แชร์

ตอนที่ 6 โรงเตี้ยมกลางป่า

ผู้เขียน: อาหลานเร่อ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-12-13 20:29:30

ตอนที่ 6

โรงเตี้ยมกลางป่า

            "บ่าวทำตามที่คุณชายสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" กู่หรูรายงานผู้เป็นนายของนาง "คุณหนูหลิวยังฝากบ่าวมาบอกท่านอีกว่า ระหว่างท่านกับนางไม่ได้มีผู้ใดติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณใด ๆ ต่อกันอีกเจ้าค่ะ"

              กู่หรูเมื่อรายงานเรื่องทั้งหมดแล้ว ครั้นเมื่อเห็นคุณชายของนางยังคงนิ่งเงียบอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนควรออกไปได้แล้ว นางจึงโค้งนำนับครั้งหนึ่งก่อนจะออกจากห้องพักของผู้เป็นนายไป ปล่อยให้กู่เหอพี่ชายนางอยู่ค่อยรับใช้คุณชายต่อเพียงผู้เดียว

             เหตุที่อวี้หนานไห่นิ่งเงียบเช่นนี้เพราะเขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขารู้ดีว่าคุณหนูหลิวที่กู่หรูเอ่ยถึงเมื่อครู่นางเข้าใจดีว่าเขาต้องการสิ่งใดจึงให้คนนำชาชั้นดีไปให้นาง 

             ตั้งแต่ที่วัดร้าง เขาเองด้วยความที่ระวังตัวมาก จึงได้ให้กู่เหอนำชาสมุนไพรชั้นดีไปให้อีกขบวนหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ของเขาและยอมที่จะทนหนาว 

              ทุกคนในขบวนของคุณหนูหลิวไม่มีใครใส่ใจหรือตกใจกับชาชั้นดีเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาต่างก็ถูกฝึกมาอย่างดี คุณหนูหลิวผู้นี้ก็ไม่ใช่สายของโจรป่าที่กำลังระบาดหนักอยู่ในละแวกนี้อย่างแน่นอน กลุ่มของนางเป็นเพียงผู้ที่เดินทางผ่านมาเช่นเดียวกันกับกลุ่มของเขา

              ทว่าสิ่งหนึ่งที่เขาได้รู้เพิ่มเติมมาอีกในคืนนั้นก็คือ คุณหนูหลิวผู้นี้ไม่ได้โง่ นางเองก็ไม่ได้เชื่อใจพวกตนตั้งแต่แรกเช่นกัน ครั้งเมื่อสาวใช้ของนางเดินออกไปต้มชา สตรีผู้นี้ก็แกล้งเอ่ยขึ้นกับผู้ติดตามของนางที่คอยดูแลความปลอดภัยอยู่ไม่ไกล

              “ขบวนเดินทางของเราล่าช้าแล้ว หวังว่ารองมือปราบเหลียงคงจะไม่โมโหใช่หรือไม่ หากพวกเราจะไปถึงที่นัดหมายช้าไปสักหน่อย

              เขาจำได้ดีว่าประโยคนี้ที่นางเอ่ยขึ้นมานั้นดังและชัดถ้อยชัดคำกว่าทุกครั้ง นางจงใจเอ่ยเสียงดังฟังชัดให้พวกเขาได้ยินว่ามีผู้ใดกำลังรอพวกนางอยู่ 

             สตรีผู้นี้กำลังใช้ชื่อรองมือปราบเหลียงที่มีชื่อเสียงด้านการปราบโจรชนิดถอนรากถอนโคลนขึ้นมาคุ้มครองตน โดยไม่รู้เลยว่ารองมือปราบเหลียงที่ว่าก็เพิ่งจะโดนพวกโจรสังหารไปเมื่อสองวันก่อน หากว่าวันนี้กลุ่มของพวกนางเจอเข้ากลับพวกโจรจริง ๆ ก็คงไม่สามารถอ้างชื่อรองมือปราบได้อีก และคงจะมีจุดจบที่น่าอนาถไปแล้ว

             "คุณชาย ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือขอรับ ข้าน้อยถามท่านเรื่องมื้อเย็นอยู่นานแล้ว" กู่เหอเอ่ยถามขึ้น

            "ข้ายังไม่อยากอาหาร เรื่องมื้อเย็นเอาไว้ก่อนเถอะข้าอยากจะนอนพักสักหน่อย"

             "คุณชาย ข้าน้อยว่าท่านควรจะทานอาหารสักหน่อยก่อนนะขอรับ ยามนี้คุณชายซูบผอมลงไปมากทีเดียว" 

             "เจ้าก็รู้ดีว่าต่อให้ข้ากินอาหารเข้าไปก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้" เจ้าของน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรงเอ่ยขึ้น ก่อนจะขยับตัวลงนอนบนเตียง

              ต่อให้เขากินเท่าไหร่ก็ต้องอ้วกออกมาเท่าที่กินไปเท่านั้น สู้เขาไม่กินเลยจะดีกว่า อย่างน้อย ๆ ก็ถือว่าไม่ต้องทรมานตัวเอง

              "เช่นนั้นคุณชายพักผ่อนเถอะขอรับ ข้าน้อยจะลงไปสั่งให้คนต้มโจ๊กเตรียมเอาไว้ เผื่อคุณชายตื่นมาแล้วรู้สึกหิว" กู่เหอเอ่ยขึ้น ก่อนจะถอยออกจากห้องของคุณชายตนไปอย่างแผ่วเบา

                เขารู้ดีว่าเหตุใดคุณชายถึงคิดเช่นนี้ และก็รู้ดีว่าคุณชายผู้เคยหล่อเหลาสง่างามเกินใคร เหตุใดยามนี้ถึงได้ไม่หลงเหลือเค้าความสง่างามเช่นกาลก่อน ซึ่งสาเหตุนั้นก็ไม่ได้น่าจดจำแม้สักนิด...

               หลิวซือนัวหลังจากที่นางพักผ่อนเสร็จ จึงได้พาเสี่ยวหนิงลงมาหามื้อเย็นรับประทาน ทีแรกเสี่ยวหนิงจะให้นางทานบนห้อง ทว่าหลิวซือนัวอยากจะลงมาทานที่ด้านล่างมากกว่า พวกนางนายบ่าวจึงได้พากันลงมาจากห้องพักในที่สุด

               เมื่อพวกนางเดินลงมาก็พบกันผู้ติดตามของนางทั้งสี่คนนอนหมดสติอยู่ที่พื้นบ้างไม่ก็สลบอยู่บนโต๊ะอาหาร

              นางและสาวใช้คนสนิทรีบเข้าไปเขย่าเรียกคนของพวกนางทันที แต่ไม่ว่าจะเรียกจะเขย่าตัวแรงเพียงใดพวกเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะได้สติขึ้นมาเลย

              "คุณหนู ท่าจะไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ" เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นกับคุณหนูของนาง ใบหน้าของสาวใช้ผู้ภักดีในยามนี้เต็มไปด้วยความกังวล

               "พวกเขาจะต้องโดนวางยาแน่ ๆ โรงเตี้ยมนี่ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล" 

                "เช่นนั้นเราควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะคุณหนู" 

                "ที่นี่ไม่มีพี่ชายเจ้า ไม่แน่เสี่ยวชิงอาจจะไหวตัวทัน กู่เหอกับกู่หรูคนของคุณชายอวี้ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเราแยกกันไปหาพวกเขาก่อน หากไม่เจอใครให้รีบมาสมทบกับข้าที่หลังโรงเตี้ยม ข้าจะขึ้นไปดูที่ชั้นบน ส่วนเจ้าก็เดินดูที่ห้องชั้นล่างนี่ให้ทั่ว" เสียงหวานเอ่ยสั่งการสาวใช้ตน 

                "แยกกันไปเช่นนี้ จะดีหรือเจ้าคะ บ่าวเป็นห่วงคุณหนูยิ่งนัก"

                "ต้องแยกกัน จะได้ประหยัดเวลาค้นหาคน เสี่ยวหนิงเชื่อข้า พวกเราจะไม่เป็นอะไร"

                 หลังจากที่แยกจากเสี่ยวหนิง หลิวซือนัวก็ขึ้นมาที่ชั้นสองของโรงเตี้ยม โดยทางที่นางตรงไปก็คือห้องพักคนละฝั่งกันกับห้องพักของนางซึ่งจะเป็นห้องพักของคุณชายอวี้ผู้นั้น

                เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องพัก นางก็ไม่รั้งรออีกทั้งไม่ได้เคาะเรียกคนในห้องแต่อย่างไร หลิวซือนัวผลักบานประตูห้องพักเพื่อเข้าไปยังด้านในทันที อีกทั้งไม่ลืมที่จะปิดประตูเอาไว้ดังเดิมด้วย

               "คุณชายอวี้ คุณชายอวี้" นางเอ่ยเรียกบุรุษตาบอดซึ่งยามนี้กำลังนอนอยู่บนเตียง เพียงแค่เอ่ยเรียกขึ้นสองครั้งเท่านั้น เจ้าของร่างซูบซีดก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างรวดเร็วทันที

                "คุณหนูหลิวใช่หรือไม่ เหตุใดถึงได้เข้ามาในห้องของข้า" อวี้หนานไห่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่จะพอใจนัก เมื่อยามนี้ตนถูกสตรีผู้หนึ่งรุกรานพื้นที่ส่วนตัว ในหัวก็นึกไปถึงผู้ติดตามคนสนิทสองคนพี่น้อง ที่หายไปไหนก็ไม่ทราบ ถึงได้ปล่อยให้ตนถูกรบกวนเช่นนี้ได้

                 "ดูเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว...." หลิวซือนัวไม่รอช้า นางรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้เห็นที่ชั้นล่างของโรงเตี้ยมอีกทั้งยังพูดไปถึงสิ่งที่นางคิดว่าอาจจะกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้อีกด้วย

               "พวกเราน่าจะติดกับพวกโจรป่าแถวนี้เข้าให้แล้ว" เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยราวกับว่าไม่มีเรื่องใดร้ายแรงหรือน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น

               หลิวซือนัวเห็นท่าทีนิ่งเฉยของเขาก็อดจะไม่เข้าใจไม่ได้ หรือเป็นเพราะว่าชายผู้นี้มองไม่เห็น ความตื่นกลัวที่ควรจะมีจึงไม่มากเช่นนางที่มองเห็นอย่างนั้นหรือ

               "เหตุใดท่านจึงดูไม่หวาดกลัวเลยเล่า"

               "ตัวข้าเป็นบุรุษ ยิ่งตอนนี้อยู่ในสภาพเช่นนี้ด้วยแล้ว หากพวกโจรมาเจอเข้าก็คงสังหารข้าทิ้งในทันทีอยู่แล้ว ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องตายแล้วจะหวาดกลัวไปไย" 

               บุรุษที่ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากคนตายไปแล้วเช่นเขายังจะต้องกลัวความตายไปทำไมกัน บางทีความตายก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาก็ได้ 

              ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าชายตาบอดผู้นี้ที่แท้ก็มาถึงจุดที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว

              "ยังพอมีเวลาที่จะหนีไปจากที่นี่ได้..." หลิวซือนัวไม่สนใจเจ้าของร่างซูบซีดว่าเขาจะคิดเช่นไร นางเอ่ยขึ้นเพื่อจะบอกแผนการของตนแก่เขา ทว่ายังไม่ทันเอ่ยจบอีกฝ่ายก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

             "ในเมื่อยังพอมีโอกาสรอด คุณหนูหลิวก็รีบหนีไปเถอะ ข้าอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว ขอให้เจ้าปลอดภัยก็แล้วกัน" 

             น้ำเสียงไม่อาวรณ์ใด ๆ เอ่ยขึ้น ก่อนที่เจ้าของร่างซูบซีดจะทำท่าจะนอนลงเช่นเดิมทำเอาหลิวซือนัวที่เห็นเช่นนั้นอารมณ์เดือดขึ้นมาทันที

             "ท่านไม่รักชีวิตแล้ว ไม่รักตัวกลัวตายก็เรื่องของท่าน แต่ตัวข้าอุตส่าห์มีใจจะช่วยเหลือท่านเช่นนี้ ในสถานการณ์แบบนี้ท่านยังจะมีหน้ามาปฏิเสธได้" เจ้าของเสียงหวานโพล่งออกมาอย่างเหลืออด 

              "ในเมื่อท่านไม่ต้องการชีวิตตนแล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้ข้าก็จะเป็นเจ้าของชีวิตของท่านเองก็แล้วกัน!!!"

              "ลุก ลุกขึ้นมาแล้วไปกับข้าเดี๋ยวนี้!!!" นางไม่สนอะไรอีกแล้ว เจ้าคนตาบอดผู้นี้ถึงไม่รักชีวิตแล้วก็เถอะ แต่จะให้นางปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่สามารถช่วยได้กลับไม่ช่วยเช่นนั้นหรือ 

             "ข้าไม่ไป เจ้าไปเถอะ"

            "ชีวิตที่ท่านเลือกจะทิ้งมัน ข้าเก็บมันมาแล้ว ต่อจากนี้ข้าไม่ให้ท่านตาย ท่านก็ต้องไม่ตาย ลุกขึ้น ไปกับข้า!!!"

              ผู้อื่นทำได้หรือไม่นางไม่รู้และไม่คิดที่จะสนใจอยากรู้ด้วย นางรู้แค่ว่านางทำไม่ได้ที่จะต้องเห็นคนตายแล้วไม่ช่วย

              สุดท้ายนางจึงดึงเจ้าบุรุษตาบอด เจ้าโครงกระดูกผู้ไม่อยากมีชีวิตอยู่นี้ขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ก่อนจะพากันประคองลงมาจากด้านบน จุดหมายคือไปรวมตัวกับเสี่ยวหนิงที่ไม่รู้ว่ายามนี้จะพบเจอผู้ใดเพิ่มอีกหรือไม่

              ด้านเสี่ยวหนิง หลังจากที่นางเดินสำรวจจนมาถึงส่วนที่เป็นห้องครัวก็ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้น เสียงนี้คล้ายกับเสี่ยวชิงพี่ชายของนางยิ่งนัก เสี่ยวหนิงจึงรีบเข้าไปด้านในห้องครัวทันที

             "พี่เสี่ยวชิง แม่นางกู่หรู เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่" 

              นางเอ่ยถามขึ้นทันที ยามนี้ภายในห้องครัวมี สองสามีภรรยาวัยชราซึ่งนางจำได้ดีว่าคนทั้งคู่คือเจ้าของโรงเตี้ยมแห่งนี้ คนทั้งคู่นั่งคุกเข่าลงกับพื้นโดยมีพี่ชายของนางถือกระบี่พาดอยู่ที่คอของผู้เป็นสามีของหญิงชรา

             "คนของเราถูกวางยาสลบ สองคนนี้น่าจะเป็นสายของพวกโจร"

             "โชคดีที่ ข้า พี่กู่เหอและพวกท่านยังไม่ได้ทานอาหารที่สองคนนี้ทำ ไม่เช่นนั้นยามนี้พวกมันก็คงจะเรียกพวกโจรมาปล้นฆ่าพวกเราแล้ว" กู่เหอเอ่ยต่อ 

              "พวกเราเห็นว่าพวกเจ้าสองคนชราแล้ว จึงไม่นึกระแวงสงสัยเหตุใดพวกเจ้าจึงต้องวางแผนร้ายเช่นนี้ด้วย" เสี่ยวหนิงเอ่ยถามขึ้นอย่างโมโห 

              "พวกข้าสองสามีภรรยาไฉนเลยอยากจะทำเรื่องเช่นนี้ หากไม่ทำก็ต้องถูกโจรชั่วพวกนั้นฆ่าตาย เราสองตายายใช่ว่าจะเสียดายชีวิตตน แต่เป็นห่วงชีวิตหลานชายที่ยังเล็กนักที่ถูกพวกชั่วนั่นจับไปเป็นตัวประกันให้พวกเรายอมทำตามคำสั่ง" หญิงชราเอ่ยทั้งน้ำตา

              "ชีวิตหลานชายเจ้ามีค่า แล้วสิบชีวิตของพวกเราล่ะ ไร้ค่าเช่นนั้นหรือ" เสี่ยวหนิงตอกกลับไปในทันที

               สองสามีภรรยาวัยชราไม่ได้ตอบอะไรกลับมา พวกเขาเพียงร้องไห้ออกมาอย่างสำนึกผิดเท่านั้น 

               "ไม่ใช่ข้าไม่เข้าใจความจำใจของพวกเจ้าสองคน เพียงแต่เจ้ารักหลานชายเจ้า พวกเราเองก็รักชีวิตตัวเองเช่นกัน ทีนี้พวกเจ้าก็ช่วยตอบมาว่าพวกโจรจะมาเมื่อไหร่ แล้วพวกเจ้าใช้สิ่งใดส่งสัญญาณให้พวกโจรเพื่อเรียกให้พวกมันบุกมา" 

              เจ้าของดาบยาวที่พาดอยู่ที่บ่าของชายชราไม่รอช้า เขาไม่สนใจว่ายามนี้คนทั้งคู่จะร้องไห้เสียใจเพียงใด เพราะหากมีความสงสารเห็นใจให้เกรงว่าชีวิตของพวกเขาเองก็คงยากจะรักษาเอาไว้ได้

              "พวกโจรสั่งให้เราวางยาสลบลงในอาหารของพวกท่าน เมื่อจัดการทุกคนได้หมดแล้วก็ให้จุดไฟด้านหน้าโรงเตี้ยม เมื่อพวกมันเห็นควันไฟก็จะบุกเข้ามา" หญิงชราเอ่ยตอบ 

              "เท่าที่ข้าเห็นพวกเจ้ายังไม่ทันได้จุดไฟที่หน้าโรงเตี้ยมใช่ไหม" เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้น เมื่อครู่ยามที่นางออกไปดูด้านหน้าโรงเตี้ยมก็ไม่เห็นว่ามีกองไฟถูกจุดเอาไว้

               "หากไม่ใช่พวกเจ้ามาพบเราสองคนก่อน กองไฟก็คงจะถูกจุดตั้งแต่เมื่อครึ่งก้านธูปก่อนแล้ว" ครานี้เป็นชายชราที่เป็นผู้ตอบบ้าง

                "ทั้งๆที่เจ้าก็รู้ว่าพวกเรายังมีคนที่ยังไม่ถูกวางยาน่ะหรือ" กู่หรูถามอย่างไม่เข้าใจ

               "พวกผู้ติดตามของพวกท่านส่วนใหญ่สลบหมดแล้ว คนหนึ่งก็ขี่ม้าออกไป เหลือเพียงพวกเจ้าสามคนกับคุณหนูอ่อนแอและคุณชายตาบอดผู้หนึ่งเท่านั้น ดูจากกำลังของโจรกลุ่มนี้เมื่อสู้กันยังไงพวกท่านก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี"

                สิ่งที่ได้ยินทำเอาคนทั้งสามชะงักไปครู่หนึ่งเลย ที่แท้สองคนนี้สอดส่องสำรวจพวกตนเป็นอย่างดี แม้แต่กู่เหอที่ขี่ม้าออกไปเงียบ ๆ เพื่อไปดูรถม้าและคนขับรถม้าที่เสียอยู่ที่ป่าอีกด้านหนึ่งสองคนนี้ก็ยังรู้ทั้งที่คนที่รู้เรื่องนี้น่าจะมีแค่กู่หรูกับเขาเพียงเท่านั้น

                กู่หรูกับเสี่ยวชิงช่วยกันมัดสองสามีภรรยาเอาไว้ ก่อนจะรีบแบ่งหน้าที่กัน

                "เสี่ยวหนิง เจ้ารีบเข้าไปตามคุณหนูของเรากับคุณชายอวี้มาที่ด้านหลังโรงเตี้ยมที"

                "ส่วนแม่นางกู่หรูท่านกับข้า เข้าไปช่วยกันพาผู้ติดตามที่ไม่ได้สติออกมาจากโรงเตี้ยมก่อนเถอะ"

                 เมื่อแจกแจงงานกันเสร็จแล้วพวกเขาทั้งสามคนก็เตรียมที่จะไปปฏิบัติกันในทันที ทว่าหญิงชราที่ถูกมัดเอาไว้ก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน ทำเอาฝีเท้าของพวกเขาที่กำลังจะก้าวเดินไปจำต้องชะงักลงอีกครั้ง

                 "หากจะช่วยคนก็คงต้องรีบเข้าซะหน่อยเล่า ข้าลืมบอกไปว่า หากภายในหนึ่งก้านธูปทางโรงเตี้ยมยังไม่จุดกองไฟสัญญาณ พวกโจรก็จะบุกเข้ามาอยู่ดี..."

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 7 ปราการด่านสุดท้าย

    ตอนที่ 7ปราการด่านสุดท้าย "รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ "หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น "ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 8 ไม่ไร้หนทาง

    ตอนที่ 8ไม่ไร้หนทาง นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ" เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 9 หมู่บ้านแปลกประหลาด

    ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 10 ไม่นึกเสียใจ

    ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 11 เริ่มการค้นหา

    ตอนที่ 11เริ่มการค้นหารอดมาจากความตายได้ถือเป็นปาฎิหาริย์ สำหรับเสี่ยวชิงและกู่หรูเป็นอย่างมาก กู่หรูยังจำเหตุการณ์ที่นางร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันกับเสี่ยวชิงได้ วันนั้นนางและเขาในฐานะที่เป็นบ่าวยินยอมและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะสละชีวิตเพื่อให้ผู้เป็นนายทั้งสองของตนหนีรอดทั้งเสี่ยวชิงและนางหมายจะตั้งตนเป็นดั่งเช่นกำแพงเหล็กกล้าที่ทนทาน พวกนางอดทนต่อสู้จนบาดแผลเต็มตัวแต่ก็ยังยืนหยัด เลือดไหลนองเต็มพื้นก็ยังคงกำดาบในมือเอาไว้แน่น ถึงแม้ว่าสุดท้ายพวกตนจะไม่สามารถยืนต้านพวกโจรเอาไว้ได้อีกแต่ก็ถือว่าถ่วงเวลาไปได้ไม่น้อยทีเดียว อย่างน้อย ๆ ก็คงจะพอให้ผู้เป็นนายตนหนีไปได้ไกลพอสมควรแล้วคงจะเป็นเพราะสวรรค์เกิดเมตตาเห็นว่าพวกนางภักดีจึงยังไม่อยากให้ตาย หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะพวกนางยังพอจะมีโชคดีเหลือติดตัวอยู่บ้าง จึงทำให้ในช่วงเวลาที่เกือบจะถือว่าเป็นช่วงเวลาสุดของชีวิต พี่ชายนางกู่เหอถึงได้ตามมาได้ทันพร้อมกับหน่วยลาดตระเวนของทางการที่ดูเหมือนว่าเป็นเสี่ยวหนิง สาวใช้ของคุณหนูหลิวเป็นผู้ตามให้มาช่วย ยามที่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหลังความตายจึงได้รู้ว่า ตอนนี้นางและเสี่ยวชิงถูกพามารักษาตัวที่หม

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-19
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 12 หมอเทวดาอู๋อิน

    ตอนที่ 12หมอเทวดาอู๋อินดึกสงัด คืนนี้อยู่ ๆ นางก็ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่ใคร่จะสบายใจนัก เจ้าของมือเรียวสวยรินน้ำใส่ชาม ก่อนจะยกดื่มหมดชามในคราเดียว ไม่ใช่ว่านางรู้สึกกระหาย เพียงต้องการให้ร่างกายได้รับความสดชื่นเพิ่มเข้ามาเพียงเท่านั้นแต่ก็ดูเหมือนน้ำเต็มชามนั้นจะไม่ได้ช่วยให้ใจนางสงบลงได้เลยร่างบางจึงลุกขึ้นสวมใส่เสื้อตัวนอกให้เรียบร้อย หมายจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อยให้ได้ผ่อนคลายบางตั้งแต่ที่ต้องอยู่ที่หมู่บ้านตู๋ชือแห่งนี้ ทุกวันคืนผ่านพ้นไปได้อย่างไม่ค่อยง่ายดายนัก ต้องคอยหลบซ่อนกลัวว่าจะถูกพบเห็นเข้า ในทุกๆวันนางไม่อาจแสดงความกังวลใจออกมาได้ จำต้องเก็บเอาไว้ภายในใจ และแสดงความร่าเริงออกมาแทน คุณชายอวี้ผู้นั้นค่อนข้างมืดมนทีเดียว ในใจเขาน่าจะมีเรื่องราวในด้านร้ายๆให้ค่อยคิดอยู่ตลอดเวลา หากเพิ่มความกังวลใจต่างๆของนางเข้าไปอีก ผลลัพธ์ก็คงจะเลวร้ายยิ่งกว่าแล้วนางก็คิดว่านางคิดถูกแล้วที่แสดงท่าทีร่าเริงออกมา หลายวันมานี้มันทำให้คุณชายอวี้นั่นผ่อนคลายลงได้อย่างมาก และนางคิดว่านั่นเป็นการดีต่อการรักษาของเขาเป็นอย่างมากรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าจะเข้าที่เข้าทางเช่นกัน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-19
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 13 สตรีผู้มีรูปโฉมดั่งในคัมภีร์

    ตอนที่ 13สตรีผู้มีรูปโฉมดั่งในคัมภีร์จางซีรีบร้อนหมายจะเดินไปบอกอาจารย์เกี่ยวกับรูปเหมือนของแม่นางหลิวที่นางเคยเห็นอยู่ในคัมภีร์โบราณของหมู่บ้าน ทว่ายังไม่ทันที่นางจะได้เข้าไปแจ้งต่อท่านอาจารย์และศิษย์พี่หลงถึงเรื่องนี้ท่านพ่อของนางหรือก็คือหัวหน้าหมู่บ้านตู๋ชือ ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่เรือนหมอท้ายหมู่บ้านได้ ทั้งที่ในตามปกติแล้วหากท่านต้องการพบนางก็มักจะใช้ลูกพี่ลูกน้องของนางหรือไม่ก็คนในหมู่บ้าน ให้มาตามนางให้ไปพบ เนื่องด้วยขาข้างขวาของท่านพ่อของนางเดินเหินไม่สะดวกเพราะโรคเรื้อรัง จึงไม่เคยมาด้วยตนเองเลยสักครั้งครั้งนี้น่าแปลกที่ท่านพ่อกับเดินมาถึงที่นี่ด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่ารู้เรื่องของคนทั้งสองที่ศิษย์พี่ของนางได้ช่วยเอาไว้หรอกนะ แต่นางอาจจะคิดมากไปเอง เพราะหากท่านพ่อล่วงรู้ว่ามีคนนอกอยู่ในหมู่บ้านจริง คงพาคนมาหลายคนเพื่อจับตัวกลับไปแล้ว ไม่มีนางมาคนเดียวเช่นนี้"ท่านพ่อ ท่านมาที่นี่ด้วยตัวเองได้เช่นไร อยากพบข้าหรือเจ้าคะ ทำไมไม่ให้คนอื่นมาเรียกข้าเล่า" จางซีเอ่ยถามบิดาตน นางยิ้มแย้มเอ่ยถามอย่างปกติ พยายามไม่แสดงท่าทีผิดปกติใด ๆ "พ่อไม่ได้มาท้ายหมู่บ้านนานแล้ว ในฐานะหัวหน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-19
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 14 พิธีรำลึกองค์เทพ

    ตอนที่ 14พิธีรำลึกองค์เทพพิธีรำลึกองค์เทพ ของหมู่บ้านตู๋ชือ คือพิธีที่ทุกคนในหมู่บ้านจะต้องร่วมกันสวดวิงวอนและขอบคุณในความเมตตาขององค์พิธีนี้ช่วงกลางวันจะให้ทุกคนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน ณ ลานพิธีในหมู่บ้าน ซึ่งทุกคนจะร่วมกันสวดบูชาองค์เทพโดยไม่กินหรือดื่มสิ่งใดจนกว่าพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วจึงอนุญาตให้รับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ อีกทั้งในยามค่ำคืนก็จะเป็นการร่ายรำบูชาองค์เทพ โดยจะมีการร่ายรำไม่หยุดตลอดทั้งคืน ทุกคนในหมู่บ้านห้ามไม่ให้มีผู้ใดไม่เข้าร่วมพิธีรวมไปถึงออกจากพิธีกลางคันก็ไม่ได้ พิธีรำลึกนี้จัดจะจัดโดยคำสั่งของหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้น โดยที่จะมีตระกูลร่างทรงเทพประจำหมู่บ้าน เป็นผู้เลือกสรรวันเวลา ที่หมู่บ้านตู๋ชือแห่งนี้ห่างหายจากการทำพิธีรำลึกเช่นนี้ไปกว่าสิบปีแล้ว เพราะทางตระกูลร่างทรงเทพประจำหมู่บ้านไม่ได้มีการเอ่ยสั่งให้จัด เนื่องด้วยไม่ได้มีฤกษ์งามยามดีที่เหมาะแก่การจัดพิธีนี้แปลกที่ผ่านมาสิบปี อยู่ ๆ พิธีรำลึกองค์เทพนี้ก็ถูกสั่งให้จัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้าจางซีบอกเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับพิธีรำลึกให้อาจารย์กับศิษย์พี่ของนางฟัง "มีอีกเรื่องห

