“ไม่มีใครรู้ ท่านหมอมู่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงา ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ชาวบ้านก็แสนอาลัยที่คนยากจนอย่างพวกเราไร้ที่พึ่ง นี่ได้ยินว่าท่านเศรษฐีกู่ยกบ้านหลังนี้ให้ แต่ท่านหมอกับบุตรสาวก็ไม่รับไว้ เสียดายจริงๆ”จ้าวจิ่นสือเพียงพยักหน้ารับแล้วเดินจากมา หัวใจคล้ายมีมือมาบีบเค้นจนเจ็บปวด ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ เขาอดคิดถึงใบหน้าของมู่ฟางเหนียงไม่ได้ ยามนางถลึงตาโต้เถียงหรือแม้กระทั่งแววตาที่สะกดความเจ็บปวดไว้เมื่อไม่พบคน เขาจึงขี่ม้ากลับอย่างเลื่อนลอย ไม่ได้เร่งรีบเหมือนตอนมา เขาไม่มีเวลาให้คิดถึงนางมากนักเพราะต้องเตรียมตัวเดินทางไกล การเดินทางไปเผ่าเอ้อหลุนชุนด้วยม้าใช้เวลากว่าเจ็ดวัน เขาอยู่รอส่งท่านแม่กับเคอหลิ่งหลินเดินทางไปเมืองหลวงก่อน จากนั้นตัวเองก็ออกเดินทางสู่เผ่าเอ้อหลุนชุน แม้จะพูดว่าเป็นการเดินทางแบบส่วนตัวเพื่อเยี่ยมเยือนคารวะหัวหน้าเผ่า ทว่าระหว่างเดินทาง จ้าวจิ่นสือก็ต้องคอยจดจำเส้นทางให้แม่นยำ อาจเพราะเดินทางเพียงลำพังเขาจึงใช้เวลาเร็วกว่าที่คิด เมื่อพ้นแนวภูเขาสูงก็เห็นทุ่งหญ้าโล่งกว้าง แต่กระนั้นก็ยังมีหอสูงเพื่อใช้สังเกตการณ์ เมื่อควบม้าเข้าไปใกล้ ทหารกลุ่มหนึ่งก็ตะโกนถาม เ
กว่าจินปู๋จะพูดจบประโยค ผู้คนที่ยืนรายล้อมก็ถึงกับถอนหายใจไปเฮือกใหญ่ จ้าวจิ่นสือขมวดคิ้ว ชายผู้นี้ลักษณะน่ากลัวดุจยักษ์ ทว่าพูดจาติดอ่าง ซ้ำยังมีแววตาราวกับเด็กน้อยวัยสิบขวบ“เจ้าเพิ่งเดินทางกลับมาจากกองคาราวานไม่ใช่เหรอ” โจวฟู่หรงถามแบบไม่ต้องการคำตอบ แต่รู้ว่าอีกฝ่ายอ้าปากจะตอบ ก็ยกมือห้ามไว้ก่อน “หนังหมาป่าเป็นของมีค่า น้าลู่อู๋แม่ของเจ้าต้องใช้เงินซื้อยารักษาตัว เจ้าเก็บไว้เถิด ถ้าแม่เจ้าถามก็บอกว่าข้ารับด้วยใจก็พอ เอาตามนี้แหละ เจ้าเอาออกไปได้แล้ว”เพราะรู้ว่าถ้าจินปู๋พูดอะไรกว่าจะจบประโยคกินเวลานานเพียงใด จึงรีบตัดบทและโบกมือไล่ จินปู๋เห็นเป็นคำสั่งของหัวหน้าเผ่าจึงก้มลงแบกหมาป่าขึ้นบ่า เดินออกไปหน้าตาเฉยราวกับแบกกระสอบนุ่นก็ไม่ปาน“เอาละ เจ้าเพิ่งมาถึง พักผ่อนให้สบาย หากต้องการอะไรเรียกเด็กๆ ได้ ข้าจะให้คนนำทางเจ้าไปที่เรือนพักรับรอง”จ้าวจิ่นสือพยักหน้ารับ แล้วเดินไปทางที่พ่อบ้านนำทาง แต่ก็อดเหลียวมองคนตัวใหญ่ที่ถูกเรียกว่าจินปู๋ไม่ได้จินปู๋เป็นยักษ์ใหญ่ใจดีสำหรับคนในหมู่บ้าน เขารูปร่างสูงหนาตัวใหญ่ พละกำลังมหาศาลแต่สติปัญญาคล้ายเด็กวัยสิบขวบ จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นเขาวิ่งเล่น
"ทวนเปิดเผย หลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับ ยากระวัง" ลักษณะท่าทางของโจวฟู่หรงแม้จะดูเปิดเผย ทว่าเขาก็ไม่อาจวางใจให้เชื่อใจในสิ่งที่เห็น จากที่เห็นเหล่าทหารและคนในหมู่บ้าน ก็ราวกับคนที่ถูกฝึกมาเพื่อพร้อมรบเสมอ กว่าร้อยปีที่ผ่านมา เผ่าเอ้อหลุนชุนปกครองโดยคนตระกูลโจวมาหลายชั่วอายุคน รวบรวมชนเผ่าอื่นๆ ไว้ในปกครอง แม้ยอมขึ้นตรงกับทางราชสำนัก แต่ถ้าวันใดกระด้างกระเดื่องขึ้นมา กองกำลังคนนับพันและยังชนเผ่าต่างๆ ที่เชื่อฟังคำสั่งของคนตระกูลโจวรวมตัวกันก็เป็นภาพที่น่ากลัวไม่น้อย ตามเดิมเขากำหนดตัวเองไว้ว่าจะอยู่ที่นี่เพียงเดือนเดียว เห็นภูมิประเทศและผู้คนแล้ว อาจจะต้องรั้งอยู่นานกว่าที่คิด แต่อะไรๆ ก็ยังไม่แน่นอน พรุ่งนี้ค่อยเขียนจดหมายส่งถึงท่านพ่อก็แล้วกัน วันถัดมา ในคฤหาสน์ตระกูลโจววุ่นวายด้วยผู้คนมาเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับ ‘สหาย’ ของโจวฟู่หรง ทว่าเจ้าของบ้านกลับควบม้าออกไปดูความเรียบร้อยของหมู่บ้าน โดยมีม้าของราชครูซุนถงฉีที่ปรึกษาของโจวฟู่หรงติดตามไปด้วย ราชครูซุนถงฉี เคยเป็นอาจารย์สั่งสอนเหล่าเชื้อพระวงศ์ แต่ที่ถูกส่งมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อ
“จินปู๋จะเข้าป่าไปหาฟืน คงไม่มีอันตรายอะไร” ลู่อู๋รู้ว่าอยู่แต่ในบ้านกับคนป่วยอย่างนาง มันชวนอึดอัด เลยอยากให้นางออกไปนอกบ้านเสียบ้าง “จินปู๋ เจ้าพาอิงฮวาไปด้วยก็แล้วกัน ดูแลนางดีๆ ล่ะ”“ขะ ข้า ข้าทราบแล้ว ทะ ท่านแม่”“อิงฮวา เจ้าเอาเสื้อคลุมไปด้วย เจ้ายังไม่ชินกับอากาศของที่นี่” ลู่อู๋รีบบอกก่อนที่หญิงสาวจะเดินตามร่างใหญ่ยักษ์ของลูกชายไป นางพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมอย่างรวดเร็ว จินปู๋มองคนตัวเล็กแล้วกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะยื่นมือใหญ่ไปดึงหมวกเสื้อคลุมศีรษะของนาง“ดะ แดด ระ แรง”“ขอบใจนะ” อิงฮวายิ้มกว้าง แล้วหันไปทางลู่อู๋ “ข้าไปก่อนนะท่านน้า”จินปู๋เห็นท่านแม่พยักหน้ารับแล้วก็พาอิงฮวาเดินออกจากบ้าน เขาตัวใหญ่ ม้ารับน้ำหนักไม่ไหว แต่ถึงจะตัวใหญ่ถ้าหากเขาวิ่งก็เร็วพอๆ กับม้าเลยทีเดียว“นะ ในป่า มะ ไม่ มีอะไร สนุกหรอกนะ” จินปู๋พูดเขินๆ ใช้ร่างใหญ่ของตัวเองบังแดดให้นางขณะที่เดินมุ่งหน้าเข้าป่า“ยังไปไม่ถึงจะรู้ได้ไงว่ามีอะไรสนุกหรือไม่” อิงฮวาหัวเราะเสียงใส กลบเกลื่อนความคิดของตัวเอง นางไม่ได้อยากไปเที่ยวเล่นสนุกที่ไหน แต่คล้ายว่ามีอะไรบางอย่างที่นางต้องไปค้นหาในป่า เหมือน
เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังจะหงายหลัง สองมือจึงยื่นไปคว้าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเพื่อเหนี่ยวตัวเองไว้ และนางก็คว้าแขนของผู้ชายแปลกหน้า ใบหน้าคมเข้มนั้นจ้องมองนาง หัวคิ้วกดลงดูเคร่งเครียด แต่มุมปากกลับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มโจวฟู่หรงขบขับกับอาการของหญิงสาวแปลกหน้าผู้นี้ เขาตั้งใจแค่เดินเล่นพักผ่อน แต่มองมาริมสระน้ำที่เคยมาแอบแช่น้ำผ่อนคลายบ่อยๆ มีคนนั่งก้มหน้ามองผิวน้ำ เขานึกประหลาดใจ คนอะไรนั่งจ้องตัวเองในน้ำได้นานขนาดนั้น พอไปยืนซ้อนด้านหลังก้มมองสิ่งเดียวกับที่คนผู้นี้มองอยู่ ก็เห็นใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวผู้หนึ่ง เมื่อเขาเห็นนาง นางก็เห็นเขา หญิงสาวตกใจลุกพรวดพราดขึ้นจนนางเสียหลักหงายหลัง เขาก็ยื่นมือไปคว้าไว้และนางก็ยื่นมือมาคว้าแขนเขาพอดีรอจนนางยืนได้มั่นคงแล้วจึงเอ่ยปากถามออกไป“เจ้าเป็นใคร”“ข้ารึ” นางปล่อยมือจากท่อนแขนของเขา เมื่อยืนใกล้กันแล้ว นางเลยเหลือเพียงตัวเล็กนิดเดียวจนต้องเชิดหน้ามองเขา“ที่นี่มีผู้อื่นรึ” นอกจากซุนเย่ผิงแล้ว เขาไม่ค่อยเจอผู้หญิงที่กล้าพูดคุยกับเขานัก ใบหน้าเขาก็หล่อเหลาไม่น้อยแต่เพราะเขาชอบทำหน้าดุอยู่เสมอ หญิงสาวจึงพากันหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้นัก แต
“ข้าซุนเย่ผิงเป็นลูกสาวท่านราชครูซุนถงฉี” นางแนะนำตัว ผมยาวของนางถักเป็นเปียเส้นเล็กๆ ประดับด้วยลูกปัดหลากสี เขาเพียงผงกศีรษะเล็กน้อย “ขอโทษที่เสียงดังไปหน่อย” นางหัวเราะออกมา “กำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับท่าน” “ลำบากท่านหญิงแล้ว” “ลำบากที่ไหนกัน ข้าชอบเรื่องสนุกแบบนี้มาก” ‘เรื่องสนุก?’ เขาได้แต่ทวนสิ่งที่ได้ยินในใจ และไม่ถนัดพูดคุยกับสตรีเสียด้วย จึงได้แต่แย้มมุมปากยิ้มออกมา “อ้อ! ที่นี่วุ่นวาย ท่านไปเล่นที่อื่นก่อนเถิด งานเลี้ยงเริ่มตอนเย็น ท่านค่อยเข้ามาอีกที” “เช่นนั้น ข้าขอตัว” ไปเล่น! นางช่างกล้าใช้คำนี้กับเขาได้นะจ้าวจิ่นสือหมุนตัวเดินออกมาแล้วถอนหายใจเบาๆ เด็กสาวผู้คนนั้นอายุคงสักสิบสี่หรือสิบห้ากระมัง ยังเด็กปานนั้นคงใช้คำพูดผิดไป เขาไม่อยากถือสาเอาความอะไร เพราะที่นี่เองก็ไม่ใช่ถิ่นของเขา และนางก็เป็นถึงลูกสาวท่านราชครู เขาไม่รู้ว่าที่นี่มีเบื้องหลังเบื้องลึกอันใดบ้าง หรือมีคลื่นใต้น้ำให้ต้องระวังหรือไม่ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งตัดสินอะไรไปดีกว่า
ทั้งสองดวลยิงธนูอยู่เกือบสองชั่วยาม โจวฟู่หรงไม่เจอคนมีฝีมือทัดเทียมกันมานานแล้วจึงเพลิดเพลินนัก แต่คิดว่าซุนเย่ผิงคงจัดการคฤหาสน์ของเขาเรียบร้อยแล้ว หลังจากทำใจยอมว่าต้องกลับไปเจอการตบแต่งอันวิจิตรตระการตาของเย่ผิงแล้วก็ชวนจ้าวจิ่นสือกลับ ขณะยื่นธนูให้ทหารรับไปเก็บ พลันเขาก็นึกได้จึงออกคำสั่งไป “ส่งคนไปตามจินปู๋ให้มาช่วยในงานเลี้ยงด้วย” “ขอรับ!” สั่งทหารเสร็จแล้วก็ชวนจ้าวจิ่นสือกลับ ทั้งสองเหงื่อท่วมตัว คงต้องเสียเวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันหน่อยแล้ว ราวครึ่งชั่วยาม ทหารที่รับคำสั่งของหัวหน้าเผ่าก็ควบม้าไปถึงบ้านของจินปู๋ เพียงหยุดม้าก็ได้ยินเสียงกลั้นสะอื้นราวเด็กน้อยของจินปู๋ ทหารผู้นั้นถึงกับส่ายหน้า จินปู๋เป็นคนที่มีพละกำลังมากที่สุดในเผ่า แต่ก็ควบตำแหน่งคนโง่ที่สุดด้วยเช่นกัน “จินปู๋! ท่านหัวหน้าโจวให้มาตามเจ้าไปช่วยงานในคฤหาสน์!” “ขะ ข้า ข้าเหรอ” จินปู๋ที่นั่งกอดเข่าร้องไห้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าสี่เหลี่ยมแต่ดวงตาเหมือนเด็กน้อยฉ่ำน้ำตาและน้ำมูก “ใช่! รีบไปล่ะ” เขาส่ายหน้ากับภา
นอกจากการร่ายรำของหญิงงามในชนเผ่าแล้ว การประลองกำลังของชายหนุ่มก็เป็นความบันเทิงที่เรียกเสียงโห่ร้องจากคนที่มาร่วมงานเลี้ยง โจวฟู่หรงนั่งบนบัลลังก์อยู่เหนือผู้คน ด้านล่างที่ตำแหน่งสำคัญซ้ายขวามีคนของเขา ราชครูซุนถงฉีและบุตรสาวนั่งอยู่ด้านขวา จ้าวจิ่นสือนั่งข้างทหารคนสนิทของโจวฟู่หรง แต่ละคนล้วนร่างกายใหญ่โตท่าทางน่าเกรงขาม ทว่าเมื่อเหล้าเข้าปากไปก็เผยนิสัยคล้ายเด็กซุกซน หัวเราะเสียงดัง ใช้มือจับฉีกอาหารเข้าปาก ส่วนเขายังไม่คุ้นนัก จึงใช้ตะเกียบคีบเนื้อแพะเข้าปาก ส่วนในใจนั้นเขาพอใจอยู่หลายส่วนที่โจวฟู่หรงแนะนำเขากับผู้อื่นด้วยท่าทีเป็นกันเอง ทำให้เขาได้รู้จักคนสนิทของโจวฟู่หรงซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนมากฝีมือทางการรบ คนเหล่านี้มองผิวเผินเหมือนคนโง่ ใช้เป็นเพียงแค่เรี่ยวแรง ทว่าจิตใจกลับเป็นหนึ่งเดียวกับโจวฟู่หรง เพียงปรายตาหรือถอนหายใจก็รับรู้ว่าผู้เป็นนายต้องการสิ่งใด แม้รูปร่างใหญ่โตแต่เคลื่อนไหวรวดเร็ว จ้าวจิ่นสือนึกถึงบิดา คนในวังหลวงมักแอบกระซิบกระซาบนินทาบิดาของเขา การเลือกใช้คนเป็นทหารแต่ละนายล้วนเป็นคนแปลกประหลาด มีอดีตที่มาไม่น่าไว้ใจ บ้างเป็นโจร บ้างเป็นขโม
องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น
ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั
“ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา
หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั
“ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน
“เจ้าจะรีบไปไหนกัน!” “ข้าหายดีแล้ว จะไปหาฟางเหนียง” เขาควรรีบไปอธิบายกับนาง เมื่อวานส่งจดหมายแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องภารกิจลับเรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางกลับพร้อมรับมู่ฟางเหนียงไปด้วยเลย โธ่! ยังมิทันไรก็เป็นพวก ‘เกรงใจภรรยา’ เสียแล้ว เหวินเฮ่าหลันได้แต่คลี่พัดโบกไปมา ปกปิดสีหน้าระอาใจ เป็นบุรุษองอาจ ไฉนต้องมาพะวักพะวนกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ “เจ้ารออยู่นี่แหละ เดี๋ยวนางก็มาแล้ว” “เฮ่ย!” “เจ้าจะร้องอะไร” เหวินเฮ่าหลันเห็นอาการของสหายแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะไปมา ได้ยินมาจากเคอหลิ่งหลินว่าจ้าวจิ่นสือบาดเจ็บแต่ไม่ให้เรียกมู่ฟางเหนียงมาทำแผลเพราะเกรงใจที่เป็นเวลาพักผ่อนของนางแล้ว อย่างไรนางก็จะเป็นภรรยาอยู่แล้ว หน้าที่ภรรยาดูแลสามีก็ถูกแล้ว จะค่ำหรือสว่างจะเป็นไรไป เดือดร้อนต้องไปตามหมอผู้อื่นมารักษาให้ แม้จะไม่ใช่บาดแผลสาหัสก็เถอะ “ข้ายังไม่ได้อธิบายกับนาง นางมาเจอข้าแบบนี้...” “เจ้านี่! เป็นถึงรองแม่ทัพ! อย่ามาทำตัวกลัวเมียให้เสียชื่อหน่อยเลย!” เหวินเฮ่าหลันกดเสียงต่ำ เรื่องแบบนี้พ
เคอหลิ่งหลินก็เห็นหญิงสาวในชุดแดงหน้าตาซีดเซียว นางมาไม่ทันจึงไม่รู้ว่าหญิงนางนี้มีเรื่องแค้นใดกับจ้าวจิ่นสือ แต่ด้วยความสงสารในท่าทีสับสนและดูเคว้งคว้างของนางจึงเดินเข้าไปใกล้ หมายจะปลอบประโลมให้สงบใจ“แม่นาง อย่างไรแล้วค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถิด เจ้ามีบาดแผล ให้ข้าดูหน่อยจะเป็นไร” เคอหลิ่งหลินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทำให้ร่างของหญิงสาวในชุดแดงแข็งทื่อ กวาดตาจ้องมองคนทั้งหมด คนพวกนี้พูดคุยเหมือนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน แต่นางนั้นเล่า ไร้ผู้ใดไม่มีใครอีกแล้ว ความเศร้าหมองและหดหู่กัดกินจิตใจ มือบางกำด้ามกริชแน่นขึ้น หมายมั่นจะเอาชีวิตของจ้าวจิ่นสือให้ได้ นางพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดหวาดกลัวและไม่สนใจว่านางอาจถูกฝ่ามือซัดกลับจนถึงแก่ชีวิตช่างปะไร นางจะได้ไม่ต้องเดียวดายอีกแล้ว“จิ่นสือ!” เป็นเสียงเคอหลิ่งหลินที่หวีดร้องอย่างตกใจ น้องชายนางกลับไม่หลบยืนนิ่งปล่อยให้หญิงนางนั้นแทงกริชเข้าชายโครงด้านซ้ายของเขา เพราะคิดว่าจ้าวจิ่นสือจะหลบหลีกหรือตอบโต้ได้ จึงไม่มีใครขวางหรือเข้าไปช่วย ทุกคนจึงตื่นตะลึง แม้แต่หญิงผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า! ไยไม่หลบข้า!” หญิงสาวในชุดแดงปล
แต่กระนั้นอีกฝ่ายกลับไม่ลดความพยายาม เตรียมพุ่งกริชเล่มเดิมนั้นใส่จ้าวจิ่นสืออีก นั่นหมายความว่าเขาคือคนที่นางต้องการชีวิต ร่างบางง้างมือขึ้นแต่ยังไม่ทันไร แสงวาบหนึ่งก็พุ่งผ่านเฉียดมือนางไปเล็กน้อย แต่ก็กรีดผิวเรียกเลือดสีเข้มกระเซ็นออกมา หญิงสาวหวีดร้องอย่างตกใจแต่ไม่ยอมทิ้งกริชเพียงแค่ยกมือกุมบาดแผลแล้วมองมีดสั้นที่ปักบนผนังห้องก่อนจะตวัดสายตามองไปทางหน้าต่าง ผู้มาใหม่กระโจนเข้ามา ใบหน้ามีหน้ากากอสูรปกปิดครึ่งหน้าด้านบน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่เห็นนาง คราวนี้จ้าวจิ่นสือจับกระบี่ขึ้นมา แต่หัตถ์เทวะกลับยกมือโบกไปมาคล้ายไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แล้วเดินวนเวียนรอบกายหญิงสาว ดวงตาคู่งามนั้นไร้แววหวาดกลัวแต่กลับวาวโรจน์ดุจแมวป่า ‘ช่างน่าสนใจนัก!’ “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เป็นจ้าวจิ่นสือที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เห็นชัดว่าชายผู้นั้นไม่ได้รู้จักหญิงสาวในชุดสีแดง “เป็นข้าควรถามเจ้ามากกว่า” หัตถ์เทวะหันมาทางจ้าวจิ่นสือ “ข้านึกว่าเรามีเรื่องสนทนากันตามลำพัง” “เจ้าไม่ได้ส่งนางผู้นี้มาทำร้ายข้าหรอกหรือ” ฝีมืออย่างนาง... จ