ตอนที่2
ข่าวลือหนาหู
หลายวันที่ผ่านมานี้ มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการมีปากเสียงกันระหว่างคุณหนูสกุลหลิวและคุณหนูสกุลอี้ บ้างลือกันไปว่าคุณหนูหลิวเกิดความริษยาต่อคุณหนูอี้เพราะคุณหนูอี้นั่นมีรูปโฉมงดงามกว่า บ้างก็ว่าเป็นเพราะคุณหนูหลิวอยากแสดงอำนาจในมือตนให้เป็นที่ประจักษ์และคุณหนูอี้นั้นก็กลายมาเป็นผู้รับเคราะห์กรรมไปโดยไร้ความผิด
ผู้คนที่ได้ยินข่าวลือต่างพากันสงสารคุณหนูสกุลอี้ เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพวกผู้คนที่พากันสงสารคุณหนูสกุลอี้นั้นย่อมต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณหนูหลิวในทางที่ไม่ดี
“คุณหนูเจ้าคะ ข่าวลือพวกนี้ต้องเป็นคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นผู้สร้างขึ้นแน่นอนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นางในยามนี้รู้สึกโมโหแทนคุณหนูของนางเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะออกไปป่าวประกาศในทุกคนรู้กันให้ทั่วเมือง ว่าแท้จริงแล้วคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นคนเช่นไร
“ก็แค่ข่าวลือเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่นานผู้คนก็จะพากันลืมไปเอง” นางเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น มือก็พลิกดูแบบลายปักในมือตนด้วยทีท่านิ่งเฉย
“นางจงใจทำให้ชื่อเสียงคุณหนูเสียหายนะเจ้าคะ คุณหนู ท่านนิ่งเฉยเช่นนี้ คุณหนูอี้นั่นคงได้ใจไปไม่น้อยแล้ว”
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางได้ใจไปเถิด อย่างไรเสียนี่ก็คงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางพอจะตอบโต้ข้าได้บ้าง”
“แต่ว่าคุณหนู…” ยังไม่ทันที่เสี่ยวหนิงจะได้เอ่ยต่อ คุณหนูของนางก็โบกมือไล่นางออกไป ไม่ให้อยู่รบกวนการทำงานของนางอีก
เสี่ยวหนิงทำได้เพียง เก็บกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะก้าวออกไปด้านนอกตามคำสั่งคุณหนูของนางอย่างไม่เต็มใจนัก
ยิ่งได้ยินคำตอบขอบคุณหนู เสี่ยวหนิงก็ยิ่งรู้สึกโมโหมากขึ้น เหตุใดคุณหนูของนางถึงได้นิ่งเฉยได้เช่นนี้กัน เพราะหากเป็นนางแล้วล่ะก็ ไม่ว่ายังไงก็ควรจะตอบโต้กลับไปบ้างจึงจะถูก จะมานิ่งเฉยยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเช่นนี้ได้อย่างไร
หลังจากที่เสี่ยวหนิงออกไปแล้ว ยามนี้ในห้องจึงเหลือเพียงหลิวซือนัวเพียงผู้เดียว เจ้าของร่างอวบอิ่มวางแบบผ้าในมือลง ก่อนจะมองไปยังทางที่สาวใช้คนสนิทของนางเดินออกไปด้วยความไม่พอใจเมื่อครู่นี้
นางรู้ว่าเสี่ยวหนิงนั้นไม่ค่อยพอใจที่นางไม่ตอบโต้คุณหนูอี้ ทว่าเรื่องที่ไม่ตอบโต้สิ่งใดนั้น เพราะว่านางตั้งใจให้คุณหนูอี้ผู้นั้นเห็นว่านางไม่สนใจหรือถือโกรธเพียงเรื่องที่ถือว่าเล็กน้อยเช่นนี้ หากแต่นางสนใจในเรื่องของกิจการมากกว่าและเห็นเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
อีกอย่างเรื่องการจบการค้ากับสกุลอี้ก็ถือว่าเป็นบทเรียนมากพอสำหรับคุณหนูอี้ผู้นั้นแล้ว
ในเมื่อได้ให้บทเรียนไปแล้วนางก็ควรทำใจกว้างให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ ที่ไม่สมควรมั่วแต่เสียเวลาไปกับการคิดเล็กคิดน้อย
หลิวซือนัวนั้นไม่สนใจข่าวลือพวกนั้นก็จริง ทว่านางกับลืมไปเสียสนิทว่านอกจากเสี่ยวหนิงนั้นก็ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่สนใจข่าวลือเกี่ยวกับตัวนางเป็นอย่างมาก และเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องนี้ยิ่งกว่าเสี่ยวหนิงเป็นร้อยเท่าพันเท่าอยู่อีกผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นก็คือ หลิวฮูหยิน ท่านแม่ของนางนั้นเอง และท่านแม่ก็คือต้นเหตุที่ทำให้นางต้องมาอยู่ในรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองเป่ยจูในขณะนี้
ย้อนกลับไปเมื่อสองวันก่อน
เสียงร่ำไห้ดังออกมาถึงด้านนอกโถงรับรองของเรือนใหญ่ของสกุลหลิว แน่นอนว่าเจ้าของเสียงร่ำไห้นี้คือผู้ใดนั้นหลิวซือนัวสามารถรับรู้ได้ในทันที
นอกจากท่านแม่ของนางแล้วยังจะเป็นผู้ใดไปได้อีกเล่า นางก้าวเท้าให้เร็วขึ้นอีกระดับหนึ่งเพื่อที่จะได้เข้าไปในโถงด้านในให้ได้เร็วยิ่งขึ้น และจะได้รู้ว่าด้านในเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นกันแน่ ท่านแม่นางถึงได้ร้องห่มร้องไห้เสียงดังไปทั่วจวนเช่นนี้
“ท่านแม่ ท่านร้องไห้ทำไมกันเจ้าคะ บอกให้นัวเอ๋อร์ รู้ได้หรือไม่เจ้าคะท่านแม่” นางคุกเข่าลงกับพื้นเบื้องหน้ามารดาตน มือก็เอื้อมไปจับมือของมารดามากุมเอาไว้อย่างนุ่มนวล
“ข้างนอกมีข่าวลือเรื่องของเจ้าหนาหูทีเดียว เจ้ารู้หรือไม่” หลิวฮูหยินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“แค่เพียงข่าวลือเท่านั้น ไม่นานผู้คนก็ลืมไปเองเจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย”
“เรื่องของเจ้าแม่ไม่ใส่ใจได้หรือ แม่ทำไม่ได้หรอกนะนัวเอ๋อร์” เจ้าของนัยน์ตาและน้ำเสียงแสนเศร้าในยามนี้ตัดพ้อขึ้น
“ท่านแม่”
“เกิดข่าวลือเช่นนี้ขึ้น เรื่องแต่งงานของเจ้าต่อจากนี้ก็คงไม่ง่ายแล้ว”
อ่า ในที่สุดนางก็ได้รู้สาเหตุที่แท้จริงของท่านแม่แล้ว ที่จริงเรื่องที่ท่านแม่เป็นห่วงหาใช่ข่าวลือข้างนอกนั้นไม่ แต่กังวลเรื่องแต่งงานของนางที่อาจจะกระทบในภายหน้าต่างหาก
“ท่านแม่ ลูกเพิ่งสิบห้าเท่านั้น ยังอยากอยู่กับท่านพ่อท่านแม่เช่นนี้ไปอีกหลายปีเจ้าค่ะ พอถึงเวลานั้นคงจะไม่มีผู้ใดจำข่าวลือที่เคยมีได้แล้วเจ้าค่ะ ไม่สู้ให้เวลาเป็นสิ่งแก้ปัญหาทุกอย่าง จากนี้พวกเราก็แค่รอผลลัพธ์ของเวลาก็พอนะเจ้าคะ”
“ผลลัพธ์ของเวลา เกรงว่ามารดาเช่นข้าจะทนรอไม่ไหว!!!”
