พูดว่าหลงทาง นางก็ยิ้มฝืนไปทันที ข้อด้อยที่สุดของนางคือนิสัยหลงทิศและจำทางไม่ได้นี่แหละ
ตอนที่ยังเด็กกว่านี้ นางมักหลงทางอยู่บ่อยๆ แม้จะพยายามจดจำแค่ไหน ระยะทางใกล้หรือไกลนางก็หลงอยู่เสมอ พ่อจะถักสร้อยร้อยกระพรวนใส่ข้อมือให้ อย่างน้อยก็ได้ยินเสียงเวลาที่นางเดินไปไหนมาไหน นางฝึกฝนท่องตำรายาและจดจำการกดจุดฝังเข็มได้อย่างแม่นยำ ทว่ากลับหลงทางง่ายยิ่งกว่าเด็กเจ็ดแปดขวบเสียอีก ยิ่งพยายามก็รู้สึกว่ายิ่งทำให้แย่ลง แอบบำรุงตัวเองด้วยสมุนไพรแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หลงทิศน้อยลงสักนิด นานวันเข้าก็เริ่มถอดใจ นางจึงเลี่ยงที่จะไม่ไปไหนคนเดียว แม้หัวใจของนางจะโบยบินไปในท้องฟ้าแล้วก็ตาม
ยาเคี่ยวได้ที่แล้ว แต่ยังไม่มีคนมารับนาง หัวคิ้วขมวดยุ่ง เอาอย่างไรดี ยาควรดื่มตอนที่ยังร้อนอยู่ เอาเถอะ ถือออกไปก่อน คนในจวนมีเยอะแยะ นางถามทางกับใครก็ได้ เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ประคองชามยาออกไป อาจเพราะว่าดึกแล้ว ในจวนถึงเงียบนัก เงียบไม่เท่าไหร่แต่นางไม่เห็นใครที่จะถามทางได้สักคน
ใจเย็นหน่อยฟางเหนียง เมื่อครู่เดินผ่านอะไรมาบ้างนะ ค่อยๆ นึกและเดินตามทางเดิมซิ
หญิงสาวสงบใจแล้วเดินตามทางที่ตัวเองคิดว่าเดินผ่านมาเมื่อครู่ ขณะนั้นเองนางเห็นเงาร่างไหวๆ อยู่ไม่ไกลนัก หัวใจก็เต้นแรงด้วยความดีใจรีบประคองชามยาในมือ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เงาร่างที่เห็นเป็นร่างของบุรุษรูปร่างสูงและกำยำ กำลังตวัดกระบี่ในมือร่ายรำเพลงกระบี่คล้ายกำลังระบายโทสะมากกว่าฝึกฝนตนเอง
“เอ่อ...” นางอึกอักอย่างไม่รู้จะเรียกอย่างไร โทสะของเขารุนแรงจนนางที่ยืนอยู่ห่างยังสัมผัสกรุ่นไอนั้นได้
“เป็นผู้ใด!!!”
มู่ฟางเหนียงสะดุ้งเฮือกแต่ยังยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปลายกระบี่จ่อที่ปลายจมูกของนาง คล้ายว่าถ้านางหายใจแรงสักนิด กระบี่นั่นก็จะปลิดชีพนางได้
บุรุษตรงหน้าขมวดคิ้ว หญิงสาวแปลกหน้ายืนนิ่งสงบได้โดยไม่ส่งเสียงร้องโวยวายและไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้กระบี่อยู่ตรงหน้า เขาเลื่อนสายตาจากโครงหน้าหมดจดไปที่มือของนางที่ถือถาดไม้มีชามใส่น้ำสีเข้มอยู่ เขาจึงลดกระบี่ลง
“ข้าน้อยติดตามท่านหมอมู่มารักษาท่านหญิงและต้องนำยาชามนี้ไปให้ท่านหญิงแต่หลงทาง” นางหลงทางจนชินจึงไม่รู้สึกกระดากอายที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านหมอมาแล้วรึ” ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปทันที ความแข็งกร้าวเมื่อครู่จางลงไป “มาเถอะ ข้าจะพาไปเอง”
“เจ้าค่ะ”
นางมองเขาหมุนตัวเดินนำหน้าไป แผ่นหลังของเขาช่างกว้างและเต็มไปด้วยพละกำลัง ท่วงท่าการเดินก็องอาจ คงไม่ได้เป็นคนธรรมดาอย่างแน่นอน นางกำลังเดาว่าเขาเป็นใครพลางอมยิ้มน้อยๆ ขนาดพี่หลิ่งหลิน นางยังเคยหลงคิดไปว่าเป็นคนเลี้ยงม้าในจวนแม่ทัพจ้าว มาบัดนี้กลายเป็นท่านหญิงไปเสียนี่ แล้วชายผู้นี้จะเป็นใครกัน
“แม่นางน้อย” เสียงชุนเอ๋อร์ร้องทักทันที นางรีบวิ่งกลับมาด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ พอเห็นบุรุษหนุ่มก็ยอบกายลง แต่เขาโบกมือห้ามไว้ก่อน
“ขออภัยที่ข้ามารับเจ้าช้า คุณหนูกระอักลิ่มเลือดข้าต้องเช็ดตัวให้คุณหนู” นางรีบยื่นมือไปรับถาดยามาถือเอง
มู่ฟางเหนียงเห็นเพียงเขาปรายตามองนางเล็กน้อย หญิงสาวสำรวมกิริยาเดินไปถึงห้องพักของเคอหลิ่งหลิน พอไปถึง บิดาก็เรียกนางให้เข้าไปช่วยทันที ประตูปิดลงไปอีกครู่ใหญ่จึงเปิดออก
“อาการเป็นอย่างไรบ้าง” ฮูหยินอี้ซิ่วใจร้อนจนต้องชิงถามเสียก่อน
“ขอบังอาจพูดอย่างตรงไปตรงมา ท่านหญิงถูกพิษร้ายแรงแต่มีผู้ขับพิษออกให้นางแล้ว ทว่าวิธีขับพิษนั้นทำให้ท่านหญิงสูญเสียกำลังภายในไป และอวัยวะภายในยังบอบช้ำสาหัส ระหว่างที่ร่างกายพักฟื้นนางจะหลับนิทราเช่นนี้”
“เมื่อไหร่นางจะฟื้น” ฮูหยินอี้ซิ่วยังไม่วางใจนัก แม้ลูกสาวบุญธรรมคนนี้จะซุกซนจนนางปวดเศียรเวียนเกล้าบ่อยครั้ง แต่นางก็อยากเห็นความร่าเริงนั้นมากกว่านอนนิ่งเช่นนี้
“มิอาจแจ้งระยะเวลาที่แน่ชัดได้ เมื่อร่างกายนางแข็งแรงดี นางจะตื่นเอง”
มู่ฟางเหนียงลอบมองใบหน้าของชายหนุ่มที่เดินนำทางให้นาง สีหน้าเรียบนิ่งมีเพียงแววตาไหวระริก เขาไม่ได้มองนางจึงไม่รู้ว่านางมองเขา หญิงสาวเหลือบตามองทิศทางของสายตานั้น เขาจ้องมองคนที่หลับใหลบนเตียง นางอาจจะอายุเพียงสิบหกและเป็นผู้หลงทิศ แต่ด้วยการติดตามบิดารอนแรมไปทั่วสารทิศทำให้นางเห็นอะไรมามากต่อมาก
สายตาเช่นนี้...นางเข้าใจความหมายดี.
มู่หยางซัวแม้จะได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดาไร้เงา แต่ความเป็นอยู่ก็เรียบง่ายตามประสาสองคนพ่อลูก ไม่มีบ่าวไพร่หรือคนรับใช้ มิใช่อะไร เพราะทั้งสองก็รักษาคนเจ็บป่วยไม่ได้คิดเงินทอง แล้วแต่ผู้มารักษาจะจ่ายให้ บางครั้งก็ได้เป็นเงิน บางคราวก็เป็นอาหาร และบางหนก็เป็นเสื้อผ้า หรือแม้แต่รับใช้ด้วยแรงงานก็มี อย่างลูกชายบ้านใกล้ๆ ป้าของเขาหกล้มจนป่วยไข้ ได้ท่านหมอมู่ดูแลรักษา เขาจึงขึ้นเขาหาฟืนมาแบ่งปัน หรือท่านลุงที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ไอเรื้อรังจนเจ็บทรวงอกก็ได้มู่ฟางเหนียงช่วยต้มยาให้ เมื่อหายดีก็มาช่วยซ่อมแซมหลังคาที่เป็นรูให้ ส่วนมู่ฟางเหนียงได้เสื้อผ้าสวยๆ จากเหล่านางคณิกา ก็เพราะหญิงเหล่านั้นส่งคนมารับนางไปช่วยตรวจดูอาการอ่อนเพลีย
หมอมู่หยางซัวไม่ได้รับลูกศิษย์ลูกหาแม้จะมีคนมาคุกเข่าอ้อนวอน ไม่ใช่ว่าหวงความรู้ ทว่าท่านหมอคิดเสมอว่าตนเองยังอ่อนด้อยเรื่องการรักษา มิเชี่ยวชาญให้ผู้ใดมายกย่องเป็นอาจารย์ และไม่รั้งอยู่ที่ใดนานนัก การอยู่ที่นี่นานถึงสองปีก็นับว่ายาวนานกว่าที่คิดไว้ หมอมู่เฝ้ามองลูกสาวที่เติบโตเป็นหญิงสาวงดงามขึ้นทุกวี่วัน จ้องมองนางที่ขึ้นบันไดเอาถาดสมุนไพรตากลมอยู่นั้น พลางคิดในใจว่าจนป่านนี้แล้ว เขายังมิมีทรัพย์สมบัติใดให้ลูกสาวเลยสักชิ้น หากถึงวันที่ต้องแต่งงานออกเรือนไปก็เกรงว่าจะไม่มีแม้กระทั่งสินเดิมของเจ้าสาว คงได้รับความดูแคลนจากผู้อื่นเป็นแน่
“ท่านพ่อ”
“หือ”
มู่ฟางเหนียงค่อยๆ ลงจากบันไดแล้วยืนเท้าเอวจ้องหน้าบิดาก่อนจะเปิดรอยยิ้มสดใสออกมา “เห็นท่านพ่อจ้องลูกตั้งนานแล้ว ท่านจะพูดอะไรก็พูดมาเถิด” หญิงสาวหัวเราะออกมา นางมักยิ้มและหัวเราะง่ายเช่นนี้ ผิดกับบิดาที่มักมีสีหน้าเรียบนิ่งและดูสงบเยือกเย็น “เจ้านี่นะ พ่อยังไม่ทันพูดก็มารู้ความคิดพ่อเสียแล้ว” บิดาถอนหายใจเบาๆ และคลี่ยิ้มที่มุมปาก “ลูกไม่รู้ว่าท่านพ่อคิดอะไร” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “รู้แค่ว่าท่านมีเรื่องอยู่ในใจแต่ปากหนักมิกล้าเอ่ย” “หน้าตาพ่อดูออกขนาดนั้นเลยรึ” ผู้เป็นพ่อหัวเราะขึ้นมา “ถ้าเป็นคนป่วยก็เห็นอาการชัดเลยละเจ้าค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส การที่ในโรงหมอไม่มีผู้อื่น ทำให้นางไม่ต้องคอยระวังรักษากิริยาตัวเองให้เรียบร้อยนัก “ว่าแต่ท่านพ่อมีเรื่องอันใดเจ้าคะ อย่าให้ลูกเดาอยู่เลย” มู่หยางซัวถอนหายใจแล้วยกมือดึงเอาเศษใบไม้บนศีรษะของลูกสาวออกอย่างเบามือ “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วเหนียงเอ๋อร์” “ท่านพ่อแก่ขนาดหลงลืมอายุลูกสาวคนเดียวได้อย่างไรกัน” นางเบ้ปากน้อยๆ “ใช่ๆ พ่
“อืม” หมอมู่พยักหน้ารับแล้วหันไปทางลูกสาว นางเดินผลุบหายไปหยิบล่วมยาส่งให้บิดา “เจ้าอยู่บ้านดีๆ ล่ะ” “เจ้าค่ะ” นางรับคำแล้วมองบิดาออกไปกับคนกลุ่มนั้น ใบหน้าหวานระบายยิ้ม ท่านพ่อนี่ก็พูดเหมือนนางจะออกไปที่ไหนได้ หญิงสาวเดินวนกลับเข้าไปในครัว หลังจากไปรักษาเคอหลิ่งหลินที่จวนแม่ทัพจ้าว นอกจากจะได้ค่ารักษามาแล้ว ฮูหยินอี้ซิ่วยังจิตใจดี แบ่งปันแป้งข้าวโพดและแป้งสาลีมาให้นางไว้ทำอาหาร คงเพราะได้ยินมาว่าสองพ่อลูกรักษาผู้คนไม่รับเงินแต่ก็ไม่มีรายได้ จึงแบ่งปันของกินของใช้มาให้ นางไม่แปลกใจเลยที่เคอหลิ่งหลินเป็นคนจิตใจงามเพราะดูจากฮูหยินและท่านแม่ทัพแล้วก็ล้วนเป็นผู้มีเมตตามีแต่บุรุษผู้นั้น นางได้เจอเขาเพียงครั้งเดียวในวันแรกที่ได้เข้าจวนแม่ทัพจ้าว แล้วก็ไม่ได้พบเขาอีก ใบหน้าหล่อเหลาคมคายแบบที่สังหารสตรีได้เพียงยิ้มเดียว ทว่าหนึ่งในนั้นไม่ใช่นางอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่รบกวนนางก็คือสายตาของเขายามจ้องมองเคอหลิ่งหลินที่บาดเจ็บสาหัส แววตามีความห่วงหาอาทรปนปวดร้าวแจ่มชัด นางไม่กล้าเอ่ยปากถามว่าเขาเป็นใคร ดูจากที่เขารำเพลงกระบี่ระบายโทสะนั้นแล้วคงเป็นทหารคนหนึ่งแต่นางก็ไม่กล้
“จริงด้วย ช่วงนี้ข้านอนไม่ค่อยหลับ ซ้ำยังเจ็บคออีกด้วย”“ข้าน้อยจะเขียนเทียบยาให้ เป็นยาบำรุงสุขภาพเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานใสเอ่ยอย่างสงบ ชวนให้คนฟังสบายใจ “ส่วนท่านหญิง ข้าน้อยจะปรับยาบำรุงให้”“เสียงของเจ้านี่ทำให้คนฟังสงบใจลงได้มาก เอาละ...ข้าเห็นเจ้าอยู่ก็สบายใจ ใจจริงอยากเชิญเจ้ากับพ่อของเจ้ามาอยู่เสียด้วยกันจนกว่าหลิ่งหลินจะฟื้น แต่สามีข้าก็เตือนสติว่าพวกเจ้าเป็นหมอ ชาวบ้านเดือดร้อนเจ็บป่วยจะไปหาใคร หากท่านหมอมู่ว่าไม่เป็นอะไร ข้าก็ย่อมต้องเชื่อใจผู้เป็นหมอ”“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”“เอาละ ข้าจะไปพักผ่อนเสียหน่อย ขาดเหลืออะไรเจ้าก็บอกชุนเอ๋อร์หรือพ่อบ้านได้”“ข้าน้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ”จ้าวฮูหยินตบหลังมือของมู่ฟางเหนียงเบาๆ และมองใบหน้าอ่อนหวานอย่างเอ็นดู แม้หญิงสาวตรงหน้าจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบและสีซีดจางจากการซักหลายต่อหลายครั้ง แต่ดวงตาที่เป็นประกายและกิริยาอ่อนหวานนี้เป็นที่น่าประทับใจเสียจริง“อ่อ! ได้ยินว่าเจ้าชอบอ่านหนังสือ ในห้องตำรามีหนังสือมากมายนัก เจ้าจะหยิบยืมไปอ่านที่บ้านก็ได้ แต่ต้องเอากลับมาคืนนะ”“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างดีใจ แล้วก็นึกว่าได้ว่าแสดงอาการ
ชายหนุ่มชะงักชักมือกลับทันทีที่รู้สึกได้ว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่หน้าประตู เขายืดตัวขึ้น มือไพล่หลังและหันไปมองทางประตูราวกับรอคอย เพียงอึดใจบานประตูก็เปิดออกพร้อมกับร่างของสาวใช้ที่ประคองอ่างน้ำเข้ามาในห้อง “คุณชาย” ชุนเอ๋อร์จะย่อกายคารวะ แต่จ้าวจิ่นสือยกมือห้ามไว้ก่อน “มีอะไรก็ทำเถอะ ข้าแค่แวะมาดูอาการนางเท่านั้น” “เมื่อครู่แม่นางมู่ก็เข้ามาตรวจดูอาการคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์รายงาน “ท่านหมอไม่ได้มาตรวจเองรึ” “เห็นว่าต้องไปรักษาคนเจ็บที่อื่น แม่นางมู่จึงมาดูอาการคุณหนูแทนเจ้าค่ะ” ชายหนุ่มอยากถามอะไรต่อ แต่เห็นว่าอีกฝ่ายคงจะเตรียมเช็ดตัวให้หญิงสาวที่หลับใหล จึงได้แต่พยักหน้ารับรู้ กำลังจะเดินออกไป ก็มองเห็นขนมจินเดในจานที่วางบนโต๊ะ หัวคิ้วขมวดด้วยความสงสัยจนต้องเอ่ยปากถาม “หลิ่งหลินยังไม่ฟื้น ไยมีขนมของหวานในห้องนี้ได้” จำได้ว่าพี่สาวต่างสายเลือดคนนี้โปรดกินขนมหวานนัก เรียกว่ากินแทนข้าวก็ยังได้ “เป็นของแม่นางมู่เจ้าคะ นางบอกว่าคุณหนูชอบขนมหวานนัก เผื่อได้กลิ่นจะได้กระตุ้นให้นา
เขากอดอกมองหญิงสาว นี่คงจนปัญญาจะหาคำแก้ตัวเลยละสิ เขาได้แต่เค้นเสียงหัวเราะในลำคอ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย “เลือกหนังสือได้แล้วก็ออกไปสิ ข้าต้องใช้ห้องนี้” “ข้าน้อยยังเลือกหนังสือไม่เสร็จ” พูดจาถ่อมตนแต่กลับกล้าถลึงตาใส่อย่างไม่กลัว แม้เขาจะสูงใหญ่กว่านางนัก“แล้วท่านเข้ามาใช้ห้องนี้ ได้รับอนุญาตจากจ้าวฮูหยินแล้วรึ” “ข้า...” คราวนี้เป็นเขาที่พูดไม่ออก เรื่องต่อปากต่อคำกับสตรีเขาไม่ถนัดนัก ผู้หญิงสองคนที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติและไม่ต้องระวังอะไรนักก็คือท่านแม่และเคอหลิ่งหลิน ครั้นจะโต้เถียงกับนางก็ใช่เรื่อง ซ้ำร้ายดูท่าทางนางจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เขากัดริมฝีปากกลั้นหัวเราะแสร้งทำดุดันไปอย่างนั้น “เช่นนั้นเจ้าก็เลือกเร็วๆ แล้วรีบๆ ออกไปเสียสิ” “แล้วตกลงท่านได้รับอนุญาตแล้วรึ” นางยังอยากเอาชนะเขาอยู่ด้วยการโต้เถียงแบบเด็กๆ “เอาเป็นว่าข้าได้รับคำสั่งจากท่าน...แม่ทัพให้มาที่นี่ก็แล้วกัน” เกือบจะหลุดปากเรียกท่านพ่อออกมาแล้ว “คงโดนลงโทษละสิ” นางพึมพำแล้วหมุนตัวเลือกหยิบตำราแพทย์อีกสองเล่มมาไว้ในอ้อม
“น้องชาย?” ชุนเอ๋อร์ทำหน้าประหลาดใจกับคำถามที่ได้ยิน “คุณหนูเป็นลูกคนเดียว บิดาแท้ๆ ของนางปกป้องท่านแม่ทัพจนตัวเองตาย ท่านแม่ทัพจึงรับคุณหนูเป็นลูกบุญธรรม ไม่มีพี่น้องที่ไหน ยกเว้นคุณชายจ้าวจิ่นสือที่เจ้าเจอเมื่อครู่ คุณชายเป็นบุตรคนเดียวของแม่ทัพจ้าวกับฮูหยินอี้ซิ่ว เมื่อท่านแม่ทัพรับคุณหนูมาเป็นลูก ทั้งสองก็เปรียบเสมือนพี่น้องกัน คอยดูแลซึ่งกันและกันมาตลอด” “เปรียบเสมือนพี่น้อง...คนผู้นั้นคงไม่ใช่น้องชายของ...” นางเริ่มทำหน้าไม่ถูก หวังว่าการคาดเดาของนางจะผิดพลาด “เรื่องนี้มีแต่คนในจวนเท่านั้นที่รู้ คุณชายพลั้งเผลอยอมให้คุณหนูเป็นพี่สาว ทั้งที่อายุห่างกันเพียงแค่ห้าเดือนเท่านั้น”พูดแล้วชุนเอ๋อร์ก็ป้องปากหัวเราะเบาๆ นางติดตามรับใช้คุณหนูมานาน เรื่องราวของนายนินทาไม่ได้ แต่ไม่ถึงกับห้ามพูดถึง นางเพิ่งรู้สึกว่าคนที่เดินตามมาหยุดเดินจึงหันไปดู เห็นสีหน้าตกใจของมู่ฟางเหนียงแล้วก็อดถามไม่ได้“มีอะไรรึ”“มะ..ไม่...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”นางยิ้มฝืดออกมาแล้วเดินตามชุนเอ๋อร์ ในใจว้าวุ่นยิ่งนัก อย่าบอกนะว่า...ชายผู้นั้นคือ ‘น้องชาย’ ของพี่สาวคนดีของนาง.
