แชร์

ตอนที่ 8 ไม่ไร้หนทาง

ผู้เขียน: อาหลานเร่อ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-12-13 20:40:55

ตอนที่ 8

ไม่ไร้หนทาง

           นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด 

            จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น  เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด 

            บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า

           "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด

            หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ"

            เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป

            ไม่ง่ายเลยกว่าจะพาร่างที่มีแต่กระดูกเช่นนี้ลงมาจากม้าได้ เล่นเอานางหายใจหอบอยู่ครู่หนึ่งเลยทีเดียว 

           "พิษกำเริบเช่นนั้นหรือ มียาหรือไม่" นางเอ่ยถามบุรุษที่พิงร่างอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่

            แล้วก็เป็นเช่นเดิม คือนางไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาแม้สักคำเดียว

            "ไม่มียาแล้วจะทำเช่นไรดี พวกเราพักกันที่นี่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น"

          ถึงแม้จะแน่ใจว่ามาได้ไกลแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถวางใจได้ พวกนางสองคนควรจะรีบพักเหนื่อยและรีบออกเดินทางต่อไปต่อจนกว่าจะเจอใครสักคนที่พอจะขอความช่วยเหลือได้ หรือไม่ก็ไปถึงเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดได้สำเร็จ

        "ทิ้งข้าไว้ที่นี่ แล้วเจ้าก็ไปซะเถอะ"

        อีกแล้วประโยคไม่รักชีวิตเช่นนี้หลุดออกมาจากปากของเขาอีกแล้ว

      "ถ้าคิดจะทิ้งเจ้า ข้าก็คงไม่พามาด้วยแต่แรก อีกอย่างข้าบอกแล้วว่าชีวิตท่านจากนี้เป็นของข้า แล้วจะเป็นจนกว่าเจ้าจะตาย"

         "เช่นนั้นก็อีกไม่นาน เพราะข้าใกล้จะตายแล้ว" เจ้าของน้ำเสียงอ่อนแรงที่เอ่ยออกมาอย่างอยากลำบากนั้นเอ่ยพลางยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก 

         รอยยิ้มนี้ของเขาเหมือนกำลังยิ้มให้ตัวของเขาเอง เป็นรอยยิ้มที่มองแล้วกลับไม่รู้สึกว่ามันคือรอยยิ้ม 

         รอยยิ้มนี้มันเหมือนรอยยิ้มเพื่อสมเพชเวทนาตัวเอง

         "ชีวิตเจ้า หมดอะไรตายอยากขนาดนี้แล้วเหรอ" นางอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้

         "ก็...คงจะเป็นเช่นนั้น" เขาตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกัก คำพูดเริ่มจะเอ่ยออกมาได้อย่างอยากลำบากเต็มที อีกไม่นานทั่วทั้งร่างของเขาก็คงจะเจ็บปวดราวกับถูกกัดกินภายใน สุดท้ายก็คงหมดสติไปอีกเช่นที่เคย

        "ถึงจะเป็นอย่างนั้นข้าก็ไม่ยอมปล่อยให้เจ้าตายไปง่าย ๆ หรอก พวกเราอย่างไรก็ต้องรอดไปพร้อมกัน" นางเอ่ยพลางเอื้อมมือไปจับที่ไหล่ของเขา เตรียมที่จะประคองอีกฝ่ายขึ้นมาเพื่อเดินทางต่อ

         หลิวซือนัวไม่ได้คิดว่าตนจะเป็นเจ้าของชีวิตเขาจริง ๆ อย่างที่พูดไว้ คนอยากจะตายไม่มีใจที่จะมีชีวิตต่อแล้วนางจะทำอะไรได้ 

         แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังไม่สามารถปล่อยให้เขาตายไปได้ อย่างน้อยตอนนี้เขากับนางก็ถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว ยังไม่ถึงฝั่งจะปล่อยให้ใครคนหนึ่งกระโดดลงจากเรือไปก่อนได้อย่างไรกัน 

          หากรอดไปถึงฝั่งแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ถึงเวลานั้นเขาจะตายก็ไม่เกี่ยวกับนางแล้ว

เสียงฝีเท้าม้าที่เริ่มดังขึ้นมาใกล้เรื่อย ๆ ทำเอาหลิวซือนัวที่กำลังจะพยุงร่างซูบซีดให้ลุกขึ้นต้องชะงัก หัวใจนางเต้นเร็วขึ้นมาในทันที

        มีคนตามพวกนางมาแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถรู้ได้ว่าพวกที่ตามมานี้เป็นพวกโจรหรืออาจจะเป็นพวกที่ตามมาช่วยนางกันแน่ ในเมื่อยังไม่สามารถชี้ชัดได้ สิ่งที่ดีที่สุดและน่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ พวกนางต้องหนีไปก่อน

         อาจเป็นเพราะนางผูกม้าไม่แน่นหรืออะไรก็ไม่ทราบ ม้าที่ควรถูกมัดเอาไว้ที่ต้นไม้ใกล้ ๆ กับหายไปแล้ว 

       "มีกลุ่มคนกำลังขี่ม้ามุ่งมาทางเรา ม้าหายไปแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปซ่อนตัวก่อน"

       ม้าหายไปแล้ว พวกนางไม่สามารถขึ้นม้าแล้วควบหนีไปได้อีก จำต้องรีบพากันซ่อนตัวในพุ่มไม้หนา ๆ ใกล้ ๆ แทน

        หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษซ่อนตัวภายใต้พุ่มไม้หนาทึบ ไม่นานคนกลุ่มหนึ่งที่ควบม้าก็วิ่งมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ ที่พวกนางซ่อนตัวอยู่

        "พวกมันต้องหนีมาทางนี้ไม่ผิดแน่หัวหน้า" ลูกสมุนคนที่หนึ่งเอ่ย

         "พวกมันขี่ม้ามาด้วยกัน สตรีหนึ่งบุรุษใกล้ตายอีกหนึ่ง ดูท่าแล้วหากจับพวกมันสองคนไปเรียกเงินค่าไถ่ ก็คงจะได้เงินมามากโขทีเดียว" ลูกสมุนคนที่สองเอ่ย

         "อยากจะได้เงิน ก็ต้องหาพวกมันให้เจอก่อน ไม่มีตัวประกัน ใครมันจะเอาเงินมาแลก" คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าพวกมันพูดขึ้น น้ำเสียงเหี้ยมโหดเป็นที่สุด มองจากไกล ๆ ยังเห็นใบหน้าแสนอำมหิตของพวกมันได้อย่างชัดเจน

         ถ้าปล่อยให้มันเจอตัว คงต้องถูกจับไปทรมานแน่ ยิ่งนางที่เป็นสตรี จุดจบคงจะยิ่งแล้วใหญ่ กว่าที่พวกมันจะได้เงินค่าไถ่พวกนางก็คงจะปางตายเป็นแน่ แล้วก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าพวกโจรจะปล่อยพวกนางไปจริงหากได้เงินค่าไถ่แล้วพวกมันอาจจะฆ่านางและเขาทิ้งก็ได้ใครจะรู้

         "พวกเราคงต้องเดินเข้าไปให้ลึกกว่านี้ ข้ากลัวพวกมันจะย้อนกลับมาอีกแล้วเจอพวกเราเข้า"

           นางประคองคุณชายอวี้ให้เดินต่อไปอย่างอยากลำบาก หลิวซือนัวใช้แรงทั้งหมดที่นางมีเพื่อประคองเขา 

          แค่ตามองไม่เห็นก็ลำบากมากแล้ว นี่ยังมีพิษกำเริบเพิ่มเข้ามาอีก เจ้าของร่างซีดเซียวนี้กว่าจะก้าวเดินได้แต่ละก้าวนั้นไม่ง่ายเลย

         โชคดีที่คืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวง ผืนป่าแห่งนี้จึงพอที่จะมีแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่สาดส่องลงมาให้พวกนางสามารถมองเห็นทางได้บ้าง 

          ในความโชคร้ายอย่างน้อย ๆ ก็ยังพอดีโชคดีหลงเหลืออยู่บ้างล่ะหนา 

           กว่าหนึ่งก้านธูปที่พวกนางพากันเดินมาด้วยความทุลักทุเล โดยไม่ได้หยุดพักเลย หลิวซือนัวเหนื่อยหอบจนหายใจไม่ทัน ส่วนร่างที่นางกึ่งพยุงกึ่งลากมาตลอดทางนั้น ยามนี้ทรุดลงไปนั่งลงกับพื้นไปเป็นเรียบร้อยแล้ว

           "น่า...น่าจะเดินเข้ามาลึกพอแล้ว เจ้าพวกนั้นคงตามเจ้าม้านั่นไปแล้วล่ะ" เจ้าของร่างอวบอิ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีเหนื่อยหอบ นางเดินต่อไปแทบจะไม่ไหวแล้วเช่นเดียวกันจึงทรุดลงนั่งที่พื้นใกล้ ๆ กันกับเขา

            ร่างซูบซีดไม่เอ่ยกับนางเช่นเคย เขาหอบหายใจไม่เป็นจังหวะ เหงื่อออกเต็มใบหน้าซูบซีดนั้นไปหมด ร่างกายของเขาสั่นยิ่งกว่าเดิมเป็นสิบเท่า คล้ายกับว่าร่างกายของเขากำลังจะระเบิดออกมาอย่างไรอย่างนั้น

           นางรู้สึกได้ว่าเขาพยายามควบคุมจังหวะหายใจของตนเพื่อให้มันกลับมาปกติ แต่ก็ดูจะไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่นัก เขากลับยิ่งดูทรมานมากขึ้นกว่าเดิม ยามเมื่อนางเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากของเขาเพื่อดูอุณหภูมิร่างกายก็แทบจะชักมือออกในทันที

          ร่างกายของเขาร้อนมากจนน่ากลัวทีเดียว หลิวซือนัวไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วในเวลานี้ 

         สิ่งที่นางทำได้คือใช้ผ้าซึ่งฉีกจากแขนเสื้อของนางเช็ดเหงื่อตามใบหน้าให้เขาเท่านั้น นางรับรู้ได้ว่าบุรุษผู้นี้กำลังใช้ความอดทนอดกลั้นที่มีทั้งหมดของตนเพื่อข่มกลั้นพิษที่กำลังกำเริบจนถึงที่สุดที่จะทนได้แล้วจึงได้หมดสติไปในที่สุด

         นางประคองตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะหงายหลังลงไป สุดท้ายจึงประคองศีรษะของเขาให้หนุนที่ตักของนางเอาไว้ก่อน เพราะว่านางในเวลานี้ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะลากเขาไปพิงเอาไว้กับต้นไม้ได้อีกแล้วเช่นกัน เพราะความเหน็ดเหนื่อยนางจึงหลับไปหลังจากเขาไม่นาน

          รุ่งขึ้น เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนนั่งพิงกับต้นไม้ใหญ่หลับอยู่ ข้างตัวก็มีบุรุษผู้มีผ้าคาดปกปิดอยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้างและศีรษะนั่งอยู่เช่นกัน ต่างกันเพียงแค่นางเพิ่งจะตื่นส่วนเขานั้นน่าจะรู้สึกตัวตื่นก่อนนางสักพักแล้ว 

         พอตื่นมาแล้วสิ่งแรกที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยก็คือความรู้สึกหิว นางจะรู้สึกหิวก็ไม่แปลกก็ในเมื่อนางไม่ได้ทานอะไรเลยมาตั้งแต่เมื่อวานเย็น มิหนำซ้ำยังใช้แรงเยอะขนาดนั้นด้วย

          "เจ้าหิวหรือไม่" นางเอ่ยถามคนข้างตัว แล้วก็เป็นเช่นเดิมคือไม่ได้รับคำตอบใด ๆ 

           นางจึงได้ลุกขึ้นและเริ่มมองสำรวจบริเวณรอบ ๆ ตัว ซึ่งมีแต่ป่าไม้ปกคลุมหนาแน่นไปหมด

            เมื่อคืนพวกนางถือว่าโชคดีไม่น้อยเลยที่สามารถอยู่ที่นี่ได้โดยรอดพ้นอันตรายจากสัตว์น้อยใหญ่ที่อาจจะมีอยู่ในป่าแห่งนี้ ทั้ง ๆ ที่ปราศจากการป้องกันใด ๆ

           สวรรค์เมตตา สวรรค์เมตตาแล้ว

           หากจะกล่าวว่าแต้มบุญที่เคยสะสมมาถูกใช้ไปเมื่อคืนจนหมดก็คงจะไม่เกินจริงไปนักหรอก

           "ได้ยินเสียงน้ำไหม เหมือนว่าข้าจะได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากทางด้านนั้น" หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เมื่อเริ่มออกเดินสำรวจ จึงได้ยินเสียงน้ำที่ดังมาจากไกล ๆ

            คงเป็นเพราะเมื่อคืนความเหนื่อยล้าและเสียงพวกแมลงต่าง ๆ ภายในป่ากลบเสียงน้ำจนหมด เช้านี้เสียงรบกวนเช่นเมื่อคืนหายไปหมดแล้วจึงได้ยินเสียงน้ำไหลได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

           "ที่ไหนมีแหล่งน้ำ ที่นั้นย่อมมีคนอาศัยอยู่แน่ พวกเรารีบไปดูเถอะ" 

           อดทนพากันเดินต่อมาอีกครึ่งก้านธูปในที่สุดน้ำตกแห่งหนึ่งก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาในที่สุด 

           "น้ำตก พวกเรารอดตายแล้ว" นางปล่อยมือที่ประคองคนข้างกายออกก่อนจะวิ่งไปที่น้ำตกด้านหน้าตน หลิวซือนัวใช้มือของนางรองน้ำใส่มือแล้วยกขึ้นดื่มเพื่อดับกระหายทันที

         เมื่อตนได้ดื่มน้ำแล้วก็ไม่ลืมที่จะกลับไปประคองเจ้าของร่างไร้เรี่ยวแรงให้ได้ลงมาสัมผัสกับสายน้ำบ้าง

        เขานั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ นาง พลางใช้มือตนตักน้ำขึ้นมาดื่ม ก่อนจะใช้น้ำล้างตามใบหน้า ตามลำคอเช่นเดียวกันกับนาง 

        คิดไม่ถึงเลยว่าในป่าลึกแบบนี้จะมีน้ำตกเช่นนี้อยู่ด้วย อีกทั้งน้ำตกนี้ยังกว้างใหญ่ไม่เบาทีเดียว 

        จากที่นางมองสำรวจก็เห็นว่า ชั้นนี้เป็นชั้นน้ำตกชั้นรอง ด้านบนยังมีน้ำตกอีกชั้นหนึ่ง เบื้องหน้าของนางเป็นทางน้ำไหลที่สามารถเดินผ่านไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้   

         เบื้องหน้าเป็นทางน้ำไหลลงมาน้ำไม่ได้ลึก มีก้อนหินโผล่ขึ้นมาจากน้ำพอที่จะเป็นทางให้สามารถเดินผ่านไปได้ ส่วนด้านล่างที่น้ำไหลลงไปน่าจะเป็นน้ำตกชั้นล่างอีกชั้นหนึ่ง จากที่นางมองลงไปแล้วกับมองไม่เห็นแห่งน้ำที่อยู่ด้านล่างเลย

         นั่นก็แปลได้ว่าเส้นทางสู่น้ำตกด้านล่างอาจเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่และลึกสุดลูกหูลูกตาทีเดียว นางไม่รู้ว่าน้ำเหล่านี้จะไหลลงไปได้ถึงไหน

          "พวกเราควรจะเดินข้ามน้ำตกไปอีกฝั่ง ที่นั่นน่าจะมีคนอาศัยอยู่" นางเอ่ยบอกบุรุษข้างกาย

         "เจ้ามั่นใจว่าพวกเราจะข้ามไปได้?" เขาเอ่ยถามนางกลับ หลังจากที่เงียบฟังอยู่นาน

           "น้ำตกนี้เชื่อมกับอีกฝั่งหนึ่ง พวกเราสามารถเดินผ่านไปได้ น้ำไหลผ่านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น"

           "ข้าถามว่าเจ้ามั่นใจใช่หรือไม่?" เขายังคงถามซ้ำประโชคเดิม

          ก็…ไม่มั่นใจเท่าไหร่นักหรอก  

           หากให้ตอบตามจริงนางคงตอบไปเช่นนั้น แต่หากตอบไปเช่นนั้นจริง ๆ เขาก็คงไม่เดินไปกับนางแน่ นางจึงได้แต่ตอบอีกอย่างหนึ่งออกไปแทน

         "ข้าย่อมต้องมั่นใจอยู่แล้ว"

        เป็นอีกครั้ง ที่มือของคนทั้งคู่ได้จับจูงกันไว้ หลิวซือนัวเดินนำอยู่ด้านหน้าโดยที่อวี้หนานไห่ผู้ที่ดวงตามองไม่เห็นก้าวตามที่นางสั่ง ที่ละก้าว ๆ อย่างมั่นคงไม่รีบร้อน

          พวกนางเดินกันมาถึงบริเวณกลางน้ำตกแล้ว ฝ่าเท้าของทั้งคู่จมอยู่ใต้กระแสน้ำอันแสนเย็นฉ่ำ มือทั้งสองยังคงเกาะกุมกันแน่นเช่นเดิมไม่เปลี่ยน

          นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสมือกับสตรีบ่อยครั้งและเนินนานเช่นนี้  ตั้งแต่เจอกันคุณหนูแซ่หลิวผู้นี้ก็ทำเอาเขาต้องขมวดคิ้วอยู่หลายหนจนนับไม่ถ้วนเสียแล้ว

         แต่ถึงกระนั้น นางที่เป็นสตรีกลับไม่ย่อมทอดทิ้งเขาแม้จะยามที่มีอันตรายทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็สามารถหนีไปโดยไม่ต้องนำภาระเช่นเขาไปด้วยก็ได้ 

           แม้เขาจะพยายามบอกให้นางทิ้งเขาไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถึงอย่างนั้นนางก็ยังไม่ยอมทิ้งเขาไปสักครั้ง ซ้ำยังเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นอีกว่า ชีวิตของเขานั้นเป็นของนางอีกด้วย

           ถือว่านางหาเรื่องใส่ตัวเองก็แล้วกัน หากวันหนึ่งเขาไม่อยากเป็นอิสระ ถึงเวลานั้นชีวิตของเขาก็คงจะต้องเป็นของนางตลอดไปจริง ๆ แล้วล่ะ

           "พวกมันอยู่นั่นไง!!!"  

          เสียงตะโกนโหวกเหวกมาแต่ไกล ทำให้หลิวซือนัวที่หันไปมองตามเสียงเห็นว่าที่ฝั่งน้ำตกที่พวกนางข้ามมานั้น ยามนี้มีพวกโจรหน้าเหี้ยมยืนอยู่ และพวกมันก็กำลังจะวิ่งลงน้ำตกมาทางพวกนาง

          "พวกมันตามมาแล้ว ไปเร็วไป!!!"  นางรีบก้าวเดินต่อไป พร้อมกับลากเจ้าของร่างซีดเซียวให้รีบเดินตามนางมาไม่ห่างด้วย

           "เจ้าไปเถอะ รีบไป" อวี้หนานไห่เอ่ย ก่อนจะแกะมือของนางที่กุมมือเขาแน่นออก

           "ไม่ มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน" นางไม่ย่อมทิ้งเขา เอื้อมมือบางไปเกาะกุมมือเขาเอาไว้อีกครั้ง 

          "ไม่ต้องมีใครไปไหนทั้งนั้นแหละ!!!" เสียงเหี้ยมดังขึ้น 

           พวกมันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว ถ้าหลิวซือนัวไม่ปล่อยเขาและหนีไปคนเดียวก็จะไม่ทันการแล้ว

             "ไปด้วยกัน ต้องไปด้วยกัน" 

            ยังไงนางก็ไม่ยอมปล่อยเขาอยู่ดี ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปพวกเราต้องถูกจับแน่ 

             ในชีวิตนี้แม้จะมีหลายเรื่องที่ยังน่าเสียดายอยู่ก็เถอะ แต่อวี้หนานไห่กลับคิดว่าตนคงไม่เสียดายมันเท่าไหร่นักหรอก ถ้าจะต้องเลือกโดดลงไปข้างด้านล่างนั่นเพื่อให้นางรอด

            ในเวลาต่อมา เขาตัดสินใจกระโดดลงไปทันที 

           ภาพที่เจ้าของร่างซีดเซียวอันคุ้นตาค่อย ๆ ล่วงตกลงไปที่น้ำตก ด้านล่างทำเอาหลิวซือนัวตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างกายของนางจะพุ่งไป หมายจะคว้าตัวเขาเอาไว้โดยไม่ทันได้คิดถึงอันตรายเบื้องหน้า  นั้นทำให้นางเสียหลักจนไม่สามารถทรงตัวได้อีก ร่างบางล่วงลงไปเช่นเดียวกับเขาในเวลาต่อมา

          ทั้งสองคนดิ่งตามกันลงไปด้านล่างของน้ำตกอันเย็นยะเยือก ดำดิ่งลง สู่ห้วงลึกของสายน้ำที่ไม่รู้ว่าไปสิ้นสุด ณ ที่ใด...

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 9 หมู่บ้านแปลกประหลาด

    ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 10 ไม่นึกเสียใจ

    ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    บทนำ เริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง

    บทนำ เริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง ความทรงจำอันแสนเศร้า การใช้ชีวิตอย่างลำบากยากเข็น ตลอดระยะเวลายี่สิบห้าปีที่ผ่านมาได้จบลงแล้ว จบลงด้วยความน่าเวทนาอย่างสุดแสน แม้จะเลื่อนรางเต็มที ทว่านางกลับยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้อย่างแจ่มชัด วันนั้นเป็นวันที่มีฝนตกลงมาในช่วงค่ำ นางจำได้ว่าในขณะที่กำลังรอข้ามถนนหลังจากเพิ่งเลิกงาน จู่ ๆ ก็มีรถพุ่งเข้ามาชนนางจนเสียชีวิต หยาดฝนที่ตกลงมาเป็นสายรวมตัวกันกลายเป็นแอ่งน้ำที่ไหลนองอยู่เต็มพื้น นางจำได้ดีว่าเลือดในกายของนางไหลรวมไปกับน้ำสกปรกเหล่านั้นมากมายเพียงใด มันมากพอที่ทั่วทั้งบริเวณนั้นจะเต็มไปด้วยเลือดแดงฉานน่าหวาดกลัว ร่างของนางนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นที่ทั้งเย็นทั้งแข็งและเปียกชื้น เม็ดฝน เม็ดแล้วเม็ดเล่าตกลงมากระทบใส่ร่างของนางจนรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งตัว นางในยามนั้นสิ้นใจอย่างอเนจอนาถยิ่ง แต่จิตสุดท้ายกลับรู้สึกโกรธแค้นในโชคชะตาของตนนั้นเป็นที่สุด สวรรค์ให้นางเกิดเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องทำงานหนักสู้ชีวิตอย่างอยากลำบากก็ ช่างเถอะ ไฉนจึงต้องให้นางมาตายเช่นนี้ด้วย ทั้งชีวิตนี้แสนเศร้านักได

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 1 ข้านี่แหละหลิวซือนัว

    ตอนที่ 1ข้านี่แหละหลิวซือนัว สิบเอ็ดปีมาแล้วที่นางอยู่ในมิตินี้ในฐานะหลิวซือนัว ทุกอย่างในชีวิตราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง นางมีครอบครัวใหญ่ที่แสนอบอุ่น อีกทั้งนางยังเป็นที่รักของคนในครอบครัวเป็นอย่างมาก ทุกคนในสกุลหลิวล้วนแล้วแต่ดูแลนางอย่างดีราวกับประคองไว้บนมือก็กลัวจะตก อมไว้ในปากก็กลัวจะละลาย ไม่มีสิ่งใดที่นางต้องการแล้วจะไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางได้รับล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินหรือสิ่งของต่าง ๆ รวมไปถึงเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นเลิศทั้งสิ้น ชีวิตของนางต่างจากโลกเดิมอย่างชัดเจนราวกับหลังมือเป็นหน้ามือ จากที่เคยขัดสนกลับมั่งมีมากมายล้นเหลือ จนทำนางเผลอคิดไปว่าหรือชีวิตใหม่ในมิตินี้จะเป็นสิ่งที่สวรรค์ตั้งใจมอบแก่นาง ถึงกระนั้นนอกจากทรัพย์สินมากมายและครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว ดูเหมือนจะมีสิ่งหนึ่งที่นางอยากจะให้เป็นเช่นเดิมเหมือนในมิติก่อน นั่นก็คือในมิติก่อนนางกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ทว่าในมิตินี้เพียงแค่จิบชาไปหนึ่งถ้วยกับรู้สึกว่าตนอ้วนขึ้นเสียอย่างนั้น เหล่าแม่นางคุณหนูทั้งหลายในเมืองนี้ล้ว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 2 ข่าวลือหนาหู

    ตอนที่2ข่าวลือหนาหู หลายวันที่ผ่านมานี้ มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการมีปากเสียงกันระหว่างคุณหนูสกุลหลิวและคุณหนูสกุลอี้ บ้างลือกันไปว่าคุณหนูหลิวเกิดความริษยาต่อคุณหนูอี้เพราะคุณหนูอี้นั่นมีรูปโฉมงดงามกว่า บ้างก็ว่าเป็นเพราะคุณหนูหลิวอยากแสดงอำนาจในมือตนให้เป็นที่ประจักษ์และคุณหนูอี้นั้นก็กลายมาเป็นผู้รับเคราะห์กรรมไปโดยไร้ความผิด ผู้คนที่ได้ยินข่าวลือต่างพากันสงสารคุณหนูสกุลอี้ เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพวกผู้คนที่พากันสงสารคุณหนูสกุลอี้นั้นย่อมต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณหนูหลิวในทางที่ไม่ดี “คุณหนูเจ้าคะ ข่าวลือพวกนี้ต้องเป็นคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นผู้สร้างขึ้นแน่นอนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นางในยามนี้รู้สึกโมโหแทนคุณหนูของนางเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะออกไปป่าวประกาศในทุกคนรู้กันให้ทั่วเมือง ว่าแท้จริงแล้วคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นคนเช่นไร “ก็แค่ข่าวลือเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่นานผู้คนก็จะพากันลืมไปเอง” นางเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น มือก็พลิกดูแบบลายปักในมือตนด้วยทีท่านิ่งเฉย “นางจงใจทำให้ชื่อเสียงคุณหนูเสียหา

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 3 มุ่งหน้าสู่เป่ยจู

    ตอนที่ 3มุ่งหน้าสู่เป่ยจู เป็นเวลากว่าห้าวันมาแล้วที่พวกนางเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเป่ยจู ตลอดทางแม้ไม่ได้สะดวกสบายเท่าใดนักแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ท่านพ่อท่านแม่ส่งผู้คุ้มกันที่คุ้นชินกับการเดินทางและมีวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไว้ใจได้มาทั้งหมดห้าคนด้วยกัน โดยที่หนึ่งในห้าคนนี้นั้นยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเสี่ยวหนิงอีกด้วย พี่ชายของเสี่ยวหนิงผู้นี้มีชื่อว่าเสี่ยวชิง ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าในการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่านางเองก็คุ้นชินกับเสี่ยวชิงเป็นอย่างดี การเดินทางของนางในครั้งนี้จึงไม่มีสิ่งใดน่ากังวลใจ จนกระทั่งเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่อยู่ ๆ ก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักโดยไม่ให้พวกนางทันได้ตั้งตัว “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่พี่ชายบอกกับข้าว่า ข้างหน้าอีกไม่ไกลจะมีอารามร้างอยู่ พวกเราสามารถไปหลบฝนที่นั่นก่อนได้เจ้าคะ” หลิวซือนัวได้ฟังก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมา เพราะดูท่าแล้วฝนนี้คงจะไม่หยุดตกง่าย ๆ เป็นแน่ อีกทั้งถนนเรียบชายป่าที่มีต้นไม้มากมายเช่นนี้หากฝืนเดินทางต่อไปย่อมมีแต่อันตราย อย่างไรก็ต้อ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 4 ผู้ร่วมทางคนใหม่

    ตอนที่ 4ผู้ร่วมทางคนใหม่ กว่าฝนจะหยุดตกลงมาก็เป็นเวลาเช้าวันใหม่แล้ว ขบวนเดินทางทั้งสองที่หยุดพักหลบฝนตั้งแต่เมื่อคืนต่างก็พากันเตรียมตัวที่จะออกเดินทางกันต่อแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งนัก ราวกับว่าเมื่อวานมิได้มีพายุฝนตกหนักมาก่อน ดั่งคำที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ท้องฟ้าเบื้องหน้าของนางในยามนี้งดงามมากจริง ๆ กลุ่มก้อนเมฆรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายกับปลาทองที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า “เสี่ยวหนิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท ที่กำลังตรวจดูสิ่งของที่ถูกลำเรียงขึ้นไปยังรถม้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “เจ้าคะ คุณหนู” นางขานรับคำคุณหนูของตนทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะเดินไปที่ทางด้านหน้าทางเข้าอารามที่คุณหนูของนางยืนอยู่ “บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ” “เจ้าลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ” สิ้นเสียงของคุณหนูที่เอ่ยออกมา เสี่ยวหนิงก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทันที ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ “บนท้องฟ้า เมฆปรากฏเป็นรูปปลาทอง เป็นมงคลนักเจ้าค่ะคุณหนู” “ข้ารู้แล้ว จึง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง     ตอนที่ 5 น้ำใจของนาง

    ตอนที่ 5น้ำใจของนาง อาจเป็นเพราะยาที่กู่เหอให้คุณชายของเขาทานไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ทำให้มือหนาที่เคยกุมมือของนางเอาไว้แน่ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงทว่าเขาก็ยังคงจับมือของนางเอาไว้อยู่ หลิวซือนัวค่อย ๆ ดึงมือของนางออกจากมือใหญ่ของเขาอย่างช้า ๆ ครั้นอยู่ ๆ เจ้าของมือหนาที่เคยเกาะกุมมือนางเอาไว้แน่นราวปอกเหล็ก ก็สะบัดมือนางออกทันที ทั้งยังผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วทั้งที่นางสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า เวลานี้เขาไร้เรี่ยวแรงเพียงใดแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมานั่งจนได้ “ท่านรีบร้อนลุกขึ้นมาเช่นนี้ ร่างกายท่านอาจจะยังรับไม่ไหว หากหมดสติลงไปอีก ข้าว่าคงจะไม่ดีแน่” หลิวซือนัวเอ่ยขึ้น นางลุกขึ้นไปนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของรถม้าซึ่งตรงกันข้ามกับที่ร่างสูงของบุรุษตาบอดนั่งอยู่ “เจ้าเป็นใครกัน” เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงแหบแห้ง ทุกคำพูดในยามนี้ของเขาถูกเอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก “ข้าก็คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่หลบพายุอยู่ที่อารามร้างเช่นกันกับท่านเมื่อ คืน” นางเอ่ยตอบกลับไปอย่างใจเย็น จู่ ๆ ครั้งหนึ่งยามที่นางมองไปทางเขา เมื่อครู่กับรู้สึกสงสารเวทนา เขาข

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-13

บทล่าสุด

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 10 ไม่นึกเสียใจ

    ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 9 หมู่บ้านแปลกประหลาด

    ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 8 ไม่ไร้หนทาง

    ตอนที่ 8ไม่ไร้หนทาง นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ" เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 7 ปราการด่านสุดท้าย

    ตอนที่ 7ปราการด่านสุดท้าย "รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ "หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น "ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 6 โรงเตี้ยมกลางป่า

    ตอนที่ 6โรงเตี้ยมกลางป่า "บ่าวทำตามที่คุณชายสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" กู่หรูรายงานผู้เป็นนายของนาง "คุณหนูหลิวยังฝากบ่าวมาบอกท่านอีกว่า ระหว่างท่านกับนางไม่ได้มีผู้ใดติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณใด ๆ ต่อกันอีกเจ้าค่ะ" กู่หรูเมื่อรายงานเรื่องทั้งหมดแล้ว ครั้นเมื่อเห็นคุณชายของนางยังคงนิ่งเงียบอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนควรออกไปได้แล้ว นางจึงโค้งนำนับครั้งหนึ่งก่อนจะออกจากห้องพักของผู้เป็นนายไป ปล่อยให้กู่เหอพี่ชายนางอยู่ค่อยรับใช้คุณชายต่อเพียงผู้เดียว เหตุที่อวี้หนานไห่นิ่งเงียบเช่นนี้เพราะเขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขารู้ดีว่าคุณหนูหลิวที่กู่หรูเอ่ยถึงเมื่อครู่นางเข้าใจดีว่าเขาต้องการสิ่งใดจึงให้คนนำชาชั้นดีไปให้นาง ตั้งแต่ที่วัดร้าง เขาเองด้วยความที่ระวังตัวมาก จึงได้ให้กู่เหอนำชาสมุนไพรชั้นดีไปให้อีกขบวนหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ของเขาและยอมที่จะทนหนาว ทุกคนในขบวนของคุณหนูหลิวไม่มีใครใส่ใจหรือตกใจกับชาชั้นดีเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาต่างก็ถูกฝึกมาอย่างดี คุณหนูหลิวผู้นี้ก็ไม่ใช่สายของโจรป่าที่กำลังระบาดหนักอยู

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง     ตอนที่ 5 น้ำใจของนาง

    ตอนที่ 5น้ำใจของนาง อาจเป็นเพราะยาที่กู่เหอให้คุณชายของเขาทานไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ทำให้มือหนาที่เคยกุมมือของนางเอาไว้แน่ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงทว่าเขาก็ยังคงจับมือของนางเอาไว้อยู่ หลิวซือนัวค่อย ๆ ดึงมือของนางออกจากมือใหญ่ของเขาอย่างช้า ๆ ครั้นอยู่ ๆ เจ้าของมือหนาที่เคยเกาะกุมมือนางเอาไว้แน่นราวปอกเหล็ก ก็สะบัดมือนางออกทันที ทั้งยังผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วทั้งที่นางสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า เวลานี้เขาไร้เรี่ยวแรงเพียงใดแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมานั่งจนได้ “ท่านรีบร้อนลุกขึ้นมาเช่นนี้ ร่างกายท่านอาจจะยังรับไม่ไหว หากหมดสติลงไปอีก ข้าว่าคงจะไม่ดีแน่” หลิวซือนัวเอ่ยขึ้น นางลุกขึ้นไปนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของรถม้าซึ่งตรงกันข้ามกับที่ร่างสูงของบุรุษตาบอดนั่งอยู่ “เจ้าเป็นใครกัน” เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงแหบแห้ง ทุกคำพูดในยามนี้ของเขาถูกเอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก “ข้าก็คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่หลบพายุอยู่ที่อารามร้างเช่นกันกับท่านเมื่อ คืน” นางเอ่ยตอบกลับไปอย่างใจเย็น จู่ ๆ ครั้งหนึ่งยามที่นางมองไปทางเขา เมื่อครู่กับรู้สึกสงสารเวทนา เขาข

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 4 ผู้ร่วมทางคนใหม่

    ตอนที่ 4ผู้ร่วมทางคนใหม่ กว่าฝนจะหยุดตกลงมาก็เป็นเวลาเช้าวันใหม่แล้ว ขบวนเดินทางทั้งสองที่หยุดพักหลบฝนตั้งแต่เมื่อคืนต่างก็พากันเตรียมตัวที่จะออกเดินทางกันต่อแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งนัก ราวกับว่าเมื่อวานมิได้มีพายุฝนตกหนักมาก่อน ดั่งคำที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ท้องฟ้าเบื้องหน้าของนางในยามนี้งดงามมากจริง ๆ กลุ่มก้อนเมฆรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายกับปลาทองที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า “เสี่ยวหนิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท ที่กำลังตรวจดูสิ่งของที่ถูกลำเรียงขึ้นไปยังรถม้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “เจ้าคะ คุณหนู” นางขานรับคำคุณหนูของตนทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะเดินไปที่ทางด้านหน้าทางเข้าอารามที่คุณหนูของนางยืนอยู่ “บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ” “เจ้าลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ” สิ้นเสียงของคุณหนูที่เอ่ยออกมา เสี่ยวหนิงก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทันที ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ “บนท้องฟ้า เมฆปรากฏเป็นรูปปลาทอง เป็นมงคลนักเจ้าค่ะคุณหนู” “ข้ารู้แล้ว จึง

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 3 มุ่งหน้าสู่เป่ยจู

    ตอนที่ 3มุ่งหน้าสู่เป่ยจู เป็นเวลากว่าห้าวันมาแล้วที่พวกนางเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเป่ยจู ตลอดทางแม้ไม่ได้สะดวกสบายเท่าใดนักแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ท่านพ่อท่านแม่ส่งผู้คุ้มกันที่คุ้นชินกับการเดินทางและมีวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไว้ใจได้มาทั้งหมดห้าคนด้วยกัน โดยที่หนึ่งในห้าคนนี้นั้นยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเสี่ยวหนิงอีกด้วย พี่ชายของเสี่ยวหนิงผู้นี้มีชื่อว่าเสี่ยวชิง ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าในการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่านางเองก็คุ้นชินกับเสี่ยวชิงเป็นอย่างดี การเดินทางของนางในครั้งนี้จึงไม่มีสิ่งใดน่ากังวลใจ จนกระทั่งเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่อยู่ ๆ ก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักโดยไม่ให้พวกนางทันได้ตั้งตัว “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่พี่ชายบอกกับข้าว่า ข้างหน้าอีกไม่ไกลจะมีอารามร้างอยู่ พวกเราสามารถไปหลบฝนที่นั่นก่อนได้เจ้าคะ” หลิวซือนัวได้ฟังก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมา เพราะดูท่าแล้วฝนนี้คงจะไม่หยุดตกง่าย ๆ เป็นแน่ อีกทั้งถนนเรียบชายป่าที่มีต้นไม้มากมายเช่นนี้หากฝืนเดินทางต่อไปย่อมมีแต่อันตราย อย่างไรก็ต้อ

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 2 ข่าวลือหนาหู

    ตอนที่2ข่าวลือหนาหู หลายวันที่ผ่านมานี้ มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการมีปากเสียงกันระหว่างคุณหนูสกุลหลิวและคุณหนูสกุลอี้ บ้างลือกันไปว่าคุณหนูหลิวเกิดความริษยาต่อคุณหนูอี้เพราะคุณหนูอี้นั่นมีรูปโฉมงดงามกว่า บ้างก็ว่าเป็นเพราะคุณหนูหลิวอยากแสดงอำนาจในมือตนให้เป็นที่ประจักษ์และคุณหนูอี้นั้นก็กลายมาเป็นผู้รับเคราะห์กรรมไปโดยไร้ความผิด ผู้คนที่ได้ยินข่าวลือต่างพากันสงสารคุณหนูสกุลอี้ เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพวกผู้คนที่พากันสงสารคุณหนูสกุลอี้นั้นย่อมต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณหนูหลิวในทางที่ไม่ดี “คุณหนูเจ้าคะ ข่าวลือพวกนี้ต้องเป็นคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นผู้สร้างขึ้นแน่นอนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นางในยามนี้รู้สึกโมโหแทนคุณหนูของนางเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะออกไปป่าวประกาศในทุกคนรู้กันให้ทั่วเมือง ว่าแท้จริงแล้วคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นคนเช่นไร “ก็แค่ข่าวลือเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่นานผู้คนก็จะพากันลืมไปเอง” นางเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น มือก็พลิกดูแบบลายปักในมือตนด้วยทีท่านิ่งเฉย “นางจงใจทำให้ชื่อเสียงคุณหนูเสียหา

DMCA.com Protection Status