หลังจากนั้นนางก็ถูกสั่งให้เตรียมตัวเดินทางลงใต้ไปบ้านพี่ใหญ่ทันที อีกทั้งท่านแม่ยังกำชับมาอีกว่าหากไม่มีจดหมายเรียกตัวกลับ ก็ห้ามนางกลับมาเองตามอำเภอใจเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นมารดาของนางจะร้องไห้จนขาดใจ และจะสิ้นลมต่อหน้าให้นางดู
หลิวซือนัวนั้นแม้จะไม่ได้อยากไปเท่าใดนัก ทว่านางในฐานะบุตรสาวย่อมไม่อาจเมินเฉยต่อคำสั่งของท่านแม่ได้ นางจึงได้ตัดสินใจออกเดินทางตามที่ท่านแม่สั่ง
อีกอย่างที่เมืองเป่ยจูที่พี่ใหญ่นางไปเปิดร้านสาขาอยู่ที่นั่นก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองการค้าขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ แน่นอนว่านางไปที่นั่นย่อมมีโอกาสพบเห็นผ้าใหม่ ๆ แปลกตา อีกทั้งสิ้นค้าแปลกใหม่อื่น ๆ อีกมากมาย การไปเป่ยจูครั้งนี้ดูแล้วน่าจะได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อยทีเดียว
นางจะถือว่านี่เป็นการท่องเที่ยวก็แล้วกัน
ตอนที่ 3มุ่งหน้าสู่เป่ยจู เป็นเวลากว่าห้าวันมาแล้วที่พวกนางเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเป่ยจู ตลอดทางแม้ไม่ได้สะดวกสบายเท่าใดนักแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ท่านพ่อท่านแม่ส่งผู้คุ้มกันที่คุ้นชินกับการเดินทางและมีวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไว้ใจได้มาทั้งหมดห้าคนด้วยกัน โดยที่หนึ่งในห้าคนนี้นั้นยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเสี่ยวหนิงอีกด้วย พี่ชายของเสี่ยวหนิงผู้นี้มีชื่อว่าเสี่ยวชิง ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าในการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่านางเองก็คุ้นชินกับเสี่ยวชิงเป็นอย่างดี การเดินทางของนางในครั้งนี้จึงไม่มีสิ่งใดน่ากังวลใจ จนกระทั่งเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่อยู่ ๆ ก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักโดยไม่ให้พวกนางทันได้ตั้งตัว “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่พี่ชายบอกกับข้าว่า ข้างหน้าอีกไม่ไกลจะมีอารามร้างอยู่ พวกเราสามารถไปหลบฝนที่นั่นก่อนได้เจ้าคะ” หลิวซือนัวได้ฟังก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมา เพราะดูท่าแล้วฝนนี้คงจะไม่หยุดตกง่าย ๆ เป็นแน่ อีกทั้งถนนเรียบชายป่าที่มีต้นไม้มากมายเช่นนี้หากฝืนเดินทางต่อไปย่อมมีแต่อันตราย อย่างไรก็ต้อ
ตอนที่ 4ผู้ร่วมทางคนใหม่ กว่าฝนจะหยุดตกลงมาก็เป็นเวลาเช้าวันใหม่แล้ว ขบวนเดินทางทั้งสองที่หยุดพักหลบฝนตั้งแต่เมื่อคืนต่างก็พากันเตรียมตัวที่จะออกเดินทางกันต่อแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งนัก ราวกับว่าเมื่อวานมิได้มีพายุฝนตกหนักมาก่อน ดั่งคำที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ท้องฟ้าเบื้องหน้าของนางในยามนี้งดงามมากจริง ๆ กลุ่มก้อนเมฆรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายกับปลาทองที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า “เสี่ยวหนิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท ที่กำลังตรวจดูสิ่งของที่ถูกลำเรียงขึ้นไปยังรถม้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “เจ้าคะ คุณหนู” นางขานรับคำคุณหนูของตนทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะเดินไปที่ทางด้านหน้าทางเข้าอารามที่คุณหนูของนางยืนอยู่ “บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ” “เจ้าลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ” สิ้นเสียงของคุณหนูที่เอ่ยออกมา เสี่ยวหนิงก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทันที ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ “บนท้องฟ้า เมฆปรากฏเป็นรูปปลาทอง เป็นมงคลนักเจ้าค่ะคุณหนู” “ข้ารู้แล้ว จึง
ตอนที่ 5น้ำใจของนาง อาจเป็นเพราะยาที่กู่เหอให้คุณชายของเขาทานไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ทำให้มือหนาที่เคยกุมมือของนางเอาไว้แน่ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงทว่าเขาก็ยังคงจับมือของนางเอาไว้อยู่ หลิวซือนัวค่อย ๆ ดึงมือของนางออกจากมือใหญ่ของเขาอย่างช้า ๆ ครั้นอยู่ ๆ เจ้าของมือหนาที่เคยเกาะกุมมือนางเอาไว้แน่นราวปอกเหล็ก ก็สะบัดมือนางออกทันที ทั้งยังผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วทั้งที่นางสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า เวลานี้เขาไร้เรี่ยวแรงเพียงใดแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมานั่งจนได้ “ท่านรีบร้อนลุกขึ้นมาเช่นนี้ ร่างกายท่านอาจจะยังรับไม่ไหว หากหมดสติลงไปอีก ข้าว่าคงจะไม่ดีแน่” หลิวซือนัวเอ่ยขึ้น นางลุกขึ้นไปนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของรถม้าซึ่งตรงกันข้ามกับที่ร่างสูงของบุรุษตาบอดนั่งอยู่ “เจ้าเป็นใครกัน” เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงแหบแห้ง ทุกคำพูดในยามนี้ของเขาถูกเอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก “ข้าก็คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่หลบพายุอยู่ที่อารามร้างเช่นกันกับท่านเมื่อ คืน” นางเอ่ยตอบกลับไปอย่างใจเย็น จู่ ๆ ครั้งหนึ่งยามที่นางมองไปทางเขา เมื่อครู่กับรู้สึกสงสารเวทนา เขาข
ตอนที่ 6โรงเตี้ยมกลางป่า "บ่าวทำตามที่คุณชายสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" กู่หรูรายงานผู้เป็นนายของนาง "คุณหนูหลิวยังฝากบ่าวมาบอกท่านอีกว่า ระหว่างท่านกับนางไม่ได้มีผู้ใดติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณใด ๆ ต่อกันอีกเจ้าค่ะ" กู่หรูเมื่อรายงานเรื่องทั้งหมดแล้ว ครั้นเมื่อเห็นคุณชายของนางยังคงนิ่งเงียบอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนควรออกไปได้แล้ว นางจึงโค้งนำนับครั้งหนึ่งก่อนจะออกจากห้องพักของผู้เป็นนายไป ปล่อยให้กู่เหอพี่ชายนางอยู่ค่อยรับใช้คุณชายต่อเพียงผู้เดียว เหตุที่อวี้หนานไห่นิ่งเงียบเช่นนี้เพราะเขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขารู้ดีว่าคุณหนูหลิวที่กู่หรูเอ่ยถึงเมื่อครู่นางเข้าใจดีว่าเขาต้องการสิ่งใดจึงให้คนนำชาชั้นดีไปให้นาง ตั้งแต่ที่วัดร้าง เขาเองด้วยความที่ระวังตัวมาก จึงได้ให้กู่เหอนำชาสมุนไพรชั้นดีไปให้อีกขบวนหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ของเขาและยอมที่จะทนหนาว ทุกคนในขบวนของคุณหนูหลิวไม่มีใครใส่ใจหรือตกใจกับชาชั้นดีเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาต่างก็ถูกฝึกมาอย่างดี คุณหนูหลิวผู้นี้ก็ไม่ใช่สายของโจรป่าที่กำลังระบาดหนักอยู
ตอนที่ 7ปราการด่านสุดท้าย "รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ "หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น "ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน
ตอนที่ 8ไม่ไร้หนทาง นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ" เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป
ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว
ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย
ตอนที่ 10ไม่นึกเสียใจภายในห้องพักที่ไม่มีแม้แต่แสงจากเทียนสักเล่มหนึ่ง (จะมีได้อย่างไร ในเมื่อนางเป็นคนดับเทียนเองกับมือ) หนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังนั่งตัวแข็งทือยู่บนเตียงใหญ่ พร้อมกับคำภาวนาในใจ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าภาวนาไปก็เท่านั้นแต่นางก็ยังภาวนาต่อไปแอ๊ด...เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ก่อนเจ้าของฝีเท้าหนัก ๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง"ท่านหมอหลง อยู่หรือไม่ขอรับ" "ท่านหมอหลับไปแล้วหรือเปล่า เจ้าลองเข้าไปเรียกดูที่เตียงเถอะ" ชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น"ได้" บุรุษผู้หนึ่งรับคำ เงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียงทำให้เจ้าของร่างอวบอิ่มตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว โชคดีที่คุณชายอวี้สะกิดนางให้รู้สึกตัว คุณชายอวี้เอามือของเขาสอดเข้าไปใต้หมอน ก่อนจะหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาถือไว้มืออีกข้างหนึ่งของเขายื่นมาจับมือนาง ก่อนจะง่ายฝ่ามือนางขึ้น และใช้นิ้วมือของเขาเขียนประโยคหนึ่งที่มือของนางทีละคำได้จังหวะก็หนีออกไปซะ ข้าจะไม่ขอเป็นภาระของเจ้าหลังจากประโยคเหล่านี้ถูกเขียนเสร็จ มือของนางถูกเขากุมเอาไว้แน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกปล่อยออกอย่างแผ่วเบาหลิวซือนัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาจะสู้ตาย
ตอนที่ 9หมู่บ้านแปลกประหลาด สองวันผ่านมา หลิวซือนัวได้สติขึ้นอีกครั้งในสถานที่ซึ่งนางไม่คุ้นตา นางถูกช่วยเอาไว้จากคนผู้หนึ่ง เขาบอกนางว่าตัวเองเป็นหมอและบังเอิญช่วยนางที่ไม่ได้สติเอาไว้ที่ริมลำธารด้านข้างของเรือนพักของเขา "ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้" นางเอ่ยขอบคุณท่านหมอพร้อมกับโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม "ข้าเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องของข้าอยู่แล้ว โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก เพียงร่างกายอ่อนล้าเท่านั้น พักผ่อนให้มากก็ไม่เป็นอันใดแล้ว" "ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยยังมีเรื่องอยากจะขอสอบถามท่านหมออีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" "แม่นางเชิญถามมาได้เลย" "นอกจากข้า ท่านหมอยังช่วยใครเอาไว้อีกหรือไม่เจ้าคะ คือ ตัวข้ากับสหายพลัดตกลงมาด้วยกันเจ้าค่ะ ถ้าท่านหมอพบข้าก็น่าจะพบและช่วยเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน" "ข้าเองกำลังจะถามแม่นางอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ผิดข้าช่วยเหลือบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ได้อีกคนหนึ่งเช่นกัน" "เขา ข้าหมายถึงบุรุษผู้นั้นน่ะเจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมค่ะ" "แน่นอนว
ตอนที่ 8ไม่ไร้หนทาง นางไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเองควบม้ามาไกลแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าต้องมุ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด จากเคยมีผู้ติดตามหลายคนยามนี้เหลือเพียงแค่นางกับบุรุษใกล้ตายผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่รู้ทางจึงไม่รู้ว่ายามนี้พวกตนกำลังอยู่ที่ไหน รู้แค่เพียงว่ามองไปทางใดล้วนแล้วแต่มีต้นไม้เล็กใหญ่ปกคลุมอยู่เต็มไปหมด บุรุษกระดูกผู้ไม่รักชีวิตตน ที่เวลานี้ซ้อนอยู่ด้านหลังนางดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไปอีกแล้ว นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นคล้ายกับอาการที่เป็นเช่นเดียวกันกับในรถม้า "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่" นางเอ่ยถามพลางควบคุมม้าให้ลดความเร็วลงเพื่อเตรียมหยุด หลิวซือนัวไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานางจึงเอ่ยต่ออีก "พวกเราน่าจะมาไกลมากแล้ว หยุดพักสักหน่อยก่อนเถอะ" เมื่อม้าหยุดแล้วนางจึงแกะเชือกที่มัดตัวนางกับเจ้าของร่างซีดเซียวออกเพื่อที่จะได้ลงม้าได้สะดวก แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้ว ร่างสูงที่ไร้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ โชคดีที่นางคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงไป
ตอนที่ 7ปราการด่านสุดท้าย "รีบพาผู้ติดตามทั้งหมดของพวกเราขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ" หลิวซือนัวเอ่ยสั่ง พลางมองไปยังผู้ติดตามทั้งสี่คนของนางที่ยามนี้สลบเพราะถูกวางยานอนหลับและแต่ละคนก็ยังคงไม่ได้สติ "หากนำพวกเขาขึ้นรถม้า แล้วคุณหนูกับคุณชายอวี้จะทำเช่นไรเล่าขอรับ" เสี่ยวชิงถามขึ้นอย่างลังเล อย่างไรก็ไม่อาจทิ้งผู้ติดตามเหล่านี้ได้จริง ๆ ทว่าความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดที่เขาจะต้องนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกก็คือความปลอดภัยของคุณหนูและน้องสาวของเขา วูบหนึ่งเสี่ยวชิงเผลอคิดอย่างเห็นแก่ตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องเลือกเขาก็จะเลือกพาแค่คุณหนูและน้องสาวของเขาหนีไปเท่านั้น "ถ้ามัวแต่ชักช้ากันอยู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครรอด" เป็นอวี้หนานไห่ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย "เสี่ยวชิงทำตามที่ข้าบอก นำพวกเขาขึ้นไปให้ครบทุกคน แล้วให้เสี่ยวหนิงทำหน้าที่ควบคุมรถม้าไปยังตัวเมืองเพื่อแจ้งทางการ หรือถ้าเจอหมู่บ้าน หน่วยมือปราบลาดตะเวนก็จงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ ส่วนข้า คุณชายอวี้ กู่เหอ เสี่ยวชิง จะขี่ม้าหนีไปอีกทางหนึ่ง" หลิวซือนัวเอ่ยถึงแผนการของตน
ตอนที่ 6โรงเตี้ยมกลางป่า "บ่าวทำตามที่คุณชายสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" กู่หรูรายงานผู้เป็นนายของนาง "คุณหนูหลิวยังฝากบ่าวมาบอกท่านอีกว่า ระหว่างท่านกับนางไม่ได้มีผู้ใดติดค้างหรือต้องตอบแทนบุญคุณใด ๆ ต่อกันอีกเจ้าค่ะ" กู่หรูเมื่อรายงานเรื่องทั้งหมดแล้ว ครั้นเมื่อเห็นคุณชายของนางยังคงนิ่งเงียบอยู่ก็รู้ทันทีว่าตนควรออกไปได้แล้ว นางจึงโค้งนำนับครั้งหนึ่งก่อนจะออกจากห้องพักของผู้เป็นนายไป ปล่อยให้กู่เหอพี่ชายนางอยู่ค่อยรับใช้คุณชายต่อเพียงผู้เดียว เหตุที่อวี้หนานไห่นิ่งเงียบเช่นนี้เพราะเขากำลังใช้ความคิดอยู่ เขารู้ดีว่าคุณหนูหลิวที่กู่หรูเอ่ยถึงเมื่อครู่นางเข้าใจดีว่าเขาต้องการสิ่งใดจึงให้คนนำชาชั้นดีไปให้นาง ตั้งแต่ที่วัดร้าง เขาเองด้วยความที่ระวังตัวมาก จึงได้ให้กู่เหอนำชาสมุนไพรชั้นดีไปให้อีกขบวนหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ของเขาและยอมที่จะทนหนาว ทุกคนในขบวนของคุณหนูหลิวไม่มีใครใส่ใจหรือตกใจกับชาชั้นดีเช่นนี้ แสดงว่าพวกเขาต่างก็ถูกฝึกมาอย่างดี คุณหนูหลิวผู้นี้ก็ไม่ใช่สายของโจรป่าที่กำลังระบาดหนักอยู
ตอนที่ 5น้ำใจของนาง อาจเป็นเพราะยาที่กู่เหอให้คุณชายของเขาทานไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ทำให้มือหนาที่เคยกุมมือของนางเอาไว้แน่ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงทว่าเขาก็ยังคงจับมือของนางเอาไว้อยู่ หลิวซือนัวค่อย ๆ ดึงมือของนางออกจากมือใหญ่ของเขาอย่างช้า ๆ ครั้นอยู่ ๆ เจ้าของมือหนาที่เคยเกาะกุมมือนางเอาไว้แน่นราวปอกเหล็ก ก็สะบัดมือนางออกทันที ทั้งยังผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วทั้งที่นางสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า เวลานี้เขาไร้เรี่ยวแรงเพียงใดแต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมานั่งจนได้ “ท่านรีบร้อนลุกขึ้นมาเช่นนี้ ร่างกายท่านอาจจะยังรับไม่ไหว หากหมดสติลงไปอีก ข้าว่าคงจะไม่ดีแน่” หลิวซือนัวเอ่ยขึ้น นางลุกขึ้นไปนั่งลงที่อีกฟากหนึ่งของรถม้าซึ่งตรงกันข้ามกับที่ร่างสูงของบุรุษตาบอดนั่งอยู่ “เจ้าเป็นใครกัน” เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงแหบแห้ง ทุกคำพูดในยามนี้ของเขาถูกเอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก “ข้าก็คือคนอีกกลุ่มหนึ่งที่หลบพายุอยู่ที่อารามร้างเช่นกันกับท่านเมื่อ คืน” นางเอ่ยตอบกลับไปอย่างใจเย็น จู่ ๆ ครั้งหนึ่งยามที่นางมองไปทางเขา เมื่อครู่กับรู้สึกสงสารเวทนา เขาข
ตอนที่ 4ผู้ร่วมทางคนใหม่ กว่าฝนจะหยุดตกลงมาก็เป็นเวลาเช้าวันใหม่แล้ว ขบวนเดินทางทั้งสองที่หยุดพักหลบฝนตั้งแต่เมื่อคืนต่างก็พากันเตรียมตัวที่จะออกเดินทางกันต่อแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งนัก ราวกับว่าเมื่อวานมิได้มีพายุฝนตกหนักมาก่อน ดั่งคำที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ท้องฟ้าเบื้องหน้าของนางในยามนี้งดงามมากจริง ๆ กลุ่มก้อนเมฆรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายกับปลาทองที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า “เสี่ยวหนิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท ที่กำลังตรวจดูสิ่งของที่ถูกลำเรียงขึ้นไปยังรถม้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “เจ้าคะ คุณหนู” นางขานรับคำคุณหนูของตนทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะเดินไปที่ทางด้านหน้าทางเข้าอารามที่คุณหนูของนางยืนอยู่ “บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ” “เจ้าลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ” สิ้นเสียงของคุณหนูที่เอ่ยออกมา เสี่ยวหนิงก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทันที ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ “บนท้องฟ้า เมฆปรากฏเป็นรูปปลาทอง เป็นมงคลนักเจ้าค่ะคุณหนู” “ข้ารู้แล้ว จึง
ตอนที่ 3มุ่งหน้าสู่เป่ยจู เป็นเวลากว่าห้าวันมาแล้วที่พวกนางเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเป่ยจู ตลอดทางแม้ไม่ได้สะดวกสบายเท่าใดนักแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ท่านพ่อท่านแม่ส่งผู้คุ้มกันที่คุ้นชินกับการเดินทางและมีวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไว้ใจได้มาทั้งหมดห้าคนด้วยกัน โดยที่หนึ่งในห้าคนนี้นั้นยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเสี่ยวหนิงอีกด้วย พี่ชายของเสี่ยวหนิงผู้นี้มีชื่อว่าเสี่ยวชิง ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าในการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่านางเองก็คุ้นชินกับเสี่ยวชิงเป็นอย่างดี การเดินทางของนางในครั้งนี้จึงไม่มีสิ่งใดน่ากังวลใจ จนกระทั่งเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่อยู่ ๆ ก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักโดยไม่ให้พวกนางทันได้ตั้งตัว “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่พี่ชายบอกกับข้าว่า ข้างหน้าอีกไม่ไกลจะมีอารามร้างอยู่ พวกเราสามารถไปหลบฝนที่นั่นก่อนได้เจ้าคะ” หลิวซือนัวได้ฟังก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมา เพราะดูท่าแล้วฝนนี้คงจะไม่หยุดตกง่าย ๆ เป็นแน่ อีกทั้งถนนเรียบชายป่าที่มีต้นไม้มากมายเช่นนี้หากฝืนเดินทางต่อไปย่อมมีแต่อันตราย อย่างไรก็ต้อ
ตอนที่2ข่าวลือหนาหู หลายวันที่ผ่านมานี้ มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการมีปากเสียงกันระหว่างคุณหนูสกุลหลิวและคุณหนูสกุลอี้ บ้างลือกันไปว่าคุณหนูหลิวเกิดความริษยาต่อคุณหนูอี้เพราะคุณหนูอี้นั่นมีรูปโฉมงดงามกว่า บ้างก็ว่าเป็นเพราะคุณหนูหลิวอยากแสดงอำนาจในมือตนให้เป็นที่ประจักษ์และคุณหนูอี้นั้นก็กลายมาเป็นผู้รับเคราะห์กรรมไปโดยไร้ความผิด ผู้คนที่ได้ยินข่าวลือต่างพากันสงสารคุณหนูสกุลอี้ เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพวกผู้คนที่พากันสงสารคุณหนูสกุลอี้นั้นย่อมต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณหนูหลิวในทางที่ไม่ดี “คุณหนูเจ้าคะ ข่าวลือพวกนี้ต้องเป็นคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นผู้สร้างขึ้นแน่นอนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นางในยามนี้รู้สึกโมโหแทนคุณหนูของนางเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะออกไปป่าวประกาศในทุกคนรู้กันให้ทั่วเมือง ว่าแท้จริงแล้วคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นคนเช่นไร “ก็แค่ข่าวลือเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่นานผู้คนก็จะพากันลืมไปเอง” นางเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น มือก็พลิกดูแบบลายปักในมือตนด้วยทีท่านิ่งเฉย “นางจงใจทำให้ชื่อเสียงคุณหนูเสียหา