แชร์

Chapter 10. น้องชาย

ผู้เขียน: เพลงมีนา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-16 13:18:49

            “น้องชาย?” ชุนเอ๋อร์ทำหน้าประหลาดใจกับคำถามที่ได้ยิน “คุณหนูเป็นลูกคนเดียว บิดาแท้ๆ ของนางปกป้องท่านแม่ทัพจนตัวเองตาย ท่านแม่ทัพจึงรับคุณหนูเป็นลูกบุญธรรม ไม่มีพี่น้องที่ไหน ยกเว้นคุณชายจ้าวจิ่นสือที่เจ้าเจอเมื่อครู่ คุณชายเป็นบุตรคนเดียวของแม่ทัพจ้าวกับฮูหยินอี้ซิ่ว เมื่อท่านแม่ทัพรับคุณหนูมาเป็นลูก ทั้งสองก็เปรียบเสมือนพี่น้องกัน คอยดูแลซึ่งกันและกันมาตลอด”

            “เปรียบเสมือนพี่น้อง...คนผู้นั้นคงไม่ใช่น้องชายของ...” นางเริ่มทำหน้าไม่ถูก หวังว่าการคาดเดาของนางจะผิดพลาด

            “เรื่องนี้มีแต่คนในจวนเท่านั้นที่รู้ คุณชายพลั้งเผลอยอมให้คุณหนูเป็นพี่สาว ทั้งที่อายุห่างกันเพียงแค่ห้าเดือนเท่านั้น”

พูดแล้วชุนเอ๋อร์ก็ป้องปากหัวเราะเบาๆ นางติดตามรับใช้คุณหนูมานาน เรื่องราวของนายนินทาไม่ได้ แต่ไม่ถึงกับห้ามพูดถึง นางเพิ่งรู้สึกว่าคนที่เดินตามมาหยุดเดินจึงหันไปดู เห็นสีหน้าตกใจของมู่ฟางเหนียงแล้วก็อดถามไม่ได้

“มีอะไรรึ”

“มะ..ไม่...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”

นางยิ้มฝืดออกมาแล้วเดินตามชุนเอ๋อร์ ในใจว้าวุ่นยิ่งนัก อย่าบอกนะว่า...ชายผู้นั้นคือ ‘น้องชาย’ ของพี่สาวคนดีของนาง.

            เจ้าของร่างบางนั่งก้มหน้าก้มตาตวัดพู่กันคัดลอกตำราอย่างไม่สนใจว่ามีคนเดินเข้ามาหยุดมองอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เงยหน้าขึ้นมาง่ายๆ จึงกระแอมไอเรียกลูกสาวของตนเอง

            “เหนียงเอ๋อร์”

            “ท่านพ่อ” มู่ฟางเหนียงเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมเป็นประกายมีแววประหลาดใจที่เห็นบิดายืนจ้องหน้านางอยู่

“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ เอ...นี่เวลาใดกัน ลูกยังไม่ได้เตรียมอาหารเลย”

            “สองวันมานี้ พ่อเห็นเจ้าตั้งหน้าตั้งตาคัดลอกตำราแทบทั้งคืนทั้งวัน เจ้าอยากได้ตำราแพทย์เล่มนี้จริงๆ รึ” 

ผู้เป็นพ่อได้แต่ส่ายหน้าไปมา จริงอยู่ว่าฐานะของสองพ่อลูกจะซื้อหนังสือแต่ละเล่มนั้นเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่สามารถซื้อมาครอบครองได้ สองสามวันก่อน ลูกสาวไปดูอาการเคอหลิ่งหลินที่จวนแม่ทัพจ้าว ได้ตำราแพทย์มาสามเล่ม ได้ยินว่าฮูหยินอี้ซิ่วให้ยืมอ่าน จะคืนเมื่อใดก็ได้ แต่ลูกสาวของเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านและคัดลอกบางส่วนที่นางไม่เคยรู้มาก่อน

            “ที่ผ่านมาเราสองคนพ่อลูกอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง สองปีมานี้เราอยู่ติดที่ไม่ได้โยกย้ายไปไหน ลูกก็เลยอยากสะสมตำราแพทย์เหล่านี้ ทั้งความรู้ที่ท่านพ่อมี ข้าก็คัดลอกไว้เป็นตำราศึกษาทบทวนความรู้ แต่ท่านพ่อไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ถ้าถึงเวลาที่เราต้องเดินทาง ลูกจะเป็นคนแบกหนังสือเหล่านี้เอง”

            มู่หยางซัวมองลูกสาวที่แย้มยิ้มราวกับไม่น้อยเนื้อต่ำใจที่ตนเองต้องระหกระเหินติดตามบิดาไม่ได้ความอย่างเขา  เขานั่งลงใกล้ๆ ลูกสาว ปีนี้นางอายุสิบหกแล้ว เป็นสาวสวยงดงามแต่ยังสวมเสื้อผ้าเก่าๆ เต็มไปด้วยรอยปะชุน มือทั้งสองก็หยาบกระด้างเพราะต้องช่วยงานเขาอยู่เสมอ

            “ลูกขอโทษ” นางเอ่ยเสียงแผ่ว แล้ววางพู่กันในมือลง

            “ขอโทษเรื่องอันใดกัน” ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วอย่างงุนงง

            “ลูกควรจะขึ้นเขาไปหาสมุนไพรกับท่าน ไม่ควรเอาแต่ขลุกอยู่กับการคัดลอกตำราเหล่านี้”

            “พ่อไม่ได้คิดเรื่องนั้น” มู่หยางซัวส่ายหน้าไปมา “ลูกอยากอยู่ที่นี่ไหม”

            “อยู่ที่นี่?” นางทวนคำ ทำหน้างุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน “ท่านพ่อหมายถึงอะไรเจ้าคะ”

            “เราเดินทางกันมานานแล้ว ถ้า...ถ้าลูกอยากอยู่ที่นี่ พ่อจะลองปรึกษากับเศรษฐีกู่หลิน ขอผ่อนซื้อบ้านหลังนี้ให้เจ้าอยู่”

            “ซื้อบ้านให้ลูกอยู่? แล้วท่านพ่อล่ะเจ้าคะ”

            “พ่อก็อยู่กับเจ้านั่นแหละ” ผู้เป็นพ่อหัวเราะออกมา

            “ก็ท่านพูดเหมือนจะให้ลูกอยู่คนเดียวนี่เจ้าคะ” นางเบ้ปากน้อยๆ “ท่านอยู่ไหน ลูกอยู่นั่น ยกเว้นท่านพ่อจะมีภรรยาใหม่แล้วไม่ให้ลูกอยู่ด้วย”

            “เจ้านี่ก็ชอบผลักไสให้พ่อมีภรรยาเสียจริง”

            “ก็ลูกเป็นห่วงท่านนี่นะ” นางหัวเราะออกมา ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ เสียงร้องเรียกอยู่หน้าบ้านก็ดังขึ้น ครู่ต่อมาเจ้าของเสียงก็วิ่งถลาเข้ามาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ

            “พี่ฟางเหนียง”

            “มีอะไรรึเสี่ยวจิง” มู่ฟางเหนียงถามเด็กชายวัยสิบขวบที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา

            “วัว...วัวของข้ามันเจ็บท้องตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้มันยังไม่ออกลูกมาให้ข้าเลย” 

            “เจ้าตัวนั้นนะเหรอ” นางถามอย่างนึกได้ บ้านของเสี่ยวจิงอยู่ไม่ไกลนัก นางจำได้เพราะว่าเด็กชายมักมาคุยเล่นกับนางบ่อยๆ บางทีก็จูงมือนางไปดูวัวที่พ่อยกให้เขาเป็นของขวัญ

            “วัวของข้า วัวของข้า” เด็กน้อยได้แต่พูดซ้ำๆ ยกแขนขึ้นปาดน้ำตาจนแก้มเปื้อนเปรอะมอมแมมไปหมด

            “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวข้าจะไปดูเอง” นางจับมือเด็กน้อยแล้วลุกขึ้น “ท่านพ่อ เดี๋ยวข้ามานะ ท่านหิวก็อุ่นกับข้าวกินไปก่อนนะเจ้าคะ”

            มู่หยางซัวโบกมือไล่ให้นางรีบออกไป ไม่เช่นนั้นเด็กชายคงร้องไห้จนตาบวมปูดเป็นแน่ มู่ฟางเหนียงถูกเด็กชายจูงมือแล้วลากให้นางวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว และตามประสาเด็กที่มักจะใช้เส้นทางลัดมุดรั้วบ้านผู้อื่น แม้ต้องคลานสี่เท้าคล้ายสุนัขก็ตามที หญิงสาวก็ยอมทำตามด้วยรู้ว่าเด็กน้อยร้อนใจนัก เขาหมายมั่นจะเป็นคนเลี้ยงวัว ตั้งแต่รู้ว่าวัวของตัวเองตั้งท้อง เขาก็ดูแลมันอย่างดีมาตลอด เห็นวัวท่าทางไม่สบายก็มาตามนางไปดู ทั้งที่ก็รู้ว่าเป็นหมอรักษาคน ไม่ใช่หมอรักษาวัว แต่เอาเถิด เด็กก็คือเด็ก เขามีความตั้งใจมุ่งมั่นดี นางก็ต้องสนับสนุนแม้ต้องคลานจนเจ็บเข่าอย่างนี้ พอพ้นรั้วก็แหวกกอหญ้าสูงท่วมศีรษะ แล้วก็ถึงเขตบ้านของเสี่ยวจิง เขาจูงมือนาง กำมือของนางแน่นราวกับกลัวว่านางจะหนีไปเสียก่อน

            แม่วัวกระสับกระส่าย ส่งเสียงร้องตลอดเวลา เสี่ยวจิงหาหญ้าหรือฟางข้าวปูรองไว้ก่อนแล้ว นางเห็นคนอื่นเฝ้ายืนมองอย่างจนปัญญา ทำอย่างไรแม่วัวก็ไม่อาจเบ่งลูกออกมาได้เสียที หรือจะต้องเสียทั้งแม่และลูกไปพร้อมกัน

            “มาเถอะ ช่วยกันเอาเชือกมัดมันไว้ก่อน เดี๋ยวมันจะถีบผู้อื่นเข้า” นางร้องสั่งให้พ่อของเสี่ยวจิงผูกเชือกล่ามแม่วัวไว้ นางเดินอ้อมไปด้านหลังยกหางวัว เพ่งมองอย่างพิจารณา ปกติลูกวัวจะยื่นขาหน้าออกมาก่อน แต่นี่...

บทที่เกี่ยวข้อง

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 11. ข้าควรได้รับคำขอบคุณหรือไม่

    “เสี่ยวจิงไปเอาน้ำมันหมูมาเร็ว” นางสั่งเด็กชาย เสี่ยวจิงรีบวิ่งไปทันที “ช่วยกันจับแม่วัวให้ดี ข้าต้องล้วงไปดึงขาลูกวัวเสียก่อน” นางม้วนแขนเสื้อขึ้นจนถึงโคนแขนทั้งสองข้าง ท่อนแขนกลมเล็กดุจลำเทียน เมื่อเสี่ยวจิงถือหม้อใส่น้ำมันมาถึง นางก็ให้เด็กชายชโลมทั่วมือและแขน นางสบตากับผู้ใหญ่ที่ช่วยกันจับแม่วัวเป็นเชิงให้สัญญาณแล้วสอดมือเข้าไปในช่องคลอดของวัว ลูบคลำจนรู้ว่าไหล่วัวติดอยู่ นางจึงออกแรงดึงขาหน้าของวัวให้ค่อยๆ ออกมาอย่างช้าๆ “ออกมาแล้วๆ” เด็กชายร้องอย่างดีใจที่เห็นลูกวัวหลุดออกมา แม่วัวร้องอย่างเจ็บปวดสะบัดไปมาจะเหยียบลูกเข้าให้ นางต้องรีบลากออกมาให้พ้นรัศมีเท้าของมัน แม่วัวสาวท้องแรกยังตื่นตกใจไม่ยอมมาเลียลูกวัว มู่ฟางเหนียงมองหาเศษผ้าสักผืน แต่ด้วยความร้อนใจ นางจึงฉีกชายกระโปรงของตนรีบเช็ดเมือกออกจากตัวลูกวัว “โชคดีที่ไม่มีเมือกอุดรูจมูก” นางพึมพำ ไม่นานนักลูกวัวก็ค่อยๆ ยืนขึ้น แม้แข้งขาจะสั่นก็ตาม แม่วัวเริ่มใจเย็นแล้วเดินมาเลียลูกของตน ลูกวัวเดินมุดเข้าไปดูดนมจากเต้าของแม่ทันที “เย้ๆ วัวของข้า” เสี่ยวจิงดีใจกระโดดโลดเต้น ทั้งที่ก่

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 12. ข้าจะรอเจ้า

    “คุณชายจ้าว!”“มันตายแล้วละ” เขากล่าวย้ำเพราะเข้าใจไปว่านางกลัวจนขยับเท้าเดินต่อไม่ได้ นี่นางคงไม่ได้รอให้เขาประคองนางเดินหรอกใช่ไหม?“ท่านทำมันตาย!” นางตวาดด้วยความโมโห“เป็นข้า แล้วอย่างไร ถึงมันจะมีพิษหรือไม่ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นงูก็ไว้ใจไม่ได้” จ้าวจิ่นสือทำเสียงหงุดหงิด “ข้าควรได้รับคำขอบคุณหรือไม่”“ท่านจะมาทวงคำขอบคุณทำไมกัน ในเมื่องูตัวนี้มันตายแล้ว!” นางเกรี้ยวกราดอย่างลืมรักษากิริยา “ข้ากำลังคิดจะจับมันเป็นๆ อยู่นะ”“จับงูเป็นๆ?” เขาขมวดคิ้วแล้วตัดสินใจกระโดดลงจากหลังม้า เขาเพิ่งกลับจากบ้านตระกูลเหวิน ผ่านเส้นทางนี้เห็นเพียงมีงูอยู่เบื้องหน้าหญิงสาว แต่ไม่รู้ว่าหญิงที่ยืนอยู่คนนี้คือบุตรสาวของท่านหมอมู่ “ใช่! ข้า-ต้อง-การ-งู-เป็น-เป็น” นางพูดเน้นย้ำทุกคำแล้วถลึงตามอง เมื่อเขาก้าวมาหยุดยืนเบื้องหน้าทำให้นางรู้สึกได้ทันทีว่าความสูงของนางนั้นแค่ปลายคางของเขาเอง จ้าวจิ่นสือไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินนัก ปกติผู้หญิงเจองูก็เอาแต่กรีดร้องน่ารำคาญ ไม่ว่าจะงูตัวเล็กหรือตัวใหญ่ มีพิษหรือไม่มีพิษ นอกจากเคอหลิ่งหลินแล้ว เขาก็เพิ่งเคยเจอผู้หญิงที่ไม่กรีดร้องแต่เกรี้ยวกราดที่เขาไปฆ่างูตั

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 13.  พร้อมรับคำสั่ง

    คำถามซ้ำอีกครั้งย้ำให้แน่ใจ จ้าวจิ่นสือมิเคยหวาดกลัวสิ่งใด ยิ่งได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญนี้แล้วก็ยิ่งตระหนักได้ว่า ผู้เป็นพ่อไว้วางใจเขามากขึ้น มิใช่เพียงในฐานะพ่อกับลูก แต่ยังเป็นแม่ทัพกับรองแม่ทัพอีกด้วย “ลูกพร้อมรับคำสั่ง” “การศึกมิได้มีแค่จับดาบฟาดฟันศัตรู ตำราพิชัยยุทธ์จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อผู้เรียนรู้เข้าใจถ่องแท้ แม้ปีนี้เจ้าจะอายุยี่สิบแล้วแต่ก็ยังมีนิสัยมุทะลุวู่วามขาดความสุขุม เจ้ารู้ข้อบกพร่องของตนหรือไม่” “ลูกจะปรับปรุงตนเองขอรับ” “ดีแล้ว” แม่ทัพจ้าวพยักหน้ารับ “กลับมาเรื่องกองคาราวาน พ่อรู้ว่าตระกูลเหวินไม่ชอบยุ่งทางการเมือง แม้จะค้าขายกับราชสำนักมาสามชั่วอายุคนแล้วก็ตาม แต่อาศัยว่าเจ้าเป็นสหายกับเหวินเฮ่าหลัน คิดว่าคงไม่ยากที่จะแฝงตัวไปกับกลุ่มพ่อค้า” “เรื่องนี้ลูกพูดคุยกับเฮ่าหลันแล้ว เขายินดีรับรองลูกเข้าร่วมกับกองคาราวานขอรับ” “เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิด ” “ขอรับท่านพ่อ” เขาประสานมือคารวะท่านพ่อแล้วหมุนตัวเดินออกไป ตัดใจไม่ไปห้องของเคอหลิ่งหลินแล้วต

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 14.หญิงสาวที่งดงาม

    “ข้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ จะได้มาเล่นกลองป๋องแป๋งเช่นนี้” เป็นผู้ใดกันที่เล่นตลกหยามเขาได้ขนาดนี้ “รับไปเถอะน่า นางตั้งใจดี อุตส่าห์เอามาให้ข้า เป็นของฝากถึงน้องชายของข้า ซึ่งข้าก็มีน้องชายคนเดียวคือเจ้า เจ้าก็ต้องรับของฝากชิ้นนี้ไป” “นี่เอาข้าไปขายยังไง ถึงได้กลองป๋องแป๋งแบบนี้มา” “เอาน่า คนที่ให้มาเป็นคนดีและเป็นหญิงสาวที่งดงามมากด้วย เจ้ายังไม่เคยเจอนางก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจนัก เผลอๆ จะเป็นเจ้านั่นแหละที่เป็นฝ่ายชอกช้ำเสียดายซะเอง” โดนนางพูดให้เสียขนาดนั้น เขาจึงจำใจรับมา ได้มาก็เก็บไว้ไม่ได้ใส่ใจ จนมาถึงตอนนี้ที่จู่ๆ ก็คิดถึงสิ่งนี้ขึ้นมา จะเป็นนางหรือไม่นะคนที่ฝากกลองป๋องแป๋งนี้มาให้เขา ดูจากที่นางไม่รู้ว่าเคอหลิ่งหลินมีฐานะที่แท้จริงอย่างไร และนางไม่รู้จักเขา หากเป็นนางจริง นางก็คงเข้าใจว่า ‘น้องชาย’ ที่เคอหลิ่งหลินพูดบ่อยๆ เป็นเด็กชายตัวเล็กกระจ้อยร่อยเป็นแน่ เขาเผลอยิ้มที่มุมปากเก็บ ‘ของฝาก’ เข้าที่เดิมแล้วเดินตรงไปแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ หญิงสาวที่งดงาม รู้สึกว่าเคอหลิ่งหลินจะให้ค่าหญิงสาวคน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 15. เข้าใจผิด

    คราวนี้คนเป็นพ่ออ้าปากค้าง โดนลูกสาวดุเป็นเรื่องปกติ แต่นี่เห็นชัดๆ ว่านางโมโหผู้อื่นมาพาลมาลงที่เขา นิสัยนางเหมือนแม่ก็ตรงนี้ พูดจาตรงไปตรงมา เปิดเผยไม่ซ่อนเร้น แม้การเป็นหมอควรมีบุคลิกสงบเยือกเย็นให้คนไข้สบายใจ ทว่าลูกสาวของเขากลับเป็นหมอที่...จะเรียกว่านางปากร้ายก็กล่าวเกินจริงไป นางอาจพูดจาห้วนและดุไปบ้าง แต่เท่าที่สังเกตก็เห็นคนไข้ที่นางรักษาหรือโดนนางบ่นใส่ ก็แย้มยิ้มหรือหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันทั้งนั้น ไม่มีใครโกรธเคืองนาง หากนางติดตามเขาไปรักษาบ้านเศรษฐี นางสงบปากสงบคำลงไปสักครึ่งซึ่งก็นับว่ายากแล้ว เพราะถ้าเจอคนนิสัยไม่ดีดูแคลนผู้อื่น นางก็สรรหาคำพูดมาประชดประชันได้อยู่ดี แต่ถ้านับฝีมือการตรวจรักษาของนางแล้ว นางคือลูกศิษย์ที่เขาภูมิใจนัก เพียงหกเจ็ดขวบนางก็ท่องสูตรยารักษาโรคทั่วไปได้ สิบขวบก็ฝังเข็มเป็น เขาไว้ใจขนาดยอมให้ใช้ตัวเองเป็นหุ่นให้นางฝังเข็ม นอกจากนี้เรื่องอาหารการกิน นางก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะนางเป็นที่เอ็นดูของผู้อื่น ยามที่เขารักษาคน บางครั้งนางก็ไปเข้าครัว หัดทำกับข้าวกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง นำอาหารมาให้เขากินครบสามมื้อ ดูแลเขาไม่ขาดตกบกพร่อง เสื้อผ้า

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-16
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 16. เจ้าคงไม่ได้ล่วงเกินใครหรอกนะ

    เพียงไม่นาน กลิ่นบะหมี่หอมกรุ่นก็ลอยมาแตะปลายจมูกก่อนที่ชามบะหมี่จะมาถึง เพราะอยู่กันแค่สองคนพ่อลูกจึงไม่มีพิธีรีตองอะไรนัก อยากนั่งกินตรงไหนก็นั่งกิน นางจึงยกถาดไม้ที่มีชามบะหมี่ร้อนหอมกรุ่นสองชามมาหาเขาที่ลานตากสมุนไพร “มาเถิดท่านพ่อ กำลังร้อนๆ เลย เดี๋ยวเราค่อยช่วยกันคัดแยกสมุนไพร”บิดาวางมือจากงานที่ทำอยู่ มองลูกสาวที่ยกชามบะหมี่ออกมาวางไว้ด้วยท่าทีคล่องแคล่ว เดินเร็วๆ ไปยกกาน้ำชามา แล้วก็รีบมานั่งกินบะหมี่ข้างเขา มู่หยางซัวคีบบะหมี่ส่งเข้าปากแล้วก็อดชื่นชมลูกสาวไม่ได้ เพราะความลำบากหล่อหลอมให้นางต้องเอาตัวรอด แม้จะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็มิได้อดอยาก อาหารง่ายๆ ก็ปรุงรสให้อร่อยได้ราวกับมีเวทมนตร์ “อ้อ...เมื่อเช้าพ่อบังเอิญพบกับเศรษฐีกู่หลิน” มู่หยางซัวเอ่ยขึ้นมาอย่างเพิ่งนึกได้ “ทำไมรึ เขาจะเชิญพวกเราออกจากบ้านของเขาแล้วรึเจ้าคะ” อาศัยบ้านผู้อื่นอยู่จะโดนเชิญออกเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ แม้บิดาจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอเทวดาไร้เงา ทว่าไม่สามารถยื้อชีวิตทุกคนได้ มีบางครั้งที่สุดจะยื้อคนเจ็บตายคามือ ญาติพี่น้องโมโหมาพังที่พักอาศัยของนางกับพ่อ นางเก็บผ้าผ่อนแทบ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-18
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 17. ดีขึ้นตรงไหน

    เพราะเขาไม่ต้องรีบร้อนรายงานตัวจึงเดินตรงดิ่งกลับไปที่ห้องพัก เขาชะงักเท้าเมื่อต้องเดินผ่านทิศทางที่จะเดินไปห้องของเคอหลิ่งหลิน เขาหันไปถามพ่อบ้านตู้ที่เดินตามมา “นางตื่นหรือยัง” “คุณหนูยังไม่ฟื้นขอรับ” พ่อบ้านรายงานไปตามจริง “แต่ระหว่างนี้ท่านหมอมู่กับบุตรสาวแวะเวียนมาดูอาการบ่อยๆ สีหน้าคุณหนูก็ดีขึ้นมากขอรับ” ตั้งแต่ก่อนไปก็บอกว่าดีขึ้น กลับมาก็บอกว่าดีขึ้น แต่คนก็ยังไม่ตื่น จะดีขึ้นตรงไหน จ้าวจิ่นสือหงุดหงิดอยากเดินเข้าไปดูให้เห็นกับตา แต่สภาพตนเองตอนนี้คงไม่เหมาะนัก เขาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับรู้ แล้วเดินตรงดิ่งไปที่ห้องของตนเอง โบกมือไล่บ่าวรับใช้ไม่ต้องเข้ามา ระหว่างรอคนเติมน้ำอุ่นให้นั้น เขาก็ปลดอาวุธออกจากกายวางบนโต๊ะ รอให้บ่าวรับใช้ออกไป แล้วเขาจึงปลดเปลื้องเสื้อผ้า เหลือเพียงเนื้อกายเปลือยเปล่าลงไปแช่น้ำอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ร่างกายประท้วงว่าเหนื่อยล้าต้องการพักผ่อนอย่างรู้สึกได้ไม่ใช่งานสอดแนมแฝงตัวครั้งแรก แต่ก็รับคำสั่งทำจริงจังแค่ไม่กี่ครั้ง อดคิดถึงหญิงสาวอีกคนที่ยังไม่ตื่นฟื้น นางเป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่อดทนได้มากกว่าเข

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-18
  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 18. แววตา

    แววตาของหญิงสาวจ้องมองเขาอย่างงุนงง นางเองไม่เคยตกอยู่ในสภาพไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ ดวงตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองหญิงสาวในวงแขน แม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันตลอดเวลา แต่เขาก็เห็นนางมาตั้งแต่อายุสิบสาม เขาอ่อนเดือนกว่าไม่เท่าไหร่ก็ถูกนางขโมยตำแหน่ง ‘พี่’ ไปเสียก่อน เคยประลองกระบี่นับครั้งไม่ถ้วน ทว่าไม่เคยโอบกอดนางไว้ในวงแขนเช่นนี้ “เร็วเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูฟื้นแล้ว” ชุนเอ๋อร์รีบเปิดประตูให้ฮูหยินเข้าไป แต่ก็ต้องตกใจที่เห็นคุณชายกำลังอุ้มคุณหนูอยู่อย่างนั้น “จิ่นสือ? หลิ่งหลิน?” “ท่านแม่ ข้าว่ารีบตามหมอมาดูอาการพี่สาวเถิด นางไม่มีแม้แต่แรงจะทรงตัวยืนได้เลย” เขาพูดแล้ววางร่างของเคอหลิ่งหลินลงบนที่นอนตามเดิม “อ่อๆ ใช่ๆ ตามหมอ เจ้าให้คนไปเชิญท่านหมอมาด่วนเลยนะ” “เจ้าค่ะๆ บ่าวจะรีบให้คนไปตามท่านหมอ” ชุนเอ๋อร์รีบวิ่งออกไป ประตูเปิดค้างอยู่ ร่างสูงสง่าของแม่ทัพจ้าวก็ก้าวเข้ามาในห้อง “หลินเอ๋อร์” เป็นพ่อบุญธรรมที่เรียกนางเสียงเข้ม แววตามีความสงสารระคนโมโห เพราะรู้สึกผิดที่อนุญาตให้นางนำเมฆเหินไปหุบเขาชิงซานโดยไม่คาดคิดว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-11-18

บทล่าสุด

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 120. ได้ยินชัดแล้ว

    เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter  119.  ไม่คิดว่า

    มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter   118. ห้ามถอยเด็ดขาด

    เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter   117.  ข้าจะแบกเจ้าเอง

    “เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter   116.  ท่านรักข้าบ้างหรือเปล่า

    “ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter   115. ทรมาน

    “ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter  114. ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร

    “ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 113. ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร

    “พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter  112. หายดี

    มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด

DMCA.com Protection Status