“เสี่ยวจิงไปเอาน้ำมันหมูมาเร็ว” นางสั่งเด็กชาย เสี่ยวจิงรีบวิ่งไปทันที “ช่วยกันจับแม่วัวให้ดี ข้าต้องล้วงไปดึงขาลูกวัวเสียก่อน” นางม้วนแขนเสื้อขึ้นจนถึงโคนแขนทั้งสองข้าง ท่อนแขนกลมเล็กดุจลำเทียน เมื่อเสี่ยวจิงถือหม้อใส่น้ำมันมาถึง นางก็ให้เด็กชายชโลมทั่วมือและแขน นางสบตากับผู้ใหญ่ที่ช่วยกันจับแม่วัวเป็นเชิงให้สัญญาณแล้วสอดมือเข้าไปในช่องคลอดของวัว ลูบคลำจนรู้ว่าไหล่วัวติดอยู่ นางจึงออกแรงดึงขาหน้าของวัวให้ค่อยๆ ออกมาอย่างช้าๆ “ออกมาแล้วๆ” เด็กชายร้องอย่างดีใจที่เห็นลูกวัวหลุดออกมา แม่วัวร้องอย่างเจ็บปวดสะบัดไปมาจะเหยียบลูกเข้าให้ นางต้องรีบลากออกมาให้พ้นรัศมีเท้าของมัน แม่วัวสาวท้องแรกยังตื่นตกใจไม่ยอมมาเลียลูกวัว มู่ฟางเหนียงมองหาเศษผ้าสักผืน แต่ด้วยความร้อนใจ นางจึงฉีกชายกระโปรงของตนรีบเช็ดเมือกออกจากตัวลูกวัว “โชคดีที่ไม่มีเมือกอุดรูจมูก” นางพึมพำ ไม่นานนักลูกวัวก็ค่อยๆ ยืนขึ้น แม้แข้งขาจะสั่นก็ตาม แม่วัวเริ่มใจเย็นแล้วเดินมาเลียลูกของตน ลูกวัวเดินมุดเข้าไปดูดนมจากเต้าของแม่ทันที “เย้ๆ วัวของข้า” เสี่ยวจิงดีใจกระโดดโลดเต้น ทั้งที่ก่
“คุณชายจ้าว!”“มันตายแล้วละ” เขากล่าวย้ำเพราะเข้าใจไปว่านางกลัวจนขยับเท้าเดินต่อไม่ได้ นี่นางคงไม่ได้รอให้เขาประคองนางเดินหรอกใช่ไหม?“ท่านทำมันตาย!” นางตวาดด้วยความโมโห“เป็นข้า แล้วอย่างไร ถึงมันจะมีพิษหรือไม่ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นงูก็ไว้ใจไม่ได้” จ้าวจิ่นสือทำเสียงหงุดหงิด “ข้าควรได้รับคำขอบคุณหรือไม่”“ท่านจะมาทวงคำขอบคุณทำไมกัน ในเมื่องูตัวนี้มันตายแล้ว!” นางเกรี้ยวกราดอย่างลืมรักษากิริยา “ข้ากำลังคิดจะจับมันเป็นