวชิงเป็นอย่างดี การเดินทางของนางในครั้งนี้จึงไม่มีสิ่งใดน่ากังวลใจ จนกระทั่งเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่อยู่ ๆ ก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักโดยไม่ให้พวกนางทันได้ตั้งตัว “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่พี่ชายบอกกับข้าว่า ข้างหน้าอีกไม่ไกลจะมีอารามร้างอยู่ พวกเราสามารถไปหลบฝนที่นั่นก่อนได้เจ้าคะ” หลิวซือนัวได้ฟังก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมา เพราะดูท่าแล้วฝนนี้คงจะไม่หยุดตกง่าย ๆ เป็นแน่ อีกทั้งถนนเรียบชายป่าที่มีต้นไม้มากมายเช่นนี้หากฝืนเดินทางต่อไปย่อมมีแต่อันตราย อย่างไรก็ต้อ
ตอนที่ 4ผู้ร่วมทางคนใหม่ กว่าฝนจะหยุดตกลงมาก็เป็นเวลาเช้าวันใหม่แล้ว ขบวนเดินทางทั้งสองที่หยุดพักหลบฝนตั้งแต่เมื่อคืนต่างก็พากันเตรียมตัวที่จะออกเดินทางกันต่อแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งนัก ราวกับว่าเมื่อวานมิได้มีพายุฝนตกหนักมาก่อน ดั่งคำที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ท้องฟ้าเบื้องหน้าของนางในยามนี้งดงามมากจริง ๆ กลุ่มก้อนเมฆรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายกับปลาทองที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า “เสี่ยวหนิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท ที่กำลังตรวจดูสิ่งของที่ถูกลำเรียงขึ้นไปยังรถม้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “เจ้าคะ คุณหนู” นางขานรับคำคุณหนูของตนทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะเดินไปที่ทางด้านหน้าทางเข้าอารามที่คุณหนูของนางยืนอยู่ “บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ” “เจ้าลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ” สิ้นเสียงของคุณหนูที่เอ่ยออกมา เสี่ยวหนิงก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทันที ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ “บนท้องฟ้า เมฆปรากฏเป็นรูปปลาทอง เป็นมงคลนักเจ้าค่ะคุณหนู” “ข้ารู้แล้ว จึง
ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย
ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว
ตอนที่ 8ไม่ไร้หนทาง นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ" เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป
ตอนที่ 7ปราการด่านสุดท้าย "รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ "หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น "ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน
ตอนที่ 6โรงเตี้ยมกลางป่า "บ่าวทำตามที่คุณชายสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" กู่หรูรายงานผู้เป็นนายของนาง "คุณหนูหลิวยังฝากบ่าวมาบอกท่านอีกว่า ระหว่างท่านกับนางไม่ได้มีผู้ใดติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณใด ๆ ต่อกันอีกเจ้าค่ะ" กู่หรูเมื่อรายงานเรื่องทั้งหมดแล้ว ครั้นเมื่อเห็นคุณชายของนางยังคงนิ่งเงียบอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนควรออกไปได้แล้ว นางจึงโค้งนำนับครั้งหนึ่งก่อนจะออกจากห้องพักของผู้เป็นนายไป ปล่อยให้กู่เหอพี่ชายนางอยู่ค่อยรับใช้คุณชายต่อเพียงผู้เดียว เหตุที่อวี้หนานไห่นิ่งเงียบเช่นนี้เพราะเขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขารู้ดีว่าคุณหนูหลิวที่กู่หรูเอ่ยถึงเมื่อครู่นางเข้าใจดีว่าเขาต้องการสิ่งใดจึงให้คนนำชาชั้นดีไปให้นาง ตั้งแต่ที่วัดร้าง เขาเองด้วยความที่ระวังตัวมาก จึงได้ให้กู่เหอนำชาสมุนไพรชั้นดีไปให้อีกขบวนหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ของเขาและยอมที่จะทนหนาว ทุกคนในขบวนของคุณหนูหลิวไม่มีใครใส่ใจหรือตกใจกับชาชั้นดีเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาต่างก็ถูกฝึกมาอย่างดี คุณหนูหลิวผู้นี้ก็ไม่ใช่สายของโจรป่าที่กำลังระบาดหนักอยู
ตอนที่ 5น้ำใจของนาง อาจเป็นเพราะยาที่กู่เหอให้คุณชายของเขาทานไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ทำให้มือหนาที่เคยกุมมือของนางเอาไว้แน่ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงทว่าเขาก็ยังคงจับมือของนางเอาไว้อยู่ หลิวซือนัวค่อย ๆ ดึงมือของนางออกจากมือใหญ่ของเขาอย่างช้า ๆ ครั้นอยู่ ๆ เจ้าของมือหนาที่เคยเกาะกุมมือนางเอาไว้แน่นราวปอกเหล็ก ก็สะบัดมือนางออกทันที ทั้งยังผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วทั้งที่นางสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า เวลานี้เขาไร้เรี่ยวแรงเพียงใดแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมานั่งจนได้ “ท่านรีบร้อนลุกขึ้นมาเช่นนี้ ร่างกายท่านอาจจะยังรับไม่ไหว หากหมดสติลงไปอีก ข้าว่าคงจะไม่ดีแน่” หลิวซือนัวเอ่ยขึ้น นางลุกขึ้นไปนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของรถม้าซึ่งตรงกันข้ามกับที่ร่างสูงของบุรุษตาบอดนั่งอยู่ “เจ้าเป็นใครกัน” เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงแหบแห้ง ทุกคำพูดในยามนี้ของเขาถูกเอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก “ข้าก็คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่หลบพายุอยู่ที่อารามร้างเช่นกันกับท่านเมื่อ คืน” นางเอ่ยตอบกลับไปอย่างใจเย็น จู่ ๆ ครั้งหนึ่งยามที่นางมองไปทางเขา เมื่อครู่กับรู้สึกสงสารเวทนา เขาข
ตอนที่ 4ผู้ร่วมทางคนใหม่ กว่าฝนจะหยุดตกลงมาก็เป็นเวลาเช้าวันใหม่แล้ว ขบวนเดินทางทั้งสองที่หยุดพักหลบฝนตั้งแต่เมื่อคืนต่างก็พากันเตรียมตัวที่จะออกเดินทางกันต่อแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งนัก ราวกับว่าเมื่อวานมิได้มีพายุฝนตกหนักมาก่อน ดั่งคำที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ท้องฟ้าเบื้องหน้าของนางในยามนี้งดงามมากจริง ๆ กลุ่มก้อนเมฆรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายกับปลาทองที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า “เสี่ยวหนิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท ที่กำลังตรวจดูสิ่งของที่ถูกลำเรียงขึ้นไปยังรถม้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “เจ้าคะ คุณหนู” นางขานรับคำคุณหนูของตนทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะเดินไปที่ทางด้านหน้าทางเข้าอารามที่คุณหนูของนางยืนอยู่ “บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ” “เจ้าลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ” สิ้นเสียงของคุณหนูที่เอ่ยออกมา เสี่ยวหนิงก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทันที ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ “บนท้องฟ้า เมฆปรากฏเป็นรูปปลาทอง เป็นมงคลนักเจ้าค่ะคุณหนู” “ข้ารู้แล้ว จึง
ตอนที่ 3มุ่งหน้าสู่เป่ยจู เป็นเวลากว่าห้าวันมาแล้วที่พวกนางเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเป่ยจู ตลอดทางแม้ไม่ได้สะดวกสบายเท่าใดนักแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ท่านพ่อท่านแม่ส่งผู้คุ้มกันที่คุ้นชินกับการเดินทางและมีวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไว้ใจได้มาทั้งหมดห้าคนด้วยกัน โดยที่หนึ่งในห้าคนนี้นั้นยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเสี่ยวหนิงอีกด้วย พี่ชายของเสี่ยวหนิงผู้นี้มีชื่อว่าเสี่ยวชิง ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าในการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่านางเองก็คุ้นชินกับเสี่ยวชิงเป็นอย่างดี การเดินทางของนางในครั้งนี้จึงไม่มีสิ่งใดน่ากังวลใจ จนกระทั่งเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่อยู่ ๆ ก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักโดยไม่ให้พวกนางทันได้ตั้งตัว “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่พี่ชายบอกกับข้าว่า ข้างหน้าอีกไม่ไกลจะมีอารามร้างอยู่ พวกเราสามารถไปหลบฝนที่นั่นก่อนได้เจ้าคะ” หลิวซือนัวได้ฟังก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมา เพราะดูท่าแล้วฝนนี้คงจะไม่หยุดตกง่าย ๆ เป็นแน่ อีกทั้งถนนเรียบชายป่าที่มีต้นไม้มากมายเช่นนี้หากฝืนเดินทางต่อไปย่อมมีแต่อันตราย อย่างไรก็ต้อ
ตอนที่2ข่าวลือหนาหู หลายวันที่ผ่านมานี้ มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการมีปากเสียงกันระหว่างคุณหนูสกุลหลิวและคุณหนูสกุลอี้ บ้างลือกันไปว่าคุณหนูหลิวเกิดความริษยาต่อคุณหนูอี้เพราะคุณหนูอี้นั่นมีรูปโฉมงดงามกว่า บ้างก็ว่าเป็นเพราะคุณหนูหลิวอยากแสดงอำนาจในมือตนให้เป็นที่ประจักษ์และคุณหนูอี้นั้นก็กลายมาเป็นผู้รับเคราะห์กรรมไปโดยไร้ความผิด ผู้คนที่ได้ยินข่าวลือต่างพากันสงสารคุณหนูสกุลอี้ เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพวกผู้คนที่พากันสงสารคุณหนูสกุลอี้นั้นย่อมต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณหนูหลิวในทางที่ไม่ดี “คุณหนูเจ้าคะ ข่าวลือพวกนี้ต้องเป็นคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นผู้สร้างขึ้นแน่นอนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นางในยามนี้รู้สึกโมโหแทนคุณหนูของนางเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะออกไปป่าวประกาศในทุกคนรู้กันให้ทั่วเมือง ว่าแท้จริงแล้วคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นคนเช่นไร “ก็แค่ข่าวลือเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่นานผู้คนก็จะพากันลืมไปเอง” นางเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น มือก็พลิกดูแบบลายปักในมือตนด้วยทีท่านิ่งเฉย “นางจงใจทำให้ชื่อเสียงคุณหนูเสียหา