เพียงไม่นาน กลิ่นบะหมี่หอมกรุ่นก็ลอยมาแตะปลายจมูกก่อนที่ชามบะหมี่จะมาถึง เพราะอยู่กันแค่สองคนพ่อลูกจึงไม่มีพิธีรีตองอะไรนัก อยากนั่งกินตรงไหนก็นั่งกิน นางจึงยกถาดไม้ที่มีชามบะหมี่ร้อนหอมกรุ่นสองชามมาหาเขาที่ลานตากสมุนไพร
“มาเถิดท่านพ่อ กำลังร้อนๆ เลย เดี๋ยวเราค่อยช่วยกันคัดแยกสมุนไพร”
บิดาวางมือจากงานที่ทำอยู่ มองลูกสาวที่ยกชามบะหมี่ออกมาวางไว้ด้วยท่าทีคล่องแคล่ว เดินเร็วๆ ไปยกกาน้ำชามา แล้วก็รีบมานั่งกินบะหมี่ข้างเขา มู่หยางซัวคีบบะหมี่ส่งเข้าปากแล้วก็อดชื่นชมลูกสาวไม่ได้ เพราะความลำบากหล่อหลอมให้นางต้องเอาตัวรอด แม้จะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็มิได้อดอยาก อาหารง่ายๆ ก็ปรุงรสให้อร่อยได้ราวกับมีเวทมนตร์
“อ้อ...เมื่อเช้าพ่อบังเอิญพบกับเศรษฐีกู่หลิน” มู่หยางซัวเอ่ยขึ้นมาอย่างเพิ่งนึกได้
“ทำไมรึ เขาจะเชิญพวกเราออกจากบ้านของเขาแล้วรึเจ้าคะ”
อาศัยบ้านผู้อื่นอยู่จะโดนเชิญออกเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ แม้บิดาจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอเทวดาไร้เงา ทว่าไม่สามารถยื้อชีวิตทุกคนได้ มีบางครั้งที่สุดจะยื้อคนเจ็บตายคามือ ญาติพี่น้องโมโหมาพังที่พักอาศัยของนางกับพ่อ นางเก็บผ้าผ่อนแทบไม่ทัน เหตุการณ์เช่นนั้นก็เคยผ่านมาแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด นางจึงระแวงใจว่าจะเกิดเรื่องเช่นนั้นอีก
“เปล่า พ่อแค่ลองถามเรื่องซื้อบ้านหลังนี้”
“ท่านพ่อจะเอาจริงหรือเจ้าคะ”
“ทำไมล่ะ เราจะได้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่ต้องเร่ร่อนไปทั่ว ไม่ดีรึ”
“เขาจะขายให้ท่านพ่อเท่าไหร่”
“ห้าร้อยตำลึง” บิดาพูดเรียบๆ เหมือนเงินจำนวนนิดเดียว แต่มู่ฟางเหนียงที่ถือกระเป๋าเงินย่อมรู้ดีว่าทั้งบ้านมีเงินอยู่กี่ตำลึง
“แต่เศรษฐีกู่หลินบอกว่าถ้าเราต้องการอยู่ที่นี่จริงๆ เขาจะยกบ้านหลังนี้ให้”
นางเคี้ยวเส้นบะหมี่อย่างละเอียดราวกับใช้ความคิด สองปีก่อนช่วงที่สองพ่อลูกเดินทางมาถึงที่นี่ใหม่ๆ ได้รับความช่วยเหลือจากเศรษฐีกู่หลิน ภรรยาเอกของท่านกู่หลินล้มป่วยเรื้อรังเนื่องจากเสียเลือดจากการคลอดบุตรชายคนเดียวของตระกูล นางป่วยกระเสาะกระแสะมาเรื่อย จนกระทั่งท่านพ่อกับนางได้ตรวจดูอาการ แม้จะรู้ดีว่าชีวิตของนางสั้นนัก แต่ก็ช่วยบำรุงให้นางสบายตัวขึ้นได้บ้าง กล่าวได้ว่าไม่ทุกข์ทรมานมากนัก จากเดิมที่จะตายวันตายพรุ่ง ก็ยืดชีวิตได้นานครึ่งปี ได้พอเห็นลูกตัวเองแย้มยิ้มหัวเราะก่อนจะสิ้นใจไป
เศรษฐีกู่หลินอายุเพียงสามสิบสอง มีอนุอีกสี่คน แต่รักภรรยาผู้นี้สุดใจ แม้นางตายไปก็ยังไม่เลือกใครมาเป็นภรรยาเอกคนใหม่ ลูกชายคนเดียวนั้น แรกๆ อ่อนแอนัก แต่เมื่อบำรุงตามสูตรของหมอเทวดาไร้เงาแล้วก็แข็งแรงดีขึ้น จนทุกวันนี้เป็นเด็กชายที่น่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย นางเองก็เคยเข้าไปตรวจสุขภาพพร้อมสั่งยาบำรุงให้อนุแต่ละคนเพื่อจะได้มีบุตรให้เศรษฐีกู่หลินอีก เขาเป็นคนดีที่น่านับถือ แต่มิใช่ว่านางกับพ่อควรอยู่อย่างสำนึกบุญคุณตลอดเวลา เกิดทำอะไรให้อนุคนหนึ่งคนใดไม่พอใจ นางกับพ่อมิต้องรีบร้อนหอบผ้าผ่อนออกไปอีกรึ
“ท่านพ่อไม่ต้องฝืนใจหรอกเจ้าค่ะ ท่านไม่เคยอยู่ที่ใดนานๆ แค่อยู่ที่นี่สองปีก็นับว่านานมากแล้ว ถ้าท่านอยากเดินทาง ลูกก็พร้อมติดตามท่านพ่ออยู่แล้ว”
“เหนียงเอ๋อร์”
“รอพี่หลิ่งหลินฟื้นแล้ว เราก็ออกเดินทางกันเถิดเจ้าค่ะ” นางยิ้มกว้าง ดูไม่เดือดร้อนที่จะเดินทางอีกครั้ง “ท่านพ่อว่าอีกไม่กี่วันใช่ไหม ข้าจะได้มีเวลาเตรียมตัวเก็บสัมภาระ ว่าแต่ท่านอยากไปไหนคิดไว้หรือยัง”
“เหนียงเอ๋อร์” บิดาเรียกเสียงเย็นแต่ลูกสาวกลับหัวเราะออกมา “พ่อทำให้เจ้าลำบากมามากแล้วจริงๆ”
“ถ้าท่านพ่อจะอยู่ที่นี่ก็ต้องซื้อหรือเช่าอยู่ แต่จะอยู่โดยไม่จ่ายอะไรเลยไม่ได้ เจ้าของบ้านไม่คิด แต่ผู้อื่นอาจจะคิดไม่ดีกับเราสองพ่อลูก ไม่เช่นนั้นเราก็ไปหาบ้านหลังเล็กกว่านี้ ราคาถูกกว่านี้”
ซึ่งก็คงหาได้ยากนัก บ้านทั้งหลังแถมมีพื้นที่สำหรับตากสมุนไพรอย่างนี้ ทั้งบ้านมีเงินรวมกันไม่ถึงสามสิบตำลึงด้วยซ้ำ
“แต่ถ้าท่านพ่ออยากอยู่ที่นี่จริงๆ ท่านพ่อก็ต้องไปนั่งตรวจโรคที่ร้านยา ส่วนข้าจะลองทำขนมไปขายดีไหมเจ้าคะ เราจะได้มีเงินมาจ่ายค่าบ้านกัน”
คนเป็นพ่ออ้ำอึ้ง เขาไม่เคยรู้ว่าในบ้านมีเงินเท่าไหร่ หากเจอคนไข้ให้เงิน เขาก็รับมาแบบไม่ได้นับแล้วส่งให้ลูกสาวจัดการ
“ท่านพ่อค่อยๆ คิดเถิด” นางแย้มยิ้มจนดวงตาเป็นประกาย “เตรียมเดินทางก็ไม่ได้ยุ่งอะไรนักหรอก”
หมอมู่หยางซัวได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดาไร้เงา ทว่ากลับพ่ายแพ้ต่อการต่อปากต่อคำกับลูกสาวจริงๆ นางรู้ใจเขาดียิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก อยู่ที่นี่สองปี ทุกอย่างสงบไม่มีเหตุภัยร้ายแรงอะไร ก็เห็นทีน่าจะได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง
“ว่าแต่” พ่อหรี่ตามองลูกสาวอย่างค้นหาบางสิ่ง
“อะไรเจ้าคะ”
“เจ้าคงไม่ได้ล่วงเกินใครจนต้องรีบย้ายออกไปหรอกนะ”
“ลูกนะรึ” นางชี้นิ้วที่ใบหน้าตนเองก่อนส่ายหน้าไปมาเร็วๆ “ไม่มีๆ ข้าไม่ได้ไปทำอะไรใครนะ”
จู่ๆ นางก็คิดถึงใบหน้าของชายผู้นั้น ฆ่างูของนางแล้วยังมาทวงคำขอบคุณอีก นิสัยลูกคนเดียวจริงๆ แต่เอ๊ะ! นางก็ลูกคนเดียวนี่ ไม่หรอกๆ นางเป็นคนมีเหตุผลไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเขาอย่างแน่นอน.
จากเดิมที่คิดว่าจะเดินทางเพียงสามหรือสี่วันกลับกลายเป็นสิบวันเต็ม เขาควบม้ากลับมาถึงจวนแม่ทัพจ้าวเช้ามืด บ่าวรับใช้ยังไม่ตื่นเต็มตาดีนัก ทว่าก็ทำหน้าตกใจเมื่อเห็นสภาพเขาที่กลับมา เมื่อลงจากหลังม้าแล้วก็ส่งบังเหียนให้ผู้ดูแลจูงมันไปพัก ส่วนตนก็ปลดเสื้อคลุมออก คล้ายว่ามันห่อเอาฝุ่นทรายกลับมาด้วย เป็นพ่อบ้านตู้ผู้ตื่นเช้าเข้ามารับเสื้อคลุมทันที แม้จะควบม้าเร็วจนไม่ได้พักมาตลอดสิบสองชั่วยาม แต่บุรุษร่างสูงดูไม่มีท่าทางอิดโรยแม้แต่น้อย
“ข้าน้อยจะไปเรียนท่านทัพ”
“ไม่ต้อง เอาไว้ท่านพ่อตื่นแล้วค่อยเรียนให้ทราบ ให้คนไปเตรียมน้ำให้ข้าอาบก่อน”
เพราะเขาไม่ต้องรีบร้อนรายงานตัวจึงเดินตรงดิ่งกลับไปที่ห้องพัก เขาชะงักเท้าเมื่อต้องเดินผ่านทิศทางที่จะเดินไปห้องของเคอหลิ่งหลิน เขาหันไปถามพ่อบ้านตู้ที่เดินตามมา “นางตื่นหรือยัง” “คุณหนูยังไม่ฟื้นขอรับ” พ่อบ้านรายงานไปตามจริง “แต่ระหว่างนี้ท่านหมอมู่กับบุตรสาวแวะเวียนมาดูอาการบ่อยๆ สีหน้าคุณหนูก็ดีขึ้นมากขอรับ” ตั้งแต่ก่อนไปก็บอกว่าดีขึ้น กลับมาก็บอกว่าดีขึ้น แต่คนก็ยังไม่ตื่น จะดีขึ้นตรงไหน จ้าวจิ่นสือหงุดหงิดอยากเดินเข้าไปดูให้เห็นกับตา แต่สภาพตนเองตอนนี้คงไม่เหมาะนัก เขาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับรู้ แล้วเดินตรงดิ่งไปที่ห้องของตนเอง โบกมือไล่บ่าวรับใช้ไม่ต้องเข้ามา ระหว่างรอคนเติมน้ำอุ่นให้นั้น เขาก็ปลดอาวุธออกจากกายวางบนโต๊ะ รอให้บ่าวรับใช้ออกไป แล้วเขาจึงปลดเปลื้องเสื้อผ้า เหลือเพียงเนื้อกายเปลือยเปล่าลงไปแช่น้ำอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ร่างกายประท้วงว่าเหนื่อยล้าต้องการพักผ่อนอย่างรู้สึกได้ไม่ใช่งานสอดแนมแฝงตัวครั้งแรก แต่ก็รับคำสั่งทำจริงจังแค่ไม่กี่ครั้ง อดคิดถึงหญิงสาวอีกคนที่ยังไม่ตื่นฟื้น นางเป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่อดทนได้มากกว่าเข
แววตาของหญิงสาวจ้องมองเขาอย่างงุนงง นางเองไม่เคยตกอยู่ในสภาพไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ ดวงตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองหญิงสาวในวงแขน แม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันตลอดเวลา แต่เขาก็เห็นนางมาตั้งแต่อายุสิบสาม เขาอ่อนเดือนกว่าไม่เท่าไหร่ก็ถูกนางขโมยตำแหน่ง ‘พี่’ ไปเสียก่อน เคยประลองกระบี่นับครั้งไม่ถ้วน ทว่าไม่เคยโอบกอดนางไว้ในวงแขนเช่นนี้ “เร็วเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูฟื้นแล้ว” ชุนเอ๋อร์รีบเปิดประตูให้ฮูหยินเข้าไป แต่ก็ต้องตกใจที่เห็นคุณชายกำลังอุ้มคุณหนูอยู่อย่างนั้น “จิ่นสือ? หลิ่งหลิน?” “ท่านแม่ ข้าว่ารีบตามหมอมาดูอาการพี่สาวเถิด นางไม่มีแม้แต่แรงจะทรงตัวยืนได้เลย” เขาพูดแล้ววางร่างของเคอหลิ่งหลินลงบนที่นอนตามเดิม “อ่อๆ ใช่ๆ ตามหมอ เจ้าให้คนไปเชิญท่านหมอมาด่วนเลยนะ” “เจ้าค่ะๆ บ่าวจะรีบให้คนไปตามท่านหมอ” ชุนเอ๋อร์รีบวิ่งออกไป ประตูเปิดค้างอยู่ ร่างสูงสง่าของแม่ทัพจ้าวก็ก้าวเข้ามาในห้อง “หลินเอ๋อร์” เป็นพ่อบุญธรรมที่เรียกนางเสียงเข้ม แววตามีความสงสารระคนโมโห เพราะรู้สึกผิดที่อนุญาตให้นางนำเมฆเหินไปหุบเขาชิงซานโดยไม่คาดคิดว
“ฟางเหนียง? เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน” เคอหลิ่งหลินเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ“พ่อบ้านตู้ไปรับข้ามาเจ้าค่ะ”เคอหลิ่งหลินมองไปยังชุนเอ๋อร์ สาวใช้เข้าใจสายตาของผู้เป็นนายจึงค่อยๆ ถอยออกไปอยู่นอกห้อง เมื่อหญิงสาวเห็นว่าเหลือเพียงมู่ฟางเหนียงแล้วจึงเอ่ยปากถามด้วยความร้อนใจ“คุณชายเฉินเป็นอย่างไรบ้าง”“พี่สาวควรห่วงตัวเองก่อนนะเจ้าคะ” คนเป็นหมอหญิงส่ายหน้าไปมา แล้วพลิกข้อมือของหญิงสาวมาจับชีพจร ข้อมือของเคอหลิ่งหลินเล็กและร่างกายก็ซูบผอมลงไปมาก“บิดาของเจ้าล่ะ” เคอหลิ่งหลินพยายามสงบสติอารมณ์ให้คงที่ แต่ความกังวลที่รู้ว่าตัวเองหมดสติหลับใหลไปนานนับเดือนทำให้กังวลถึงชายคนที่นางแอบมีใจให้“ออกไปตรวจคนไข้ที่อื่น กลับพรุ่งนี้เจ้าค่ะ ข้าเลยอาสามาดูอาการของท่านเอง” มู่ฟางเหนียงขมวดคิ้ว “ชีพจรท่านไม่ปกติ ลมปราณไหลเวียนเปลี่ยนทิศ”“คงจะเป็นเช่นนั้น ข้าไม่เคยบาดเจ็บขนาดนี้มาก่อน” นางเพียงฝืนยิ้มให้ “ท่านพ่อก็พูดเช่นนั้น” หญิงสาวอายุน้อยกว่าพยักหน้า “ระหว่างที่ท่านไม่ได้สติ แม่ทัพจ้าวให้พ่อบ้านไปเชิญท่านพ่อมาดูอาการท่าน ข้ากับพ่อจึงเพิ่งรู้ว่าท่านเป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพจ้าว”“เรื่องนั้น... ข้าต้องขอ
“เจ้าค่ะคุณหนู” ชุนเอ๋อร์รับคำสั่งแล้วเดินเร็วๆ ไปหยิบชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนหวานราวกับดอกอิงฮวา (ดอกซากุระ) ที่คุณหนูเคยใส่ครั้งเดียวออกมาส่งให้มู่ฟางเหนียง หญิงสาวทำตาโตส่ายหน้าไปมา มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าชุดนี้งามหรูขนาดไหน “ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะไม่กินยาใดๆ ทั้งสิ้น”“พี่หลิ่งหลิน” มู่ฟางเหนียงส่งเสียงประท้วง คนป่วยจะมาเอาแต่ใจอย่างนี้ได้อย่างไรกันนะ“ท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์ช่วยพูดสำทับไปอีกแรง “ข้าจะไปต้มยาให้เอง รบกวนท่านช่วยดูแลคุณหนูของข้าด้วย”ชุนเอ๋อร์ผลักเสื้อผ้าชุดนั้นใส่มือของมู่ฟางเหนียงแล้วรีบไปหยิบห่อยาขึ้นมา หันมายิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะรีบเดินเร็วๆ ออกไป หญิงสาวหันไปทางคนป่วยที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ เห็นสีหน้าของนางแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ คงต้องตามใจคนป่วยเสียหน่อย ซึ่งปกตินางไม่ชอบเอาใจคนป่วยนักหรอก หญิงสาวหอบชุดสวยไว้ในวงแขนแล้วเดินไปที่ฉากกั้นถอดเสื้อผ้าที่เลอะคราบเลือดออก เปลี่ยนใส่ชุดใหม่ด้วยอาการเก้อเขินเล็กน้อย“พี่สาว ข้าตัวเล็กกว่าท่าน เกรงว่าจะใส่เสื้อผ้าของท่านไม่พอดี”“ไม่พอดีอย่างไร ไหนออกมาให้ข้าดูก่อน”เสียงถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะพาร่าง
“ท่านพ่อ ลูกไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นหัวข้อที่น่าสนทนานัก”เขาฮึดฮัดอย่างขัดใจ ท่านพ่อเคยพูดว่าไม่รังเกียจแม้นางจะเป็นเพียงบุตรสาวของโจรป่า นางเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาใกล้ชิดและไม่คิดว่าจะรู้สึกพิเศษเช่นนี้กับใครได้ ที่รั้งรอไม่ยอมแต่งงานก็เพราะใจของเขามีเพียงเคอหลิ่งหลินเท่านั้น หากนางยังไม่แต่งงานก็เท่ากับเขายังมีความหวัง และอาจเพราะเขาเองไม่เคยพูดกับนางเรื่องนี้ตรงๆ สักครั้ง นางจึงยังไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเป็นห่วงนางในฐานะบุรุษคนหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงน้องชายของนาง“เจ้ายังเด็กอยู่จริงๆ จิ่นสือ” พูดพลางถอนหายใจอีกครั้ง “ท่านพ่อ”“เดิมพันกับพ่อไหมล่ะ”“อะไรนะ” เขาถามกลับอย่างงุนงง“เดิมพันกับพ่อ” แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “พ่อจะส่งเจ้าไปเผ่าเอ้อหลุนชุนและส่งหลิ่งหลินไปเมืองหลวงเป็นเพื่อนแม่ของเจ้า เมื่อกลับมาแล้ว หากเจ้ายังคงเดิมและนางไม่มีผู้ใด พ่อจะสนับสนุนเจ้าทั้งสองคนเอง”“ขอบคุณท่านพ่อ” เขายิ้มกว้างไม่ปิดบังความยินดีบนใบหน้า“เร็วไปจิ่นสือ” บิดายกมือห้ามไว้ก่อน “หากนางมีชายในดวงใจ เจ้าก็ต้องยอมหลีกทาง ไม่คิดแค้นเคืองนางหรือชายผู้นั้นเด็ดขาด”“ลูกสาบาน”“ดี”
คราวนั้นเขาอยู่ในเมืองหลวง เห็นบรรดาหญิงสาวชาววังชอบแต่งกายกันเช่นนี้ อุตส่าห์ทำใจกล้าเดินเข้าไปซื้อ ไม่สนใจสายตาหญิงสาวที่จ้องมองเขาแล้วเอียงหน้าชิดกันกระซิบกระซาบสายตาจับจ้องที่ตัวเขา นางก็อุตส่าห์ใส่ให้เขาดูแค่หนเดียว มันดูประดักประเดิดจริงๆ เป็นเพราะเขาประเมินขนาดรูปร่างของนางผิดไป จริงอยู่ ของที่ให้นางไปแล้ว นางจะทำเช่นไรก็ได้ แต่... เขาจะหงุดหงิดน้อยกว่านี้ถ้าคนที่ใส่อยู่ไม่ใช่บุตรสาวท่านหมอมู่ เดี๋ยวนะ นางชื่ออะไร?“ข้า! ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านี่ห้องของเจ้า!” นางยืดอกเต็มความสูง แต่ก็...ยืดเต็มตัวแล้วก็ยังได้แค่ปลายคางของเขาเท่านั้น แต่ถึงนางจะตัวเล็ก นางก็ไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงได้เด็ดขาด!“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ!” หน็อย! ยัยเด็กขาดอาหารผู้นี้ กล้าพูดจาไม่เกรงกลัวเขาเลยสักนิด“หูท่านหาเรื่องข้าหรือไร” นางพลิกลิ้น ไม่ยอมรับว่าเผลอเรียกเขาแบบเสมอตัว“เฮอะ! เป็นสาวเป็นนาง ได้ยินเสียงผู้ชายเรียกก็รีบเปิดประตูเข้ามาแล้วรึ!”เขาเดินวนรอบตัวของหญิงสาว ปกตินางแต่งตัวเสื้อผ้าปานผ้าขี้ริ้ว พอได้แต่งชุดสวย นางก็...ดูดี ขึ้นมานิดหน่อย คงเพราะสีชมพูของผ้าที่ขับเน้นผิวขาวของนาง หรือเพราะนางก
ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจ ไม่ใช่เจ็บเพราะถูกตบ ทว่า...เขากลับอธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร มู่ฟางเหนียววิ่งออกมา เท้าเล็กๆ สะดุดก้อนหินจนเซถลาไปชนกับเสากลมของเรือน โชคดีที่นางหยุดได้ทันไม่อย่างนั้นหน้าคงกระแทกเสา แต่หญิงสาวก็หยุดยืนยกมือที่สั่นระริกขึ้นดู มันชาเสียจนนางไม่รู้สึกเจ็บ แต่ที่เจ็บคงเป็นที่ใจ เพราะนางไม่เคยถูกใครรังแกถึงเพียงนี้ นางเกลียดตัวเองที่อ่อนแอเหลือเกิน“แม่นางมู่” หญิงสาวตื่นจากภวังค์ แล้วหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เป็นชุนเอ๋อร์ สาวรับใช้ของเคอหลิ่งหลินเดินมาหาพอดี นางฝืนยิ้มทั้งที่มือยังสั่นอยู่“มาอยู่นี่เอง คุณหนูให้ข้ามาตามหาเจ้า”“มีเรื่องอะไรรึ”“คุณหนูเป็นห่วงกลัวเจ้าหลงทาง” ชุนเอ๋อร์ส่งยิ้มให้ แต่เห็นอีกฝ่ายหน้าซีดก็อดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”“เปล่า “ นางสั่นหน้าไปมาแล้วเดินตามชุนเอ๋อร์กลับไปหาเคอหลิ่งหลิน เพียงก้าวเข้าไปในห้อง พ่อบ้านตู้เดินเร็วๆมาหาแล้ว“แม่นางมู่ มีคนจากบ้านเศรษฐีกู่หลินมาเชิญท่านไปดูอาการลูกชายของเขาโดยด่วน”“ได้ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” มู่ฟางเหนียงพยักหน้ารับ แล้วหันไปทางเคอหลิ่งหลินที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง“พี่สาว ข้าขอตัวก่อน ท่าน
“ยามาแล้วเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ทะเล่อทะล่าเข้ามาด้วยความรีบร้อน มู่ฟางเหนียงได้ยินก็หันมา จึงพบว่าเศรษฐีกู่หลินยืนมองอยู่นานแล้ว นางยิ้มน้อยๆ แล้วลุกขึ้น“ได้ยินว่าลูกป่วยหนัก ข้าจึงรีบกลับมา” สีหน้าเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เพิ่งกลับจากคุมคนงานตรวจดูข้าวสารและธัญพืชที่ลำเลียงเข้าโกดัง“ออกหัดเจ้าค่ะ” มู่ฟางเหนียงเดินไปรับห่อยาจากเด็กรับใช้ “ข้าขอตัวไปต้มยาก่อน”กู่หลินเป็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบ ใครๆ มักเรียกเขาว่าเศรษฐีกู่หลิน เขามองหญิงสาวเดินผ่านเขาไป เขามองเงาร่างที่เคลื่อนผ่านเพิ่งสังเกตว่าวันนี้มู่ฟางเหนียงแต่งตัวงดงามนัก นางมีโครงหน้าอ่อนหวาน รูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอม ยิ่งนางสวมชุดสีชมพูราวกับดอกไม้ผลิบาน คล้ายว่านางทำให้รอบกายสว่างไสวไปด้วย เขาเดินไปดูลูกชายที่เริ่มเห็นผดผื่นชัดเจนขึ้น เขาหันไปทางจิวฉิงแล้วยื่นมือไปแตะหลังมือของนาง“ลำบากเจ้าแล้ว”“ท่านพี่อย่าได้พูดเช่นนั้น อย่างไรข้าก็เห็นเขาตั้งแต่เกิด ย่อมรักและเอ็นดูเขาไม่ต่างจากลูกในไส้”“ขอบใจเจ้ามาก” เขาพูดจบก็มองไปทางประตูอย่างลังเล แต่เมื่อเห็นว่าในห้องไม่มีอะไรให้เป็นกังวลมากแล้วจึงตัดสินใจหมุนตัวเดินออกไป“ท่านพี่จะไปไหนเจ้าคะ”
“ตอนที่พ่อเจ้าพบกับอี้เฟยก็อายุประมาณเจ้านี่แหละ แต่ช่วงนั้นลุงไปร่ำเรียนต่างเมือง” อี้ถังเอ่ยขึ้นมาเหมือนรำลึกความหลัง “จริงๆ ท่านตากับท่านยายของเจ้าไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอกนะ เพียงแค่อยากให้ลูกสาวคนเดียวได้พบคู่ครองที่ดี พวกท่านไม่ได้แค่หวังให้พ่อของเจ้าอยู่ที่ร้านยากวงแซเท่านั้น แต่อยากให้อี้เฟยอยู่ใกล้ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะแอบหนีตามกันไปจนหายไปนานนับสิบปีขนาดนี้” “ท่านพ่อเองก็รู้สึกผิดมาตลอดจึงไม่กล้าพาหลานกลับมาคารวะท่านตากับท่านยาย” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ “แต่ต่อไปนี้เราสองคนพ่อลูกจะหาโอกาสแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ” “เจ้ากับพ่อจะพักอยู่กับพวกเราก็ได้” มู่ฟางเหนียงส่ายหน้าไปมา “มาเมืองหลวงครั้งนี้เพราะต้องการมาคารวะท่านตากับท่านยาย และท่านพ่อต้องไปพบคหบดีหนันกง เสร็จธุระแล้ว พวกเราก็จะเดินทางกลับ” “พวกเจ้าจะกลับไปไหนกันเล่า” คราวนี้เป็นมู่ฟางเหนียงที่ไม่อาจเอ่ยตอบได้ รู้แต่... ที่นี่ไม่ใช่ที่ของนาง “ท่านลุง ข้าอยากเดินเล่นสักหน่อย ท่านกลับไปก่อนเถิด” นางเอ่ยบอก อยากเดินคิดอะไรสักหน่อยค่อยกลั
“ท่านรับแน่.. ข้ารู้” เคอหลิ่งหลินย่นจมูกแล้วเดินผิวปากออกไปอย่างสบายอารมณ์ พอเดินกลับมาห้องที่ปล่อยให้มู่ฟางเหนียงอยู่ลำพัง ก็พบว่าหญิงสาวผล็อยหลับไปทั้งน้ำตา นางยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้ม นางรู้และเข้าใจดี ทุกข์ใดจะหนักหนาเท่าทุกข์ในห้วงรัก“รออีกนิดนะฟางเหนียง อดทนเพื่อตัวเจ้าเองและคนที่เจ้ารักอีกนิดเถิด” เคอหลิ่งหลินกระซิบคำปลอบโยน เดินไปหยิบผ้าห่มมาคลุมไหล่บาง ให้นางได้หลับสักนิด ประเดี๋ยวตื่นมาคงดีขึ้น แล้วนางจะไปส่งมู่ฟางเหนียงกลับบ้านเอง เคอหลิ่งหลินสรุปให้ตัวเองแล้วเดินลงไปชั้นล่าง ตรวจดูความเรียบร้อยทั่วไปของโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผา คนที่นี่ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของนาง ซึ่งนางก็หวังเช่นนั้น แล้วจู่ๆ นางก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นหมอมู่หยางซัวก้าวเข้ามาในโรงเตี๊ยมมู่หยางซัวเห็นเคอหลิ่งหลินและท่าทีตกใจของนางก็ขมวดคิ้ว ต่อให้รู้ว่าหญิงผู้นี้เป็นพระชายาขององค์ชายไท่หยาง แต่เขาก็ไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้น เคอหลิ่งหลินรีบคลี่ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วเข้าไปต้อนรับ“ไม่ได้เจอเสียนานท่านหมอมู่”“ใช่รึ ข้าคิดไปว่าเห็นเจ้าอยู่บ่อยๆ” มู่หยางซัวโคลงศีรษะไปมา “ฟางเหนียงล่ะ”“เอ่อ...” จะให้พูดอย่าง
“ฟางเหนียง ใจเย็นก่อน เจ้าคิดมากไปแล้ว” เคอหลิ่งหลินเข้าไปโอบไหล่น้อยๆ ที่สั่นเพราะกำลังร้องไห้ แต่ไหนแต่ไร นางไม่เคยเห็นมู่ฟางเหนียงอ่อนแอเปราะบางเช่นนี้ นางออกจะเป็นคนที่อยู่ด้วยเหตุด้วยผลมาเสมอ แม้นางจะอายุยังน้อยแต่ก็เติบโตเกินวัยด้วยซ้ำไป“ข้า... ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าอยากไปจากที่นี่” “ฟางเหนียง” เคอหลิ่งหลินตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ดึงหญิงสาวมากอดไว้ ปล่อยให้นางร้องไห้ออกมา “ก็ได้ๆ ข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้ เจ้าน้องชายผู้นั้นอย่าได้ไปเอ่ยถึงเขาอีก แต่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าหน่อยเถิด นอกจากเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่ไว้ใจจะปรึกษาเรื่องนี้กับใคร”ถึงจะโกรธชายผู้นั้นมากเพียงใด แต่สำหรับนางแล้ว เคอหลิ่งหลินเสมือนพี่สาวแท้ๆ ของนาง เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ต้องการความช่วยเหลือ นางก็กลั้นสะอื้นแล้วปาดน้ำตาราวกับเด็กน้อย มองหน้าเคอหลิ่งหลินที่ยิ้มเศร้าๆ“ครึ่งปีแล้ว ข้ายังไม่มีวี่แววจะตั้งครรภ์เลย แม้องค์ชายไท่หยางจะไม่เอ่ยอะไร แต่ข้าก็ร้อนใจอยากมีทายาทให้เขา”“พี่หลิ่งหลิน ท่านเคยได้รับพิษมา ร่างกายอาจยังขับพิษออกไม่หมด อย่างไรข้าตรวจดูท่านอย่างละเอียดแล้วปรับยาบำรุงให้ท่าน”“ข้าขอโทษที่พูดเรื่องนี้ตอนนี้นะ” เ
จ้าวจิ่นสือวิ่งตามออกมา แต่ราวกับคลาดกันเพียงแวบเดียว เขาหยุดยืนหน้าหอสราญใจแล้วหันซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่พบคนที่ต้องการ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ข่มความกังวลใจที่เกิดขึ้นแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นส่งสัญญาณ เพียงครู่เดียวผู้อารักขาลับก็ปรากฏเบื้องหน้า “นางอยู่ที่ใด” ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้ว่าเขาหมายถึงใคร “เมื่อครู่พระชายาหลิ่งหลินผ่านมา จึงรับตัวนางไปที่โรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาแล้วขอรับ” ผู้อารักขาลับที่ปลอบตัวเป็นชายขอทานเอ่ยตอบ “เข้าใจแล้ว คอยดูนางไว้” “ขอรับท่านรองแม่ทัพ” ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง นางเข้าใจผิดจนได้ อุตส่าห์เก็บเป็นความลับมาได้ตั้งนาน เคอหลิ่งหลินหลบออกมานอกวังอีกแล้วรึ เบื้องหน้านางคือพระชายาผู้แสนจะเรียบร้อย แทบไม่เคยย่างเท้าออกจากตำหนักขององค์ชายไท่หยางเลย แต่เบื้องหลัง... ฮึ! เขาทำเสียงเยาะในลำคอ มีรึเขาจะไม่รู้ว่าพี่สาวต่างสายเลือดผู้นั้นมีชีวิตโลดโผนปานใด ไม่เช่นนั้นคงไม่พบรักกับองค์ชายไท่หยางได้หรอก เขารีบเร่งเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จ้าวจ
“เอาละๆ เมื่อข้ารู้ปัญหาของเจ้าแล้ว เราก็วางเรื่องเหล่านั้นแล้วหาความสำราญกันเถิด ข้าจะเรียกสาวๆ มาปรนนิบัติเจ้าดีไหม”“ไม่ละ ข้าไม่ชอบ” จ้าวจิ่นสือโบกมือห้ามแล้วลุกขึ้นยืน“มีผู้ใดไม่ชมชอบหญิงงามกันเล่า เจ้ามาเยือนหอสราญใจทั้งที ไม่คิดจะเสพสุขบ้างหรือไร” เหวินเฮ่าหลันหัวเราะอย่างเบิกบานที่สามารถล่วงรู้ปัญหาของสหายผู้นี้ได้“ข้ามีนางในดวงใจแล้ว ไม่คิดข้องแวะกับหญิงใดอีก” แม้จะเป็นนางคณิกาเขาก็ไม่ปรารถนา หลายเดือนมานี้เขาต้องแวะเวียนเข้าออกหอนางโลมเพื่อสืบข่าวหัตถ์เทวะ ได้พบหญิงงามหลากหลายแต่ไม่อาจสั่นคลอนเขาได้ มีเพียงผู้เดียวที่เขาปรารถนาจะชิดใกล้ รอเพียงจัดการภารกิจนี้เสร็จ เขาจะได้... รับนางมาเป็นภรรยาเสียที“อะไรกัน! เรื่องสำคัญขนาดนี้ ข้าเป็นสหายเจ้ากลับไม่ยักรู้” คราวนี้เหวินเฮ่าหลันตกใจจริงๆ “หญิงที่ได้ครอบครองดวงใจเจ้าเป็นใครกัน”“ก็เป็นหญิงธรรมดาๆ นี่แหละ” เขายิ้มอย่างไม่รู้ตัว ไม่หรอก นางไม่ธรรมดาเลยสักนิด ไม่เคยมีเลย ไม่มีใครทำให้เขาทุกข์ทรมานใจได้ยามไกลห่าง อิ่มเอมใจได้ยามชิดใกล้เห็นสีหน้าของสหายแล้วก็แหงนหน้าหัวเราะ จ้าวจิ่นสือเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้ดีว่าเหวินเฮ่าหลันร
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม