เขากอดอกมองหญิงสาว นี่คงจนปัญญาจะหาคำแก้ตัวเลยละสิ เขาได้แต่เค้นเสียงหัวเราะในลำคอ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“เลือกหนังสือได้แล้วก็ออกไปสิ ข้าต้องใช้ห้องนี้”
“ข้าน้อยยังเลือกหนังสือไม่เสร็จ” พูดจาถ่อมตนแต่กลับกล้าถลึงตาใส่อย่างไม่กลัว แม้เขาจะสูงใหญ่กว่านางนัก
“แล้วท่านเข้ามาใช้ห้องนี้ ได้รับอนุญาตจากจ้าวฮูหยินแล้วรึ”
“ข้า...” คราวนี้เป็นเขาที่พูดไม่ออก เรื่องต่อปากต่อคำกับสตรีเขาไม่ถนัดนัก ผู้หญิงสองคนที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติและไม่ต้องระวังอะไรนักก็คือท่านแม่และเคอหลิ่งหลิน ครั้นจะโต้เถียงกับนางก็ใช่เรื่อง ซ้ำร้ายดูท่าทางนางจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เขากัดริมฝีปากกลั้นหัวเราะแสร้งทำดุดันไปอย่างนั้น
“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกเร็วๆ แล้วรีบๆ ออกไปเสียสิ”
“แล้วตกลงท่านได้รับอนุญาตแล้วรึ” นางยังอยากเอาชนะเขาอยู่ด้วยการโต้เถียงแบบเด็กๆ
“เอาเป็นว่าข้าได้รับคำสั่งจากท่าน...แม่ทัพให้มาที่นี่ก็แล้วกัน” เกือบจะหลุดปากเรียกท่านพ่อออกมาแล้ว
“คงโดนลงโทษละสิ” นางพึมพำแล้วหมุนตัวเลือกหยิบตำราแพทย์อีกสองเล่มมาไว้ในอ้อมแขน
“อะไรนะ” เขาได้ยินชัดแต่ก็ยังแสร้งทำเป็นได้ยินไม่ชัด
“ได้ยินหรือเจ้าคะ” นางหันมาทำตาโตด้วยความประหลาดใจ แต่พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วนางก็กลั้นหัวเราะ “หน้าตาไม่เต็มใจมาแบบนี้ ต้องโดนลงโทษมาแน่ๆ”
“เจ้านี่มัน!” จะพูดว่าสู่รู้เกินไปแต่ก็ไม่อยากพูด จะกลายเป็นผู้ชายปากร้ายต่อว่าผู้หญิงที่ไม่รู้ฐานะของเขาได้
“เอาเถอะ ท่านโชคดีนักที่ได้มีโอกาสเล่าเรียนและได้มีหนังสือดีๆ มากมายให้เลือกอ่านเช่นนี้”
“แล้วเจ้าล่ะ อ่านหนังสือออกด้วยรึ”
“ถึงข้าไม่ได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาแต่ท่านพ่อก็สอนอ่านเขียนนะเจ้าคะ” นางพูดด้วยความภูมิใจ อย่างน้อยนางก็รู้หนังสือเพราะบิดาของตน
จ้าวจิ่นสือมองนางอย่างประเมินแล้วลองสอบถาม “เจ้ารู้จักหลิ่งหลินได้อย่างไร”
“หลิ่งหลิน?” นางทวนคำแล้วก็นึกได้ “ท่านหมายถึงเคอหลิ่งหลินใช่หรือไม่”
“อืม...” อยู่ข้างนอก พี่สาวซุกซนคนนี้คงใช้แซ่เดิมของนาง
“ตอนนั้นข้าแอบหลบท่านพ่อขึ้นเขาไปหาสมุนไพร หลงป่าอยู่สามวันสามคืน บังเอิญพี่หลิ่งหลินมาพบข้าเข้าได้ช่วยชีวิตข้าไว้และพาข้าไปส่งที่บ้านอย่างปลอดภัย นับแต่นั้นก็ได้พบพี่สาวบ่อยๆ เจ้าค่ะ แต่มิรู้ว่านางเป็นลูกบุญธรรมแม่ทัพจ้าว”
“พี่สาว? ท่าทางเจ้าสนิทสนมกับนางนะ”
“ก็...” นางอึกอักคิดคำตอบ จะบอกว่าสนิทสนมก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะนางเองก็เพิ่งรู้ว่าเคอหลิ่งหลินเป็นลูกบุญธรรมแม่ทัพจ้าว แต่ถ้าพูดไม่ว่าสนิทนางก็พลั้งปากเรียก ‘พี่สาว’ อยู่หลายครั้ง
“เจ้าเรียกนางว่าพี่สาว คงสนิทสนมในระดับหนึ่ง” เขาหรี่ตามองอย่างประเมิน “ทำไมนางถึงบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้”
“เรื่องนั้น” นางเม้มริมฝีปากแน่นจนเรียบตึง จำได้ว่าก่อนที่เคอหลิ่งหลินจะออกไปนำไข่มุกหมื่นราตรีมารักษาคุณชายเฉิน นางถึงกับบังคับให้ผู้อารักขาคุณชายให้คำสัตย์สัญญาว่าจะไม่บอกใคร แล้วนางก็ยืนอยู่ตรงนั้น จะให้นางพูดได้อย่างไรกัน
“ขออภัย ข้าน้อยไม่ทราบเรื่องนั้นจริงๆ”
“ไม่ทราบหรือไม่พูด” เขายกมือขึ้นกอดอก ปรายตามองหนังสือในอ้อมอกของนางที่กอดไว้อย่างหวงแหน
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” นางยืดตัวขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้แววซุกซน จ้องมองเขากลับไม่มีท่าทางหวาดกลัว
“ข้าน้อยเข้าใจว่าท่านชอบพี่สาวมาก คงจะทรมานใจมิน้อยที่เห็นนางบาดเจ็บขนาดนี้ แต่ท่านเค้นถามข้าน้อยอย่างไร คำตอบของข้าน้อยก็เป็นเช่นเดิม”
ชายหนุ่มถลึงตามอง ไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะใจกล้า! กล้าพูดแบบนี้กับเขาได้ ยิ่งท่าทางไม่ยอมใครของนางด้วยแล้ว ยิ่งทำให้นางไม่เหมือนหญิงชาวบ้านทั่วไป
เห็นเขากัดฟันข่มโทสะ นางก็ไม่อยากก่อกวนเขาเกินความจำเป็นนัก อย่างไรนางก็ไม่รู้จักเขาและคงไม่มีทางข้องเกี่ยวกับคนผู้นี้เป็นแน่ หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายยอมถอยให้ครึ่งก้าว นางได้หนังสือที่ต้องการแล้ว รอเพียงแค่ชุนเอ๋อร์มารับนางซึ่งป่านนี้ก็คงเช็ดตัวให้เคอหลิ่งหลินเสร็จแล้ว นางจะได้กลับเสียที
“แม่นางมู่ อุ๊ย! คุณชายจ้าว”
แค่คิด คนที่นึกถึงก็เดินเข้ามาตามพอดี ชุนเอ๋อร์เห็นคุณชายของบ้านก็ย่อตัวคารวะ ท่าทางนอบน้อมของชุนเอ๋อร์ทำให้มู่ฟางเหนียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางกวาดสายตามองบุรุษร่างสูงและเค้าโครงหน้าคมคายที่ถอดแบบมาจากแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง ทว่ามีดวงตาอ่อนโยนดุจเดียวกับฮูหยินอี้ซิ่ว นางสูดลมหายใจลึกแต่ไม่แสดงท่าทางอะไร นางติดตามบิดารอนแรมรักษาคนไปทั่ว เจอทั้งยาจกและเศรษฐี คหบดีหรือราชนิกุล เรื่องกระตุกหนวดเสือนางก็ทำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หากแต่ไม่เคยสังเกตใบหน้าของเขาจึงไม่สนใจจะคาดเดาฐานะของคนผู้นี้
แทนที่นางรู้ฐานะของเขาแล้วจะแสดงอาการนอบน้อมหรือตื่นตระหนก เขากลับเห็นเพียงแววตาสงบนิ่งและชินชา ราวกับเขาไม่ใช่บุคคลสำคัญให้ใส่ใจ โทสะที่สงบกรุ่นขึ้นมาอีก แต่ก็ต้องข่มไว้เพราะนางเป็นเพียงสตรี เขาไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกแม้กระทั่งผู้หญิงตัวเล็กๆ
“ข้าน้อยขอตัวเจ้าค่ะ”
นางแนบหนังสือไว้กับอก ย่อตัวคารวะแล้วมองทางชุนเอ๋อร์ที่มายืนรอรับนางแล้ว เพียงเท้าของนางก้าวพ้นธรณีประตู เสียงเรียกด้านหลังก็ทำให้นางชะงัก
“หนังสือนั่นท่านแม่ข้าให้เจ้ายืม เจ้าต้องเอามาคืนบนชั้นตามตำแหน่งเดิมและไม่ขาดหรือชำรุดแม้แต่แผ่นเดียว”
“ข้าน้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ”
นางตอบแล้วก็เดินตามชุนเอ๋อร์ออกไป พอพ้นประตูได้หลายก้าวแล้ว นางก็เบ้ปากนิดๆ ผู้ชายอะไร คิดเล็กคิดน้อยอย่างกับผู้หญิง เอาแต่ใจตนเองเหมือนพวกลูกคนเดียว เอ๊ะ! นิสัยนี้คุ้นๆ แฮะ เหมือนที่พี่สาวเคยพูดถึงน้องชายอยู่บ่อยๆ แต่คนผู้นั้นตัวโตออกปานนั้น อายุก็คงพอๆ กับพี่หลิ่งหลิน คงไม่ใช่น้องชายที่นางมักเล่าให้ฟังบ่อยๆ หรอกนะ
“พี่ชุนเอ๋อร์” นางเรียกอย่างเกรงใจ ขณะเดินกลับไปที่ห้องพักของเคอหลิ่งหลินเพื่อหยิบล่วมยาเตรียมกลับบ้านพร้อมหนังสือในอ้อมอก
“มีอะไรรึ” ชุนเอ๋อร์หันมาถามด้วยรอยยิ้ม นางรู้สึกเอ็นดูหญิงสาวอายุน้อยคนนี้เหมือนกัน
“พี่สาว เอ๊ย! ท่านหญิงมีน้องชายหรือไม่เจ้าคะ”
“น้องชาย?” ชุนเอ๋อร์ทำหน้าประหลาดใจกับคำถามที่ได้ยิน “คุณหนูเป็นลูกคนเดียว บิดาแท้ๆ ของนางปกป้องท่านแม่ทัพจนตัวเองตาย ท่านแม่ทัพจึงรับคุณหนูเป็นลูกบุญธรรม ไม่มีพี่น้องที่ไหน ยกเว้นคุณชายจ้าวจิ่นสือที่เจ้าเจอเมื่อครู่ คุณชายเป็นบุตรคนเดียวของแม่ทัพจ้าวกับฮูหยินอี้ซิ่ว เมื่อท่านแม่ทัพรับคุณหนูมาเป็นลูก ทั้งสองก็เปรียบเสมือนพี่น้องกัน คอยดูแลซึ่งกันและกันมาตลอด” “เปรียบเสมือนพี่น้อง...คนผู้นั้นคงไม่ใช่น้องชายของ...” นางเริ่มทำหน้าไม่ถูก หวังว่าการคาดเดาของนางจะผิดพลาด “เรื่องนี้มีแต่คนในจวนเท่านั้นที่รู้ คุณชายพลั้งเผลอยอมให้คุณหนูเป็นพี่สาว ทั้งที่อายุห่างกันเพียงแค่ห้าเดือนเท่านั้น”พูดแล้วชุนเอ๋อร์ก็ป้องปากหัวเราะเบาๆ นางติดตามรับใช้คุณหนูมานาน เรื่องราวของนายนินทาไม่ได้ แต่ไม่ถึงกับห้ามพูดถึง นางเพิ่งรู้สึกว่าคนที่เดินตามมาหยุดเดินจึงหันไปดู เห็นสีหน้าตกใจของมู่ฟางเหนียงแล้วก็อดถามไม่ได้“มีอะไรรึ”“มะ..ไม่...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”นางยิ้มฝืดออกมาแล้วเดินตามชุนเอ๋อร์ ในใจว้าวุ่นยิ่งนัก อย่าบอกนะว่า...ชายผู้นั้นคือ ‘น้องชาย’ ของพี่สาวคนดีของนาง.
“เสี่ยวจิงไปเอาน้ำมันหมูมาเร็ว” นางสั่งเด็กชาย เสี่ยวจิงรีบวิ่งไปทันที “ช่วยกันจับแม่วัวให้ดี ข้าต้องล้วงไปดึงขาลูกวัวเสียก่อน” นางม้วนแขนเสื้อขึ้นจนถึงโคนแขนทั้งสองข้าง ท่อนแขนกลมเล็กดุจลำเทียน เมื่อเสี่ยวจิงถือหม้อใส่น้ำมันมาถึง นางก็ให้เด็กชายชโลมทั่วมือและแขน นางสบตากับผู้ใหญ่ที่ช่วยกันจับแม่วัวเป็นเชิงให้สัญญาณแล้วสอดมือเข้าไปในช่องคลอดของวัว ลูบคลำจนรู้ว่าไหล่วัวติดอยู่ นางจึงออกแรงดึงขาหน้าของวัวให้ค่อยๆ ออกมาอย่างช้าๆ “ออกมาแล้วๆ” เด็กชายร้องอย่างดีใจที่เห็นลูกวัวหลุดออกมา แม่วัวร้องอย่างเจ็บปวดสะบัดไปมาจะเหยียบลูกเข้าให้ นางต้องรีบลากออกมาให้พ้นรัศมีเท้าของมัน แม่วัวสาวท้องแรกยังตื่นตกใจไม่ยอมมาเลียลูกวัว มู่ฟางเหนียงมองหาเศษผ้าสักผืน แต่ด้วยความร้อนใจ นางจึงฉีกชายกระโปรงของตนรีบเช็ดเมือกออกจากตัวลูกวัว “โชคดีที่ไม่มีเมือกอุดรูจมูก” นางพึมพำ ไม่นานนักลูกวัวก็ค่อยๆ ยืนขึ้น แม้แข้งขาจะสั่นก็ตาม แม่วัวเริ่มใจเย็นแล้วเดินมาเลียลูกของตน ลูกวัวเดินมุดเข้าไปดูดนมจากเต้าของแม่ทันที “เย้ๆ วัวของข้า” เสี่ยวจิงดีใจกระโดดโลดเต้น ทั้งที่ก่
“คุณชายจ้าว!”“มันตายแล้วละ” เขากล่าวย้ำเพราะเข้าใจไปว่านางกลัวจนขยับเท้าเดินต่อไม่ได้ นี่นางคงไม่ได้รอให้เขาประคองนางเดินหรอกใช่ไหม?“ท่านทำมันตาย!” นางตวาดด้วยความโมโห“เป็นข้า แล้วอย่างไร ถึงมันจะมีพิษหรือไม่ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นงูก็ไว้ใจไม่ได้” จ้าวจิ่นสือทำเสียงหงุดหงิด “ข้าควรได้รับคำขอบคุณหรือไม่”“ท่านจะมาทวงคำขอบคุณทำไมกัน ในเมื่องูตัวนี้มันตายแล้ว!” นางเกรี้ยวกราดอย่างลืมรักษากิริยา “ข้ากำลังคิดจะจับมันเป็นๆ อยู่นะ”“จับงูเป็นๆ?” เขาขมวดคิ้วแล้วตัดสินใจกระโดดลงจากหลังม้า เขาเพิ่งกลับจากบ้านตระกูลเหวิน ผ่านเส้นทางนี้เห็นเพียงมีงูอยู่เบื้องหน้าหญิงสาว แต่ไม่รู้ว่าหญิงที่ยืนอยู่คนนี้คือบุตรสาวของท่านหมอมู่ “ใช่! ข้า-ต้อง-การ-งู-เป็น-เป็น” นางพูดเน้นย้ำทุกคำแล้วถลึงตามอง เมื่อเขาก้าวมาหยุดยืนเบื้องหน้าทำให้นางรู้สึกได้ทันทีว่าความสูงของนางนั้นแค่ปลายคางของเขาเอง จ้าวจิ่นสือไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินนัก ปกติผู้หญิงเจองูก็เอาแต่กรีดร้องน่ารำคาญ ไม่ว่าจะงูตัวเล็กหรือตัวใหญ่ มีพิษหรือไม่มีพิษ นอกจากเคอหลิ่งหลินแล้ว เขาก็เพิ่งเคยเจอผู้หญิงที่ไม่กรีดร้องแต่เกรี้ยวกราดที่เขาไปฆ่างูตั
คำถามซ้ำอีกครั้งย้ำให้แน่ใจ จ้าวจิ่นสือมิเคยหวาดกลัวสิ่งใด ยิ่งได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญนี้แล้วก็ยิ่งตระหนักได้ว่า ผู้เป็นพ่อไว้วางใจเขามากขึ้น มิใช่เพียงในฐานะพ่อกับลูก แต่ยังเป็นแม่ทัพกับรองแม่ทัพอีกด้วย “ลูกพร้อมรับคำสั่ง” “การศึกมิได้มีแค่จับดาบฟาดฟันศัตรู ตำราพิชัยยุทธ์จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อผู้เรียนรู้เข้าใจถ่องแท้ แม้ปีนี้เจ้าจะอายุยี่สิบแล้วแต่ก็ยังมีนิสัยมุทะลุวู่วามขาดความสุขุม เจ้ารู้ข้อบกพร่องของตนหรือไม่” “ลูกจะปรับปรุงตนเองขอรับ” “ดีแล้ว” แม่ทัพจ้าวพยักหน้ารับ “กลับมาเรื่องกองคาราวาน พ่อรู้ว่าตระกูลเหวินไม่ชอบยุ่งทางการเมือง แม้จะค้าขายกับราชสำนักมาสามชั่วอายุคนแล้วก็ตาม แต่อาศัยว่าเจ้าเป็นสหายกับเหวินเฮ่าหลัน คิดว่าคงไม่ยากที่จะแฝงตัวไปกับกลุ่มพ่อค้า” “เรื่องนี้ลูกพูดคุยกับเฮ่าหลันแล้ว เขายินดีรับรองลูกเข้าร่วมกับกองคาราวานขอรับ” “เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิด ” “ขอรับท่านพ่อ” เขาประสานมือคารวะท่านพ่อแล้วหมุนตัวเดินออกไป ตัดใจไม่ไปห้องของเคอหลิ่งหลินแล้วต
“ข้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ จะได้มาเล่นกลองป๋องแป๋งเช่นนี้” เป็นผู้ใดกันที่เล่นตลกหยามเขาได้ขนาดนี้ “รับไปเถอะน่า นางตั้งใจดี อุตส่าห์เอามาให้ข้า เป็นของฝากถึงน้องชายของข้า ซึ่งข้าก็มีน้องชายคนเดียวคือเจ้า เจ้าก็ต้องรับของฝากชิ้นนี้ไป” “นี่เอาข้าไปขายยังไง ถึงได้กลองป๋องแป๋งแบบนี้มา” “เอาน่า คนที่ให้มาเป็นคนดีและเป็นหญิงสาวที่งดงามมากด้วย เจ้ายังไม่เคยเจอนางก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจนัก เผลอๆ จะเป็นเจ้านั่นแหละที่เป็นฝ่ายชอกช้ำเสียดายซะเอง” โดนนางพูดให้เสียขนาดนั้น เขาจึงจำใจรับมา ได้มาก็เก็บไว้ไม่ได้ใส่ใจ จนมาถึงตอนนี้ที่จู่ๆ ก็คิดถึงสิ่งนี้ขึ้นมา จะเป็นนางหรือไม่นะคนที่ฝากกลองป๋องแป๋งนี้มาให้เขา ดูจากที่นางไม่รู้ว่าเคอหลิ่งหลินมีฐานะที่แท้จริงอย่างไร และนางไม่รู้จักเขา หากเป็นนางจริง นางก็คงเข้าใจว่า ‘น้องชาย’ ที่เคอหลิ่งหลินพูดบ่อยๆ เป็นเด็กชายตัวเล็กกระจ้อยร่อยเป็นแน่ เขาเผลอยิ้มที่มุมปากเก็บ ‘ของฝาก’ เข้าที่เดิมแล้วเดินตรงไปแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ หญิงสาวที่งดงาม รู้สึกว่าเคอหลิ่งหลินจะให้ค่าหญิงสาวคน
คราวนี้คนเป็นพ่ออ้าปากค้าง โดนลูกสาวดุเป็นเรื่องปกติ แต่นี่เห็นชัดๆ ว่านางโมโหผู้อื่นมาพาลมาลงที่เขา นิสัยนางเหมือนแม่ก็ตรงนี้ พูดจาตรงไปตรงมา เปิดเผยไม่ซ่อนเร้น แม้การเป็นหมอควรมีบุคลิกสงบเยือกเย็นให้คนไข้สบายใจ ทว่าลูกสาวของเขากลับเป็นหมอที่...จะเรียกว่านางปากร้ายก็กล่าวเกินจริงไป นางอาจพูดจาห้วนและดุไปบ้าง แต่เท่าที่สังเกตก็เห็นคนไข้ที่นางรักษาหรือโดนนางบ่นใส่ ก็แย้มยิ้มหรือหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันทั้งนั้น ไม่มีใครโกรธเคืองนาง หากนางติดตามเขาไปรักษาบ้านเศรษฐี นางสงบปากสงบคำลงไปสักครึ่งซึ่งก็นับว่ายากแล้ว เพราะถ้าเจอคนนิสัยไม่ดีดูแคลนผู้อื่น นางก็สรรหาคำพูดมาประชดประชันได้อยู่ดี แต่ถ้านับฝีมือการตรวจรักษาของนางแล้ว นางคือลูกศิษย์ที่เขาภูมิใจนัก เพียงหกเจ็ดขวบนางก็ท่องสูตรยารักษาโรคทั่วไปได้ สิบขวบก็ฝังเข็มเป็น เขาไว้ใจขนาดยอมให้ใช้ตัวเองเป็นหุ่นให้นางฝังเข็ม นอกจากนี้เรื่องอาหารการกิน นางก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะนางเป็นที่เอ็นดูของผู้อื่น ยามที่เขารักษาคน บางครั้งนางก็ไปเข้าครัว หัดทำกับข้าวกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง นำอาหารมาให้เขากินครบสามมื้อ ดูแลเขาไม่ขาดตกบกพร่อง เสื้อผ้า
เพียงไม่นาน กลิ่นบะหมี่หอมกรุ่นก็ลอยมาแตะปลายจมูกก่อนที่ชามบะหมี่จะมาถึง เพราะอยู่กันแค่สองคนพ่อลูกจึงไม่มีพิธีรีตองอะไรนัก อยากนั่งกินตรงไหนก็นั่งกิน นางจึงยกถาดไม้ที่มีชามบะหมี่ร้อนหอมกรุ่นสองชามมาหาเขาที่ลานตากสมุนไพร “มาเถิดท่านพ่อ กำลังร้อนๆ เลย เดี๋ยวเราค่อยช่วยกันคัดแยกสมุนไพร”บิดาวางมือจากงานที่ทำอยู่ มองลูกสาวที่ยกชามบะหมี่ออกมาวางไว้ด้วยท่าทีคล่องแคล่ว เดินเร็วๆ ไปยกกาน้ำชามา แล้วก็รีบมานั่งกินบะหมี่ข้างเขา มู่หยางซัวคีบบะหมี่ส่งเข้าปากแล้วก็อดชื่นชมลูกสาวไม่ได้ เพราะความลำบากหล่อหลอมให้นางต้องเอาตัวรอด แม้จะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็มิได้อดอยาก อาหารง่ายๆ ก็ปรุงรสให้อร่อยได้ราวกับมีเวทมนตร์ “อ้อ...เมื่อเช้าพ่อบังเอิญพบกับเศรษฐีกู่หลิน” มู่หยางซัวเอ่ยขึ้นมาอย่างเพิ่งนึกได้ “ทำไมรึ เขาจะเชิญพวกเราออกจากบ้านของเขาแล้วรึเจ้าคะ” อาศัยบ้านผู้อื่นอยู่จะโดนเชิญออกเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ แม้บิดาจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอเทวดาไร้เงา ทว่าไม่สามารถยื้อชีวิตทุกคนได้ มีบางครั้งที่สุดจะยื้อคนเจ็บตายคามือ ญาติพี่น้องโมโหมาพังที่พักอาศัยของนางกับพ่อ นางเก็บผ้าผ่อนแทบ
