“ฟางเหนียง? เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน” เคอหลิ่งหลินเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“พ่อบ้านตู้ไปรับข้ามาเจ้าค่ะ”
เคอหลิ่งหลินมองไปยังชุนเอ๋อร์ สาวใช้เข้าใจสายตาของผู้เป็นนายจึงค่อยๆ ถอยออกไปอยู่นอกห้อง เมื่อหญิงสาวเห็นว่าเหลือเพียงมู่ฟางเหนียงแล้วจึงเอ่ยปากถามด้วยความร้อนใจ
“คุณชายเฉินเป็นอย่างไรบ้าง”
“พี่สาวควรห่วงตัวเองก่อนนะเจ้าคะ” คนเป็นหมอหญิงส่ายหน้าไปมา แล้วพลิกข้อมือของหญิงสาวมาจับชีพจร ข้อมือของเคอหลิ่งหลินเล็กและร่างกายก็ซูบผอมลงไปมาก
“บิดาของเจ้าล่ะ” เคอหลิ่งหลินพยายามสงบสติอารมณ์ให้คงที่ แต่ความกังวลที่รู้ว่าตัวเองหมดสติหลับใหลไปนานนับเดือนทำให้กังวลถึงชายคนที่นางแอบมีใจให้
“ออกไปตรวจคนไข้ที่อื่น กลับพรุ่งนี้เจ้าค่ะ ข้าเลยอาสามาดูอาการของท่านเอง” มู่ฟางเหนียงขมวดคิ้ว “ชีพจรท่านไม่ปกติ ลมปราณไหลเวียนเปลี่ยนทิศ”
“คงจะเป็นเช่นนั้น ข้าไม่เคยบาดเจ็บขนาดนี้มาก่อน” นางเพียงฝืนยิ้มให้
“ท่านพ่อก็พูดเช่นนั้น” หญิงสาวอายุน้อยกว่าพยักหน้า “ระหว่างที่ท่านไม่ได้สติ แม่ทัพจ้าวให้พ่อบ้านไปเชิญท่านพ่อมาดูอาการท่าน ข้ากับพ่อจึงเพิ่งรู้ว่าท่านเป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพจ้าว”
“เรื่องนั้น... ข้าต้องขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้ากับพ่อ ข้าไม่มีเจตนาจะปิดบังแต่อย่างใด”
“ข้าเข้าใจ” นางพยักหน้า แต่เคอหลิ่งหลินทำหน้างุนงง
“เข้าใจว่าอย่างไรกัน”
“เข้าใจว่าท่านไม่อยากบอกใคร อยากให้ผู้อื่นเข้าใจไปเองว่าท่านเป็นคนเลี้ยงม้าในจวนแม่ทัพจ้าว”
พูดจบนางก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเคอหลิ่งหลิน นางเผลอทำแง่งอนที่ถูกหัวเราะแบบนั้น
“เด็กโง่ ข้าเพียงได้รับความเมตตาจากท่านแม่ทัพจ้าว แต่บิดาที่แท้จริงของข้าก็ยังคงเป็นเพียงโจรป่ากลับใจเท่านั้น ข้าไม่ตีตนเสมอคุณชายของบ้านนี้หรอก อีกอย่างข้าอยู่สนามรบมานาน คนรักข้าก็มี คนชังข้าก็มาก เพื่อความปลอดภัยของเจ้าและท่านหมอมู่ ข้าจึงไม่อยากให้ใครล่วงรู้ว่าข้าเป็นใคร”
“เอาเถอะ พี่เคยช่วยชีวิตข้า ข้าจะไม่ถามอะไรท่านมากไปกว่านี้”
“เช่นนั้นข้าถามเจ้าได้หรือไม่ เขาผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“เขาสบายดี กลับเมืองหลวงไปครึ่งเดือนแล้ว”
“จริงรึ?”
“ข้าจะโกหกพี่ไปทำไม มีแม่นางคนงามนำไข่มุกหมื่นราตรีมาให้ท่านพ่อข้าปรุงยาขับพิษในตัวคุณชายเฉิน”
“อะไรนะ” คราวนี้เป็นเคอหลิ่งหลินที่ตกใจ
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้ เพียงแต่พอคุณชายเฉินฟื้นตัวก็มีเหตุด่วนต้องกลับเมืองหลวง หลังจากนั้นข้าก็ไม่ทราบว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไร”
มู่ฟางเหนียงลอบเห็นสีหน้าของเคอหลิ่งหลินเจ็บแปลบ นางเข้าใจดี แม้ตนเองจะไม่เคยมีคนรักก็ตาม แต่จากที่ติดตามบิดารักษาคนป่วย ‘โรคใจ’ นั้นรักษายากยิ่งไม่แพ้โรคอื่น ผิดหวังในความรักจนตรอมใจมีมากมายนัก
“ดีแล้ว เขายังมีชีวิตอยู่”
เคอหลิ่งหลินเอ่ยเสียงแผ่วและฝืนยิ้มอ่อนระโหยออกมาได้ แต่มู่ฟางเหนียงกลับขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นเท้าเอวแล้วถลึงตาใส่คนป่วย
“แต่ท่านบาดเจ็บสาหัส เกือบเอาชีวิตไม่รอด ท่านเป็นคนไปตามหาไข่มุกหมื่นราตรีมิใช่หรือ?”
“ข้าเองก็จำอะไรไม่ได้ ถูกนักพรตหญิงซัดฝ่ามือเข้าใส่ก็หมดสติบนหลังม้า กลับมาถึงที่นี่ได้ก็นับเป็นความสามารถเมฆเหินแล้ว” นางยิ้มบางๆ รู้สึกเอ็นดูเด็กสาวคนนี้นัก
มู่ฟางเหนียงได้แต่ถอนหายใจหนัก คนเจ็บไม่บ่น นางเป็นแค่หมอจะไปเดือดร้อนแทนได้อย่างไรกัน หญิงสาวส่ายหน้าไปมาแล้วเดินไปที่ล่วมยา หยิบห่อยาที่เตรียมไว้ออกมา
“ร่างกายของท่านกำลังฟื้นตัว ท่านต้องบำรุงตัวเองให้มากสักหน่อย ข้าจะจัดยาให้พี่บำรุงร่างกายนะเจ้าคะ”
“ขอบใจเจ้ามาก แม่หมอหญิง”
“พี่หลิ่งหลิน” นางเขินหน้าแดง นางอายุเพียงสิบหก ยังไม่เก่งกาจเท่าบิดา “ท่านติดค้างข้าอีกเรื่องนะ”
“เรื่องอะไรรึ”
“ท่านทำให้ข้าคิดว่าน้องชายท่านเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ” หญิงสาวรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวไปหมด
“ยังไงล่ะ” เคอหลิ่งหลินจ้องมองใบหน้าสวยที่แดงระเรื่อแล้วก็เข้าใจ “เจ้าเจอน้องชายตัวดีของข้าแล้วสิ”
“ท่านชอบพูดถึงน้องชายราวกับเขาเป็นเด็กเล็กๆ ข้าก็พลอยนึกเป็นเช่นนั้น...”
ใช่...ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายร่างสูงใหญ่ใบหน้าดุดันคนนั้นจะเป็นน้องชายต่างสายเลือดกับเคอหลิ่งหลิน
“เห็นหน้าดุๆ แบบนั้น เขาเป็นคนดีนะ” เคอหลิ่งหลินกระเซ้า “แถมยังไม่มีภรรยาด้วย”
“พี่หลิ่งหลิน!” นางรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า นางไม่รู้ว่าที่ตัวเองหน้าแดงจัดแบบนั้นทำให้เคอหลิ่งหลินหัวเราะออกมา มู่ฟางเหนียงหันไปมองก็เห็นสีหน้าเจ็บปวดของเคอหลิ่งหลิน นางรีบเดินเข้าไปดูอาการ เคอหลิ่งหลินรู้สึกถึงบางสิ่งภายใน นางเจ็บหน้าอกจนกระอักลิ่มเลือดสีดำคล้ำออกมา
“คุณหนู!” ชุนเอ๋อร์เผลอหวีดร้องอย่างตกใจ เลือดสีคล้ำนั้นเปื้อนเปรอะมู่ฟางเหนียง แต่นางไม่มีสีหน้ารังเกียจอะไร ซ้ำยังลูบหลังให้คุณหนูของนางอีก
“แย่แล้ว ข้าทำ...”
“ไม่เป็นไรพี่สาว เสื้อผ้าข้าก็เหมือนผ้าขี้ริ้วอยู่แล้ว” นางหัวเราะเบาๆ แล้วหันไปทางชุนเอ๋อร์ “รบกวนขอน้ำให้พี่หลิ่งหลินบ้วนปากหน่อยเจ้าค่ะ”
“ได้ๆ ขออภัย ข้ามัวแต่ตกใจเลยลืมไป” ชุนเอ๋อร์รินน้ำชาส่งให้มู่ฟางเหนียง แล้วหันไปหยิบกระโถนมาให้คุณหนู มู่ฟางเหนียงประคองเคอหลิ่งหลินให้จิบน้ำชาบ้วนปากให้เรียบร้อย สังเกตสีเลือดที่ออกมาแล้วก็คลี่ยิ้มอย่างพอใจ
“ยังมีพิษตกค้างอยู่ แต่ขับออกมาเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องดีต่อท่านแล้ว”
“ชุนเอ๋อร์ หาเสื้อผ้าให้ฟางเหนียงเปลี่ยนสักชุดเถิด เสื้อผ้าของข้าก็ได้ นางน่าจะใส่ได้อยู่”
“ไม่ต้องลำบากหรอกเจ้าค่ะ เช็ดเอาก็ได้ ว่าแต่ต้มยาให้ท่านก่อนจะดีกว่า ท่านพ่อของข้าเตรียมไว้ให้แล้ว คาดไว้ว่าไม่วันนี้ก็ไม่เกินวันพรุ่ง ท่านต้องตื่นฟื้นแน่ๆ”
ชุนเอ๋อร์ลังเลว่าจะทำตามคำสั่งของคุณหนู หรือคำขอของท่านหมอหญิงดี
“ไม่ได้ เจ้าเปลี่ยนชุดเสียก่อน เจ้าเป็นหมอก็ย่อมรู้ว่าคราบเลือดไม่ได้เช็ดออกง่ายๆ” เคอหลิ่งหลินทำเสียงดุแม้น้ำเสียงจะแหบแห้งอยู่ แต่ก็แฝงความสดใสขึ้นมาบ้าง “ชุนเอ๋อร์ไปหยิบชุดของข้ามาก่อน แล้วค่อยไปต้มยาให้ข้า”
“เจ้าค่ะคุณหนู” ชุนเอ๋อร์รับคำสั่งแล้วเดินเร็วๆ ไปหยิบชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนหวานราวกับดอกอิงฮวา (ดอกซากุระ) ที่คุณหนูเคยใส่ครั้งเดียวออกมาส่งให้มู่ฟางเหนียง หญิงสาวทำตาโตส่ายหน้าไปมา มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าชุดนี้งามหรูขนาดไหน “ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะไม่กินยาใดๆ ทั้งสิ้น”“พี่หลิ่งหลิน” มู่ฟางเหนียงส่งเสียงประท้วง คนป่วยจะมาเอาแต่ใจอย่างนี้ได้อย่างไรกันนะ“ท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์ช่วยพูดสำทับไปอีกแรง “ข้าจะไปต้มยาให้เอง รบกวนท่านช่วยดูแลคุณหนูของข้าด้วย”ชุนเอ๋อร์ผลักเสื้อผ้าชุดนั้นใส่มือของมู่ฟางเหนียงแล้วรีบไปหยิบห่อยาขึ้นมา หันมายิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะรีบเดินเร็วๆ ออกไป หญิงสาวหันไปทางคนป่วยที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ เห็นสีหน้าของนางแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ คงต้องตามใจคนป่วยเสียหน่อย ซึ่งปกตินางไม่ชอบเอาใจคนป่วยนักหรอก หญิงสาวหอบชุดสวยไว้ในวงแขนแล้วเดินไปที่ฉากกั้นถอดเสื้อผ้าที่เลอะคราบเลือดออก เปลี่ยนใส่ชุดใหม่ด้วยอาการเก้อเขินเล็กน้อย“พี่สาว ข้าตัวเล็กกว่าท่าน เกรงว่าจะใส่เสื้อผ้าของท่านไม่พอดี”“ไม่พอดีอย่างไร ไหนออกมาให้ข้าดูก่อน”เสียงถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะพาร่าง
“ท่านพ่อ ลูกไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นหัวข้อที่น่าสนทนานัก”เขาฮึดฮัดอย่างขัดใจ ท่านพ่อเคยพูดว่าไม่รังเกียจแม้นางจะเป็นเพียงบุตรสาวของโจรป่า นางเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาใกล้ชิดและไม่คิดว่าจะรู้สึกพิเศษเช่นนี้กับใครได้ ที่รั้งรอไม่ยอมแต่งงานก็เพราะใจของเขามีเพียงเคอหลิ่งหลินเท่านั้น หากนางยังไม่แต่งงานก็เท่ากับเขายังมีความหวัง และอาจเพราะเขาเองไม่เคยพูดกับนางเรื่องนี้ตรงๆ สักครั้ง นางจึงยังไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเป็นห่วงนางในฐานะบุรุษคนหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงน้องชายของนาง“เจ้ายังเด็กอยู่จริงๆ จิ่นสือ” พูดพลางถอนหายใจอีกครั้ง “ท่านพ่อ”“เดิมพันกับพ่อไหมล่ะ”“อะไรนะ” เขาถามกลับอย่างงุนงง“เดิมพันกับพ่อ” แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “พ่อจะส่งเจ้าไปเผ่าเอ้อหลุนชุนและส่งหลิ่งหลินไปเมืองหลวงเป็นเพื่อนแม่ของเจ้า เมื่อกลับมาแล้ว หากเจ้ายังคงเดิมและนางไม่มีผู้ใด พ่อจะสนับสนุนเจ้าทั้งสองคนเอง”“ขอบคุณท่านพ่อ” เขายิ้มกว้างไม่ปิดบังความยินดีบนใบหน้า“เร็วไปจิ่นสือ” บิดายกมือห้ามไว้ก่อน “หากนางมีชายในดวงใจ เจ้าก็ต้องยอมหลีกทาง ไม่คิดแค้นเคืองนางหรือชายผู้นั้นเด็ดขาด”“ลูกสาบาน”“ดี”
คราวนั้นเขาอยู่ในเมืองหลวง เห็นบรรดาหญิงสาวชาววังชอบแต่งกายกันเช่นนี้ อุตส่าห์ทำใจกล้าเดินเข้าไปซื้อ ไม่สนใจสายตาหญิงสาวที่จ้องมองเขาแล้วเอียงหน้าชิดกันกระซิบกระซาบสายตาจับจ้องที่ตัวเขา นางก็อุตส่าห์ใส่ให้เขาดูแค่หนเดียว มันดูประดักประเดิดจริงๆ เป็นเพราะเขาประเมินขนาดรูปร่างของนางผิดไป จริงอยู่ ของที่ให้นางไปแล้ว นางจะทำเช่นไรก็ได้ แต่... เขาจะหงุดหงิดน้อยกว่านี้ถ้าคนที่ใส่อยู่ไม่ใช่บุตรสาวท่านหมอมู่ เดี๋ยวนะ นางชื่ออะไร?“ข้า! ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านี่ห้องของเจ้า!” นางยืดอกเต็มความสูง แต่ก็...ยืดเต็มตัวแล้วก็ยังได้แค่ปลายคางของเขาเท่านั้น แต่ถึงนางจะตัวเล็ก นางก็ไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงได้เด็ดขาด!“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ!” หน็อย! ยัยเด็กขาดอาหารผู้นี้ กล้าพูดจาไม่เกรงกลัวเขาเลยสักนิด“หูท่านหาเรื่องข้าหรือไร” นางพลิกลิ้น ไม่ยอมรับว่าเผลอเรียกเขาแบบเสมอตัว“เฮอะ! เป็นสาวเป็นนาง ได้ยินเสียงผู้ชายเรียกก็รีบเปิดประตูเข้ามาแล้วรึ!”เขาเดินวนรอบตัวของหญิงสาว ปกตินางแต่งตัวเสื้อผ้าปานผ้าขี้ริ้ว พอได้แต่งชุดสวย นางก็...ดูดี ขึ้นมานิดหน่อย คงเพราะสีชมพูของผ้าที่ขับเน้นผิวขาวของนาง หรือเพราะนางก
ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจ ไม่ใช่เจ็บเพราะถูกตบ ทว่า...เขากลับอธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร มู่ฟางเหนียววิ่งออกมา เท้าเล็กๆ สะดุดก้อนหินจนเซถลาไปชนกับเสากลมของเรือน โชคดีที่นางหยุดได้ทันไม่อย่างนั้นหน้าคงกระแทกเสา แต่หญิงสาวก็หยุดยืนยกมือที่สั่นระริกขึ้นดู มันชาเสียจนนางไม่รู้สึกเจ็บ แต่ที่เจ็บคงเป็นที่ใจ เพราะนางไม่เคยถูกใครรังแกถึงเพียงนี้ นางเกลียดตัวเองที่อ่อนแอเหลือเกิน“แม่นางมู่” หญิงสาวตื่นจากภวังค์ แล้วหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เป็นชุนเอ๋อร์ สาวรับใช้ของเคอหลิ่งหลินเดินมาหาพอดี นางฝืนยิ้มทั้งที่มือยังสั่นอยู่“มาอยู่นี่เอง คุณหนูให้ข้ามาตามหาเจ้า”“มีเรื่องอะไรรึ”“คุณหนูเป็นห่วงกลัวเจ้าหลงทาง” ชุนเอ๋อร์ส่งยิ้มให้ แต่เห็นอีกฝ่ายหน้าซีดก็อดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”“เปล่า “ นางสั่นหน้าไปมาแล้วเดินตามชุนเอ๋อร์กลับไปหาเคอหลิ่งหลิน เพียงก้าวเข้าไปในห้อง พ่อบ้านตู้เดินเร็วๆมาหาแล้ว“แม่นางมู่ มีคนจากบ้านเศรษฐีกู่หลินมาเชิญท่านไปดูอาการลูกชายของเขาโดยด่วน”“ได้ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” มู่ฟางเหนียงพยักหน้ารับ แล้วหันไปทางเคอหลิ่งหลินที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง“พี่สาว ข้าขอตัวก่อน ท่าน
“ยามาแล้วเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ทะเล่อทะล่าเข้ามาด้วยความรีบร้อน มู่ฟางเหนียงได้ยินก็หันมา จึงพบว่าเศรษฐีกู่หลินยืนมองอยู่นานแล้ว นางยิ้มน้อยๆ แล้วลุกขึ้น“ได้ยินว่าลูกป่วยหนัก ข้าจึงรีบกลับมา” สีหน้าเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เพิ่งกลับจากคุมคนงานตรวจดูข้าวสารและธัญพืชที่ลำเลียงเข้าโกดัง“ออกหัดเจ้าค่ะ” มู่ฟางเหนียงเดินไปรับห่อยาจากเด็กรับใช้ “ข้าขอตัวไปต้มยาก่อน”กู่หลินเป็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบ ใครๆ มักเรียกเขาว่าเศรษฐีกู่หลิน เขามองหญิงสาวเดินผ่านเขาไป เขามองเงาร่างที่เคลื่อนผ่านเพิ่งสังเกตว่าวันนี้มู่ฟางเหนียงแต่งตัวงดงามนัก นางมีโครงหน้าอ่อนหวาน รูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอม ยิ่งนางสวมชุดสีชมพูราวกับดอกไม้ผลิบาน คล้ายว่านางทำให้รอบกายสว่างไสวไปด้วย เขาเดินไปดูลูกชายที่เริ่มเห็นผดผื่นชัดเจนขึ้น เขาหันไปทางจิวฉิงแล้วยื่นมือไปแตะหลังมือของนาง“ลำบากเจ้าแล้ว”“ท่านพี่อย่าได้พูดเช่นนั้น อย่างไรข้าก็เห็นเขาตั้งแต่เกิด ย่อมรักและเอ็นดูเขาไม่ต่างจากลูกในไส้”“ขอบใจเจ้ามาก” เขาพูดจบก็มองไปทางประตูอย่างลังเล แต่เมื่อเห็นว่าในห้องไม่มีอะไรให้เป็นกังวลมากแล้วจึงตัดสินใจหมุนตัวเดินออกไป“ท่านพี่จะไปไหนเจ้าคะ”
“ความสุขของท่านพี่ก็คือความสุขของข้า เช่นนั้นแล้วข้าจะโกรธท่านได้อย่างไร” นางยิ้มน้อยๆ “เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเองเถิดเจ้าค่ะ”“ถ้าเช่นนั้นข้าฝากเรื่องมู่ฟางเหนียงกับเจ้าด้วย แต่หากนางไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ส่งรถม้าให้นางกับพ่อไว้ใช้เถิด”“เจ้าค่ะ”“ข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะเข้าไปดูลูก”เมื่อสามีหันหลังให้ นางก็ไม่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเอง เด็กหญิงตัวเล็กวิ่งเข้ามาเกาะขามารดาด้วยความรักใคร่ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นสีหน้าถมึงทึงน่ากลัวจนตัวสั่นขึ้นมา“ทำไมเจ้าต้องเกิดมาเป็นผู้หญิง! ทำไมไม่เกิดมาเป็นลูกชายให้ข้า!” นางหยิกหมับเข้าที่แขนของเด็กน้อย เด็กหญิงอ้าปากจะร้องไห้แต่ก็กลัวเกินกว่าจะร้องไห้ได้ นางสะบัดขาไม่แรงนัก แต่ด้วยความกลัวทำให้เด็กน้อยผละออกอย่างรวดเร็ว ได้แต่ยืนมองมารดากระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจก่อนจะปรับสีหน้าแล้วเดินจากไปวันถัดมามู่หยางซัวกลับถึงบ้านในช่วงสายของวัน อดประหลาดใจไม่ได้ที่เห็นรถม้าอยู่หน้าบ้าน หรือจะมีใครเจ็บป่วยมารอรับมู่ฟางเหนียง แต่ก็ไม่เห็นมีใครอยู่หน้าบ้าน หัวคิ้วขมวดยุ่งด้วยความกังวล พาให้เร่งต้องก้าวเข้าไปในบ้าน ก็เห็นลูกส
มู่หยางซัวลงจากรถม้า ยกมือประสานคารวะทุกคนที่ยืนรายล้อมด้วยท่าทีนอบน้อม “ท่านทั้งหลาย เราสองพ่อลูกเป็นเพียงหมอรักษาผู้คนยากจน พวกเราไม่มีทรัพย์สมบัติใด บนรถก็มีเพียงสมุนไพรกับอาหาร หากพวกท่านต้องการ ข้าก็จะแบ่งปันให้ อย่างไรก็โปรดหลีกทางให้พวกเราสองพ่อลูกเถิด” “เฮอะ! ข้าไม่ได้ต้องการอาหารหรือสมุนไพรบ้าบออะไรของพวกเจ้า พวกเราต้องการชีวิตของพวกเจ้าต่างหาก” “อะไรนะ! พวกท่านจำผิดหรือเปล่า เราสองพ่อลูกมิเคยล่วงเกินผู้ใด” มู่ฟางเหนียงผวาเฮือก แต่ถูกบิดาปรามด้วยสายตา ในแววตาคล้ายสั่งไม่ให้นางลงมาจากรถม้า “อโหสิให้พวกข้าเถิด ข้าแค่รับงานมาเท่านั้น!” ดาบเล่มโตฟาดลงมาทางมู่หยางซัว สองพ่อลูกไม่มีวรยุทธ์ ไม่ต้องถามเรื่องการต่อสู้ใดๆ นอกจากรักษาคนแล้วไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน บิดาเห็นมีดที่กำลังฟาดลงมาก็กระโดดหลบกลิ้งหลุนๆ คลุกฝุ่น มู่ฟางเหนียงจะลงไปช่วยบิดา แต่ม้าตกใจกระโดดยกเท้าหน้าขึ้น เล่นเอาหญิงสาวเกือบตกลงมา ด้วยสัญชาตญาณนางจับบังเหียนแน่น ม้าเตลิดออกวิ่งไปข้างหน้าทันที! “ท่านพ่อ!” “ไม่ต้องห่วงพ่อ ร
“ไม่มีใครรู้ ท่านหมอมู่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงา ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ชาวบ้านก็แสนอาลัยที่คนยากจนอย่างพวกเราไร้ที่พึ่ง นี่ได้ยินว่าท่านเศรษฐีกู่ยกบ้านหลังนี้ให้ แต่ท่านหมอกับบุตรสาวก็ไม่รับไว้ เสียดายจริงๆ”จ้าวจิ่นสือเพียงพยักหน้ารับแล้วเดินจากมา หัวใจคล้ายมีมือมาบีบเค้นจนเจ็บปวด ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ เขาอดคิดถึงใบหน้าของมู่ฟางเหนียงไม่ได้ ยามนางถลึงตาโต้เถียงหรือแม้กระทั่งแววตาที่สะกดความเจ็บปวดไว้เมื่อไม่พบคน เขาจึงขี่ม้ากลับอย่างเลื่อนลอย ไม่ได้เร่งรีบเหมือนตอนมา เขาไม่มีเวลาให้คิดถึงนางมากนักเพราะต้องเตรียมตัวเดินทางไกล การเดินทางไปเผ่าเอ้อหลุนชุนด้วยม้าใช้เวลากว่าเจ็ดวัน เขาอยู่รอส่งท่านแม่กับเคอหลิ่งหลินเดินทางไปเมืองหลวงก่อน จากนั้นตัวเองก็ออกเดินทางสู่เผ่าเอ้อหลุนชุน แม้จะพูดว่าเป็นการเดินทางแบบส่วนตัวเพื่อเยี่ยมเยือนคารวะหัวหน้าเผ่า ทว่าระหว่างเดินทาง จ้าวจิ่นสือก็ต้องคอยจดจำเส้นทางให้แม่นยำ อาจเพราะเดินทางเพียงลำพังเขาจึงใช้เวลาเร็วกว่าที่คิด เมื่อพ้นแนวภูเขาสูงก็เห็นทุ่งหญ้าโล่งกว้าง แต่กระนั้นก็ยังมีหอสูงเพื่อใช้สังเกตการณ์ เมื่อควบม้าเข้าไปใกล้ ทหารกลุ่มหนึ่งก็ตะโกนถาม เ
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด