แชร์

Chapter 2.มู่ฟางเหนียง

            หญิงสาวมองผู้เป็นพ่อกินอาหารมื้อเย็นด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าบิดากินอาหารได้มากนางก็พลอยเบิกบาน เพราะนี่เป็นหน้าที่ของลูกสาวอย่างนางที่ต้องดูแลปรนนิบัติผู้ให้กำเนิดอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

            “นั่งมองพ่อกินแล้วเจ้าจะอิ่มหรือไม่”

            “เห็นท่านพ่อกินข้าวได้มาก ลูกก็พลอยอิ่มไปด้วย”

            “เจ้าทำอะไร พ่อก็กินทั้งนั้นละ” ผู้เป็นบิดาส่ายหน้าไปมา แต่ลูกสาวทำหน้าโอดครวญ

            “ท่านพ่อนี่ขี้เหนียวจริง จะชมฝีมือการทำอาหารของลูกสักคำมิได้หรือไร”

            “เจ้าก็ย่อมรู้อยู่ว่าฝีมือทำอาหารของเจ้าไม่ธรรมดา” ผู้เป็นพ่อพูดน้ำเสียงเนิบช้า แต่ลอบมองบุตรสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู “หลายปีมานี่ ลำบากเจ้าจริงๆ”

            “ลูกบ่นลำบากรึ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “ลูกโชคดีที่มีท่านพ่อเช่นท่าน”

            “พูดจาเอาใจพ่ออย่างนี้ จะเอาอะไรจากพ่อเล่า”

            “ท่านพ่อ ไยท่านคิดเช่นนั้นเล่า ลูกก็แค่เป็นห่วงท่านพ่อ วันทั้งวันต้องเคี่ยวยา ไหนจะต้องตรวจคนเจ็บป่วยอีก  ลูกก็อยากให้ท่านพ่อได้พักผ่อน กินข้าวอิ่มท้องก็เท่านั้นเอง”

            “เอาละ ยังไงเรื่องอาหารการกินของพ่อก็อยู่ในมือเจ้าอยู่แล้ว ไหนเจ้าบอกมาซิว่าเจ้าอยากได้อะไร”

            “ท่านพ่อพูดตรงเกินไป” หญิงสาวหัวเราะแก้เขินที่บิดารู้ทัน “ลูกแค่อยากจะ...”

            ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบประโยค เสียงเอะอะอยู่หน้าบ้านก็เรียกสายตาของสองพ่อลูกให้หันไปทิศทางของเสียง 

            “ไม่ทราบว่าท่านหมอมู่อยู่หรือไม่”

            สองพ่อลูกหันมามองหน้ากัน คนเป็นหมอเลือกเวลารักษาไม่ได้ หากมีคนเจ็บคนป่วยมาก็ต้องรีบรับไว้ มันเป็นความเคยชินที่หญิงสาวคุ้นเคยดี นางจึงลุกขึ้นหมายจะเดินไปเปิดประตู แต่บิดาห้ามไว้ก่อน

            “มันค่ำแล้ว เจ้าออกไปไม่ดีนัก เจ้าเก็บสำรับอาหารก่อนเถิด พ่อจะออกไปดูเอง”

            “เจ้าค่ะ”

            มู่ฟางเหนียงมองแผ่นหลังของบิดาเดินออกไปแล้ว ตนเองจึงจัดการเก็บสำรับอาหารที่แทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้วไปไว้ในครัว ตั้งแต่จำความได้ นางก็หัดทำอาหารของกินเล็กๆ น้อยๆ คอยช่วยดูแลบิดามาตลอด เหตุเพราะท่านแม่จากไปตั้งแต่นางยังเด็ก บิดามีนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว สองพ่อลูกร่อนเร่ไปเรื่อย ด้วยท่านพ่อของนางคือ ท่านหมอมู่หยางซัว ฉายา หมอเทวดาไร้เงา เหตุเพราะท่านพ่ออยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ทั้งเพื่อช่วยผู้คนและหาความรู้เพิ่มเติม ทำให้ท่านพ่อกระเตงนางไปทั่วสารทิศ นางเองก็พลอยเป็นลูกมือของท่านพ่อศึกษาเรียนรู้วิชาแพทย์ไปด้วย การเล่นสนุกของนางจึงไม่เหมือนเด็กผู้อื่น นางคลุกคลีอยู่กับสมุนไพร รักษาสัตว์บาดเจ็บ เพียงสิบขวบนางก็ฝังเข็มเป็น ตอนนี้นางอายุสิบหก ความสามารถแม้ไม่เทียบเท่ากับบิดา แต่ก็ไม่ได้ด้อยจนทำให้บิดาต้องอับอาย

            สองปีก่อนบิดาพานางมาที่ชายแดนแห่งนี้ด้วยได้ยินว่ามีสงคราม ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน นางไม่กลัวอันตราย ขอเพียงมีบิดาอยู่ด้วย ขึ้นเขาลงห้วยนางล้วนติดตามบิดาไปได้ทุกแห่งหน เมื่อมาถึงก็บังเอิญได้พบ เศรษฐีกู่หลิน เห็นว่าสองพ่อลูกเป็นหมอที่มีเจตนาดีมาช่วยเหลือผู้เดือดร้อน จึงยกเรือนหลังเก่านี้ให้พักอาศัย ซ้ำยังดูแลเรื่องอาหารการกิน ทำให้ทั้งสองไม่ลำบากมากนัก หลังสงครามสิ้นสุด เดิมทีท่านพ่อคิดจะเดินทางต่อ แต่เห็นว่ายังมีชาวบ้านที่ต้องการหมอ อยู่ไกลเมืองหลวงเช่นนี้ไม่ค่อยมีหมอดีๆ หรือมีก็เก็บค่าตรวจรักษาค่อนข้างแพง บิดาจึงรั้งอยู่ต่อ เศรษฐีกู่หลินก็เห็นดีเห็นชอบ ยกเรือนหลังนี้ให้ท่านพ่อเปิดเป็นโรงหมอเล็กๆ อยู่ไปอยู่มาจนถึงตอนนี้ก็เกือบสองปีแล้วกระมัง 

            “ฟางเหนียง พ่อต้องออกไปข้างนอกนะลูก” 

            เสียงบิดาทำให้นางตื่นจากภวังค์ รีบเช็ดมือแล้วเดินกลับเข้ามาเพื่อช่วยเตรียมล่วมยาให้ท่านพ่อ

            “มีคนเจ็บหนักรึเจ้าคะ” นางถามด้วยความกังวล

            “เป็นคนในจวนแม่ทัพจ้าว พ่อบ้านส่งรถม้ามารับพ่อ”   

            “จวนแม่ทัพจ้าว?” มู่ฟางเหนียงทวนในสิ่งที่ได้ยิน “ท่านพ่อให้ลูกติดตามไปด้วยนะ”

            “ค่ำแล้ว เจ้าพักผ่อนจะดีกว่า”

            “อย่างไรลูกก็ต้องรอท่านกลับบ้านอยู่ดี สู้ให้ลูกติดตามไปด้วยมิดีกว่ารึเจ้าคะ” นางยิ้มแย้มไม่แสดงอาการเหนื่อยหรือเบื่อหน่ายทำให้บิดาพยักหน้ารับ ตนเองก็เป็นห่วงลูกสาวที่ต้องอยู่บ้านตามลำพังอยู่แล้ว

            หญิงสาวจึงรีบเตรียมล่วมยาแล้วเดินตามบิดาอย่างเรียบร้อย พ่อบ้านของจวนแม่ทัพมีท่าทีกระวนกระวาย พอเห็นสองพ่อลูกหมอเทวดาออกมาก็ยิ้มโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง คุณหนูของบ้านบาดเจ็บสาหัส ขนาดแพทย์ทหารก็ยังได้แต่ก้มหน้า มิอาจหาหนทางรักษาบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวได้ เขาจึงบากหน้ามาขอความเมตตาจากท่านหมอมู่

            “เชิญท่านหมอ”

            “คนเจ็บรออยู่ อย่าได้พิธีเยอะเลย รีบเดินทางเถิด”

            “ขอรับ”

            สองพ่อลูกขึ้นรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านก็เร่งให้ม้าออกเดินทางอย่างรวดเร็ว มู่ฟางเหนียงไม่รู้ว่าตนกับพ่อจะไปรักษาผู้ใด แต่นางก็อยากไปจวนแม่ทัพจ้าวอยู่แล้ว เพราะอยากรู้ข่าวคราวของ ‘พี่หลิ่งหลิน’ ของนาง นางรู้เพียงแค่ว่าเคอหลิ่งหลินทำงานและพักอาศัยอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว สองปีก่อนด้วยความอยากแบ่งเบาภาระบิดา นางขึ้นเขาหาสมุนไพรเองโดยมิได้บอกผู้เป็นบิดา แต่นางเป็นคนที่หลงทิศง่ายเหลือเกิน เป็นข้อด้อยที่แก้ไม่หายเสียที นางหลงป่าหาทางออกไม่ได้อยู่สามวันสามคืน แม้ทำใจแข็งกลั้นน้ำตาแต่ก็หวาดกลัวจนแทบเสียสติ บังเอิญได้พบกับเคอหลิ่งหลิน หญิงสาวที่อายุมากกว่าแต่นิสัยโผงผางเหมือนเด็กผู้ชาย ตอนนั้นนางกลัวจนแทบไม่มีแรงเดิน เคอหลิ่งหลินให้นางขี่หลังและแบกจากเขาลงมาส่งถึงมือบิดาของนางอย่างปลอดภัย นับตั้งแต่นั้นนางก็ได้พบเคอหลิ่งหลินบ่อยๆ และเรียกนางว่า ‘น้องสาว’ นางซึ่งเป็นลูกคนเดียวมานาน พ่อพารอนแรมแต่เด็กจึงไม่ค่อยมีเพื่อนนัก พอได้รู้จักกับเคอหลิ่งหลิน ก็เรียกนางว่า ‘พี่สาว’ เต็มปากและเต็มใจ ทำให้สองปีที่ได้อยู่ที่นี่ นางไม่เหงาเหมือนที่ผ่านมา

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status