เพราะเขาไม่ต้องรีบร้อนรายงานตัวจึงเดินตรงดิ่งกลับไปที่ห้องพัก เขาชะงักเท้าเมื่อต้องเดินผ่านทิศทางที่จะเดินไปห้องของเคอหลิ่งหลิน เขาหันไปถามพ่อบ้านตู้ที่เดินตามมา “นางตื่นหรือยัง” “คุณหนูยังไม่ฟื้นขอรับ” พ่อบ้านรายงานไปตามจริง “แต่ระหว่างนี้ท่านหมอมู่กับบุตรสาวแวะเวียนมาดูอาการบ่อยๆ สีหน้าคุณหนูก็ดีขึ้นมากขอรับ” ตั้งแต่ก่อนไปก็บอกว่าดีขึ้น กลับมาก็บอกว่าดีขึ้น แต่คนก็ยังไม่ตื่น จะดีขึ้นตรงไหน จ้าวจิ่นสือหงุดหงิดอยากเดินเข้าไปดูให้เห็นกับตา แต่สภาพตนเองตอนนี้คงไม่เหมาะนัก เขาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับรู้ แล้วเดินตรงดิ่งไปที่ห้องของตนเอง โบกมือไล่บ่าวรับใช้ไม่ต้องเข้ามา ระหว่างรอคนเติมน้ำอุ่นให้นั้น เขาก็ปลดอาวุธออกจากกายวางบนโต๊ะ รอให้บ่าวรับใช้ออกไป แล้วเขาจึงปลดเปลื้องเสื้อผ้า เหลือเพียงเนื้อกายเปลือยเปล่าลงไปแช่น้ำอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ร่างกายประท้วงว่าเหนื่อยล้าต้องการพักผ่อนอย่างรู้สึกได้ไม่ใช่งานสอดแนมแฝงตัวครั้งแรก แต่ก็รับคำสั่งทำจริงจังแค่ไม่กี่ครั้ง อดคิดถึงหญิงสาวอีกคนที่ยังไม่ตื่นฟื้น นางเป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่อดทนได้มากกว่าเข
องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น
ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั
“ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา
หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั
“ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน
“เจ้าจะรีบไปไหนกัน!” “ข้าหายดีแล้ว จะไปหาฟางเหนียง” เขาควรรีบไปอธิบายกับนาง เมื่อวานส่งจดหมายแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องภารกิจลับเรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางกลับพร้อมรับมู่ฟางเหนียงไปด้วยเลย โธ่! ยังมิทันไรก็เป็นพวก ‘เกรงใจภรรยา’ เสียแล้ว เหวินเฮ่าหลันได้แต่คลี่พัดโบกไปมา ปกปิดสีหน้าระอาใจ เป็นบุรุษองอาจ ไฉนต้องมาพะวักพะวนกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ “เจ้ารออยู่นี่แหละ เดี๋ยวนางก็มาแล้ว” “เฮ่ย!” “เจ้าจะร้องอะไร” เหวินเฮ่าหลันเห็นอาการของสหายแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะไปมา ได้ยินมาจากเคอหลิ่งหลินว่าจ้าวจิ่นสือบาดเจ็บแต่ไม่ให้เรียกมู่ฟางเหนียงมาทำแผลเพราะเกรงใจที่เป็นเวลาพักผ่อนของนางแล้ว อย่างไรนางก็จะเป็นภรรยาอยู่แล้ว หน้าที่ภรรยาดูแลสามีก็ถูกแล้ว จะค่ำหรือสว่างจะเป็นไรไป เดือดร้อนต้องไปตามหมอผู้อื่นมารักษาให้ แม้จะไม่ใช่บาดแผลสาหัสก็เถอะ “ข้ายังไม่ได้อธิบายกับนาง นางมาเจอข้าแบบนี้...” “เจ้านี่! เป็นถึงรองแม่ทัพ! อย่ามาทำตัวกลัวเมียให้เสียชื่อหน่อยเลย!” เหวินเฮ่าหลันกดเสียงต่ำ เรื่องแบบนี้พ
เคอหลิ่งหลินก็เห็นหญิงสาวในชุดแดงหน้าตาซีดเซียว นางมาไม่ทันจึงไม่รู้ว่าหญิงนางนี้มีเรื่องแค้นใดกับจ้าวจิ่นสือ แต่ด้วยความสงสารในท่าทีสับสนและดูเคว้งคว้างของนางจึงเดินเข้าไปใกล้ หมายจะปลอบประโลมให้สงบใจ“แม่นาง อย่างไรแล้วค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถิด เจ้ามีบาดแผล ให้ข้าดูหน่อยจะเป็นไร” เคอหลิ่งหลินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทำให้ร่างของหญิงสาวในชุดแดงแข็งทื่อ กวาดตาจ้องมองคนทั้งหมด คนพวกนี้พูดคุยเหมือนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน แต่นางนั้นเล่า ไร้ผู้ใดไม่มีใครอีกแล้ว ความเศร้าหมองและหดหู่กัดกินจิตใจ มือบางกำด้ามกริชแน่นขึ้น หมายมั่นจะเอาชีวิตของจ้าวจิ่นสือให้ได้ นางพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดหวาดกลัวและไม่สนใจว่านางอาจถูกฝ่ามือซัดกลับจนถึงแก่ชีวิตช่างปะไร นางจะได้ไม่ต้องเดียวดายอีกแล้ว“จิ่นสือ!” เป็นเสียงเคอหลิ่งหลินที่หวีดร้องอย่างตกใจ น้องชายนางกลับไม่หลบยืนนิ่งปล่อยให้หญิงนางนั้นแทงกริชเข้าชายโครงด้านซ้ายของเขา เพราะคิดว่าจ้าวจิ่นสือจะหลบหลีกหรือตอบโต้ได้ จึงไม่มีใครขวางหรือเข้าไปช่วย ทุกคนจึงตื่นตะลึง แม้แต่หญิงผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า! ไยไม่หลบข้า!” หญิงสาวในชุดแดงปล
แต่กระนั้นอีกฝ่ายกลับไม่ลดความพยายาม เตรียมพุ่งกริชเล่มเดิมนั้นใส่จ้าวจิ่นสืออีก นั่นหมายความว่าเขาคือคนที่นางต้องการชีวิต ร่างบางง้างมือขึ้นแต่ยังไม่ทันไร แสงวาบหนึ่งก็พุ่งผ่านเฉียดมือนางไปเล็กน้อย แต่ก็กรีดผิวเรียกเลือดสีเข้มกระเซ็นออกมา หญิงสาวหวีดร้องอย่างตกใจแต่ไม่ยอมทิ้งกริชเพียงแค่ยกมือกุมบาดแผลแล้วมองมีดสั้นที่ปักบนผนังห้องก่อนจะตวัดสายตามองไปทางหน้าต่าง ผู้มาใหม่กระโจนเข้ามา ใบหน้ามีหน้ากากอสูรปกปิดครึ่งหน้าด้านบน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่เห็นนาง คราวนี้จ้าวจิ่นสือจับกระบี่ขึ้นมา แต่หัตถ์เทวะกลับยกมือโบกไปมาคล้ายไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แล้วเดินวนเวียนรอบกายหญิงสาว ดวงตาคู่งามนั้นไร้แววหวาดกลัวแต่กลับวาวโรจน์ดุจแมวป่า ‘ช่างน่าสนใจนัก!’ “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เป็นจ้าวจิ่นสือที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เห็นชัดว่าชายผู้นั้นไม่ได้รู้จักหญิงสาวในชุดสีแดง “เป็นข้าควรถามเจ้ามากกว่า” หัตถ์เทวะหันมาทางจ้าวจิ่นสือ “ข้านึกว่าเรามีเรื่องสนทนากันตามลำพัง” “เจ้าไม่ได้ส่งนางผู้นี้มาทำร้ายข้าหรอกหรือ” ฝีมืออย่างนาง... จ