แชร์

Chapter 7.  เอาไปสิ

ผู้เขียน: เพลงมีนา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-16 13:17:53

“จริงด้วย ช่วงนี้ข้านอนไม่ค่อยหลับ ซ้ำยังเจ็บคออีกด้วย”

“ข้าน้อยจะเขียนเทียบยาให้ เป็นยาบำรุงสุขภาพเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานใสเอ่ยอย่างสงบ ชวนให้คนฟังสบายใจ “ส่วนท่านหญิง ข้าน้อยจะปรับยาบำรุงให้”

“เสียงของเจ้านี่ทำให้คนฟังสงบใจลงได้มาก เอาละ...ข้าเห็นเจ้าอยู่ก็สบายใจ ใจจริงอยากเชิญเจ้ากับพ่อของเจ้ามาอยู่เสียด้วยกันจนกว่าหลิ่งหลินจะฟื้น แต่สามีข้าก็เตือนสติว่าพวกเจ้าเป็นหมอ ชาวบ้านเดือดร้อนเจ็บป่วยจะไปหาใคร หากท่านหมอมู่ว่าไม่เป็นอะไร ข้าก็ย่อมต้องเชื่อใจผู้เป็นหมอ”

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

“เอาละ ข้าจะไปพักผ่อนเสียหน่อย ขาดเหลืออะไรเจ้าก็บอกชุนเอ๋อร์หรือพ่อบ้านได้”

“ข้าน้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ”

จ้าวฮูหยินตบหลังมือของมู่ฟางเหนียงเบาๆ และมองใบหน้าอ่อนหวานอย่างเอ็นดู แม้หญิงสาวตรงหน้าจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบและสีซีดจางจากการซักหลายต่อหลายครั้ง แต่ดวงตาที่เป็นประกายและกิริยาอ่อนหวานนี้เป็นที่น่าประทับใจเสียจริง

“อ่อ! ได้ยินว่าเจ้าชอบอ่านหนังสือ ในห้องตำรามีหนังสือมากมายนัก เจ้าจะหยิบยืมไปอ่านที่บ้านก็ได้ แต่ต้องเอากลับมาคืนนะ”

“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างดีใจ แล้วก็นึกว่าได้ว่าแสดงอาการดีใจเกินไป นางก็หลุบตาลง แต่เรียกเสียงหัวเราะจากจ้าวฮูหยินได้

“เอาสิ ไปเลือกไปหยิบเอาได้ จะอ่านนานแค่ไหนก็ได้ แต่เอามาคืนก็พอ”

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะดูแลอย่างดีที่สุด”

มู่ฟางเหนียงดีใจเป็นที่สุด นางชอบอ่านหนังสือหรือตำราต่างๆ แต่เพราะฐานะของนางและพ่อ นางจะซื้อของใช้แต่ละอย่างต้องคิดแล้วคิดอีก พอได้ยินเช่นนี้ หัวใจของนางก็พองโตด้วยความดีใจและซาบซึ้งใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วเมตตา นางรอส่งฮูหยินอี้ซิ่วออกจากห้องไปแล้ว ก็หันไปดูเคอหลิ่งหลินที่หลับอยู่บนเตียง 

“พี่สาว” นางเรียกด้วยรอยยิ้ม เดินไปหยิบขนมจินเดออกมา “ท่านชอบขนมของหวานนัก วันนี้ข้าทำขนมงาหรือจินเดมาด้วย ท่านพ่อไม่ชอบของหวาน ท่านรีบตื่นมากินขนมฝีมือข้าเสียทีสิ ท่านรีบตื่นเถอะนะรอบกายท่านมีแต่คนรักและเป็นห่วงท่าน ท่านควรรีบตื่นให้พวกเขาดีใจได้แล้วนะ”.

......

             “ย้ากกกส์”

            “โอ๊ยยยยย”

            เหล่าทหารหลายนายกระเด็นกระดอนออกมาด้วยสภาพบอบช้ำและแพ้พ่ายอย่างหมดท่า แต่ละนายถูกบุรุษผู้นั้นใช้เพลงหมัดมวยจัดการจนสิ้นสภาพไม่อาจลุกขึ้นมาต่อกรได้ แม้เหงื่อจะโทรมกายแต่ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงที่ยืนกอดอกดูการซ้อมหมัดมวยของรองแม่ทัพกับบรรดานายทหารอยู่นั้น ได้แต่สูดลมหายใจลึกด้วยความไม่พอใจ

            “จิ่นสือ”

            บุรุษหนุ่มมิได้เอ่ยตอบ เพียงแค่ตวัดสายตามองทางต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นบิดาของตนจึงสงบอารมณ์ลงแล้วยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก

            “ทุกคนพักได้”

            “ขอรับท่านแม่ทัพ”

            นายทหารคนอื่นๆ ช่วยกันพยุงร่างบอบช้ำออกจากสนามซ้อม เมื่อเหลือเพียงสองบุรุษสายเลือดเดียวกันแล้ว แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงก็เดินเข้าไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง เพียงพริบตาชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหว เขายกท่อนแขนขึ้นป้องกันหมัดที่พุ่งเข้ามา แม้หมัดนั้นจะชะงักก่อนถูกตัว แต่ก็ส่งพลังปะทะรุนแรงจนต้องถอยหลังไปครึ่งก้าว ชายต่างวัยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ หมัดที่สองตามไปทันที จ้าวจิ่นสือจับจังหวะได้ก็หลบหลีกและเป็นฝ่ายรุกกลับบ้าง แต่กระนั้นก็ยังช้ากว่าบิดาที่ซัดหมัดเข้าไปที่ท้อง ทำให้บุตรชายถึงกับสำลักความเจ็บปวด

            “จิ่นสือ” แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงส่ายหน้าไปมา “เจ้าไร้สมาธิเช่นนี้ หากมีศัตรูอยู่เบื้องหน้าก็เอาชีวิตเจ้าโดยง่าย”

            “ขออภัยท่านพ่อ”  

            “พ่อรู้ว่าเจ้าเป็นกังวลเรื่องหลิ่งหลิน แต่ก็ไม่ควรไประบายอารมณ์ใส่ทหารชั้นผู้น้อยแบบนั้น” 

            “ข้า...” ยังไม่ทันพูดอะไร บิดาก็ยกมือห้ามไว้ก่อน

            “ยิ่งพูด คำพูดของเจ้าจะยิ่งมัดตัวเอง เจ้ามองหลิ่งหลินเช่นไร อย่าคิดว่าพ่อไม่รู้”

            “ท่านพ่อ” จ้าวจิ่นสืออึกอักจำนนต่อสิ่งที่บิดาเอ่ยออกมา

            “ฐานะหรือชาติกำเนิดมิใช่ปัญหา แต่พ่อรู้ว่าหลิ่งหลินไม่ได้คิดกับเจ้าเช่นที่เจ้ารู้สึกอยู่ในขณะนี้ และหากเจ้าไม่ระงับใจตนเอง ก็รังแต่จะทำให้ตนต้องเจ็บปวด ซ้ำเจ้ายังไม่สามารถแยกแยะเรื่องส่วนตัวหรือหน้าที่ได้ มันก็จะนำความพินาศมาสู่เจ้าและคนรอบข้าง เจ้าเข้าใจหรือไม่...จิ่นสือ”

            ชายหนุ่มได้แต่เพียงถอนหายใจหนักหน่วง ไม่อาจหาคำแก้ตัวอันใดได้ บิดาก็ทำได้เพียงทอดสายตามองด้วยความกังวล

            “เจ้าไปสงบสติอารมณ์ที่หอตำรา คัดตำราพิชัยยุทธ์”

            “ท่านพ่อ!”

            “นี่เป็นคำสั่ง”

            “รับทราบ” 

เขาจำใจรับคำสั่งกึ่งลงโทษนั้น มองบิดาหมุนตัวเดินออกไปแล้วก็ได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ โกรธตนเองที่ไม่อาจซุกซ่อนความรู้สึกของตนได้มิดชิด แต่น่าประหลาดนักที่คนที่เขาอยากให้รู้ตัวกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ซ้ำยังชอบพาตัวเองเข้าไปสู่ที่อันตราย แม้จะยอมรับว่าเคอหลิ่งหลินมีวิทยายุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าเขา แต่ครั้งนี้เห็นนางบาดเจ็บหนักกว่าที่เคยเป็นมา ก็พาลให้หงุดหงิด แล้วยังไม่รู้ว่านางไปทำอะไรมาอีกด้วย แต่เชื่อว่าต้องเกี่ยวข้องกับที่นางชอบหายตัวไปบ่อยๆ เหมือนไปพบใครสักคนเป็นแน่

            เขาพาร่างกำยำที่ชุ่มเหงื่อกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ก่อนจะพาตัวเองไปหอตำราเพื่อรับโทษที่บิดาได้สั่งไว้ ก่อนที่จะเดินไปหอตำรา เขาห้ามใจตัวเองมิได้ เลี้ยวไปห้องของเคอหลิ่งหลิน ในห้องไม่มีผู้ใดนอกจากร่างที่อยู่บนเตียง น่าแปลก เพราะปกติสาวใช้ประจำตัวจะคอยเฝ้านางมิห่าง เขาได้แต่กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดสายตาที่ใบหน้าของหญิงสาวเบื้องหน้า สีหน้าเริ่มมีเลือดฝาด ไม่ขาวซีดเช่นวันแรกๆ นางเหมือนคนนอนหลับไปเท่านั้น ชายหนุ่มยกนิ้วมือไล้ใบหน้าอ่อนนุ่มที่ปิดเปลือกตาสนิท หากเป็นเวลาปกติเขาคงไม่ได้ทำเช่นนี้

            “เจ้าไปทำอะไรมาหลินเอ๋อร์ เมื่อไหร่เจ้าจะตื่นมาทะเลาะกับข้า” เขาถอนหายใจเบาๆ ราวกับกลัวว่าเสียงทอดถอนใจจะไปรบกวนคนที่หลับอยู่ “หากเจ้าฟื้นขึ้นมา คราวนี้ข้าจะไม่ให้เจ้าคลาดสายตาไปอีกแล้ว”

บทที่เกี่ยวข้อง

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 8. เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่

    ชายหนุ่มชะงักชักมือกลับทันทีที่รู้สึกได้ว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่หน้าประตู เขายืดตัวขึ้น มือไพล่หลังและหันไปมองทางประตูราวกับรอคอย เพียงอึดใจบานประตูก็เปิดออกพร้อมกับร่างของสาวใช้ที่ประคองอ่างน้ำเข้ามาในห้อง “คุณชาย” ชุนเอ๋อร์จะย่อกายคารวะ แต่จ้าวจิ่นสือยกมือห้ามไว้ก่อน “มีอะไรก็ทำเถอะ ข้าแค่แวะมาดูอาการนางเท่านั้น” “เมื่อครู่แม่นางมู่ก็เข้ามาตรวจดูอาการคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์รายงาน “ท่านหมอไม่ได้มาตรวจเองรึ” “เห็นว่าต้องไปรักษาคนเจ็บที่อื่น แม่นางมู่จึงมาดูอาการคุณหนูแทนเจ้าค่ะ” ชายหนุ่มอยากถามอะไรต่อ แต่เห็นว่าอีกฝ่ายคงจะเตรียมเช็ดตัวให้หญิงสาวที่หลับใหล จึงได้แต่พยักหน้ารับรู้ กำลังจะเดินออกไป ก็มองเห็นขนมจินเดในจานที่วางบนโต๊ะ หัวคิ้วขมวดด้วยความสงสัยจนต้องเอ่ยปากถาม “หลิ่งหลินยังไม่ฟื้น ไยมีขนมของหวานในห้องนี้ได้” จำได้ว่าพี่สาวต่างสายเลือดคนนี้โปรดกินขนมหวานนัก เรียกว่ากินแทนข้าวก็ยังได้ “เป็นของแม่นางมู่เจ้าคะ นางบอกว่าคุณหนูชอบขนมหวานนัก เผื่อได้กลิ่นจะได้กระตุ้นให้นา

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 9. จนปัญญา

    เขากอดอกมองหญิงสาว นี่คงจนปัญญาจะหาคำแก้ตัวเลยละสิ เขาได้แต่เค้นเสียงหัวเราะในลำคอ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย “เลือกหนังสือได้แล้วก็ออกไปสิ ข้าต้องใช้ห้องนี้” “ข้าน้อยยังเลือกหนังสือไม่เสร็จ” พูดจาถ่อมตนแต่กลับกล้าถลึงตาใส่อย่างไม่กลัว แม้เขาจะสูงใหญ่กว่านางนัก“แล้วท่านเข้ามาใช้ห้องนี้ ได้รับอนุญาตจากจ้าวฮูหยินแล้วรึ” “ข้า...” คราวนี้เป็นเขาที่พูดไม่ออก เรื่องต่อปากต่อคำกับสตรีเขาไม่ถนัดนัก ผู้หญิงสองคนที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติและไม่ต้องระวังอะไรนักก็คือท่านแม่และเคอหลิ่งหลิน ครั้นจะโต้เถียงกับนางก็ใช่เรื่อง ซ้ำร้ายดูท่าทางนางจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เขากัดริมฝีปากกลั้นหัวเราะแสร้งทำดุดันไปอย่างนั้น “เช่นนั้นเจ้าก็เลือกเร็วๆ แล้วรีบๆ ออกไปเสียสิ” “แล้วตกลงท่านได้รับอนุญาตแล้วรึ” นางยังอยากเอาชนะเขาอยู่ด้วยการโต้เถียงแบบเด็กๆ “เอาเป็นว่าข้าได้รับคำสั่งจากท่าน...แม่ทัพให้มาที่นี่ก็แล้วกัน” เกือบจะหลุดปากเรียกท่านพ่อออกมาแล้ว “คงโดนลงโทษละสิ” นางพึมพำแล้วหมุนตัวเลือกหยิบตำราแพทย์อีกสองเล่มมาไว้ในอ้อม

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 10. น้องชาย

    “น้องชาย?” ชุนเอ๋อร์ทำหน้าประหลาดใจกับคำถามที่ได้ยิน “คุณหนูเป็นลูกคนเดียว บิดาแท้ๆ ของนางปกป้องท่านแม่ทัพจนตัวเองตาย ท่านแม่ทัพจึงรับคุณหนูเป็นลูกบุญธรรม ไม่มีพี่น้องที่ไหน ยกเว้นคุณชายจ้าวจิ่นสือที่เจ้าเจอเมื่อครู่ คุณชายเป็นบุตรคนเดียวของแม่ทัพจ้าวกับฮูหยินอี้ซิ่ว เมื่อท่านแม่ทัพรับคุณหนูมาเป็นลูก ทั้งสองก็เปรียบเสมือนพี่น้องกัน คอยดูแลซึ่งกันและกันมาตลอด” “เปรียบเสมือนพี่น้อง...คนผู้นั้นคงไม่ใช่น้องชายของ...” นางเริ่มทำหน้าไม่ถูก หวังว่าการคาดเดาของนางจะผิดพลาด “เรื่องนี้มีแต่คนในจวนเท่านั้นที่รู้ คุณชายพลั้งเผลอยอมให้คุณหนูเป็นพี่สาว ทั้งที่อายุห่างกันเพียงแค่ห้าเดือนเท่านั้น”พูดแล้วชุนเอ๋อร์ก็ป้องปากหัวเราะเบาๆ นางติดตามรับใช้คุณหนูมานาน เรื่องราวของนายนินทาไม่ได้ แต่ไม่ถึงกับห้ามพูดถึง นางเพิ่งรู้สึกว่าคนที่เดินตามมาหยุดเดินจึงหันไปดู เห็นสีหน้าตกใจของมู่ฟางเหนียงแล้วก็อดถามไม่ได้“มีอะไรรึ”“มะ..ไม่...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”นางยิ้มฝืดออกมาแล้วเดินตามชุนเอ๋อร์ ในใจว้าวุ่นยิ่งนัก อย่าบอกนะว่า...ชายผู้นั้นคือ ‘น้องชาย’ ของพี่สาวคนดีของนาง.

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 11. ข้าควรได้รับคำขอบคุณหรือไม่

    “เสี่ยวจิงไปเอาน้ำมันหมูมาเร็ว” นางสั่งเด็กชาย เสี่ยวจิงรีบวิ่งไปทันที “ช่วยกันจับแม่วัวให้ดี ข้าต้องล้วงไปดึงขาลูกวัวเสียก่อน” นางม้วนแขนเสื้อขึ้นจนถึงโคนแขนทั้งสองข้าง ท่อนแขนกลมเล็กดุจลำเทียน เมื่อเสี่ยวจิงถือหม้อใส่น้ำมันมาถึง นางก็ให้เด็กชายชโลมทั่วมือและแขน นางสบตากับผู้ใหญ่ที่ช่วยกันจับแม่วัวเป็นเชิงให้สัญญาณแล้วสอดมือเข้าไปในช่องคลอดของวัว ลูบคลำจนรู้ว่าไหล่วัวติดอยู่ นางจึงออกแรงดึงขาหน้าของวัวให้ค่อยๆ ออกมาอย่างช้าๆ “ออกมาแล้วๆ” เด็กชายร้องอย่างดีใจที่เห็นลูกวัวหลุดออกมา แม่วัวร้องอย่างเจ็บปวดสะบัดไปมาจะเหยียบลูกเข้าให้ นางต้องรีบลากออกมาให้พ้นรัศมีเท้าของมัน แม่วัวสาวท้องแรกยังตื่นตกใจไม่ยอมมาเลียลูกวัว มู่ฟางเหนียงมองหาเศษผ้าสักผืน แต่ด้วยความร้อนใจ นางจึงฉีกชายกระโปรงของตนรีบเช็ดเมือกออกจากตัวลูกวัว “โชคดีที่ไม่มีเมือกอุดรูจมูก” นางพึมพำ ไม่นานนักลูกวัวก็ค่อยๆ ยืนขึ้น แม้แข้งขาจะสั่นก็ตาม แม่วัวเริ่มใจเย็นแล้วเดินมาเลียลูกของตน ลูกวัวเดินมุดเข้าไปดูดนมจากเต้าของแม่ทันที “เย้ๆ วัวของข้า” เสี่ยวจิงดีใจกระโดดโลดเต้น ทั้งที่ก่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 12. ข้าจะรอเจ้า

    “คุณชายจ้าว!”“มันตายแล้วละ” เขากล่าวย้ำเพราะเข้าใจไปว่านางกลัวจนขยับเท้าเดินต่อไม่ได้ นี่นางคงไม่ได้รอให้เขาประคองนางเดินหรอกใช่ไหม?“ท่านทำมันตาย!” นางตวาดด้วยความโมโห“เป็นข้า แล้วอย่างไร ถึงมันจะมีพิษหรือไม่ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นงูก็ไว้ใจไม่ได้” จ้าวจิ่นสือทำเสียงหงุดหงิด “ข้าควรได้รับคำขอบคุณหรือไม่”“ท่านจะมาทวงคำขอบคุณทำไมกัน ในเมื่องูตัวนี้มันตายแล้ว!” นางเกรี้ยวกราดอย่างลืมรักษากิริยา “ข้ากำลังคิดจะจับมันเป็นๆ อยู่นะ”“จับงูเป็นๆ?” เขาขมวดคิ้วแล้วตัดสินใจกระโดดลงจากหลังม้า เขาเพิ่งกลับจากบ้านตระกูลเหวิน ผ่านเส้นทางนี้เห็นเพียงมีงูอยู่เบื้องหน้าหญิงสาว แต่ไม่รู้ว่าหญิงที่ยืนอยู่คนนี้คือบุตรสาวของท่านหมอมู่ “ใช่! ข้า-ต้อง-การ-งู-เป็น-เป็น” นางพูดเน้นย้ำทุกคำแล้วถลึงตามอง เมื่อเขาก้าวมาหยุดยืนเบื้องหน้าทำให้นางรู้สึกได้ทันทีว่าความสูงของนางนั้นแค่ปลายคางของเขาเอง จ้าวจิ่นสือไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินนัก ปกติผู้หญิงเจองูก็เอาแต่กรีดร้องน่ารำคาญ ไม่ว่าจะงูตัวเล็กหรือตัวใหญ่ มีพิษหรือไม่มีพิษ นอกจากเคอหลิ่งหลินแล้ว เขาก็เพิ่งเคยเจอผู้หญิงที่ไม่กรีดร้องแต่เกรี้ยวกราดที่เขาไปฆ่างูตั

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 13.  พร้อมรับคำสั่ง

    คำถามซ้ำอีกครั้งย้ำให้แน่ใจ จ้าวจิ่นสือมิเคยหวาดกลัวสิ่งใด ยิ่งได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญนี้แล้วก็ยิ่งตระหนักได้ว่า ผู้เป็นพ่อไว้วางใจเขามากขึ้น มิใช่เพียงในฐานะพ่อกับลูก แต่ยังเป็นแม่ทัพกับรองแม่ทัพอีกด้วย “ลูกพร้อมรับคำสั่ง” “การศึกมิได้มีแค่จับดาบฟาดฟันศัตรู ตำราพิชัยยุทธ์จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อผู้เรียนรู้เข้าใจถ่องแท้ แม้ปีนี้เจ้าจะอายุยี่สิบแล้วแต่ก็ยังมีนิสัยมุทะลุวู่วามขาดความสุขุม เจ้ารู้ข้อบกพร่องของตนหรือไม่” “ลูกจะปรับปรุงตนเองขอรับ” “ดีแล้ว” แม่ทัพจ้าวพยักหน้ารับ “กลับมาเรื่องกองคาราวาน พ่อรู้ว่าตระกูลเหวินไม่ชอบยุ่งทางการเมือง แม้จะค้าขายกับราชสำนักมาสามชั่วอายุคนแล้วก็ตาม แต่อาศัยว่าเจ้าเป็นสหายกับเหวินเฮ่าหลัน คิดว่าคงไม่ยากที่จะแฝงตัวไปกับกลุ่มพ่อค้า” “เรื่องนี้ลูกพูดคุยกับเฮ่าหลันแล้ว เขายินดีรับรองลูกเข้าร่วมกับกองคาราวานขอรับ” “เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิด ” “ขอรับท่านพ่อ” เขาประสานมือคารวะท่านพ่อแล้วหมุนตัวเดินออกไป ตัดใจไม่ไปห้องของเคอหลิ่งหลินแล้วต

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 14.หญิงสาวที่งดงาม

    “ข้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ จะได้มาเล่นกลองป๋องแป๋งเช่นนี้” เป็นผู้ใดกันที่เล่นตลกหยามเขาได้ขนาดนี้ “รับไปเถอะน่า นางตั้งใจดี อุตส่าห์เอามาให้ข้า เป็นของฝากถึงน้องชายของข้า ซึ่งข้าก็มีน้องชายคนเดียวคือเจ้า เจ้าก็ต้องรับของฝากชิ้นนี้ไป” “นี่เอาข้าไปขายยังไง ถึงได้กลองป๋องแป๋งแบบนี้มา” “เอาน่า คนที่ให้มาเป็นคนดีและเป็นหญิงสาวที่งดงามมากด้วย เจ้ายังไม่เคยเจอนางก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจนัก เผลอๆ จะเป็นเจ้านั่นแหละที่เป็นฝ่ายชอกช้ำเสียดายซะเอง” โดนนางพูดให้เสียขนาดนั้น เขาจึงจำใจรับมา ได้มาก็เก็บไว้ไม่ได้ใส่ใจ จนมาถึงตอนนี้ที่จู่ๆ ก็คิดถึงสิ่งนี้ขึ้นมา จะเป็นนางหรือไม่นะคนที่ฝากกลองป๋องแป๋งนี้มาให้เขา ดูจากที่นางไม่รู้ว่าเคอหลิ่งหลินมีฐานะที่แท้จริงอย่างไร และนางไม่รู้จักเขา หากเป็นนางจริง นางก็คงเข้าใจว่า ‘น้องชาย’ ที่เคอหลิ่งหลินพูดบ่อยๆ เป็นเด็กชายตัวเล็กกระจ้อยร่อยเป็นแน่ เขาเผลอยิ้มที่มุมปากเก็บ ‘ของฝาก’ เข้าที่เดิมแล้วเดินตรงไปแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ หญิงสาวที่งดงาม รู้สึกว่าเคอหลิ่งหลินจะให้ค่าหญิงสาวคน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 15. เข้าใจผิด

    คราวนี้คนเป็นพ่ออ้าปากค้าง โดนลูกสาวดุเป็นเรื่องปกติ แต่นี่เห็นชัดๆ ว่านางโมโหผู้อื่นมาพาลมาลงที่เขา นิสัยนางเหมือนแม่ก็ตรงนี้ พูดจาตรงไปตรงมา เปิดเผยไม่ซ่อนเร้น แม้การเป็นหมอควรมีบุคลิกสงบเยือกเย็นให้คนไข้สบายใจ ทว่าลูกสาวของเขากลับเป็นหมอที่...จะเรียกว่านางปากร้ายก็กล่าวเกินจริงไป นางอาจพูดจาห้วนและดุไปบ้าง แต่เท่าที่สังเกตก็เห็นคนไข้ที่นางรักษาหรือโดนนางบ่นใส่ ก็แย้มยิ้มหรือหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันทั้งนั้น ไม่มีใครโกรธเคืองนาง หากนางติดตามเขาไปรักษาบ้านเศรษฐี นางสงบปากสงบคำลงไปสักครึ่งซึ่งก็นับว่ายากแล้ว เพราะถ้าเจอคนนิสัยไม่ดีดูแคลนผู้อื่น นางก็สรรหาคำพูดมาประชดประชันได้อยู่ดี แต่ถ้านับฝีมือการตรวจรักษาของนางแล้ว นางคือลูกศิษย์ที่เขาภูมิใจนัก เพียงหกเจ็ดขวบนางก็ท่องสูตรยารักษาโรคทั่วไปได้ สิบขวบก็ฝังเข็มเป็น เขาไว้ใจขนาดยอมให้ใช้ตัวเองเป็นหุ่นให้นางฝังเข็ม นอกจากนี้เรื่องอาหารการกิน นางก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะนางเป็นที่เอ็นดูของผู้อื่น ยามที่เขารักษาคน บางครั้งนางก็ไปเข้าครัว หัดทำกับข้าวกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง นำอาหารมาให้เขากินครบสามมื้อ ดูแลเขาไม่ขาดตกบกพร่อง เสื้อผ้า

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16

บทล่าสุด

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 120. ได้ยินชัดแล้ว

    เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter  119.  ไม่คิดว่า

    มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter   118. ห้ามถอยเด็ดขาด

    เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter   117.  ข้าจะแบกเจ้าเอง

    “เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter   116.  ท่านรักข้าบ้างหรือเปล่า

    “ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter   115. ทรมาน

    “ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter  114. ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร

    “ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 113. ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร

    “พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter  112. หายดี

    มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด

DMCA.com Protection Status