Home / All / ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง / ตอนที่ 3 มุ่งหน้าสู่เป่ยจู

Share

ตอนที่ 3 มุ่งหน้าสู่เป่ยจู

last update Last Updated: 2024-12-13 20:16:33

ตอนที่ 3

มุ่งหน้าสู่เป่ยจู

            เป็นเวลากว่าห้าวันมาแล้วที่พวกนางเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเป่ยจู ตลอดทางแม้ไม่ได้สะดวกสบายเท่าใดนักแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว

            เดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ท่านพ่อท่านแม่ส่งผู้คุ้มกันที่คุ้นชินกับการเดินทางและมีวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไว้ใจได้มาทั้งหมดห้าคนด้วยกัน โดยที่หนึ่งในห้าคนนี้นั้นยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเสี่ยวหนิงอีกด้วย  

            พี่ชายของเสี่ยวหนิงผู้นี้มีชื่อว่าเสี่ยวชิง ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าในการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่านางเองก็คุ้นชินกับเสี่ยวชิงเป็นอย่างดี การเดินทางของนางในครั้งนี้จึงไม่มีสิ่งใดน่ากังวลใจ จนกระทั่งเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่อยู่ ๆ ก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักโดยไม่ให้พวกนางทันได้ตั้งตัว

            “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่พี่ชายบอกกับข้าว่า ข้างหน้าอีกไม่ไกลจะมีอารามร้างอยู่ พวกเราสามารถไปหลบฝนที่นั่นก่อนได้เจ้าคะ”

            หลิวซือนัวได้ฟังก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมา เพราะดูท่าแล้วฝนนี้คงจะไม่หยุดตกง่าย ๆ เป็นแน่  อีกทั้งถนนเรียบชายป่าที่มีต้นไม้มากมายเช่นนี้หากฝืนเดินทางต่อไปย่อมมีแต่อันตราย อย่างไรก็ต้องหาที่หลบพักก่อนจึงจะปลอดภัยที่สุด

            เวลาต่อมาในที่สุดก็ดูเหมือนว่าพวกนางจะสามารถฝ่าสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายจนมาถึงอารามร้างได้สำเร็จ

           รถม้าหยุดลงครู่หนึ่งแล้ว ทว่ายังไม่มีวี่แววว่าเสี่ยวชิงจะมาช่วยพาพวกนางลงจากรถม้าเสียที ด้านนอกรถม้านอกจากเสียงของฝนที่กำลังตกลงมาแล้วพวกนางก็ไม่ได้ยินเสียงแปลกปลอมใด ๆ เลย จนหลิวซือนัวเกือบจะคิดไปแล้วว่าอาจจะเกิดอะไรผิดปกติขึ้นภายนอกก็ได้ หากไม่ใช่ว่าเสียงของเสี่ยวชิงดังขึ้นมาเสียก่อน

         “คุณหนู เชิญลงจากรถม้าได้แล้วขอรับ” เสียงของเสี่ยวชิงทำให้ความกังวลใจของหลิวซือนัวหายไปในที่สุด

         เสี่ยวหนิงประคองนางลงจากรถม้า โดยมีเสี่ยวชิงคอยกางร่มให้ในที่สุดพวกนางก็เข้ามาในโถงด้านหน้าของอารามได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

         “เมื่อครู่ เหมือนว่าข้าจะเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ด้วย มีผู้อื่นนอกจากพวกเราอยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรือ” นางเอ่ยถามเสี่ยวชิง

          “มีผู้มาหลบฝนก่อนหน้าพวกเราขอรับ เมื่อครู่ข้าน้อยได้ไปเจอพวกเขาแล้ว พบว่ากำลังจะไปที่เมืองเป่ยจูเช่นเดียวกันขอรับ”

           ในเมื่อเสี่ยวชิงตรวจสอบแล้ว นางก็เบาใจ จึงได้พยักหน้าให้เสี่ยวชิงนำทางเข้าไปยังโถงด้านในของอารามไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก เพราะรู้ดีว่าเสี่ยวชิงนั้นคงจะตรวจสอบคนเหล่านั้นแล้ว

            อารามแห่งนี้คงจะร้างมาหลายปีแล้ว เสี่ยวชิงบอกว่ามีเพียงโถงใหญ่ด้านในเท่านั้นที่พอจะเป็นที่หลบฝนและที่พักผ่อนสำหรับพวกเราในวันนี้ได้ ทว่าเนื่องจากมีผู้มาก่อนแล้ว พวกนางจึงทำได้เพียงแค่ขอแบ่งพื้นที่กับพวกเขาเท่านั้น

           ซึ่งหลิวซือนัวก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่แบ่งปันพื้นที่กันเท่านั้น เพราะว่าต่างฝ่ายต่างก็ประสบภัยตากพายุฝนมาเช่นเดียวกัน

         เมื่อมาถึงโถงด้านใน นางจึงได้เห็นกลุ่มคนสี่คนที่อยู่ด้านในก่อนแล้ว พวกเขาแต่ละคนดูนิ่งเฉยยิ่งนัก

         “รบกวนแล้ว” นางเอ่ยขึ้นเมื่อเดินผ่านพวกเขาเข้ามายังพื้นที่ว่างด้านในสุด

         “พวกท่านตามสะดวกเถอะขอรับ” บุรุษผู้หนึ่งที่มีท่าทีใจดีเอ่ยขึ้น อย่างมีมารยาท

          กลุ่มของพวกเขามีกันทั้งหมดสี่คนเป็นบุรุษสามและสตรีหนึ่งคนที่ดูห้าวหาญไม่ต่างกับบุรุษ อีกทั้งในมือนางก็กุมกระบี่อยู่ตลอดเวลา มิหนำซ้ำใบหน้าหวานนั้นยังดูเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างยิ่ง คาดว่านางคงจะเป็นหนึ่งในผู้คุ้มกันของบุรุษที่มีผ้าสีขาวคาดปิดตาอยู่ในตอนนี้   หลิวซือนัวมองสำรวจพวกเขาผ่านสายตาเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็ไม่ได้หันไปมองทางพวกเขาอีก

          เสี่ยวชิงและเสี่ยวหนิงช่วยกันนำฟางแห้งที่กองอยู่มาทำเป็นที่ให้นางนั่ง กองไฟที่ถูกจุดไว้กลางห้องโถงมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็เพียงพอให้ภายในโถงแห่งนี้พอจะมีแสงสว่างที่ทำให้มองเห็นได้อยู่บาง

         “พี่ชิง พี่เพิ่มขนาดกองไฟเสียหน่อยดีหรือไม่ กองเล็กแค่นั้นให้แสงสว่างไม่ทั่วถึงเท่าไหร่”

          ราวกับว่าเสี่ยวหนิงล่วงรู้ความคิดของนางจึงได้เอ่ยถามเสี่ยวชิงเช่นนี้

          “จุดมากว่านี้ไม่ได้ คุณชายของพวกเขาดวงตาบาดเจ็บ เกรงว่าหากกระทบแสงสว่างมากไปจะเป็นอันตรายยิ่งขึ้น เรื่องนี้พวกเขาบอกกล่าวข้ามาก่อนตั้งแต่ต้นแล้ว”

          “แต่ว่าคืนนี้ฝนตกอากาศเริ่มเย็นลงแล้ว หากไม่ก่อไฟเพิ่มเกรงว่าจะเป็นคุณหนูของพวกเราต่างหากที่รับไม่ไหว” เสี่ยวหนิงโต้กลับเสียงเบา เพื่อที่จะระวังไม่ให้พวกของคุณชายที่ตาบาดเจ็บนั้นได้ยินเข้า

          “ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ห่มผ้าให้หนาหน่อยก็ใช้ได้แล้ว” หลิวซือนัว เอ่ยบอกผู้ติดตามและสาวใช้คนสนิทของตนแทบจะให้ทันที  

          “แต่คุณหนู…” เสี่ยวหนิงเตรียมจะแย้งผู้เป็นนายของนาง ทว่าคุณหนู ผู้ดื้อดึงของนางกลับไม่เปิดโอกาสให้นางได้เอ่ยขัด ซ้ำยังชิงออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดขึ้นมาเสียก่อนอีกด้วย

           “เจ้านำผ้าห่มมาให้ข้าก็พอ คืนนี้อย่างไรก็ห้ามผู้คุ้มกันของเราก่อไฟเพิ่ม”

           ในเมื่อเป็นคำสั่งเด็ดขาดของคุณหนู เสี่ยวหนิงเองก็ไม่อาจขัด แม้จะอยากขัดเสียเท่าไหร่ก็ตาม  นางทำได้เพียงแค่เดินไปยังหีบผ้าห่มที่ถูกขนลงมาจากรถม้าเพื่อนำผ้าห่มมาให้คุณหนูตามที่นางสั่งเท่านั้น

             ขณะที่กลุ่มผู้มาใหม่กำลังวุ่นวาย ทว่ากลุ่มของพวกเขากับคุณชายกับเงียบสงบแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่คนเหล่านั้นพูดคุยกัน ทั้งที่พวกตนนั้นได้ยินอย่างชัดเจนนัก

             เพราะแม้จะเป็นเพียงเสียงพูดคุยอย่างบางเบาทว่าสำหรับผู้ที่เป็นวรยุทธ์เช่นพวกเขาแล้วนั้นย่อมมีประสาทการได้ยินเป็นอย่างดี ฉะนั้นเรื่องที่คนเหล่านั้นกระซิบพูดคุยกันเมื่อครู่พวกเขาล้วนได้ยินชัดเจน ทุกคำ ทุกประโยค

             ยิ่งประโยคที่คุณหนูผู้นั้นเอ่ยสั่งคนของนางอย่างเด็ดขาด พวกเขายิ่งได้ยินชัดเจนเต็มสองหู และคิดว่าคุณชาย อวี้หนานไห่ ของพวกเขาก็คงได้ยินชัดเจนเช่นกัน เพราะถึงแม้ยามนี้คุณชายของเขาจะบาดเจ็บที่ดวงตาและในช่วงที่บาดเจ็บไม่อาจจะใช้วรยุทธ์ได้ชั่วคราว

              ทว่าประโยคหนักแน่เมื่อครู่ของคุณหนูผู้นั้น คุณชายของพวกเขาก็คงได้ยินชัดอย่างแน่นอน

              ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่ คุณชายคงไม่หันมาสั่งให้เขานำชาล้ำค่า ราคาแพง ที่ช่วยให้อบอุ่นร่างกายได้เป็นอย่างดีไปให้พวกเขาหรอก

              “คุณหนู ทั้งที่ท่านให้ฮูหยินใหญ่จัดการข่าวลือของท่านโดยการเปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือคุณหนูอี้ที่จัดการสร้างเรื่องใส่ร้ายท่านให้ ตกเป็นหัวข้อนินทาว่าร้ายของผู้อื่นไปซะก็ได้ หากทำเช่นนั้นไปเสีย ยามนี่ท่านก็คงไม่ต้องมาตกระกำลำบากอยู่ที่นี่แล้วนะเจ้าคะ เหตุใดจึงไม่ยอมทำเช่นนั้นกันเล่าเจ้าคะ หรือว่าคุณหนูสงสารคุณหนูอี้ผู้นั้น”

               เสี่ยวหนิงเอ่ยถามออกมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก มือก็เอื้อมไปกระชับผ้าห่มที่คุณหนูของนางใช้ห่อตัวอยู่ในกระชับมิดชิดยิ่งขึ้น นางนั้นไม่เข้าใจความคิดของคุณหนูของนางเสียเลย แค่จัดการคนสกุลอี้นั้นไปก็จบแล้ว ด้วยอำนาจและความสามารถของสกุลหลิวเราในตอนนี้ การจะกระทำเรื่องนี้ก็เป็นแค่การกระทำง่าย ๆ เพียงเท่านั้น

             “ข้าสงสารนางอยู่นิดหน่อยจริง นั่นเป็นเพราะข้าเห็นว่านางยังเยาว์นัก แค่นี้นางก็คงจะอยู่ในสกุลอี้อย่างยากลำบากแล้ว ข้าไม่อยากทำให้นางหมดสิ้นหนทางไปจริง ๆ จึงได้ตั้งใจเหลือทางรอดไว้ให้นางบ้าง” เจ้าของน้ำเสียงนิ่งสงบเอ่ยขึ้นอย่างสบาย ๆ ราวกับว่าไม่ใช่ว่ากำลังพูดถึงผู้ที่ทำให้นางถูกลือไปต่าง ๆ นา ๆ

             “คุณหนู บ่าวนับถือท่านจริงๆเจ้าค่ะ คุณหนูช่างใจกว้างดุจสมุทร เมื่อครู่ ท่านกล่าวว่าคุณหนูสกุลอี้ผู้นั้นยังเยาว์ บ่าวว่าท่านกล่าวผิดแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูสกุลอี้ผู้นั้นผ่านพิธีปักปิ่นมาได้สองปีแล้ว นางโตกว่าคุณหนูสองปีเลยนะเจ้าคะ”

              "ช่างเถอะ คิดเสียว่าการเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อเปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน เอาไว้ถึงเมืองเป่ยจูเมื่อไหร่ พวกเรานายบ่าวก็พากันเที่ยวเล่นให้ทั่วไปเลยดีหรือไม่” หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นกลบเกลื่อน

              เพราะโลกก่อนนางอายุยี่สิบกว่าแล้ว ตอนนี้ก็มักจะคิดว่าตัวเองยังอายุเท่านั้นอยู่ทั้งที่ร่างนี้ของนางก็เพิ่งจะพ้นวัยสิบห้าหนาวไปได้ไม่นาน ในสายตาคนอื่นนางคือเด็กสาวที่เพิ่งจะเติบโต เป็นดอกไม้ที่เพิ่งเริ่มเบ่งบานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

             “คุณหนู ท่านอย่างเอาคำว่าเที่ยวเล่นสองคำนี้มาหลอกล่อบ่าวเลยเจ้าค่ะ บ่าวรู้ความจริงแล้วคุณหนูเพียงแค่ต้องการไปสำรวจตลาดและการค้าขายต่าง ๆ ที่เมืองเป่ยจูนั่นต่างหาก” ใช่ว่าสาวใช้คนสนิทอย่างนางจะไม่รู้ว่า คุณหนูของนางนั้นชอบสำรวจ ชอบมองหาสิ่งแปลกใหม่รอบ ๆ ตัวเสียเมื่อไหร่กัน ครั้นเอ่ยว่าเที่ยวเล่นแท้จริงก็คือไปดูศึกษางานทั้งสิ้น

             “เสี่ยวหนิง ข้าให้สัญญากับเจ้า ครั้งนี้จะพาเจ้าไปชิมของอร่อยให้ทั่วเมืองเป่ยจูเลย” หลิวซือนัวกล่าวขึ้น นางอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีที่แสดงออกมาของสาวใช้คนสนิทของนาง

             “คุณหนูให้สัญญาแล้วนะเจ้าคะ เสี่ยวหนิงจดจำเอาไว้อย่างขึ้นใจแล้วด้วย หากท่านผิดสัญญาเสี่ยวหนิงจะร้องไห้ต่อหน้าท่าน จะร้องจนเหนื่อยตายไปเลยเจ้าค่ะ”

              “ข้าไม่มีทางผิดสัญญาแน่ อย่างได้ข่มขู่กันนักเลยเสี่ยวหนิง” นางเอ่ยพลางมองสาวใช้คนสนิทของนางอย่างนึกเอ็นดูอยู่มากทีเดียว

              จะว่าไปแล้วเสี่ยวหนิงก็ไม่ต่างจากมารดาของนางเสียเท่าไหร่เลยในเรื่อง หนึ่งร้องไห้ สองขู่ว่าจะตายเช่นนี้

             “เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะไปดูต้มชามาให้คุณหนูซะหน่อยนะเจ้าคะ ด้านนอกพี่ชายบ่าวน่าจะจัดการก่อไฟต้มน้ำจนได้ที่แล้ว”

             “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปเถอะ”

               เสี่ยวหนิงลุกขึ้นเดินตรงไปที่ผู้ติดตามสองคนที่ยื่นอยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งพวกเขาเป็นคนที่พี่ชายของนางทิ้งเอาไว้ให้คอยดูแลความปลอดภัยของคุณหนูระหว่างที่พี่ชายของนางออกไปดูแลตรวจตรารถม้ารวมไปถึงหาพื้นที่ในอารามที่พอจะก่อไฟต้มน้ำได้กับผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง

              “พี่ชายทั้งสอง ข้าจะออกไปที่ด้านนอกเสียหน่อย พวกท่านดูคุณหนูเอาไว้ให้ดีนะเจ้าคะ”

               “เจ้าไปเถอะไม่ต้องห่วง”

                 ผ่านไปไม่นานสาวใช้คนสนิทของนางก็กลับมาพร้อมกับชาร้อนกาหนึ่ง ทันทีที่ชาถ้วยหนึ่งถูกยื่นมาให้นาง กลิ่นของชาที่แตกต่างกับชาหลงจิ่งที่นางดื่มเป็นประจำ

                “นี่ไม่ใช่ชาหลงจิ่งหรอกหรือ” นางเอ่ยถามเสี่ยวหนิงทันที พลางหยิบถ้วยชาในมือตนขึ้นมาสูดดมกลิ่นของมันด้วยความสงสัย

              “ไม่ใช่ชาหลงจิ่งเจ้าค่ะ แต่เป็นชาสมุนไพรที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้ดีเจ้าค่ะ”

               “ชาสมุนไพรเช่นนั้นหรอก ขมหรือไม่” ซือนัวถามขึ้นอีก นางในตอนนี้รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ดีที่นางยังไม่ได้ดื่มชาเข้าไป

               “ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นชาสมุนไพร แต่ก็ไม่ได้มีรสขมเจ้าค่ะ บ่าวลองชิมดูแล้วไม่ข่มแน่นอนเจ้าค่ะ คุณหนู ท่านลองจิบดูสิเจ้าคะ” เสี่ยวหนิงเอ่ยเสริมขึ้น ความจริงแล้วนางก็ตั้งใจออกไปชงชาหลงจิ่งที่คุณหนูชอบกลับมาอยู่หรอก แต่อยู่ ๆ หัวหน้าผู้คุ้มกันของคุณชายผู้นั้นดันเอาชาสมุนไพรนี่ที่มีสรรพคุณดียิ่งมาให้เสียก่อน

               เมื่อนางกับพี่ชายลองตรวจสอบชาดูแล้วก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ จึงได้ยกเข้ามาให้คุณหนูของนางได้ดื่มเพื่ออบอุ่นร่างกาย

               หลิวซือนัวมองถ้วยชาในมือนางอีกครั้งก่อน จะก้มลงไปเป่าเบา ๆ ให้ชาในมือพอจะคลายร้อน แล้วจึงลองจิบชาในถ้วยดู

              รสชาติฝาดเล็กน้อยทว่าเมื่อกลืนลงคอไปแล้วกับรู้สึกหวาน ไม่ได้มีรสขมแต่อย่างใด นี่คือรสชาติที่นางได้รับรสเมื่อครั้งจิบชาไปอึกหนึ่ง

            ไม่ขมทว่าไม่ได้หอมหวานเช่นดังรสชาติชาที่นางชื่นชอบ หลิวซือนัวจึงไม่ค่อยพอใจกับชากานี้เท่าไหร่นัก

             “เสี่ยวหนิง เจ้าไปชงชาหลงจิ่งมาแทนได้หรือไม่”

             “แต่ชาสมุนไพรกานี้ยังไม่หมดเลยนะเจ้าค่ะ ทำเช่นนั้นน่าเสียดายยิ่ง อีกอย่าง หากทำเช่นนี้อาจจะทำให้ผู้อื่นเสียน้ำใจเอาได้นะเจ้าคะ”

            “ผู้อื่น ผู้ใดที่จะเสียน้ำใจกัน เจ้าหรอ?” เจ้าของร่างอวบอิ่มเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ การที่นางจะขอชากาใหม่มันยากเย็นมากอย่างนั้นเลยหรือ

            “ย่อมไม่ใช่บ่าว แต่เป็นทางด้านฝั่งคุณชายตรงนั้นต่างหากเล่าเจ้าคะ” นางเอ่ยพลางหันไปมองกลุ่มคนที่นั่งอยู่อีกฝากหนึ่ง “เห็นว่าชาสมุนไพรนี้ ทั้งแพงทั้งหาซื้อได้ยากนัก ยังไม่รวมไปถึงสรรพคุณดี ๆ ของมันอีกนะเจ้าคะบ่าวทิ้งไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ คุณหนูดื่มให้หมดเถอะนะเจ้าคะ”

            ที่แท้ชานี่ก็เป็นน้ำใจที่ผู้อื่นที่หยิบยื่นให้นี่เอง หลิวซือนัวเมื่อได้รู้เรื่องทั้งหมดแล้วแน่นอนว่านางย่อมไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่ายที่มอบสิ่งของล้ำค่ามาให้ นางสั่งให้สาวใช้คนสนิทรินชาให้นางอีกถ้วยหนึ่งและนั่งจิบเรื่อยๆจนหมดถ้วย ไม่ได้ดึงดันหรือเอ่ยถึงเรื่องที่จะขอเปลี่ยนชาอีก

              อีกทั้งยังแบ่งชาให้เสี่ยวหนิงและคนอื่นในขบวนของนางให้ได้ดื่มชานี้เพื่ออบอุ่นร่างกายกันทุกคนด้วย

Related chapters

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 4 ผู้ร่วมทางคนใหม่

    ตอนที่ 4ผู้ร่วมทางคนใหม่ กว่าฝนจะหยุดตกลงมาก็เป็นเวลาเช้าวันใหม่แล้ว ขบวนเดินทางทั้งสองที่หยุดพักหลบฝนตั้งแต่เมื่อคืนต่างก็พากันเตรียมตัวที่จะออกเดินทางกันต่อแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งนัก ราวกับว่าเมื่อวานมิได้มีพายุฝนตกหนักมาก่อน ดั่งคำที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ท้องฟ้าเบื้องหน้าของนางในยามนี้งดงามมากจริง ๆ กลุ่มก้อนเมฆรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายกับปลาทองที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า “เสี่ยวหนิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท ที่กำลังตรวจดูสิ่งของที่ถูกลำเรียงขึ้นไปยังรถม้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “เจ้าคะ คุณหนู” นางขานรับคำคุณหนูของตนทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะเดินไปที่ทางด้านหน้าทางเข้าอารามที่คุณหนูของนางยืนอยู่ “บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ” “เจ้าลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ” สิ้นเสียงของคุณหนูที่เอ่ยออกมา เสี่ยวหนิงก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทันที ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ “บนท้องฟ้า เมฆปรากฏเป็นรูปปลาทอง เป็นมงคลนักเจ้าค่ะคุณหนู” “ข้ารู้แล้ว จึง

    Last Updated : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง     ตอนที่ 5 น้ำใจของนาง

    ตอนที่ 5น้ำใจของนาง อาจเป็นเพราะยาที่กู่เหอให้คุณชายของเขาทานไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ทำให้มือหนาที่เคยกุมมือของนางเอาไว้แน่ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงทว่าเขาก็ยังคงจับมือของนางเอาไว้อยู่ หลิวซือนัวค่อย ๆ ดึงมือของนางออกจากมือใหญ่ของเขาอย่างช้า ๆ ครั้นอยู่ ๆ เจ้าของมือหนาที่เคยเกาะกุมมือนางเอาไว้แน่นราวปอกเหล็ก ก็สะบัดมือนางออกทันที ทั้งยังผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วทั้งที่นางสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า เวลานี้เขาไร้เรี่ยวแรงเพียงใดแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมานั่งจนได้ “ท่านรีบร้อนลุกขึ้นมาเช่นนี้ ร่างกายท่านอาจจะยังรับไม่ไหว หากหมดสติลงไปอีก ข้าว่าคงจะไม่ดีแน่” หลิวซือนัวเอ่ยขึ้น นางลุกขึ้นไปนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของรถม้าซึ่งตรงกันข้ามกับที่ร่างสูงของบุรุษตาบอดนั่งอยู่ “เจ้าเป็นใครกัน” เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงแหบแห้ง ทุกคำพูดในยามนี้ของเขาถูกเอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก “ข้าก็คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่หลบพายุอยู่ที่อารามร้างเช่นกันกับท่านเมื่อ คืน” นางเอ่ยตอบกลับไปอย่างใจเย็น จู่ ๆ ครั้งหนึ่งยามที่นางมองไปทางเขา เมื่อครู่กับรู้สึกสงสารเวทนา เขาข

    Last Updated : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 6 โรงเตี้ยมกลางป่า

    ตอนที่ 6โรงเตี้ยมกลางป่า "บ่าวทำตามที่คุณชายสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" กู่หรูรายงานผู้เป็นนายของนาง "คุณหนูหลิวยังฝากบ่าวมาบอกท่านอีกว่า ระหว่างท่านกับนางไม่ได้มีผู้ใดติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณใด ๆ ต่อกันอีกเจ้าค่ะ" กู่หรูเมื่อรายงานเรื่องทั้งหมดแล้ว ครั้นเมื่อเห็นคุณชายของนางยังคงนิ่งเงียบอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนควรออกไปได้แล้ว นางจึงโค้งนำนับครั้งหนึ่งก่อนจะออกจากห้องพักของผู้เป็นนายไป ปล่อยให้กู่เหอพี่ชายนางอยู่ค่อยรับใช้คุณชายต่อเพียงผู้เดียว เหตุที่อวี้หนานไห่นิ่งเงียบเช่นนี้เพราะเขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขารู้ดีว่าคุณหนูหลิวที่กู่หรูเอ่ยถึงเมื่อครู่นางเข้าใจดีว่าเขาต้องการสิ่งใดจึงให้คนนำชาชั้นดีไปให้นาง ตั้งแต่ที่วัดร้าง เขาเองด้วยความที่ระวังตัวมาก จึงได้ให้กู่เหอนำชาสมุนไพรชั้นดีไปให้อีกขบวนหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ของเขาและยอมที่จะทนหนาว ทุกคนในขบวนของคุณหนูหลิวไม่มีใครใส่ใจหรือตกใจกับชาชั้นดีเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาต่างก็ถูกฝึกมาอย่างดี คุณหนูหลิวผู้นี้ก็ไม่ใช่สายของโจรป่าที่กำลังระบาดหนักอยู

    Last Updated : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 7 ปราการด่านสุดท้าย

    ตอนที่ 7ปราการด่านสุดท้าย "รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ "หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น "ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน

    Last Updated : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 8 ไม่ไร้หนทาง

    ตอนที่ 8ไม่ไร้หนทาง นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ" เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป

    Last Updated : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 9 หมู่บ้านแปลกประหลาด

    ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว

    Last Updated : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 10 ไม่นึกเสียใจ

    ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย

    Last Updated : 2024-12-13
  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    บทนำ เริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง

    บทนำ เริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง ความทรงจำอันแสนเศร้า การใช้ชีวิตอย่างลำบากยากเข็น ตลอดระยะเวลายี่สิบห้าปีที่ผ่านมาได้จบลงแล้ว จบลงด้วยความน่าเวทนาอย่างสุดแสน แม้จะเลื่อนรางเต็มที ทว่านางกลับยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้อย่างแจ่มชัด วันนั้นเป็นวันที่มีฝนตกลงมาในช่วงค่ำ นางจำได้ว่าในขณะที่กำลังรอข้ามถนนหลังจากเพิ่งเลิกงาน จู่ ๆ ก็มีรถพุ่งเข้ามาชนนางจนเสียชีวิต หยาดฝนที่ตกลงมาเป็นสายรวมตัวกันกลายเป็นแอ่งน้ำที่ไหลนองอยู่เต็มพื้น นางจำได้ดีว่าเลือดในกายของนางไหลรวมไปกับน้ำสกปรกเหล่านั้นมากมายเพียงใด มันมากพอที่ทั่วทั้งบริเวณนั้นจะเต็มไปด้วยเลือดแดงฉานน่าหวาดกลัว ร่างของนางนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นที่ทั้งเย็นทั้งแข็งและเปียกชื้น เม็ดฝน เม็ดแล้วเม็ดเล่าตกลงมากระทบใส่ร่างของนางจนรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งตัว นางในยามนั้นสิ้นใจอย่างอเนจอนาถยิ่ง แต่จิตสุดท้ายกลับรู้สึกโกรธแค้นในโชคชะตาของตนนั้นเป็นที่สุด สวรรค์ให้นางเกิดเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องทำงานหนักสู้ชีวิตอย่างอยากลำบากก็ ช่างเถอะ ไฉนจึงต้องให้นางมาตายเช่นนี้ด้วย ทั้งชีวิตนี้แสนเศร้านักได

    Last Updated : 2024-12-13

Latest chapter

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 10 ไม่นึกเสียใจ

    ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 9 หมู่บ้านแปลกประหลาด

    ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 8 ไม่ไร้หนทาง

    ตอนที่ 8ไม่ไร้หนทาง นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ" เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 7 ปราการด่านสุดท้าย

    ตอนที่ 7ปราการด่านสุดท้าย "รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ "หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น "ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 6 โรงเตี้ยมกลางป่า

    ตอนที่ 6โรงเตี้ยมกลางป่า "บ่าวทำตามที่คุณชายสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" กู่หรูรายงานผู้เป็นนายของนาง "คุณหนูหลิวยังฝากบ่าวมาบอกท่านอีกว่า ระหว่างท่านกับนางไม่ได้มีผู้ใดติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณใด ๆ ต่อกันอีกเจ้าค่ะ" กู่หรูเมื่อรายงานเรื่องทั้งหมดแล้ว ครั้นเมื่อเห็นคุณชายของนางยังคงนิ่งเงียบอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนควรออกไปได้แล้ว นางจึงโค้งนำนับครั้งหนึ่งก่อนจะออกจากห้องพักของผู้เป็นนายไป ปล่อยให้กู่เหอพี่ชายนางอยู่ค่อยรับใช้คุณชายต่อเพียงผู้เดียว เหตุที่อวี้หนานไห่นิ่งเงียบเช่นนี้เพราะเขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขารู้ดีว่าคุณหนูหลิวที่กู่หรูเอ่ยถึงเมื่อครู่นางเข้าใจดีว่าเขาต้องการสิ่งใดจึงให้คนนำชาชั้นดีไปให้นาง ตั้งแต่ที่วัดร้าง เขาเองด้วยความที่ระวังตัวมาก จึงได้ให้กู่เหอนำชาสมุนไพรชั้นดีไปให้อีกขบวนหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ของเขาและยอมที่จะทนหนาว ทุกคนในขบวนของคุณหนูหลิวไม่มีใครใส่ใจหรือตกใจกับชาชั้นดีเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาต่างก็ถูกฝึกมาอย่างดี คุณหนูหลิวผู้นี้ก็ไม่ใช่สายของโจรป่าที่กำลังระบาดหนักอยู

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง     ตอนที่ 5 น้ำใจของนาง

    ตอนที่ 5น้ำใจของนาง อาจเป็นเพราะยาที่กู่เหอให้คุณชายของเขาทานไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ทำให้มือหนาที่เคยกุมมือของนางเอาไว้แน่ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงทว่าเขาก็ยังคงจับมือของนางเอาไว้อยู่ หลิวซือนัวค่อย ๆ ดึงมือของนางออกจากมือใหญ่ของเขาอย่างช้า ๆ ครั้นอยู่ ๆ เจ้าของมือหนาที่เคยเกาะกุมมือนางเอาไว้แน่นราวปอกเหล็ก ก็สะบัดมือนางออกทันที ทั้งยังผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วทั้งที่นางสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า เวลานี้เขาไร้เรี่ยวแรงเพียงใดแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมานั่งจนได้ “ท่านรีบร้อนลุกขึ้นมาเช่นนี้ ร่างกายท่านอาจจะยังรับไม่ไหว หากหมดสติลงไปอีก ข้าว่าคงจะไม่ดีแน่” หลิวซือนัวเอ่ยขึ้น นางลุกขึ้นไปนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของรถม้าซึ่งตรงกันข้ามกับที่ร่างสูงของบุรุษตาบอดนั่งอยู่ “เจ้าเป็นใครกัน” เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงแหบแห้ง ทุกคำพูดในยามนี้ของเขาถูกเอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก “ข้าก็คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่หลบพายุอยู่ที่อารามร้างเช่นกันกับท่านเมื่อ คืน” นางเอ่ยตอบกลับไปอย่างใจเย็น จู่ ๆ ครั้งหนึ่งยามที่นางมองไปทางเขา เมื่อครู่กับรู้สึกสงสารเวทนา เขาข

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 4 ผู้ร่วมทางคนใหม่

    ตอนที่ 4ผู้ร่วมทางคนใหม่ กว่าฝนจะหยุดตกลงมาก็เป็นเวลาเช้าวันใหม่แล้ว ขบวนเดินทางทั้งสองที่หยุดพักหลบฝนตั้งแต่เมื่อคืนต่างก็พากันเตรียมตัวที่จะออกเดินทางกันต่อแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งนัก ราวกับว่าเมื่อวานมิได้มีพายุฝนตกหนักมาก่อน ดั่งคำที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ท้องฟ้าเบื้องหน้าของนางในยามนี้งดงามมากจริง ๆ กลุ่มก้อนเมฆรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายกับปลาทองที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า “เสี่ยวหนิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท ที่กำลังตรวจดูสิ่งของที่ถูกลำเรียงขึ้นไปยังรถม้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “เจ้าคะ คุณหนู” นางขานรับคำคุณหนูของตนทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะเดินไปที่ทางด้านหน้าทางเข้าอารามที่คุณหนูของนางยืนอยู่ “บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ” “เจ้าลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ” สิ้นเสียงของคุณหนูที่เอ่ยออกมา เสี่ยวหนิงก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทันที ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ “บนท้องฟ้า เมฆปรากฏเป็นรูปปลาทอง เป็นมงคลนักเจ้าค่ะคุณหนู” “ข้ารู้แล้ว จึง

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 3 มุ่งหน้าสู่เป่ยจู

    ตอนที่ 3มุ่งหน้าสู่เป่ยจู เป็นเวลากว่าห้าวันมาแล้วที่พวกนางเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเป่ยจู ตลอดทางแม้ไม่ได้สะดวกสบายเท่าใดนักแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ท่านพ่อท่านแม่ส่งผู้คุ้มกันที่คุ้นชินกับการเดินทางและมีวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไว้ใจได้มาทั้งหมดห้าคนด้วยกัน โดยที่หนึ่งในห้าคนนี้นั้นยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเสี่ยวหนิงอีกด้วย พี่ชายของเสี่ยวหนิงผู้นี้มีชื่อว่าเสี่ยวชิง ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าในการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่านางเองก็คุ้นชินกับเสี่ยวชิงเป็นอย่างดี การเดินทางของนางในครั้งนี้จึงไม่มีสิ่งใดน่ากังวลใจ จนกระทั่งเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่อยู่ ๆ ก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักโดยไม่ให้พวกนางทันได้ตั้งตัว “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่พี่ชายบอกกับข้าว่า ข้างหน้าอีกไม่ไกลจะมีอารามร้างอยู่ พวกเราสามารถไปหลบฝนที่นั่นก่อนได้เจ้าคะ” หลิวซือนัวได้ฟังก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมา เพราะดูท่าแล้วฝนนี้คงจะไม่หยุดตกง่าย ๆ เป็นแน่ อีกทั้งถนนเรียบชายป่าที่มีต้นไม้มากมายเช่นนี้หากฝืนเดินทางต่อไปย่อมมีแต่อันตราย อย่างไรก็ต้อ

  • ประดุจหนึ่งหอมหวานปานน้ำผึ้ง    ตอนที่ 2 ข่าวลือหนาหู

    ตอนที่2ข่าวลือหนาหู หลายวันที่ผ่านมานี้ มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการมีปากเสียงกันระหว่างคุณหนูสกุลหลิวและคุณหนูสกุลอี้ บ้างลือกันไปว่าคุณหนูหลิวเกิดความริษยาต่อคุณหนูอี้เพราะคุณหนูอี้นั่นมีรูปโฉมงดงามกว่า บ้างก็ว่าเป็นเพราะคุณหนูหลิวอยากแสดงอำนาจในมือตนให้เป็นที่ประจักษ์และคุณหนูอี้นั้นก็กลายมาเป็นผู้รับเคราะห์กรรมไปโดยไร้ความผิด ผู้คนที่ได้ยินข่าวลือต่างพากันสงสารคุณหนูสกุลอี้ เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพวกผู้คนที่พากันสงสารคุณหนูสกุลอี้นั้นย่อมต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณหนูหลิวในทางที่ไม่ดี “คุณหนูเจ้าคะ ข่าวลือพวกนี้ต้องเป็นคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นผู้สร้างขึ้นแน่นอนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นางในยามนี้รู้สึกโมโหแทนคุณหนูของนางเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะออกไปป่าวประกาศในทุกคนรู้กันให้ทั่วเมือง ว่าแท้จริงแล้วคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นคนเช่นไร “ก็แค่ข่าวลือเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่นานผู้คนก็จะพากันลืมไปเอง” นางเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น มือก็พลิกดูแบบลายปักในมือตนด้วยทีท่านิ่งเฉย “นางจงใจทำให้ชื่อเสียงคุณหนูเสียหา

DMCA.com Protection Status