แววตาของหญิงสาวจ้องมองเขาอย่างงุนงง นางเองไม่เคยตกอยู่ในสภาพไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้
ดวงตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองหญิงสาวในวงแขน แม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันตลอดเวลา แต่เขาก็เห็นนางมาตั้งแต่อายุสิบสาม เขาอ่อนเดือนกว่าไม่เท่าไหร่ก็ถูกนางขโมยตำแหน่ง ‘พี่’ ไปเสียก่อน เคยประลองกระบี่นับครั้งไม่ถ้วน ทว่าไม่เคยโอบกอดนางไว้ในวงแขนเช่นนี้
“เร็วเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูฟื้นแล้ว” ชุนเอ๋อร์รีบเปิดประตูให้ฮูหยินเข้าไป แต่ก็ต้องตกใจที่เห็นคุณชายกำลังอุ้มคุณหนูอยู่อย่างนั้น
“จิ่นสือ? หลิ่งหลิน?”
“ท่านแม่ ข้าว่ารีบตามหมอมาดูอาการพี่สาวเถิด นางไม่มีแม้แต่แรงจะทรงตัวยืนได้เลย” เขาพูดแล้ววางร่างของเคอหลิ่งหลินลงบนที่นอนตามเดิม
“อ่อๆ ใช่ๆ ตามหมอ เจ้าให้คนไปเชิญท่านหมอมาด่วนเลยนะ”
“เจ้าค่ะๆ บ่าวจะรีบให้คนไปตามท่านหมอ” ชุนเอ๋อร์รีบวิ่งออกไป ประตูเปิดค้างอยู่ ร่างสูงสง่าของแม่ทัพจ้าวก็ก้าวเข้ามาในห้อง
“หลินเอ๋อร์” เป็นพ่อบุญธรรมที่เรียกนางเสียงเข้ม แววตามีความสงสารระคนโมโห เพราะรู้สึกผิดที่อนุญาตให้นางนำเมฆเหินไปหุบเขาชิงซานโดยไม่คาดคิดว่านางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านเป็นห่วง”
“เด็กโง่ มีพ่อแม่ที่ไหนไม่ห่วงลูกตัวเองบ้าง”
ฮูหยินอี้ซิ่วนั่งลงข้างเตียง มือหนึ่งก็เช็ดหางตา อีกมือก็จับมือของเคอหลิ่งหลินเอาไว้ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาลูกสาวบุญธรรมบาดเจ็บสาหัส หลับๆ ตื่นๆ ไม่ได้สติ ข้าวปลาไม่ได้กิน ข้อมือของนางจึงเล็กลงไปมาก แทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกเลยด้วยซ้ำ
“ข้าผิดไปแล้ว ท่านแม่อย่าร้องไห้สิ” นางพยายามจะหัวเราะแต่ทำได้แค่ยิ้มเท่านั้น แต่เมื่อมองไปทางท่านแม่ทัพที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ก็ทำได้แค่เม้มปาก นางผิดต่อพ่อบุญธรรมเป็นที่สุด
“เจ้าฟื้นก็ดีแล้ว รีบๆ ฟื้นตัวเอง เจ้ายังติดค้างเรื่องสำคัญกับข้าอยู่” แม่ทัพจ้าวได้แต่ถอนหายใจหนักๆ ส่วนหนึ่งคือความโล่งอกที่เห็นนางฟื้นได้สติ อีกส่วนคือต้องการรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับนาง
“ข้าทราบแล้วท่านพ่อ” นางเรียกอย่างเอาใจ
“ท่านแม่ ข้าหิวจัง” นางเริ่มออดอ้อนทำตัวเป็นลูกสาวคนดี
อากัปกิริยานี้ทำให้จ้าวจิ่นสือเค้นเสียงหัวเราะในลำคอ แม้เคอหลิ่งหลินจะยังไร้กำลังเรี่ยวแรงฟื้นคืน แต่ก็ใช้สายตาดุๆ จ้องมองไปทางเขาได้
“ดีเลย หิวแล้วแสดงว่าร่างกายกำลังฟื้นตัว กินโจ๊กร้อนๆ ดีกว่านะ” ฮูหยินหันไปเห็นชุนเอ๋อร์วิ่งกลับเข้ามาพอดี “ชุนเอ๋อร์ไปให้พ่อครัวเตรียมโจ๊กร้อนๆ ให้คุณหนูสักชาม”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” ชุนเอ๋อร์หมุนตัววิ่งออกไปอีกรอบ
“พวกเราก็ออกไปก่อน ปล่อยให้หลินเอ๋อร์พักผ่อน รอท่านหมอมาตรวจอาการอีกที” แม่ทัพจ้าวพูดเหมือนสั่งแล้วหันไปทางลูกชาย
“เจ้าก็เหมือนกันจิ่นสือ เวลานี้เจ้าควรฝึกทหารมิใช่รึ”
“ขอรับท่านพ่อ” จ้าวจิ่นสือก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงรับคำสั่งท่านพ่อ ลืมไปหรือไรว่าเขาเพิ่งกลับมาบ้าน ท่านแม่ก็ไม่เอ่ยถามสักคำ แต่ช่างเถอะ ทุกคนตื่นเต้นดีใจที่เห็นเคอหลิ่งหลินลืมตาเสียที
เขาปรายตามองคนที่นอนบนเตียงเพียงครู่หนึ่งแล้วก้าวออกไป ครู่หนึ่งรู้สึกได้ว่ามีใครเดินเร็วๆ ตามหลังมา เขาจึงหยุดและหันไปมอง เห็นพ่อบ้านตู้ที่ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ท่าทางรีบร้อน
“มีอะไร”
“นายท่านให้คุณชายไปรอที่ห้องอักษรก่อนขอรับ”
“เข้าใจแล้ว”
“ข้าน้อยขอตัวไปเชิญท่านหมอมู่ก่อนขอรับ” พ่อบ้านตู้ก้าวถอยหลังออกไป
จ้าวจิ่นสือถอนหายใจหนักหน่วง เรื่องเขาไปไหนมีแต่ท่านพ่อเท่านั้นที่รู้ แม้จะอยากพักแต่ตอนนี้ก็พักไม่ลง พอเห็นเคอหลิ่งหลินลืมตาพูดจาหยอกล้อกับเขาได้ หัวใจที่หนักอึ้งก็เบาลง.
เสียงร้อนรนเรียกอยู่หน้าบ้านทำให้มู่ฟางเหนียงวางมือจากการเก็บสมุนไพรเบื้องหน้า หญิงสาวเดินไปหน้าบ้านก็เห็นพ่อบ้านตู้ยืนกระสับกระส่ายและมีรถม้าจอดรออยู่หน้าบ้านแล้ว
“แม่นางมู่ ...ท่านหมออยู่หรือไม่”
“ท่านพ่อไปรักษาคนป่วยอีกหมู่บ้าน จะกลับวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ” มู่ฟางเหนียงคลี่ยิ้มน้อยๆ ทำให้ใบหน้าดูละมุนและอ่อนหวานนัก
“ทำอย่างไรดี...คุณหนูฟื้นแล้ว”
“พี่หลิ่งหลินฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ”
นางยิ้มกว้างมากขึ้น เป็นอย่างที่ท่านพ่อคาดการณ์ไว้ไม่ผิด ไม่วันนี้ก็อย่างช้าไม่เกินหนึ่งหรือสองวันนี้ เคอหลิ่งหลินจะตื่นฟื้น ท่านพ่อจึงไม่ให้นางติดตามไปช่วยดูแลรักษาคนป่วยอีกหมู่บ้านที่ผู้ใหญ่บ้านอุตส่าห์จัดหารถม้ามาเชิญไป ท่านให้นางเตรียมตัวและเตรียมยาสำหรับเคอหลิ่งหลิน ไม่คิดว่าเช้านี้จะได้ยินข่าวดีแล้ว
“เพิ่งฟื้นเมื่อครู่ ท่าทางอ่อนเพลียมาก”
“ท่านพ่อบอกข้าน้อยให้เตรียมตัวไว้แล้ว โปรดรอสักครู่ ขอไปหยิบล่วมยาก่อนเจ้าค่ะ”
หญิงสาวรีบเดินกลับเข้าไปในบ้าน หยิบสมุนไพรที่ท่านพ่อเตรียมไว้ให้ก่อนแล้ว นางหันซ้ายหันขวากวาดตามองว่าลืมสิ่งใดอีกหรือไม่ ทันใดนั้นนางก็นึกถึงตำราแพทย์ที่หยิบยืมมาจากจวนแม่ทัพจ้าว หลังจากวันนั้นที่เขาส่งคนมาบอกนางให้เก็บหนังสือไว้ก่อน เขาก็เงียบหายไปสิบวันเต็ม ไม่รู้ว่าลืมนางไปหรือไม่ เดิมทีอยากยืมหนังสือไว้นานๆ แต่หลังจากที่ปรึกษาพูดคุยกับบิดาว่าเราจะโยกย้ายออกจากเมืองนี้ นางจึงอยากคืนหนังสือให้เขาโดยเร็ว เพื่อจะได้ไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจ คิดได้ดังนั้นนางก็หยิบหนังสือสามเล่มห่อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินถือล่วมยาและห่อผ้าออกไปหน้าบ้าน พ่อบ้านตู้รีบเข้าไปช่วยรับและส่งนางขึ้นรถม้าแล้วพาไปที่จวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว
เมื่อไปถึง มู่ฟางเหนียงเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าคุณหนูของบ้านจะเป็นที่รักและห่วงใยของทุกคน ระหว่างเดินผ่านผู้คนเหล่านั้น แอบเห็นบางคนเช็ดน้ำตาป้อยๆ ด้วยความดีใจ นางจึงพลอยยิ้มไปด้วย พ่อบ้านตู้พานางไปส่งที่ห้องพักของเคอหลิ่งหลิน
“พี่หลิ่งหลิน” นางร้องทักด้วยความยินดี ก่อนถลาเข้าไปประคองเคอหลิ่งหลินให้นั่งพิงหมอนเอนกายได้สบายตัวขึ้น
“ฟางเหนียง? เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน” เคอหลิ่งหลินเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ“พ่อบ้านตู้ไปรับข้ามาเจ้าค่ะ”เคอหลิ่งหลินมองไปยังชุนเอ๋อร์ สาวใช้เข้าใจสายตาของผู้เป็นนายจึงค่อยๆ ถอยออกไปอยู่นอกห้อง เมื่อหญิงสาวเห็นว่าเหลือเพียงมู่ฟางเหนียงแล้วจึงเอ่ยปากถามด้วยความร้อนใจ“คุณชายเฉินเป็นอย่างไรบ้าง”“พี่สาวควรห่วงตัวเองก่อนนะเจ้าคะ” คนเป็นหมอหญิงส่ายหน้าไปมา แล้วพลิกข้อมือของหญิงสาวมาจับชีพจร ข้อมือของเคอหลิ่งหลินเล็กและร่างกายก็ซูบผอมลงไปมาก“บิดาของเจ้าล่ะ” เคอหลิ่งหลินพยายามสงบสติอารมณ์ให้คงที่ แต่ความกังวลที่รู้ว่าตัวเองหมดสติหลับใหลไปนานนับเดือนทำให้กังวลถึงชายคนที่นางแอบมีใจให้“ออกไปตรวจคนไข้ที่อื่น กลับพรุ่งนี้เจ้าค่ะ ข้าเลยอาสามาดูอาการของท่านเอง” มู่ฟางเหนียงขมวดคิ้ว “ชีพจรท่านไม่ปกติ ลมปราณไหลเวียนเปลี่ยนทิศ”“คงจะเป็นเช่นนั้น ข้าไม่เคยบาดเจ็บขนาดนี้มาก่อน” นางเพียงฝืนยิ้มให้ “ท่านพ่อก็พูดเช่นนั้น” หญิงสาวอายุน้อยกว่าพยักหน้า “ระหว่างที่ท่านไม่ได้สติ แม่ทัพจ้าวให้พ่อบ้านไปเชิญท่านพ่อมาดูอาการท่าน ข้ากับพ่อจึงเพิ่งรู้ว่าท่านเป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพจ้าว”“เรื่องนั้น... ข้าต้องขอ
“เจ้าค่ะคุณหนู” ชุนเอ๋อร์รับคำสั่งแล้วเดินเร็วๆ ไปหยิบชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนหวานราวกับดอกอิงฮวา (ดอกซากุระ) ที่คุณหนูเคยใส่ครั้งเดียวออกมาส่งให้มู่ฟางเหนียง หญิงสาวทำตาโตส่ายหน้าไปมา มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าชุดนี้งามหรูขนาดไหน “ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะไม่กินยาใดๆ ทั้งสิ้น”“พี่หลิ่งหลิน” มู่ฟางเหนียงส่งเสียงประท้วง คนป่วยจะมาเอาแต่ใจอย่างนี้ได้อย่างไรกันนะ“ท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์ช่วยพูดสำทับไปอีกแรง “ข้าจะไปต้มยาให้เอง รบกวนท่านช่วยดูแลคุณหนูของข้าด้วย”ชุนเอ๋อร์ผลักเสื้อผ้าชุดนั้นใส่มือของมู่ฟางเหนียงแล้วรีบไปหยิบห่อยาขึ้นมา หันมายิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะรีบเดินเร็วๆ ออกไป หญิงสาวหันไปทางคนป่วยที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ เห็นสีหน้าของนางแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ คงต้องตามใจคนป่วยเสียหน่อย ซึ่งปกตินางไม่ชอบเอาใจคนป่วยนักหรอก หญิงสาวหอบชุดสวยไว้ในวงแขนแล้วเดินไปที่ฉากกั้นถอดเสื้อผ้าที่เลอะคราบเลือดออก เปลี่ยนใส่ชุดใหม่ด้วยอาการเก้อเขินเล็กน้อย“พี่สาว ข้าตัวเล็กกว่าท่าน เกรงว่าจะใส่เสื้อผ้าของท่านไม่พอดี”“ไม่พอดีอย่างไร ไหนออกมาให้ข้าดูก่อน”เสียงถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะพาร่าง
“ท่านพ่อ ลูกไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นหัวข้อที่น่าสนทนานัก”เขาฮึดฮัดอย่างขัดใจ ท่านพ่อเคยพูดว่าไม่รังเกียจแม้นางจะเป็นเพียงบุตรสาวของโจรป่า นางเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาใกล้ชิดและไม่คิดว่าจะรู้สึกพิเศษเช่นนี้กับใครได้ ที่รั้งรอไม่ยอมแต่งงานก็เพราะใจของเขามีเพียงเคอหลิ่งหลินเท่านั้น หากนางยังไม่แต่งงานก็เท่ากับเขายังมีความหวัง และอาจเพราะเขาเองไม่เคยพูดกับนางเรื่องนี้ตรงๆ สักครั้ง นางจึงยังไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเป็นห่วงนางในฐานะบุรุษคนหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงน้องชายของนาง“เจ้ายังเด็กอยู่จริงๆ จิ่นสือ” พูดพลางถอนหายใจอีกครั้ง “ท่านพ่อ”“เดิมพันกับพ่อไหมล่ะ”“อะไรนะ” เขาถามกลับอย่างงุนงง“เดิมพันกับพ่อ” แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “พ่อจะส่งเจ้าไปเผ่าเอ้อหลุนชุนและส่งหลิ่งหลินไปเมืองหลวงเป็นเพื่อนแม่ของเจ้า เมื่อกลับมาแล้ว หากเจ้ายังคงเดิมและนางไม่มีผู้ใด พ่อจะสนับสนุนเจ้าทั้งสองคนเอง”“ขอบคุณท่านพ่อ” เขายิ้มกว้างไม่ปิดบังความยินดีบนใบหน้า“เร็วไปจิ่นสือ” บิดายกมือห้ามไว้ก่อน “หากนางมีชายในดวงใจ เจ้าก็ต้องยอมหลีกทาง ไม่คิดแค้นเคืองนางหรือชายผู้นั้นเด็ดขาด”“ลูกสาบาน”“ดี”
คราวนั้นเขาอยู่ในเมืองหลวง เห็นบรรดาหญิงสาวชาววังชอบแต่งกายกันเช่นนี้ อุตส่าห์ทำใจกล้าเดินเข้าไปซื้อ ไม่สนใจสายตาหญิงสาวที่จ้องมองเขาแล้วเอียงหน้าชิดกันกระซิบกระซาบสายตาจับจ้องที่ตัวเขา นางก็อุตส่าห์ใส่ให้เขาดูแค่หนเดียว มันดูประดักประเดิดจริงๆ เป็นเพราะเขาประเมินขนาดรูปร่างของนางผิดไป จริงอยู่ ของที่ให้นางไปแล้ว นางจะทำเช่นไรก็ได้ แต่... เขาจะหงุดหงิดน้อยกว่านี้ถ้าคนที่ใส่อยู่ไม่ใช่บุตรสาวท่านหมอมู่ เดี๋ยวนะ นางชื่ออะไร?“ข้า! ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านี่ห้องของเจ้า!” นางยืดอกเต็มความสูง แต่ก็...ยืดเต็มตัวแล้วก็ยังได้แค่ปลายคางของเขาเท่านั้น แต่ถึงนางจะตัวเล็ก นางก็ไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงได้เด็ดขาด!“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ!” หน็อย! ยัยเด็กขาดอาหารผู้นี้ กล้าพูดจาไม่เกรงกลัวเขาเลยสักนิด“หูท่านหาเรื่องข้าหรือไร” นางพลิกลิ้น ไม่ยอมรับว่าเผลอเรียกเขาแบบเสมอตัว“เฮอะ! เป็นสาวเป็นนาง ได้ยินเสียงผู้ชายเรียกก็รีบเปิดประตูเข้ามาแล้วรึ!”เขาเดินวนรอบตัวของหญิงสาว ปกตินางแต่งตัวเสื้อผ้าปานผ้าขี้ริ้ว พอได้แต่งชุดสวย นางก็...ดูดี ขึ้นมานิดหน่อย คงเพราะสีชมพูของผ้าที่ขับเน้นผิวขาวของนาง หรือเพราะนางก
ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจ ไม่ใช่เจ็บเพราะถูกตบ ทว่า...เขากลับอธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร มู่ฟางเหนียววิ่งออกมา เท้าเล็กๆ สะดุดก้อนหินจนเซถลาไปชนกับเสากลมของเรือน โชคดีที่นางหยุดได้ทันไม่อย่างนั้นหน้าคงกระแทกเสา แต่หญิงสาวก็หยุดยืนยกมือที่สั่นระริกขึ้นดู มันชาเสียจนนางไม่รู้สึกเจ็บ แต่ที่เจ็บคงเป็นที่ใจ เพราะนางไม่เคยถูกใครรังแกถึงเพียงนี้ นางเกลียดตัวเองที่อ่อนแอเหลือเกิน“แม่นางมู่” หญิงสาวตื่นจากภวังค์ แล้วหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เป็นชุนเอ๋อร์ สาวรับใช้ของเคอหลิ่งหลินเดินมาหาพอดี นางฝืนยิ้มทั้งที่มือยังสั่นอยู่“มาอยู่นี่เอง คุณหนูให้ข้ามาตามหาเจ้า”“มีเรื่องอะไรรึ”“คุณหนูเป็นห่วงกลัวเจ้าหลงทาง” ชุนเอ๋อร์ส่งยิ้มให้ แต่เห็นอีกฝ่ายหน้าซีดก็อดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”“เปล่า “ นางสั่นหน้าไปมาแล้วเดินตามชุนเอ๋อร์กลับไปหาเคอหลิ่งหลิน เพียงก้าวเข้าไปในห้อง พ่อบ้านตู้เดินเร็วๆมาหาแล้ว“แม่นางมู่ มีคนจากบ้านเศรษฐีกู่หลินมาเชิญท่านไปดูอาการลูกชายของเขาโดยด่วน”“ได้ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” มู่ฟางเหนียงพยักหน้ารับ แล้วหันไปทางเคอหลิ่งหลินที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง“พี่สาว ข้าขอตัวก่อน ท่าน
“ยามาแล้วเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ทะเล่อทะล่าเข้ามาด้วยความรีบร้อน มู่ฟางเหนียงได้ยินก็หันมา จึงพบว่าเศรษฐีกู่หลินยืนมองอยู่นานแล้ว นางยิ้มน้อยๆ แล้วลุกขึ้น“ได้ยินว่าลูกป่วยหนัก ข้าจึงรีบกลับมา” สีหน้าเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เพิ่งกลับจากคุมคนงานตรวจดูข้าวสารและธัญพืชที่ลำเลียงเข้าโกดัง“ออกหัดเจ้าค่ะ” มู่ฟางเหนียงเดินไปรับห่อยาจากเด็กรับใช้ “ข้าขอตัวไปต้มยาก่อน”กู่หลินเป็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบ ใครๆ มักเรียกเขาว่าเศรษฐีกู่หลิน เขามองหญิงสาวเดินผ่านเขาไป เขามองเงาร่างที่เคลื่อนผ่านเพิ่งสังเกตว่าวันนี้มู่ฟางเหนียงแต่งตัวงดงามนัก นางมีโครงหน้าอ่อนหวาน รูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอม ยิ่งนางสวมชุดสีชมพูราวกับดอกไม้ผลิบาน คล้ายว่านางทำให้รอบกายสว่างไสวไปด้วย เขาเดินไปดูลูกชายที่เริ่มเห็นผดผื่นชัดเจนขึ้น เขาหันไปทางจิวฉิงแล้วยื่นมือไปแตะหลังมือของนาง“ลำบากเจ้าแล้ว”“ท่านพี่อย่าได้พูดเช่นนั้น อย่างไรข้าก็เห็นเขาตั้งแต่เกิด ย่อมรักและเอ็นดูเขาไม่ต่างจากลูกในไส้”“ขอบใจเจ้ามาก” เขาพูดจบก็มองไปทางประตูอย่างลังเล แต่เมื่อเห็นว่าในห้องไม่มีอะไรให้เป็นกังวลมากแล้วจึงตัดสินใจหมุนตัวเดินออกไป“ท่านพี่จะไปไหนเจ้าคะ”
“ความสุขของท่านพี่ก็คือความสุขของข้า เช่นนั้นแล้วข้าจะโกรธท่านได้อย่างไร” นางยิ้มน้อยๆ “เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเองเถิดเจ้าค่ะ”“ถ้าเช่นนั้นข้าฝากเรื่องมู่ฟางเหนียงกับเจ้าด้วย แต่หากนางไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ส่งรถม้าให้นางกับพ่อไว้ใช้เถิด”“เจ้าค่ะ”“ข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะเข้าไปดูลูก”เมื่อสามีหันหลังให้ นางก็ไม่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเอง เด็กหญิงตัวเล็กวิ่งเข้ามาเกาะขามารดาด้วยความรักใคร่ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นสีหน้าถมึงทึงน่ากลัวจนตัวสั่นขึ้นมา“ทำไมเจ้าต้องเกิดมาเป็นผู้หญิง! ทำไมไม่เกิดมาเป็นลูกชายให้ข้า!” นางหยิกหมับเข้าที่แขนของเด็กน้อย เด็กหญิงอ้าปากจะร้องไห้แต่ก็กลัวเกินกว่าจะร้องไห้ได้ นางสะบัดขาไม่แรงนัก แต่ด้วยความกลัวทำให้เด็กน้อยผละออกอย่างรวดเร็ว ได้แต่ยืนมองมารดากระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจก่อนจะปรับสีหน้าแล้วเดินจากไปวันถัดมามู่หยางซัวกลับถึงบ้านในช่วงสายของวัน อดประหลาดใจไม่ได้ที่เห็นรถม้าอยู่หน้าบ้าน หรือจะมีใครเจ็บป่วยมารอรับมู่ฟางเหนียง แต่ก็ไม่เห็นมีใครอยู่หน้าบ้าน หัวคิ้วขมวดยุ่งด้วยความกังวล พาให้เร่งต้องก้าวเข้าไปในบ้าน ก็เห็นลูกส
มู่หยางซัวลงจากรถม้า ยกมือประสานคารวะทุกคนที่ยืนรายล้อมด้วยท่าทีนอบน้อม “ท่านทั้งหลาย เราสองพ่อลูกเป็นเพียงหมอรักษาผู้คนยากจน พวกเราไม่มีทรัพย์สมบัติใด บนรถก็มีเพียงสมุนไพรกับอาหาร หากพวกท่านต้องการ ข้าก็จะแบ่งปันให้ อย่างไรก็โปรดหลีกทางให้พวกเราสองพ่อลูกเถิด” “เฮอะ! ข้าไม่ได้ต้องการอาหารหรือสมุนไพรบ้าบออะไรของพวกเจ้า พวกเราต้องการชีวิตของพวกเจ้าต่างหาก” “อะไรนะ! พวกท่านจำผิดหรือเปล่า เราสองพ่อลูกมิเคยล่วงเกินผู้ใด” มู่ฟางเหนียงผวาเฮือก แต่ถูกบิดาปรามด้วยสายตา ในแววตาคล้ายสั่งไม่ให้นางลงมาจากรถม้า “อโหสิให้พวกข้าเถิด ข้าแค่รับงานมาเท่านั้น!” ดาบเล่มโตฟาดลงมาทางมู่หยางซัว สองพ่อลูกไม่มีวรยุทธ์ ไม่ต้องถามเรื่องการต่อสู้ใดๆ นอกจากรักษาคนแล้วไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน บิดาเห็นมีดที่กำลังฟาดลงมาก็กระโดดหลบกลิ้งหลุนๆ คลุกฝุ่น มู่ฟางเหนียงจะลงไปช่วยบิดา แต่ม้าตกใจกระโดดยกเท้าหน้าขึ้น เล่นเอาหญิงสาวเกือบตกลงมา ด้วยสัญชาตญาณนางจับบังเหียนแน่น ม้าเตลิดออกวิ่งไปข้างหน้าทันที! “ท่านพ่อ!” “ไม่ต้องห่วงพ่อ ร
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด