คราวนี้คนเป็นพ่ออ้าปากค้าง โดนลูกสาวดุเป็นเรื่องปกติ แต่นี่เห็นชัดๆ ว่านางโมโหผู้อื่นมาพาลมาลงที่เขา นิสัยนางเหมือนแม่ก็ตรงนี้ พูดจาตรงไปตรงมา เปิดเผยไม่ซ่อนเร้น แม้การเป็นหมอควรมีบุคลิกสงบเยือกเย็นให้คนไข้สบายใจ ทว่าลูกสาวของเขากลับเป็นหมอที่...จะเรียกว่านางปากร้ายก็กล่าวเกินจริงไป นางอาจพูดจาห้วนและดุไปบ้าง แต่เท่าที่สังเกตก็เห็นคนไข้ที่นางรักษาหรือโดนนางบ่นใส่ ก็แย้มยิ้มหรือหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันทั้งนั้น ไม่มีใครโกรธเคืองนาง หากนางติดตามเขาไปรักษาบ้านเศรษฐี นางสงบปากสงบคำลงไปสักครึ่งซึ่งก็นับว่ายากแล้ว เพราะถ้าเจอคนนิสัยไม่ดีดูแคลนผู้อื่น นางก็สรรหาคำพูดมาประชดประชันได้อยู่ดี
แต่ถ้านับฝีมือการตรวจรักษาของนางแล้ว นางคือลูกศิษย์ที่เขาภูมิใจนัก เพียงหกเจ็ดขวบนางก็ท่องสูตรยารักษาโรคทั่วไปได้ สิบขวบก็ฝังเข็มเป็น เขาไว้ใจขนาดยอมให้ใช้ตัวเองเป็นหุ่นให้นางฝังเข็ม นอกจากนี้เรื่องอาหารการกิน นางก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะนางเป็นที่เอ็นดูของผู้อื่น ยามที่เขารักษาคน บางครั้งนางก็ไปเข้าครัว หัดทำกับข้าวกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง นำอาหารมาให้เขากินครบสามมื้อ ดูแลเขาไม่ขาดตกบกพร่อง เสื้อผ้าที่เขาสวม นางก็ล้วนซักและปะชุนให้เรียบร้อย ไม่ต้องอับอายว่าใส่เสื้อผ้าเก่า ไม่รวมเรื่องเงินทองรายได้อันน้อยนิดที่นางจัดการได้อย่างดี ไม่เคยได้อดอยากกันนัก เขาต่างหากที่จะพานางลำบากเพราะมักใจอ่อนไม่ค่อยเก็บเงินค่ารักษา แถมถ้ายากจนมาก็แถมเงินให้นิดหน่อย ถ้านางรู้เห็นก็แอบค่อนว่าเขา แต่ก็มิได้ห้ามอะไร
คนเป็นพ่อได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง แม้จะมีรูปร่างหน้าตาสะสวยเพียงไร แต่สิ่งที่สำคัญและได้รับการยกย่องเสียยิ่งกว่าความงามภายนอกก็คือหญิงสาวผู้ทรงไว้ซึ่ง สามเชื่อฟัง สี่คุณธรรม สามเชื่อฟังนั้นได้แก่ ก่อนแต่งให้เชื่อฟังบิดา หลังแต่งให้เชื่อฟังสามี และเมื่อสามีตายจากก็ให้เชื่อฟังลูกชาย ถือเป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ของผู้หญิงในสมัยก่อน ทั้งชีวิตทำเพื่อคนอื่นและอยู่เพื่อคนอื่น
แต่ดูเหมือนว่าเขาเป็นบิดาที่อยู่ในโอวาทของบุตรสาวเสียแล้ว
มู่ฟางเหนียงเห็นท่านพ่อนิ่งงันไป โทสะที่คุกรุ่นเมื่อครู่ก็เริ่มสงบลง เอาเถิด คนผู้นั้นถือตนว่ายศศักดิ์สูงกว่านางซึ่งเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา ซ้ำยังเป็นหมอหญิงที่ไร้เกียรติ มิควรค่าแก่การเคารพนับถือแล้ว นางจะขุ่นเคืองใจให้ร่างกายทรุดโทรมไปไย ดีแล้ว...มันย่อมเป็นการดีเสียอีก เพราะนางจะได้มีเวลาพลิกหน้ากระดาษอ่านทวนซ้ำสักรอบสองรอบ เขาจะเอาคืนเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น นางก็พร้อมจะคืนของที่มิใช่ของตัวเองให้ หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินไปประจบบิดาที่นิ่งงันไปราวกับก้อนหิน
“หลายวันมานี้ลูกไม่ได้ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรกับท่าน เดี๋ยวลูกจะทำบะหมี่อร่อยๆ ให้ท่านพ่อกินก็แล้วกันนะ”
“เจ้าทำอะไรมาพ่อก็กินทั้งนั้นแหละ” เป็นประโยคที่พูดจนติดปาก หมอมู่หยางซัวยกมือลูบศีรษะเบาๆ “ว่าแต่เมื่อครู่ มิใช่คนมาจากจวนแม่ทัพจ้าวหรอกหรือ?”
“ใช่เจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับ “แต่ไม่มีอะไรหรอก เอ่อ...แค่มาส่งข่าวเท่านั้น”
“นึกว่าแม่นางเคอฟื้นแล้ว” ผู้เป็นพ่อพึมพำ “พ่อว่าอีกไม่กี่วันเคอหลิ่งหลินคงจะฟื้นแล้วละ การหลับเป็นการฟื้นฟูร่างกายที่ดีอย่างหนึ่ง”
“ลูกติดตามท่านพ่อมานาน ยังไม่เคยเห็นผู้ใดหลับนานนับเดือนขนาดนี้”
“อาการเจ็บป่วยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผู้อารักขาของคุณชายเฉินที่ไปค้นหาไข่มุกหมื่นราตรีมิได้ถูกพิษจากเปลือกหอย แต่เพราะร่างกายถูกทำร้ายจากผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง พ่อดูรอยฝ่ามือของเคอหลิ่งหลินแล้ว เป็นรอยฝ่ามือเดียวกับที่ผู้อารักขาผู้นั้นได้รับ เขาจึงบาดเจ็บบอบช้ำรักษาได้โดยง่าย แต่เคอหลิ่งหลินถูกพิษ แม้ถูกขับออกก็เพราะฝ่ามือทรงพลังนั้น แต่ก็ทำให้ร่างกายทั้งบอบช้ำและมีพิษหลงเหลืออยู่ นางต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าปกติ”
“แต่ฝ่ามือนั้นทำให้นาง...สูญเสียกำลังภายใน” หญิงสาวหยุดคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “คนเป็นวรยุทธ์ ใช้กำลังภายในมิได้ ลูกเคยได้ยินว่าบางคนยอมตายแต่ไม่ขออยู่เยี่ยงคนพิการ”
“มือเท้านางก็ยังอยู่ดีมิใช่รึ” มู่หยางซัวถอนหายใจเบาๆ ก่อนคลี่ยิ้มออกมา “เจ้าคิดหรือว่าอย่างเคอหลิ่งหลินจะทำร้ายตัวเอง นางซุกซนสมเป็นพี่สาวเจ้า เรื่องแค่นี้นางคงไม่คิดสั้นเช่นนั้นหรอก”
หญิงสาวได้ฟังตามนั้นแล้วก็เผลอหัวเราะออกมา
จริงด้วย ‘พี่สาว’ ของนางเป็นคนมองโลกในแง่ดี แค่ไม่มีวรยุทธ์แต่ก็ยังมีสองมือสองเท้า นางคงไม่ทำร้ายตัวเองหรือคิดสั้นแบบนั้นแน่ๆ นางยิ้มน้อยๆ ออกมาแล้วขอตัวเข้าครัวจัดเตรียมอาหารกลางวันของคนทั้งสอง ปกติท่านพ่อมักกินง่ายอยู่ง่าย นางต้องคอยฝึกปรือฝีมือทำอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพของท่าน แม้จะเป็นอาหารง่ายๆ ตามประสาคนเบี้ยน้อย ครู่ต่อมานางก็ยกชามบะหมี่หอมกรุ่นมาให้บิดาและตัวนางเองด้วย
มู่หยางซัวไม่อยากรอเฉยๆ จึงนำสมุนไพรออกมาจากตะกร้าเตรียมคัดแยก ที่บ้านอยู่กันเพียงสองคนพ่อลูก ไม่มีบ่าวไพร่ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีรายได้พอจะจ้างใครมาช่วยงาน สมุนไพรเหล่านี้เป็นชนิดที่หาได้ในป่าเขา ไม่ได้ลำบากอะไรนัก เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนยากจน ไฉนเลยจะมีเงินซื้อยาดีๆ จากร้านขายยาได้ เขาและลูกสาวตระหนักในข้อนี้ดี จึงพยายามดัดแปลงตำรับยาที่ศึกษามาเพื่อนำสมุนไพรที่หาได้ง่ายมาเป็นตัวยารักษา
จะว่าไปมู่ฟางเหนียงเสียอีกที่ชาญฉลาดกว่าเขา เรียนรู้ที่จะปรุงอาหารเป็นยา คนไหนเจ็บป่วยอะไรมา หากไม่หนักหนาอะไรนัก นางจะสั่งให้กลับไปบำรุงด้วยอาหารต่างๆ ตามอาการของคนป่วย เช่น กุยช่าย ช่วยขับน้ำนมในสตรีหลังคลอด ช่วยฆ่าเชื้อและช่วยถ่ายพยาธิ มีสรรพคุณรักษาโรคนิ่วและหนองใน จี๋เกีย (ขิง) มีสรรพคุณช่วยขับลม ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง ช่วยฆ่าพยาธิและขับปัสสาวะ บำรุงสายตา ช่วยละลายเสมหะ แก้ไอและเจ็บคอ บำรุงสายตาและช่วยให้เจริญอาหาร และเซียะเต่า (ถั่วแดง) ช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดี ช่วยบำรุงเลือดและช่วยขับปัสสาวะ มีสรรพคุณในการลดอาการเหน็บชา ลดผดผื่นคันตามร่างกาย และช่วยบำรุงมดลูกให้ทำงานดีขึ้น
เพียงไม่นาน กลิ่นบะหมี่หอมกรุ่นก็ลอยมาแตะปลายจมูกก่อนที่ชามบะหมี่จะมาถึง เพราะอยู่กันแค่สองคนพ่อลูกจึงไม่มีพิธีรีตองอะไรนัก อยากนั่งกินตรงไหนก็นั่งกิน นางจึงยกถาดไม้ที่มีชามบะหมี่ร้อนหอมกรุ่นสองชามมาหาเขาที่ลานตากสมุนไพร “มาเถิดท่านพ่อ กำลังร้อนๆ เลย เดี๋ยวเราค่อยช่วยกันคัดแยกสมุนไพร”บิดาวางมือจากงานที่ทำอยู่ มองลูกสาวที่ยกชามบะหมี่ออกมาวางไว้ด้วยท่าทีคล่องแคล่ว เดินเร็วๆ ไปยกกาน้ำชามา แล้วก็รีบมานั่งกินบะหมี่ข้างเขา มู่หยางซัวคีบบะหมี่ส่งเข้าปากแล้วก็อดชื่นชมลูกสาวไม่ได้ เพราะความลำบากหล่อหลอมให้นางต้องเอาตัวรอด แม้จะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็มิได้อดอยาก อาหารง่ายๆ ก็ปรุงรสให้อร่อยได้ราวกับมีเวทมนตร์ “อ้อ...เมื่อเช้าพ่อบังเอิญพบกับเศรษฐีกู่หลิน” มู่หยางซัวเอ่ยขึ้นมาอย่างเพิ่งนึกได้ “ทำไมรึ เขาจะเชิญพวกเราออกจากบ้านของเขาแล้วรึเจ้าคะ” อาศัยบ้านผู้อื่นอยู่จะโดนเชิญออกเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ แม้บิดาจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอเทวดาไร้เงา ทว่าไม่สามารถยื้อชีวิตทุกคนได้ มีบางครั้งที่สุดจะยื้อคนเจ็บตายคามือ ญาติพี่น้องโมโหมาพังที่พักอาศัยของนางกับพ่อ นางเก็บผ้าผ่อนแทบ
เพราะเขาไม่ต้องรีบร้อนรายงานตัวจึงเดินตรงดิ่งกลับไปที่ห้องพัก เขาชะงักเท้าเมื่อต้องเดินผ่านทิศทางที่จะเดินไปห้องของเคอหลิ่งหลิน เขาหันไปถามพ่อบ้านตู้ที่เดินตามมา “นางตื่นหรือยัง” “คุณหนูยังไม่ฟื้นขอรับ” พ่อบ้านรายงานไปตามจริง “แต่ระหว่างนี้ท่านหมอมู่กับบุตรสาวแวะเวียนมาดูอาการบ่อยๆ สีหน้าคุณหนูก็ดีขึ้นมากขอรับ” ตั้งแต่ก่อนไปก็บอกว่าดีขึ้น กลับมาก็บอกว่าดีขึ้น แต่คนก็ยังไม่ตื่น จะดีขึ้นตรงไหน จ้าวจิ่นสือหงุดหงิดอยากเดินเข้าไปดูให้เห็นกับตา แต่สภาพตนเองตอนนี้คงไม่เหมาะนัก เขาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับรู้ แล้วเดินตรงดิ่งไปที่ห้องของตนเอง โบกมือไล่บ่าวรับใช้ไม่ต้องเข้ามา ระหว่างรอคนเติมน้ำอุ่นให้นั้น เขาก็ปลดอาวุธออกจากกายวางบนโต๊ะ รอให้บ่าวรับใช้ออกไป แล้วเขาจึงปลดเปลื้องเสื้อผ้า เหลือเพียงเนื้อกายเปลือยเปล่าลงไปแช่น้ำอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ร่างกายประท้วงว่าเหนื่อยล้าต้องการพักผ่อนอย่างรู้สึกได้ไม่ใช่งานสอดแนมแฝงตัวครั้งแรก แต่ก็รับคำสั่งทำจริงจังแค่ไม่กี่ครั้ง อดคิดถึงหญิงสาวอีกคนที่ยังไม่ตื่นฟื้น นางเป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่อดทนได้มากกว่าเข
แววตาของหญิงสาวจ้องมองเขาอย่างงุนงง นางเองไม่เคยตกอยู่ในสภาพไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ ดวงตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองหญิงสาวในวงแขน แม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันตลอดเวลา แต่เขาก็เห็นนางมาตั้งแต่อายุสิบสาม เขาอ่อนเดือนกว่าไม่เท่าไหร่ก็ถูกนางขโมยตำแหน่ง ‘พี่’ ไปเสียก่อน เคยประลองกระบี่นับครั้งไม่ถ้วน ทว่าไม่เคยโอบกอดนางไว้ในวงแขนเช่นนี้ “เร็วเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูฟื้นแล้ว” ชุนเอ๋อร์รีบเปิดประตูให้ฮูหยินเข้าไป แต่ก็ต้องตกใจที่เห็นคุณชายกำลังอุ้มคุณหนูอยู่อย่างนั้น “จิ่นสือ? หลิ่งหลิน?” “ท่านแม่ ข้าว่ารีบตามหมอมาดูอาการพี่สาวเถิด นางไม่มีแม้แต่แรงจะทรงตัวยืนได้เลย” เขาพูดแล้ววางร่างของเคอหลิ่งหลินลงบนที่นอนตามเดิม “อ่อๆ ใช่ๆ ตามหมอ เจ้าให้คนไปเชิญท่านหมอมาด่วนเลยนะ” “เจ้าค่ะๆ บ่าวจะรีบให้คนไปตามท่านหมอ” ชุนเอ๋อร์รีบวิ่งออกไป ประตูเปิดค้างอยู่ ร่างสูงสง่าของแม่ทัพจ้าวก็ก้าวเข้ามาในห้อง “หลินเอ๋อร์” เป็นพ่อบุญธรรมที่เรียกนางเสียงเข้ม แววตามีความสงสารระคนโมโห เพราะรู้สึกผิดที่อนุญาตให้นางนำเมฆเหินไปหุบเขาชิงซานโดยไม่คาดคิดว
“ฟางเหนียง? เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน” เคอหลิ่งหลินเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ“พ่อบ้านตู้ไปรับข้ามาเจ้าค่ะ”เคอหลิ่งหลินมองไปยังชุนเอ๋อร์ สาวใช้เข้าใจสายตาของผู้เป็นนายจึงค่อยๆ ถอยออกไปอยู่นอกห้อง เมื่อหญิงสาวเห็นว่าเหลือเพียงมู่ฟางเหนียงแล้วจึงเอ่ยปากถามด้วยความร้อนใจ“คุณชายเฉินเป็นอย่างไรบ้าง”“พี่สาวควรห่วงตัวเองก่อนนะเจ้าคะ” คนเป็นหมอหญิงส่ายหน้าไปมา แล้วพลิกข้อมือของหญิงสาวมาจับชีพจร ข้อมือของเคอหลิ่งหลินเล็กและร่างกายก็ซูบผอมลงไปมาก“บิดาของเจ้าล่ะ” เคอหลิ่งหลินพยายามสงบสติอารมณ์ให้คงที่ แต่ความกังวลที่รู้ว่าตัวเองหมดสติหลับใหลไปนานนับเดือนทำให้กังวลถึงชายคนที่นางแอบมีใจให้“ออกไปตรวจคนไข้ที่อื่น กลับพรุ่งนี้เจ้าค่ะ ข้าเลยอาสามาดูอาการของท่านเอง” มู่ฟางเหนียงขมวดคิ้ว “ชีพจรท่านไม่ปกติ ลมปราณไหลเวียนเปลี่ยนทิศ”“คงจะเป็นเช่นนั้น ข้าไม่เคยบาดเจ็บขนาดนี้มาก่อน” นางเพียงฝืนยิ้มให้ “ท่านพ่อก็พูดเช่นนั้น” หญิงสาวอายุน้อยกว่าพยักหน้า “ระหว่างที่ท่านไม่ได้สติ แม่ทัพจ้าวให้พ่อบ้านไปเชิญท่านพ่อมาดูอาการท่าน ข้ากับพ่อจึงเพิ่งรู้ว่าท่านเป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพจ้าว”“เรื่องนั้น... ข้าต้องขอ
“เจ้าค่ะคุณหนู” ชุนเอ๋อร์รับคำสั่งแล้วเดินเร็วๆ ไปหยิบชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนหวานราวกับดอกอิงฮวา (ดอกซากุระ) ที่คุณหนูเคยใส่ครั้งเดียวออกมาส่งให้มู่ฟางเหนียง หญิงสาวทำตาโตส่ายหน้าไปมา มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าชุดนี้งามหรูขนาดไหน “ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะไม่กินยาใดๆ ทั้งสิ้น”“พี่หลิ่งหลิน” มู่ฟางเหนียงส่งเสียงประท้วง คนป่วยจะมาเอาแต่ใจอย่างนี้ได้อย่างไรกันนะ“ท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์ช่วยพูดสำทับไปอีกแรง “ข้าจะไปต้มยาให้เอง รบกวนท่านช่วยดูแลคุณหนูของข้าด้วย”ชุนเอ๋อร์ผลักเสื้อผ้าชุดนั้นใส่มือของมู่ฟางเหนียงแล้วรีบไปหยิบห่อยาขึ้นมา หันมายิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะรีบเดินเร็วๆ ออกไป หญิงสาวหันไปทางคนป่วยที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ เห็นสีหน้าของนางแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ คงต้องตามใจคนป่วยเสียหน่อย ซึ่งปกตินางไม่ชอบเอาใจคนป่วยนักหรอก หญิงสาวหอบชุดสวยไว้ในวงแขนแล้วเดินไปที่ฉากกั้นถอดเสื้อผ้าที่เลอะคราบเลือดออก เปลี่ยนใส่ชุดใหม่ด้วยอาการเก้อเขินเล็กน้อย“พี่สาว ข้าตัวเล็กกว่าท่าน เกรงว่าจะใส่เสื้อผ้าของท่านไม่พอดี”“ไม่พอดีอย่างไร ไหนออกมาให้ข้าดูก่อน”เสียงถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะพาร่าง
“ท่านพ่อ ลูกไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นหัวข้อที่น่าสนทนานัก”เขาฮึดฮัดอย่างขัดใจ ท่านพ่อเคยพูดว่าไม่รังเกียจแม้นางจะเป็นเพียงบุตรสาวของโจรป่า นางเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาใกล้ชิดและไม่คิดว่าจะรู้สึกพิเศษเช่นนี้กับใครได้ ที่รั้งรอไม่ยอมแต่งงานก็เพราะใจของเขามีเพียงเคอหลิ่งหลินเท่านั้น หากนางยังไม่แต่งงานก็เท่ากับเขายังมีความหวัง และอาจเพราะเขาเองไม่เคยพูดกับนางเรื่องนี้ตรงๆ สักครั้ง นางจึงยังไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเป็นห่วงนางในฐานะบุรุษคนหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงน้องชายของนาง“เจ้ายังเด็กอยู่จริงๆ จิ่นสือ” พูดพลางถอนหายใจอีกครั้ง “ท่านพ่อ”“เดิมพันกับพ่อไหมล่ะ”“อะไรนะ” เขาถามกลับอย่างงุนงง“เดิมพันกับพ่อ” แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “พ่อจะส่งเจ้าไปเผ่าเอ้อหลุนชุนและส่งหลิ่งหลินไปเมืองหลวงเป็นเพื่อนแม่ของเจ้า เมื่อกลับมาแล้ว หากเจ้ายังคงเดิมและนางไม่มีผู้ใด พ่อจะสนับสนุนเจ้าทั้งสองคนเอง”“ขอบคุณท่านพ่อ” เขายิ้มกว้างไม่ปิดบังความยินดีบนใบหน้า“เร็วไปจิ่นสือ” บิดายกมือห้ามไว้ก่อน “หากนางมีชายในดวงใจ เจ้าก็ต้องยอมหลีกทาง ไม่คิดแค้นเคืองนางหรือชายผู้นั้นเด็ดขาด”“ลูกสาบาน”“ดี”
คราวนั้นเขาอยู่ในเมืองหลวง เห็นบรรดาหญิงสาวชาววังชอบแต่งกายกันเช่นนี้ อุตส่าห์ทำใจกล้าเดินเข้าไปซื้อ ไม่สนใจสายตาหญิงสาวที่จ้องมองเขาแล้วเอียงหน้าชิดกันกระซิบกระซาบสายตาจับจ้องที่ตัวเขา นางก็อุตส่าห์ใส่ให้เขาดูแค่หนเดียว มันดูประดักประเดิดจริงๆ เป็นเพราะเขาประเมินขนาดรูปร่างของนางผิดไป จริงอยู่ ของที่ให้นางไปแล้ว นางจะทำเช่นไรก็ได้ แต่... เขาจะหงุดหงิดน้อยกว่านี้ถ้าคนที่ใส่อยู่ไม่ใช่บุตรสาวท่านหมอมู่ เดี๋ยวนะ นางชื่ออะไร?“ข้า! ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านี่ห้องของเจ้า!” นางยืดอกเต็มความสูง แต่ก็...ยืดเต็มตัวแล้วก็ยังได้แค่ปลายคางของเขาเท่านั้น แต่ถึงนางจะตัวเล็ก นางก็ไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงได้เด็ดขาด!“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ!” หน็อย! ยัยเด็กขาดอาหารผู้นี้ กล้าพูดจาไม่เกรงกลัวเขาเลยสักนิด“หูท่านหาเรื่องข้าหรือไร” นางพลิกลิ้น ไม่ยอมรับว่าเผลอเรียกเขาแบบเสมอตัว“เฮอะ! เป็นสาวเป็นนาง ได้ยินเสียงผู้ชายเรียกก็รีบเปิดประตูเข้ามาแล้วรึ!”เขาเดินวนรอบตัวของหญิงสาว ปกตินางแต่งตัวเสื้อผ้าปานผ้าขี้ริ้ว พอได้แต่งชุดสวย นางก็...ดูดี ขึ้นมานิดหน่อย คงเพราะสีชมพูของผ้าที่ขับเน้นผิวขาวของนาง หรือเพราะนางก
ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจ ไม่ใช่เจ็บเพราะถูกตบ ทว่า...เขากลับอธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร มู่ฟางเหนียววิ่งออกมา เท้าเล็กๆ สะดุดก้อนหินจนเซถลาไปชนกับเสากลมของเรือน โชคดีที่นางหยุดได้ทันไม่อย่างนั้นหน้าคงกระแทกเสา แต่หญิงสาวก็หยุดยืนยกมือที่สั่นระริกขึ้นดู มันชาเสียจนนางไม่รู้สึกเจ็บ แต่ที่เจ็บคงเป็นที่ใจ เพราะนางไม่เคยถูกใครรังแกถึงเพียงนี้ นางเกลียดตัวเองที่อ่อนแอเหลือเกิน“แม่นางมู่” หญิงสาวตื่นจากภวังค์ แล้วหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เป็นชุนเอ๋อร์ สาวรับใช้ของเคอหลิ่งหลินเดินมาหาพอดี นางฝืนยิ้มทั้งที่มือยังสั่นอยู่“มาอยู่นี่เอง คุณหนูให้ข้ามาตามหาเจ้า”“มีเรื่องอะไรรึ”“คุณหนูเป็นห่วงกลัวเจ้าหลงทาง” ชุนเอ๋อร์ส่งยิ้มให้ แต่เห็นอีกฝ่ายหน้าซีดก็อดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”“เปล่า “ นางสั่นหน้าไปมาแล้วเดินตามชุนเอ๋อร์กลับไปหาเคอหลิ่งหลิน เพียงก้าวเข้าไปในห้อง พ่อบ้านตู้เดินเร็วๆมาหาแล้ว“แม่นางมู่ มีคนจากบ้านเศรษฐีกู่หลินมาเชิญท่านไปดูอาการลูกชายของเขาโดยด่วน”“ได้ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” มู่ฟางเหนียงพยักหน้ารับ แล้วหันไปทางเคอหลิ่งหลินที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง“พี่สาว ข้าขอตัวก่อน ท่าน
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด