ตอนที่ 7
ปราการด่านสุดท้าย
"รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ
"หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล
อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น
"ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
"เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน
"คุณหนูบ่าวขอไปกับท่านเถิดนะเจ้าคะ ห่างกับคุณหนูเช่นนี้บ่าวต้องเป็นห่วงท่านจนอกแตกตายแน่" เสี่ยวหนิงอ้อนวอนทั้งน้ำตา นางไม่อยากแยกกับคุณหนูของนาง อีกทั้งยังกลัวว่าทั้งคุณหนูและพี่ชายของนางจะเกิดเรื่องอีกด้วย
"เสี่ยวหนิง ทำตามที่ข้าสั่ง พวกเรายิ่งไปด้วยกันเยอะโอกาสรอดยิ่งน้อง แต่หากแยกกันไปเช่นนี้ย่อมจะต้องดีกว่าแน่" นางเอ่ยกับสาวใช้ของตนอย่างอีกครั้ง ก่อนจะพาเสี่ยวหนิงมาส่งที่รถม้าด้วยตัวนางเอง
"คุณหนู..."
"เสี่ยวหนิง จำไว้เจ้าต้องรีบไปให้ไกลที่สุด ห้ามเหลียวกลับมามองอีกเป็นอันขาด"
"คุณหนู..."
"ไป...รีบไปซะเสี่ยวหนิง" นางเอ่ยออกมาอีกครั้งพลางส่งยิ้มกว้างไปให้สาวใช้คนสนิทของตนอย่างต้องการปลอบโยน
"เสี่ยวหนิง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องตามคนมาช่วยพวกเราได้แน่" คำพูดสุดท้ายของหลิวซือนัวถูกเอ่ยฝากไปกับสายลม
นางหันไปมองรถม้าที่เพิ่งจะเคลื่อนตัวออกไป เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปสมทบกับพวกของนางที่ยังเหลืออยู่
กู่หรูขึ้นม้าแล้ว คุณชายของนางก็เช่นเดียวกัน แม้บุรุษร่างกายซีดเซียวบนม้ามองดูแล้วเหมือนกับว่าพร้อมที่จะตกลงมาจากบนหลังม้าได้ทุกเมื่อ และถ้าหากระหว่างทางเกิดตกลงไปจริง ๆ ก็คงจะเจ็บไม่เบาทีเดียวอาจจะถึงขั้นกระดูกหักสักสองสามท่อนได้
หลิวซือนัวยังจำได้ดีถึงคำพูดของกู่เหอว่าอาการของคุณชายอวี้ของพวกเขาไม่เหมาะที่จะเกิดการกระทบกระเทือนหนัก ความจริงแล้วไม่ควรขี่ม้าด้วยซ้ำ นางรู้ดีแต่เวลานี้ม้าคือวิธีเดียวที่จะพาพวกนางไปจากที่นี่ได้
ขี่ม้าเป็นวิธีเดียวที่พวกนางจะมีโอกาสรอดจากภัยนี้ได้ แม้โอกาสจะน้อยเต็มทีก็ตาม แต่หลิวซือนัวก็จะขอเสี่ยงดวงไปกับโอกาสน้อยนิดนี้
เจ้าของใบหน้าอวบอิ่มเดินเข้าไปหาเสี่ยวชิงที่ถือเชือกจูงม้าสองตัวเอาไว้ ซึ่งตัวหนึ่งย่อมเป็นของเขา อีกตัวหนึ่งก็คือของนาง
กู่หรู เสี่ยวชิง คุณชายอวี้ และนาง พวกเราทั้งสี่คนย่อมต้องใช้ม้าถึงสี่ตัว ส่วนม้าที่เหลือนางได้สั่งให้เสี่ยวชิงปล่อยไปแล้ว
"ข้าจะขี่ม้าตัวเดียวกันกับคุณชายอวี้ ระหว่างทางพวกเจ้าสองคนจะได้คุ้มกันพวกเราได้ง่ายขึ้น" นางเอ่ยขึ้นก่อนจะให้เสี่ยวชิงช่วยนางขึ้นมาตัวเดียวกับคุณชายอวี้ได้สำเร็จ
นางชิงเป็นคนควบคุมม้าเองและให้คุณชายอวี้นั่งซ้อนด้านหลังนางเอาไว้แทน
"เสี่ยวชิง ส่งเชือกมาให้ข้า"
"เชือกขอรับ" แม้จะไม่เข้าใจนักว่าคุณหนูสั่งให้เขานำเชือกไปให้ทำไม แต่ตนก็หยิบเชือกที่กองอยู่ที่พื้นใกล้ ๆ ส่งให้ไปตามคำสั่ง
"มัดติดกันเอาไว้จะได้ไม่พลัดตกม้าลงไป" หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นหลังจากที่นางลงมือมัดเชือกที่ลำตัวคุณชายอวี้กับนางติดเอาไว้ด้วยกัน
"คุณหนูหลิว หรือไม่ก็ให้ข้าน้อยขี่ม้าตัวเดียวกันกับคุณชายเองจะดีกว่าหรือไม่" กู่หรูเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าคุณชายของนางถูกมัดติดเอาไว้กับตัวคุณหนูหลิว เกรงว่าคุณชายของนางจะอึดอัดและไม่พอใจ อีกทั้งนางนั้นกลัวว่าคุณชายของนางจะเป็นอันตรายด้วย มิสู้ให้ขี่มาไปกับนางแทน เช่นนี้นางจึงจะได้ระวังได้ถูก
"เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว พวกข้าอยู่ตรงกลาง พวกเจ้าสองคนเป็นวรยุทธ์คอยป้องกันอยู่ซ้ายขวาจะดีกว่า หากเจ้าเป็นคนพาเขาไปเองเกรงว่าจะต่อสู้ไม่สะดวก" หลิวซือนัวเอ่ยต่อ
"แต่..." กู่หรูไม่เห็นด้วย ยังไงนางก็อยากจะคุ้มกันคุณชายของนางเองจึงตั้งใจจะเอ่ยขัดอีกครั้ง
"กู่หรู ทำตามที่คุณหนูหลิวสั่ง" เจ้าของน้ำเสียงไร้เรียวแรงเอ่ยขึ้น เขามองตรงไปที่ผู้ติดตามหญิงของตนด้วยสายตานิ่งเฉย
แม้ว่าที่ดวงตาของคุณชายของนางจะมีผ้าคาดปิดเอาไว้แต่กู่หรูก็สามารถจดจำได้ดีว่าสายตาของคุณชายที่กำลังมองมาจะต้องเป็นเช่นไร กู่หรูจึงได้ยอมทำตามที่คุณหนูหลิวสั่งแต่โดยดีไม่คิดค้านขึ้นอีก
เขานิ่งเฉยรอดูเหตุการณ์เงียบๆอยู่นานโดยไม่ได้เสนอความคิดเห็นใดๆ จนกระทั่งเวลานี้เขาเริ่มรู้สึกว่าพิษในร่างกายของตนนั้นเริ่มจะกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่เพิ่งกินยาที่กู่เหอให้ไปได้ไม่นาน
อวี้หนานไห่คาดว่ายาที่ต้มที่นี่จะต้องมีปัญญาแน่ ดังนั้นก่อนที่อาการจะกำเริ่มจนเขาทนไม่ไหวหากจะหนีก็ต้องรีบไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ไม่อาจมัวแต่เสียเวลาได้อีก
ในเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว พวกนางก็เตรียมตัวจะออกเดินทางกันทันที เสียงโห่ร้องที่ดังมาจากด้านหน้าทำให้พวกเขารีบกระตุกส่ายบังคับม้าให้ออกวิ่งทันที
เสี่ยวชิงคือผู้ที่ควบม้าออกมาเป็นคนสุดท้าย เพราะต้องเป็นผู้จุดไฟเผาโรงเตี้ยมแห้งนี้ซะก่อน
ทันทีที่คบเพลิงในมือชายหนุ่มถูกโยนเข้าไปยังกองฟางที่กองสุมกันอยู่ชิดกับตัวโรงเตี้ยม ไฟก็รุกไหม้กองฟางทันที
แน่นอนว่าคนที่สั่งให้เขาเผาโรงเตี้ยมแห่งนี้ไปซะหาใช่ใครอื่น แต่เป็นคุณหนูหลิวซือนัว คุณหนูของเขานั่นเอง
คุณหนูสั่งให้เขาเผาโรงเตี้ยมนี้ซะภายหน้าจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้กับผู้โชคร้ายคนอื่นอีก ส่วนสองตายาคุณหนูก็สั่งให้เขากับกู่หรูพาไปมัดไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ห่างจากโรงเตี้ยมพอสมควร ไกลพอที่ไฟจะไม่ลามไปถึงพวกเขาทั้งสองได้
อีกทั้งเผาโรงเตี้ยมก็จะทำให้เกิดควันจากการเผาไหม้จำนวนมาก แน่นอนว่ามันน่าจะมากพอให้ที่นี่กลายเป็นจุดสังเกต และเมื่อเป็นจุดสังเกตก็จะดึงดูดคนของทางการให้เข้ามาตรวจสอบดู ที่นี้คนของทางการก็อาจจะได้พบกับเสี่ยวหนิงเร็วขึ้นอีก เมื่อรับรู้สถานการณ์ของพวกนางจากเสี่ยวหนิงแล้วก็คงจะรีบรุดตามมาให้ความช่วยเหลือพวกเราแน่
จู่ ๆ ไฟก็ไหม้โรงเตี้ยม แน่นอนว่าพวกโจรที่แห่กันเข้ามาต่างก็พากันตื่นตระหนก พวกมันพากันวิ่งออกห่างจากมาจากตัวโรงเตี้ยมทันที
ลู่ข่ง
บุรุษร่างยักษ์ เจ้าของแผลเป็นยาวบนใบหน้า ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าโจรมองตามหลังกลุ่มคนที่ขี่ม้าออกไปอย่างโกรธแค้น ที่แผนการปล้นของตนถูกทำลายจนไม่เหลือท่า"ไป ตามพวกมันไป ตามไปฆ่าพวกมันให้หมด!!!" โจรเหี้ยมตะโกนสั่งลูกน้องตน ด้วยความโกรธเกรี้ยว
ทันทีที่เสียงตะโกนดังออกมา ลูกสมุนโจรเดนตายก็กระโจนพุ่งตัวตามไปยังทางที่หัวหน้าตนบอกทันที พวกมันนับสิบตามไปอย่างไม่คิดชีวิต ฝีเท้าแต่ละคนว่องไวกว่าคนทั่วไปนัก พวกมันแทบไม่ต่างกับนักฆ่ามืออาชีพเลยด้วยซ้ำ หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือพวกมันนี่แหละคือ นักฆ่า มืออาชีพที่แท้จริง
เสียงโห่ร้องรวมไปถึงเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมาทำให้พวกหลิวซือนัวยิ่งมุ่งไปข้างหน้า
โชคดีที่พวกโจรยังตามพวกนางมาได้ไม่ประชิดตัว อีกอย่างพวกมันต่างก็ใช้แรงเท้าวิ่ง อย่างไรก็สู้ฝีเท้าม้าไม่ได้ ตามมาสักพักก็คงหมดแรงเลิกวิ่งตามกันไปเอง
คิดไปถึงเช่นนั้นพวกนางก็เริ่มที่จะเบาใจได้บ้างแล้ว แต่แล้วความคิดที่วาดฝันเอาไว้ก็ถูกทำลายลงเมื่อจู่ ๆ พวกที่วิ่งตามในตอนแรกก็ถูกแทนที่ด้วยพวกมันที่ขี่ม้าแทน จากที่หันไปมองเห็นด้วยสายตา พวกที่ขี่ม้าตามมามีไม่ต่ำกว่าห้าคน
"พวกมันมีกำลังม้า ตามมาจะทันแล้ว" เสี่ยวชิงเอ่ยขึ้น
"ตามมาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ อย่างไรก็ยากที่จะไม่ต้องสู้แล้ว" กู่หรูซึ่งขี่ม้าขนาบข้างอยู่ด้านหลังของผู้เป็นนายเช่นเดียวกันกับเสี่ยวชิงเอ่ยต่อ
ในเมื่อสุดท้ายแล้วการสู้และต้านกำลังของพวกโจรเอาไว้ดูจะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้านายทั้งสองรอดไปได้ พวกเขาซึ่งเป็นผู้ติดตามอารักษ์ขาเจ้านายทั้งสองรู้ดีว่าควรทำเช่นไร
กู่หรูและเสี่ยวชิง ควบคุมม้าให้หยุดวิ่งและหันไปเผชิญหน้ากับพวกโจรทันที พวกเขาทั้งสองทำตัวเป็นปราการด่านสุดท้ายเพื่อปกป้องนายด้วยชีวิต
หลิวซือนัวหันย้อนกลับไปมอง กู่หรู และเสี่ยวชิง เมื่อเห็นว่าเสียงฝีเท้าม้าของทั้งคู่หายไป
นางกลับเห็นคนทั้งคู่บังคับม้ากลับไป รอเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างอาจหาญ จังหวะหนึ่งที่นางเห็นเสี่ยวชิงและกู่หรูหันมายิ้มให้พวกนางก่อนจะหันหน้าไปยังทางที่พวกโจรกำลังใกล้เข้ามา
ก่อนจะหันกลับไป พวกเขายังเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาได้อย่างพร้อมเพียงกัน ประโยคนั้นทำเอาหลิวซือนัวที่ได้ยินใจรู้สึกหายขึ้นมาในทันที
"คุณหนู ท่านรีบหนีไปเถอะ / คุณชาย ท่านรีบหนีไปเถอะ"
แม้แทบจะไม่อาจควบม้าต่อไปได้ แต่หลิวซือนัวกับต้องพยายามควบคุมม้าให้วิ่งต่อไปให้เร็วที่สุด โดยได้แต่หวังว่า ยิ่งนางสามารถหนีไปได้ไกลมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งจะทำให้เสี่ยวชิงและกู่หรูสามารถหาจังหวะหนีไปได้เร็วขึ้นมากเท่านั้น
นางหวังว่าพวกเขาทั้งสองคนจะรอดปลอดภัย และพวกเราจะได้กลับมาเจอกันอีก...
ผู้เป็นนายของพวกเขาไปแล้ว เสี่ยวชิงจึงหันไปชวนสตรีหาญที่ขนาบอยู่บนม้าข้าง ๆ สนทนาบ้าง
"เจ้าเคยฆ่าคนไหม" นี่คือคำถามที่เขาเอ่ยถามสตรีหาญ
"ย่อมต้องเคยฆ่า" นี่คือคำตอบที่นางให้เขา พร้อมกับการกระชับกระบี่ในมือตน
"ไม่กลัวที่จะต้องฆ่าเช่นนั้นหรือ" เขาถามนางอีกครั้ง "เหตุใดเจ้าจึงต้องฆ่า"
"เหตุผลเดียวกันกับเจ้า ก็เพราะต้องฆ่า จึงฆ่า" เอ่ยจบเจ้าของร่างบางก็ชักกระบี่คู่กายของตนออกมา ก่อนที่ผู้ติดตามผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองจะควบม้าเข้าไปปะทะกับพวกโจรชั่วในทันที
นัยน์ตาของคนกล้าทั้งคู่ไม่แม้จะปรากฏความกลัวอยู่ในนั้นแม้สักน้อยนิด เพราะพวกเขารู้ดีว่าที่หันดาบหันกระบี่พร้อมที่จะใช้มันปลดชีพชีวิตให้สิ้นนั้นเพราะเหตุใดกันแน่
พวกเขาต่างทำเพราะปกป้องคนที่พวกเขาควรปกป้องอย่างสุดกำลัง เพราะฉะนั้นทั้งดาบและกระบี่ของทั้งคู่จึงฟาดฟันออกไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
จวบจนกระทั่งคนทั้งคู่หมดแรงที่จะถือดาบและกระบี่เอาไว้ได้อีกต่อไป ทว่าพวกเขาก็เลือกที่จะใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีกุมด้ามดาบและกระบี่คู่กายของตนเอาไว้แน่
หน้าที่ของผู้ติดตามและอารักษ์ขา คือต่อสู้จนสุดตัวเพื่อผู้เป็นนายและมอบให้ได้แม้กระทั่งชีวิตที่จงรักภักดี
ตอนที่ 8ไม่ไร้หนทาง นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ" เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป
ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว
ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย
ตอนที่ 11เริ่มการค้นหารอดมาจากความตายได้ถือเป็นปาฎิหาริย์ สำหรับเสี่ยวชิงและกู่หรูเป็นอย่างมาก กู่หรูยังจำเหตุการณ์ที่นางร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันกับเสี่ยวชิงได้ วันนั้นนางและเขาในฐานะที่เป็นบ่าวยินยอมและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะสละชีวิตเพื่อให้ผู้เป็นนายทั้งสองของตนหนีรอดทั้งเสี่ยวชิงและนางหมายจะตั้งตนเป็นดั่งเช่นกำแพงเหล็กกล้าที่ทนทาน พวกนางอดทนต่อสู้จนบาดแผลเต็มตัวแต่ก็ยังยืนหยัด เลือดไหลนองเต็มพื้นก็ยังคงกำดาบในมือเอาไว้แน่น ถึงแม้ว่าสุดท้ายพวกตนจะไม่สามารถยืนต้านพวกโจรเอาไว้ได้อีกแต่ก็ถือว่าถ่วงเวลาไปได้ไม่น้อยทีเดียว อย่างน้อย ๆ ก็คงจะพอให้ผู้เป็นนายตนหนีไปได้ไกลพอสมควรแล้วคงจะเป็นเพราะสวรรค์เกิดเมตตาเห็นว่าพวกนางภักดีจึงยังไม่อยากให้ตาย หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะพวกนางยังพอจะมีโชคดีเหลือติดตัวอยู่บ้าง จึงทำให้ในช่วงเวลาที่เกือบจะถือว่าเป็นช่วงเวลาสุดของชีวิต พี่ชายนางกู่เหอถึงได้ตามมาได้ทันพร้อมกับหน่วยลาดตระเวนของทางการที่ดูเหมือนว่าเป็นเสี่ยวหนิง สาวใช้ของคุณหนูหลิวเป็นผู้ตามให้มาช่วย ยามที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหลังความตายจึงได้รู้ว่า ตอนนี้นางและเสี่ยวชิงถูกพามารักษาตัวที่หม
ตอนที่ 12หมอเทวดาอู๋อินดึกสงัด คืนนี้อยู่ ๆ นางก็ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่ใคร่จะสบายใจนัก เจ้าของมือเรียวสวยรินน้ำใส่ชาม ก่อนจะยกดื่มหมดชามในคราเดียว ไม่ใช่ว่านางรู้สึกกระหาย เพียงต้องการให้ร่างกายได้รับความสดชื่นเพิ่มเข้ามาเพียงเท่านั้นแต่ก็ดูเหมือนน้ำเต็มชามนั้นจะไม่ได้ช่วยให้ใจนางสงบลงได้เลยร่างบางจึงลุกขึ้นสวมใส่เสื้อตัวนอกให้เรียบร้อย หมายจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อยให้ได้ผ่อนคลายบางตั้งแต่ที่ต้องอยู่ที่หมู่บ้านตู๋ชือแห่งนี้ ทุกวันคืนผ่านพ้นไปได้อย่างไม่ค่อยง่ายดายนัก ต้องคอยหลบซ่อนกลัวว่าจะถูกพบเห็นเข้า ในทุกๆวันนางไม่อาจแสดงความกังวลใจออกมาได้ จำต้องเก็บเอาไว้ภายในใจ และแสดงความร่าเริงออกมาแทน คุณชายอวี้ผู้นั้นค่อนข้างมืดมนทีเดียว ในใจเขาน่าจะมีเรื่องราวในด้านร้ายๆให้ค่อยคิดอยู่ตลอดเวลา หากเพิ่มความกังวลใจต่างๆของนางเข้าไปอีก ผลลัพธ์ก็คงจะเลวร้ายยิ่งกว่าแล้วนางก็คิดว่านางคิดถูกแล้วที่แสดงท่าทีร่าเริงออกมา หลายวันมานี้มันทำให้คุณชายอวี้นั่นผ่อนคลายลงได้อย่างมาก และนางคิดว่านั่นเป็นการดีต่อการรักษาของเขาเป็นอย่างมากรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าจะเข้าที่เข้าทางเช่นกัน
ตอนที่ 13สตรีผู้มีรูปโฉมดั่งในคัมภีร์จางซีรีบร้อนหมายจะเดินไปบอกอาจารย์เกี่ยวกับรูปเหมือนของแม่นางหลิวที่นางเคยเห็นอยู่ในคัมภีร์โบราณของหมู่บ้าน ทว่ายังไม่ทันที่นางจะได้เข้าไปแจ้งต่อท่านอาจารย์และศิษย์พี่หลงถึงเรื่องนี้ท่านพ่อของนางหรือก็คือหัวหน้าหมู่บ้านตู๋ชือ ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่เรือนหมอท้ายหมู่บ้านได้ ทั้งที่ในตามปกติแล้วหากท่านต้องการพบนางก็มักจะใช้ลูกพี่ลูกน้องของนางหรือไม่ก็คนในหมู่บ้าน ให้มาตามนางให้ไปพบ เนื่องด้วยขาข้างขวาของท่านพ่อของนางเดินเหินไม่สะดวกเพราะโรคเรื้อรัง จึงไม่เคยมาด้วยตนเองเลยสักครั้งครั้งนี้น่าแปลกที่ท่านพ่อกับเดินมาถึงที่นี่ด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่ารู้เรื่องของคนทั้งสองที่ศิษย์พี่ของนางได้ช่วยเอาไว้หรอกนะ แต่นางอาจจะคิดมากไปเอง เพราะหากท่านพ่อล่วงรู้ว่ามีคนนอกอยู่ในหมู่บ้านจริง คงพาคนมาหลายคนเพื่อจับตัวกลับไปแล้ว ไม่มีนางมาคนเดียวเช่นนี้"ท่านพ่อ ท่านมาที่นี่ด้วยตัวเองได้เช่นไร อยากพบข้าหรือเจ้าคะ ทำไมไม่ให้คนอื่นมาเรียกข้าเล่า" จางซีเอ่ยถามบิดาตน นางยิ้มแย้มเอ่ยถามอย่างปกติ พยายามไม่แสดงท่าทีผิดปกติใด ๆ "พ่อไม่ได้มาท้ายหมู่บ้านนานแล้ว ในฐานะหัวหน
ตอนที่ 14พิธีรำลึกองค์เทพพิธีรำลึกองค์เทพ ของหมู่บ้านตู๋ชือ คือพิธีที่ทุกคนในหมู่บ้านจะต้องร่วมกันสวดวิงวอนและขอบคุณในความเมตตาขององค์พิธีนี้ช่วงกลางวันจะให้ทุกคนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน ณ ลานพิธีในหมู่บ้าน ซึ่งทุกคนจะร่วมกันสวดบูชาองค์เทพโดยไม่กินหรือดื่มสิ่งใดจนกว่าพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วจึงอนุญาตให้รับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ อีกทั้งในยามค่ำคืนก็จะเป็นการร่ายรำบูชาองค์เทพ โดยจะมีการร่ายรำไม่หยุดตลอดทั้งคืน ทุกคนในหมู่บ้านห้ามไม่ให้มีผู้ใดไม่เข้าร่วมพิธีรวมไปถึงออกจากพิธีกลางคันก็ไม่ได้ พิธีรำลึกนี้จัดจะจัดโดยคำสั่งของหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้น โดยที่จะมีตระกูลร่างทรงเทพประจำหมู่บ้าน เป็นผู้เลือกสรรวันเวลา ที่หมู่บ้านตู๋ชือแห่งนี้ห่างหายจากการทำพิธีรำลึกเช่นนี้ไปกว่าสิบปีแล้ว เพราะทางตระกูลร่างทรงเทพประจำหมู่บ้านไม่ได้มีการเอ่ยสั่งให้จัด เนื่องด้วยไม่ได้มีฤกษ์งามยามดีที่เหมาะแก่การจัดพิธีนี้แปลกที่ผ่านมาสิบปี อยู่ ๆ พิธีรำลึกองค์เทพนี้ก็ถูกสั่งให้จัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้าจางซีบอกเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับพิธีรำลึกให้อาจารย์กับศิษย์พี่ของนางฟัง "มีอีกเรื่องห
ตอนที่ 15 เรื่องราวที่อยู่ในใจ"เสี่ยวไห่ ข้าอยากจะไปล่าสัตว์ในป่าซะหน่อย อยู่แต่ในเมืองเช่นนี้รู้สึกอุดอู้ยิ่งนัก เจ้าจะไปกลับข้าหรือไม่""พี่เฟิงชวนข้าทั้งที ข้าย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว""ดีมาก เจ้าสมกับเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับข้า!!!""ข้าขอตัวไปเตรียมอุปกรณ์ล่าสัตว์ก่อนก็แล้วกันพี่รอข้าสักเดี๋ยวก่อน""ไม่มีปัญหา เจ้ารีบไปนำของ ๆ เจ้ามาเถอะ""พี่เฟิง ผู้ติดตามของข้ากู่เหอไม่อยู่ คงใกล้กลับแล้ว เดี๋ยวข้าขอส่งจดหมายไปเรียกเจ้านั้นให้ตามพวกเราไปล่าสัตว์ด้วยจะดีกว่า พี่เฟิงคงยังไม่ทราบเจ้ากู่เหอล่าสัตว์เก่งทีเดียว""เสี่ยวไห่ พี่ว่าเจ้าไม่ต้องเรียกคนของเจ้าให้ตามมาหรอก กว่าคนของเจ้าจะมาพวกเราก็คงล่าสัตว์กันเสร็จแล้ว พวกเราไปกันสองคนเช่นนี้ล่ะดีแล้ว""พี่เฟิง กล่าวเช่นนี้ ก็เอาตามที่พี่เฟิงว่า พวกเราสองคนพี่น้องเข้าป่าไปล่าสัตว์ด้วยกันแค่สองคน""หนานไห่ เหมือนว่าเจ้าจะยิงถูกหมาป่าตัวหนึ่งเข้าแล้ว เจ้ารีบลงไปดูฝีมือการยิงธนูของเจ้าเถอะ"เจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรเอ่ยกับเขา อวี้หนานไห่ ลงจากม้าตรงไปยังจุดที่ธนูของเขายิงออกไปเมื่อครู่ ก็พบว่าธนูที่ยิงออกมานั้นยิงถูกเจ้าหมาป่าตัวหนึ่งจริง ๆ
ตอนพิเศษ 1แม่สามีของข้านั้นดียิ่งนักเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่นางแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ใหญ่สกุลอวี้ อวี้หนานไห่มีน้องสาวอยู่หนึ่งคนชื่ออวี้จินเชียง จากที่อวี้หนานไห่เล่าให้ฟังก็คือ อวี้จินเชียงนั้นอยู่ที่บ้านเดิมกับท่านยายของพวกเขาตั้งแต่ยังเยาว์เพราะมีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง อีกไม่นานอวี้หนานไห่ก็จะพานางไปเยี่ยมท่านตาท่านยายและน้องสาวของเขาเพราะว่าฮูหยินอวี้ไม่ใช่สิ เวลานี้นางควรจะเรียกว่าท่านแม่สามีถึงจะถูก เอ็นดูนางเป็นพิเศษดูแลต้อนรับนางเข้ามาเป็นอีกส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างอบอุ่น เหมือนกับว่านางเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ไม่ใช่เป็นเพียงลูกสะใภ้ ซ้ำยังชอบให้ท้ายนางอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะยกเลิกไม่ต้องให้นางมาคารวะทุกเช้า ให้เปลี่ยนมาเป็นมาทานมือเช้าเป็นเพื่อนนางบ้างก็พอ ยิ่งเป็นเรื่องข้าวของเครื่องประดับหรืออาภรณ์ แน่นอนว่าอาภรณ์ใหม่ ๆ ของนางไม่มีวันขาดแคลนเพราะว่านางเป็นบุตรสาวจากสกุลที่เปิดร้านอาภรณ์ แต่ยิ่งนางมีเสื้อผ้ามากมายเท่าไหร่ ท่านแม่สามีก็ยิ่งจะยื่นเครื่องประดับจำนวนมากมาให้นาง ทั้งของที่ประมูลมา ของที่หาซื้อได้ตามร้านหรือว่าเครื่องประดับที่ต้องสั่งทำจนยามนี่นางมีเครื่องประดั
ตอนที่ 45คำนับฟ้าดิน"หนึ่ง คำนับฟ้าดิน""สอง คำนับบิดามารดา""สาม สามีภรรยาคำนับกันและกัน"หลังจากเสร็จพิธีแล้วเจ้าสาวก็ถูกส่งตัวเข้าหอ ด้านเจ้าบ่าวก็ถูกรั้งตัวเอาไว้ในงานเลี้ยงมงคล เพื่อให้แขกที่มาร่วมงานดื่มอวยพร เป็นธรรมเนียมปกติที่ในงานมงคลเช่นนี้เจ้าบ่าวจะต้องถูกมอมเหล้าจากแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายรวมไปถึงญาติมิตรต่าง ๆ ที่มาร่วมงานอวี้หนานไห่ไม่ยอมให้ตนต้องตกเป็นเป้าให้ผู้อื่นมอมเหล้านานเกินไป เข้าทักทายแขกที่มาร่วมงานอยู่เกือบหนึ่งชั่วยามก็แอบปลีกตัวออกมาแล้วคืนเข้าหอเวลามีค่าแค่ไหน ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาบอกเขาก็รู้ดี ทันทีที่เข้าได้ก้าวเข้ามาในเรือนหอของตน บนเตียงก็พบกับภรรยา ใช่แล้วหลิวซือนัวภรรยาของเขา และนางจะเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์หลังจากคืนนี้ไป"อวี้หนานไห่เป็นเจ้าหรือ" เจ้าสาวของเขาซึ่งนั่งคลุมหน้าตัวตรงอยู่บนเตียงเอ่ยถามขึ้น"เป็นข้าเองภรรยารัก เจ้าควรเรียกข้าว่าท่านพี่ได้แล้ว" เขาเอ่ยก่อนจะก้าวเข้าไปหานาง และใช้ไม้ตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสดออกจากศีรษะของนางยามเมื่อผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวถูกเปิดออกแล้ว ความงดงามที่แสนตราตรึงในใจเขาก็ปรากฏขึ้น ใบหน้าของนางในเวลานี้ค่อน
ตอนที่ 44ความจริงใจของข้า"ดู ๆ ข้าก็คิดอยู่ว่าคุณหนูหลิวเหมือนใคร นางเหมือนฮูหยินหลิวนี่เอง ไม่ไหวหน้าผู้อื่นเช่นนี้ไม่มีผิด""ข้าน่ะหรือไม่ไว้หน้า พวกเจ้าต่างหากที่ไม่ไว้หน้ากันก่อน" ฮูหยินหลิวตอกกลับทันที แม่สื่อพวกนี้นางทนพูดดีด้วยอีกไม่ได้แล้ว"ฮูหยิน ท่านใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ" สาวใช้คนสนิทของฮูหยินหลิวรีบเข้ามาห้ามผู้เป็นนายตน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะย่ำแย่ลงไปทุกทีแล้ว"จะให้ข้าใจเย็นได้อย่าง...." ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยจบประโยค ผู้เฝ้าประตูคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้าเหมือนมีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างเสียก่อน"ฮูหยิน ฮูหยินขอรับ""มีอะไร เกิดอะไรขึ้น ถึงได้รีบร้อนขนาดนี้" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดีนัก เพราะเรื่องตรงหน้ายังไม่ทันได้สะสางก็ดูท่าว่าจะมีเรื่องใหม่เข้ามาแทรกเสียแล้ว"มีขบวน มีขบวน...ใหญ่ ขบวนใหญ่" อาจจะเป็นเพราะวิ่งมาด้วยความเร็ว ซ้ำยังตื่นเต้นจึงทำให้บ่าวชายผู้นี้พูดออกมาไม่รู้ความจนฮูหยินหลิวต้องเอ่ยถามซ้ำหลายรอบ"ขบวน ขบวนอะไร ขบวนอะไรใหญ่กันแน่""เหมือนว่าจะเป็นขบวนสินสอดสินะ" แม่สื่อคนที่หนึ่งผู้ขึ้น บ่าวชายที่มาแจ้งข่าวก็พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับว่าใช่"คงเป็
ตอนที่ 43สู่ขออาจจะเป็นเพราะเดินทางไกลมาหลายวัน และก็ไม่ได้นอนพักดี ๆ มาตลอดทาง วันนี้หลิวซือนัวเลยตื่นสายกว่าปกติถึงหนึ่งชั่วยามด้วยกัน กว่าที่จะแต่งตัวหวีผมเสร็จก็กินเวลาช่วงเช้าไปไม่น้อยแล้ว"คุณหนูเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ให้บ่าวมาแจ้งท่านว่า หากคุณหนูแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คุณหนูไปพบฮูหยินใหญ่ที่โถงรับรองด้วยเจ้าค่ะ""ได้ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปแจ้งท่านแม่นะว่าประเดี๋ยวข้าแต่งตัวเสร็จแล้วจะรีบเข้าไปหาท่าน""เจ้าค่ะคุณหนู"สาวใช้ที่ท่านแม่ให้มาแจ้งข่าวนางจากกลับไปแล้ว เวลานี้จึงเหลือเพียงแค่นาง เสี่ยวหนิง และสาวใช้ในเรือนอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังช่วยพวกนางเลือกเครื่องประดับที่จะใส่ในวันนี้อยู่"เสี่ยวหนิง เจ้าว่าเหตุใดท่านแม่ถึงได้ให้คนมาตามข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ จะมีแขกสำคัญมาหรือไงนะ""บ่าวคิดว่าไม่น่าจะมีแขกนะเจ้าค่ะ ตั้งแต่เช้าไม่เห็นว่าในโรงครัวคึกคักเลย" ผู้เป็นสาวใช้เอ่ยออกมาตามที่นางคิด เพราะถ้าหากในจวนมีแขกสำคัญ ปกติแล้วในครัวก็มักจะคึกคักเป็นพิเศษเพราะต้องมีการเตรียมอาหารเอาไว้รับรองแขก"เช่นนั้นแล้วท่านแม่จะเรียกให้ข้าไปพบที่ห้องโถงทำไมกัน" หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นอย่างข้องใจคงมีแต่รีบ
ตอนที่ 42จากอีกเพียงวันเท่านั้นนางก็จะต้องเดินทางกลับเมืองเป่ยโจวแล้ว ตามกำหนดการเดินทางกลับที่ท่านแม่ของนางได้กำหนดเอาไว้ พี่ใหญ่ของนางหลิงเค่อกับพี่สะใภ้ฉือหนานเองก็จะเดินทางไปส่งนางกลับจวนและถือโอกาสให้พี่ฉือหนานได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมด้วย หลังจากวันนั้นที่อวี้หนานไห่และนางได้เปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง ความสัมพันธ์ของพวกนางก็มีสถานะเป็นคนรักของกันและกันอย่างเปิดเผย แต่เปิดเผยที่ว่านี้ก็จะมีแค่คนในครอบครัวของพวกนางเท่านั้นที่รู้ ส่วนคนนอกนางและอวี้หนานไห่ก็ไม่ได้สนใจว่าคนเหล่านั้นจะคิดจะพูดถึงพวกนางอย่างไรมีบางครั้งที่นางและอวี้หนานไห่ออกไปเดินเล่นที่ตลาดด้วยกันบ้างก็ไปรับประทานอาหารร่วมกันที่ร้านอาหารต่าง ๆ ในเมือง หลายครั้งก็มีข่าวลือตามมาบ้างทว่าส่วนใหญ่จะลือไปทางที่พวกนางเป็นสหายกันเสียมากกว่า ไม่มีการลือหรือการพูดไปถึงเรื่องเชิงชู้สาวใด ๆ ทั้งสิ้นแน่นอนว่าเรื่องลือเช่นนี้ไม่ถือเป็นผลเสียกับนาง หนำซ้ำยังถือว่าเป็นผลดีต่อร้านสกุลอาภรณ์สกุลหลิวไม่น้อยเช่นกัน เพราะผู้ใดที่อยากสนิทสนมกับหมู่ตึกอวี้ฟางก็จะต้องเข้าหาร้านอาภรณ์สกุลหลิวซึ่งลือกันว่าเป็นสหายกับหมู่ตึกอวี้ฟางเพื่อทำต
ตอนที่ 41รัก"ที่ห้องโถงใหญ่เอะอะอะไรกัน เหตุใดถึงได้เสียงดังมาถึงนี่ เจ้าไปดูหน่อยเถอะ" ฉือหนานเอ่ยขึ้น ก่อนจะสั่งให้สาวใช้คนสนิทของนางออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในวันมงคลเช่นนี้นอกจากฉือหนานแล้วในห้องรับรองขนาดเล็กซึ่งอยู่ติดกับห้องโถงใหญ่ก็มีหลิวซือนัวน้องสามีของนาง และก็ฉือฮั่วลูกพี่ลูกน้องของนางที่มาเยี่ยมนางจากบ้านเกิดเมื่อสองวันก่อนใครจะคิดเล่าว่าการมาที่นี่ของฉือฮั่วซึ่งอ่อนวัยกว่านางเกือบสี่ปีจะทำให้นางได้เจอกับรักแรกพบที่นี่ หนำซ้ำยังถูกสู่ขออย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า นางและผู้เป็นสามีที่ถือเป็นญาติสนิทจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ของฉือฮั่วแทนบิดามารดาของนางที่ไว้ใจฝากฝังบุตรสาวเอาไว้ด้วยเพราะเชื่อมั่นและไว้ใจนางกับสามีด้วยเพราะว่าทั้งฝ่ายสู่ขอและฝ่ายถูกสู่ขอต่างก็มีใจต่อกัน การตัดสินใจจริงเป็นไปอย่างดี ทุกฝ่ายตกลงปลงใจที่จะปลูกเรือนร่วมกันวันนี้แค่แลกหนังสือสินสอดเสร็จสิ้นก็หาวันดีจัดงานแต่งได้เลย ด้านหลิวซือนัวยามนี้นางกำลังวุ่นวายอยู่กับการเลือกผ้าไหมสีแดงเพื่อตัดชุดแต่งงานให้กับฉือฮั่ว สำหรับฉือฮั่วนั้นนางก็เห็นเป็นสหายมาเนิ่นนาน ซ้ำเมื่อพี่ฉือหนานแต่งเข้ามาจวนสกุลหลิวแล้
ตอนที่ 40ผู้ใดจะแย่งนางไป ข้าไม่ยอมตลอดสามวันที่เขาต้องเดินทางออกจากเมืองเป่ยจู ไม่มีวันใดเลยที่เขาไม่กังวลหรือคิดถึงนาง ยิ่งเรื่องที่ได้ตัวแม่นมเฉียวผู้ซึ่งเป็นคนอยู่เบื้องหลังการที่นางหมดสติไปด้วยแล้ว เขากับทางการมีการพูดคุยกันเอาไว้แล้วว่าเรื่องทุกอย่างต้องจัดการให้เรียบร้อยและเงียบที่สุด จะต้องไม่ให้มีเรื่องอะไรที่จะมากระทบต่อชื่อเสียงของนางได้เป็นอันขาดอวี้หนานไห่รู้สึกเสียดายที่ตนไม่ได้ไปจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ก็คิดเอาไว้ว่าหลิวเค่อพี่ชายของหลิวซือนัวคงจัดการต่อไปได้ดีเช่นกัน นั่นจึงทำให้เขารู้สึกเบาใจได้เปราะหนึ่ง เมื่อเขากลับเข้ามาในเมืองเป่ยจู ก็สั่งให้รถม้าจอดที่ร้านขนมชื่อดังที่อยู่ใกล้กับประตูทางเข้าออกทิศตะวันตกเพื่อซื้อขนมจากร้านนี้ติดมือไปฝากหลิวซือนัว แม้เขาจะมีของฝากขึ้นชื่อจากพื้นที่ ๆ เขาเพิ่งกลับมาอยู่แล้วก็เถอะ แต่ก็ยังอยากเอาของฝากกลับไปให้นางหลาย ๆ อย่าง นางจะได้ดีใจที่ได้เห็นของฝากมากมายจากเขาในระหว่างที่รอให้ทางร้านห่อขนมที่เขาสั่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน รวมไปถึงขนมที่เขาเพิ่งเลือกซื้อเพิ่มเติมอยู่นั้น ก็มีสตรีวัยกลางคนสองคนก้าวเข้ามาเลือกซื้อขน
ตอนที่ 39ร้องขออย่างจริงใจเช้าวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่แสนจะวุ่นวายสำหรับหลิวซือนัว ตั้งแต่เช้าพี่ใหญ่ให้คนมาเรียกนางไปพบก่อนจะบอกนางว่าทางการพบตัวคนที่เป็นคนใส่ยาบางอย่างในดอกไม้จนทำให้นางหมดสติพลัดตกน้ำไปจนเกือบตายแล้วพี่ใหญ่ยังเอ่ยอีกว่าพรุ่งนี้ทางการต้องการให้นางเข้าไปเพื่อสอบปากคำบางอย่าง การไต่สวนคดีนี้จะทำโดยเงียบเชียบไม่ให้ภายนอกรู้ เพื่อให้ไม่เป็นที่เล่าลือกันไปผิด ๆ หลิวซือนัวเองก็คิดว่าจัดการเรื่องราวเหล่านี้ ให้เสร็จเงียบ ๆ จะดีซะกว่า เพราะว่านอกจากคนในครอบครัวและอวี้หนานไห่แล้วก็ไม่มีใครอื่นรู้ว่าเรื่องที่นางหมดสติพลัดตกทะเลไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุพรุ่งนี้ไปที่ศาลประจำเมืองนางก็จะได้รู้แล้วว่าผู้ใดที่อยู่เบื้องหลังและ ต้องการทำร้ายนาง อีกเพียงแค่วันเดียวนางก็จะรู้แล้วว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่ ต้องการให้นางตายหนำซ้ำยังลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้หลังจากที่นางกลับเรือนพักของตนมาได้ไม่นาน ก็มีสาวใช้มาแจ้งว่ามีคนมาของพบนาง "คุณหนูเจ้าค่ะ สาวใช้ที่เรือนหน้ามาแจ้งว่ามีคนมาขอพบท่านเจ้าค่ะ นางบอกว่าเป็นคุณหนูหยวนจือจากสกุลเวินมาขอพบท่าน" เสี่ยวหนิงเอ่ยรายงาน ตามที่สาวใช้ที่มาแจ้ง
ตอนที่ 38ไม่อยากบอกลา“ในเมืองเป่ยจู เจ้าคงเป็นบุรุษที่น่าอิจฉาที่สุด”“ทำไมเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้” เขาถามออกมาอย่างไม่เข้าใจนัก เมื่ออยู่ ๆ นางก็เอ่ยขึ้นมาซะอย่างนั้น“รอบตัวเจ้า มีสตรีงดงามมากมายรายล้อมอยู่ บุรุษใดบ้างจะไม่อิจฉา” นางเอ่ยตอบเขา ก่อนจะพยักพเยิดไปทางที่เหล่าแม่นางจากหอหยวนหมิงรวมตัวเตรียมพร้อมจะลงเรืออยู่"ข้าไม่เคยสนใจพวกนาง" เขาตอบไปในทันที"เป็นไปไม่ได้ที่บุรุษจะไม่สนใจสตรี ยิ่งสตรีแสนงามด้วยแล้ว" "เป็นไปได้ ข้านี่ไง""หากพวกนางมาได้ยินเข้าคงจะเสียใจแย่""เรื่องนั้นข้าไม่เคยคิดที่จะสนใจ" เขาเอ่ยออกมาตามความเป็นจริง ในชีวิตเขามีสตรีที่เขาจะให้ความสนใจเพียงแค่สามคนก็พอแล้ว แค่ ท่านแม่ น้องสาว และนางเท่านั้นไม่นานผู้ดูแลหอหยวนหมิงผู้ที่เคยขวางไม่ให้นางเข้าไปในหอก็เข้ามาหา"คารวะนายน้อยอวี้ คารวะคุณหนูหลิว" เจ๋อเหนียงเอ่ยขึ้นก่อนจะโค้งให้คนทั้งคู่"แม่นางเจ๋อเหนียง พวกเราพบกันอีกแล้วนะ" นางเอ่ยทักขึ้นพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร "ครั้งก่อนเป็นข้าไม่รู้ความ จึงได้กระทำการล่วงเกินคุณหนู ข้าต้องขออภัยด้วยนะเจ้าค่ะ" นางรู้ดีว่าตนควรขออภัยคุณหนูตรงหน้า อีกทั้งไม่ควรจะทำอะไรที่เป็นก