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-19

บทล่าสุด

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    รวมตอนพิเศษ

    ตอนพิเศษ 1แม่สามีของข้านั้นดียิ่งนักเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่นางแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ใหญ่สกุลอวี้ อวี้หนานไห่มีน้องสาวอยู่หนึ่งคนชื่ออวี้จินเชียง จากที่อวี้หนานไห่เล่าให้ฟังก็คือ อวี้จินเชียงนั้นอยู่ที่บ้านเดิมกับท่านยายของพวกเขาตั้งแต่ยังเยาว์เพราะมีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง อีกไม่นานอวี้หนานไห่ก็จะพานางไปเยี่ยมท่านตาท่านยายและน้องสาวของเขาเพราะว่าฮูหยินอวี้ไม่ใช่สิ เวลานี้นางควรจะเรียกว่าท่านแม่สามีถึงจะถูก เอ็นดูนางเป็นพิเศษดูแลต้อนรับนางเข้ามาเป็นอีกส่วนหนึ่งของครอบครัวอย่างอบอุ่น เหมือนกับว่านางเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ไม่ใช่เป็นเพียงลูกสะใภ้ ซ้ำยังชอบให้ท้ายนางอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะยกเลิกไม่ต้องให้นางมาคารวะทุกเช้า ให้เปลี่ยนมาเป็นมาทานมือเช้าเป็นเพื่อนนางบ้างก็พอ ยิ่งเป็นเรื่องข้าวของเครื่องประดับหรืออาภรณ์ แน่นอนว่าอาภรณ์ใหม่ ๆ ของนางไม่มีวันขาดแคลนเพราะว่านางเป็นบุตรสาวจากสกุลที่เปิดร้านอาภรณ์ แต่ยิ่งนางมีเสื้อผ้ามากมายเท่าไหร่ ท่านแม่สามีก็ยิ่งจะยื่นเครื่องประดับจำนวนมากมาให้นาง ทั้งของที่ประมูลมา ของที่หาซื้อได้ตามร้านหรือว่าเครื่องประดับที่ต้องสั่งทำจนยามนี่นางมีเครื่องประดั

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 45 คำนับฟ้าดิน (จบ)

    ตอนที่ 45คำนับฟ้าดิน"หนึ่ง คำนับฟ้าดิน""สอง คำนับบิดามารดา""สาม สามีภรรยาคำนับกันและกัน"หลังจากเสร็จพิธีแล้วเจ้าสาวก็ถูกส่งตัวเข้าหอ ด้านเจ้าบ่าวก็ถูกรั้งตัวเอาไว้ในงานเลี้ยงมงคล เพื่อให้แขกที่มาร่วมงานดื่มอวยพร เป็นธรรมเนียมปกติที่ในงานมงคลเช่นนี้เจ้าบ่าวจะต้องถูกมอมเหล้าจากแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายรวมไปถึงญาติมิตรต่าง ๆ ที่มาร่วมงานอวี้หนานไห่ไม่ยอมให้ตนต้องตกเป็นเป้าให้ผู้อื่นมอมเหล้านานเกินไป เข้าทักทายแขกที่มาร่วมงานอยู่เกือบหนึ่งชั่วยามก็แอบปลีกตัวออกมาแล้วคืนเข้าหอเวลามีค่าแค่ไหน ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาบอกเขาก็รู้ดี ทันทีที่เข้าได้ก้าวเข้ามาในเรือนหอของตน บนเตียงก็พบกับภรรยา ใช่แล้วหลิวซือนัวภรรยาของเขา และนางจะเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์หลังจากคืนนี้ไป"อวี้หนานไห่เป็นเจ้าหรือ" เจ้าสาวของเขาซึ่งนั่งคลุมหน้าตัวตรงอยู่บนเตียงเอ่ยถามขึ้น"เป็นข้าเองภรรยารัก เจ้าควรเรียกข้าว่าท่านพี่ได้แล้ว" เขาเอ่ยก่อนจะก้าวเข้าไปหานาง และใช้ไม้ตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสดออกจากศีรษะของนางยามเมื่อผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวถูกเปิดออกแล้ว ความงดงามที่แสนตราตรึงในใจเขาก็ปรากฏขึ้น ใบหน้าของนางในเวลานี้ค่อน

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 44 ความจริงใจของข้า

    ตอนที่ 44ความจริงใจของข้า"ดู ๆ ข้าก็คิดอยู่ว่าคุณหนูหลิวเหมือนใคร นางเหมือนฮูหยินหลิวนี่เอง ไม่ไหวหน้าผู้อื่นเช่นนี้ไม่มีผิด""ข้าน่ะหรือไม่ไว้หน้า พวกเจ้าต่างหากที่ไม่ไว้หน้ากันก่อน" ฮูหยินหลิวตอกกลับทันที แม่สื่อพวกนี้นางทนพูดดีด้วยอีกไม่ได้แล้ว"ฮูหยิน ท่านใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ" สาวใช้คนสนิทของฮูหยินหลิวรีบเข้ามาห้ามผู้เป็นนายตน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะย่ำแย่ลงไปทุกทีแล้ว"จะให้ข้าใจเย็นได้อย่าง...." ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยจบประโยค ผู้เฝ้าประตูคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้าเหมือนมีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างเสียก่อน"ฮูหยิน ฮูหยินขอรับ""มีอะไร เกิดอะไรขึ้น ถึงได้รีบร้อนขนาดนี้" นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดีนัก เพราะเรื่องตรงหน้ายังไม่ทันได้สะสางก็ดูท่าว่าจะมีเรื่องใหม่เข้ามาแทรกเสียแล้ว"มีขบวน มีขบวน...ใหญ่ ขบวนใหญ่" อาจจะเป็นเพราะวิ่งมาด้วยความเร็ว ซ้ำยังตื่นเต้นจึงทำให้บ่าวชายผู้นี้พูดออกมาไม่รู้ความจนฮูหยินหลิวต้องเอ่ยถามซ้ำหลายรอบ"ขบวน ขบวนอะไร ขบวนอะไรใหญ่กันแน่""เหมือนว่าจะเป็นขบวนสินสอดสินะ" แม่สื่อคนที่หนึ่งผู้ขึ้น บ่าวชายที่มาแจ้งข่าวก็พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับว่าใช่"คงเป็

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 43 สู่ขอ

    ตอนที่ 43สู่ขออาจจะเป็นเพราะเดินทางไกลมาหลายวัน และก็ไม่ได้นอนพักดี ๆ มาตลอดทาง วันนี้หลิวซือนัวเลยตื่นสายกว่าปกติถึงหนึ่งชั่วยามด้วยกัน กว่าที่จะแต่งตัวหวีผมเสร็จก็กินเวลาช่วงเช้าไปไม่น้อยแล้ว"คุณหนูเจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ให้บ่าวมาแจ้งท่านว่า หากคุณหนูแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คุณหนูไปพบฮูหยินใหญ่ที่โถงรับรองด้วยเจ้าค่ะ""ได้ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปแจ้งท่านแม่นะว่าประเดี๋ยวข้าแต่งตัวเสร็จแล้วจะรีบเข้าไปหาท่าน""เจ้าค่ะคุณหนู"สาวใช้ที่ท่านแม่ให้มาแจ้งข่าวนางจากกลับไปแล้ว เวลานี้จึงเหลือเพียงแค่นาง เสี่ยวหนิง และสาวใช้ในเรือนอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังช่วยพวกนางเลือกเครื่องประดับที่จะใส่ในวันนี้อยู่"เสี่ยวหนิง เจ้าว่าเหตุใดท่านแม่ถึงได้ให้คนมาตามข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ จะมีแขกสำคัญมาหรือไงนะ""บ่าวคิดว่าไม่น่าจะมีแขกนะเจ้าค่ะ ตั้งแต่เช้าไม่เห็นว่าในโรงครัวคึกคักเลย" ผู้เป็นสาวใช้เอ่ยออกมาตามที่นางคิด เพราะถ้าหากในจวนมีแขกสำคัญ ปกติแล้วในครัวก็มักจะคึกคักเป็นพิเศษเพราะต้องมีการเตรียมอาหารเอาไว้รับรองแขก"เช่นนั้นแล้วท่านแม่จะเรียกให้ข้าไปพบที่ห้องโถงทำไมกัน" หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นอย่างข้องใจคงมีแต่รีบ

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 42 จาก

    ตอนที่ 42จากอีกเพียงวันเท่านั้นนางก็จะต้องเดินทางกลับเมืองเป่ยโจวแล้ว ตามกำหนดการเดินทางกลับที่ท่านแม่ของนางได้กำหนดเอาไว้ พี่ใหญ่ของนางหลิงเค่อกับพี่สะใภ้ฉือหนานเองก็จะเดินทางไปส่งนางกลับจวนและถือโอกาสให้พี่ฉือหนานได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมด้วย หลังจากวันนั้นที่อวี้หนานไห่และนางได้เปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง ความสัมพันธ์ของพวกนางก็มีสถานะเป็นคนรักของกันและกันอย่างเปิดเผย แต่เปิดเผยที่ว่านี้ก็จะมีแค่คนในครอบครัวของพวกนางเท่านั้นที่รู้ ส่วนคนนอกนางและอวี้หนานไห่ก็ไม่ได้สนใจว่าคนเหล่านั้นจะคิดจะพูดถึงพวกนางอย่างไรมีบางครั้งที่นางและอวี้หนานไห่ออกไปเดินเล่นที่ตลาดด้วยกันบ้างก็ไปรับประทานอาหารร่วมกันที่ร้านอาหารต่าง ๆ ในเมือง หลายครั้งก็มีข่าวลือตามมาบ้างทว่าส่วนใหญ่จะลือไปทางที่พวกนางเป็นสหายกันเสียมากกว่า ไม่มีการลือหรือการพูดไปถึงเรื่องเชิงชู้สาวใด ๆ ทั้งสิ้นแน่นอนว่าเรื่องลือเช่นนี้ไม่ถือเป็นผลเสียกับนาง หนำซ้ำยังถือว่าเป็นผลดีต่อร้านสกุลอาภรณ์สกุลหลิวไม่น้อยเช่นกัน เพราะผู้ใดที่อยากสนิทสนมกับหมู่ตึกอวี้ฟางก็จะต้องเข้าหาร้านอาภรณ์สกุลหลิวซึ่งลือกันว่าเป็นสหายกับหมู่ตึกอวี้ฟางเพื่อทำต

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 41 รัก

    ตอนที่ 41รัก"ที่ห้องโถงใหญ่เอะอะอะไรกัน เหตุใดถึงได้เสียงดังมาถึงนี่ เจ้าไปดูหน่อยเถอะ" ฉือหนานเอ่ยขึ้น ก่อนจะสั่งให้สาวใช้คนสนิทของนางออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในวันมงคลเช่นนี้นอกจากฉือหนานแล้วในห้องรับรองขนาดเล็กซึ่งอยู่ติดกับห้องโถงใหญ่ก็มีหลิวซือนัวน้องสามีของนาง และก็ฉือฮั่วลูกพี่ลูกน้องของนางที่มาเยี่ยมนางจากบ้านเกิดเมื่อสองวันก่อนใครจะคิดเล่าว่าการมาที่นี่ของฉือฮั่วซึ่งอ่อนวัยกว่านางเกือบสี่ปีจะทำให้นางได้เจอกับรักแรกพบที่นี่ หนำซ้ำยังถูกสู่ขออย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า นางและผู้เป็นสามีที่ถือเป็นญาติสนิทจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ของฉือฮั่วแทนบิดามารดาของนางที่ไว้ใจฝากฝังบุตรสาวเอาไว้ด้วยเพราะเชื่อมั่นและไว้ใจนางกับสามีด้วยเพราะว่าทั้งฝ่ายสู่ขอและฝ่ายถูกสู่ขอต่างก็มีใจต่อกัน การตัดสินใจจริงเป็นไปอย่างดี ทุกฝ่ายตกลงปลงใจที่จะปลูกเรือนร่วมกันวันนี้แค่แลกหนังสือสินสอดเสร็จสิ้นก็หาวันดีจัดงานแต่งได้เลย ด้านหลิวซือนัวยามนี้นางกำลังวุ่นวายอยู่กับการเลือกผ้าไหมสีแดงเพื่อตัดชุดแต่งงานให้กับฉือฮั่ว สำหรับฉือฮั่วนั้นนางก็เห็นเป็นสหายมาเนิ่นนาน ซ้ำเมื่อพี่ฉือหนานแต่งเข้ามาจวนสกุลหลิวแล้

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 40 ผู้ใดจะแย่งนางไป ข้าไม่ยอม

    ตอนที่ 40ผู้ใดจะแย่งนางไป ข้าไม่ยอมตลอดสามวันที่เขาต้องเดินทางออกจากเมืองเป่ยจู ไม่มีวันใดเลยที่เขาไม่กังวลหรือคิดถึงนาง ยิ่งเรื่องที่ได้ตัวแม่นมเฉียวผู้ซึ่งเป็นคนอยู่เบื้องหลังการที่นางหมดสติไปด้วยแล้ว เขากับทางการมีการพูดคุยกันเอาไว้แล้วว่าเรื่องทุกอย่างต้องจัดการให้เรียบร้อยและเงียบที่สุด จะต้องไม่ให้มีเรื่องอะไรที่จะมากระทบต่อชื่อเสียงของนางได้เป็นอันขาดอวี้หนานไห่รู้สึกเสียดายที่ตนไม่ได้ไปจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ก็คิดเอาไว้ว่าหลิวเค่อพี่ชายของหลิวซือนัวคงจัดการต่อไปได้ดีเช่นกัน นั่นจึงทำให้เขารู้สึกเบาใจได้เปราะหนึ่ง เมื่อเขากลับเข้ามาในเมืองเป่ยจู ก็สั่งให้รถม้าจอดที่ร้านขนมชื่อดังที่อยู่ใกล้กับประตูทางเข้าออกทิศตะวันตกเพื่อซื้อขนมจากร้านนี้ติดมือไปฝากหลิวซือนัว แม้เขาจะมีของฝากขึ้นชื่อจากพื้นที่ ๆ เขาเพิ่งกลับมาอยู่แล้วก็เถอะ แต่ก็ยังอยากเอาของฝากกลับไปให้นางหลาย ๆ อย่าง นางจะได้ดีใจที่ได้เห็นของฝากมากมายจากเขาในระหว่างที่รอให้ทางร้านห่อขนมที่เขาสั่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน รวมไปถึงขนมที่เขาเพิ่งเลือกซื้อเพิ่มเติมอยู่นั้น ก็มีสตรีวัยกลางคนสองคนก้าวเข้ามาเลือกซื้อขน

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 39 ร้องขออย่างจริงใจ

    ตอนที่ 39ร้องขออย่างจริงใจเช้าวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่แสนจะวุ่นวายสำหรับหลิวซือนัว ตั้งแต่เช้าพี่ใหญ่ให้คนมาเรียกนางไปพบก่อนจะบอกนางว่าทางการพบตัวคนที่เป็นคนใส่ยาบางอย่างในดอกไม้จนทำให้นางหมดสติพลัดตกน้ำไปจนเกือบตายแล้วพี่ใหญ่ยังเอ่ยอีกว่าพรุ่งนี้ทางการต้องการให้นางเข้าไปเพื่อสอบปากคำบางอย่าง การไต่สวนคดีนี้จะทำโดยเงียบเชียบไม่ให้ภายนอกรู้ เพื่อให้ไม่เป็นที่เล่าลือกันไปผิด ๆ หลิวซือนัวเองก็คิดว่าจัดการเรื่องราวเหล่านี้ ให้เสร็จเงียบ ๆ จะดีซะกว่า เพราะว่านอกจากคนในครอบครัวและอวี้หนานไห่แล้วก็ไม่มีใครอื่นรู้ว่าเรื่องที่นางหมดสติพลัดตกทะเลไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุพรุ่งนี้ไปที่ศาลประจำเมืองนางก็จะได้รู้แล้วว่าผู้ใดที่อยู่เบื้องหลังและ ต้องการทำร้ายนาง อีกเพียงแค่วันเดียวนางก็จะรู้แล้วว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่ ต้องการให้นางตายหนำซ้ำยังลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้หลังจากที่นางกลับเรือนพักของตนมาได้ไม่นาน ก็มีสาวใช้มาแจ้งว่ามีคนมาของพบนาง "คุณหนูเจ้าค่ะ สาวใช้ที่เรือนหน้ามาแจ้งว่ามีคนมาขอพบท่านเจ้าค่ะ นางบอกว่าเป็นคุณหนูหยวนจือจากสกุลเวินมาขอพบท่าน" เสี่ยวหนิงเอ่ยรายงาน ตามที่สาวใช้ที่มาแจ้ง

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 38 ไม่อยากบอกลา

    ตอนที่ 38ไม่อยากบอกลา“ในเมืองเป่ยจู เจ้าคงเป็นบุรุษที่น่าอิจฉาที่สุด”“ทำไมเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้” เขาถามออกมาอย่างไม่เข้าใจนัก เมื่ออยู่ ๆ นางก็เอ่ยขึ้นมาซะอย่างนั้น“รอบตัวเจ้า มีสตรีงดงามมากมายรายล้อมอยู่ บุรุษใดบ้างจะไม่อิจฉา” นางเอ่ยตอบเขา ก่อนจะพยักพเยิดไปทางที่เหล่าแม่นางจากหอหยวนหมิงรวมตัวเตรียมพร้อมจะลงเรืออยู่"ข้าไม่เคยสนใจพวกนาง" เขาตอบไปในทันที"เป็นไปไม่ได้ที่บุรุษจะไม่สนใจสตรี ยิ่งสตรีแสนงามด้วยแล้ว" "เป็นไปได้ ข้านี่ไง""หากพวกนางมาได้ยินเข้าคงจะเสียใจแย่""เรื่องนั้นข้าไม่เคยคิดที่จะสนใจ" เขาเอ่ยออกมาตามความเป็นจริง ในชีวิตเขามีสตรีที่เขาจะให้ความสนใจเพียงแค่สามคนก็พอแล้ว แค่ ท่านแม่ น้องสาว และนางเท่านั้นไม่นานผู้ดูแลหอหยวนหมิงผู้ที่เคยขวางไม่ให้นางเข้าไปในหอก็เข้ามาหา"คารวะนายน้อยอวี้ คารวะคุณหนูหลิว" เจ๋อเหนียงเอ่ยขึ้นก่อนจะโค้งให้คนทั้งคู่"แม่นางเจ๋อเหนียง พวกเราพบกันอีกแล้วนะ" นางเอ่ยทักขึ้นพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร "ครั้งก่อนเป็นข้าไม่รู้ความ จึงได้กระทำการล่วงเกินคุณหนู ข้าต้องขออภัยด้วยนะเจ้าค่ะ" นางรู้ดีว่าตนควรขออภัยคุณหนูตรงหน้า อีกทั้งไม่ควรจะทำอะไรที่เป็นก

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status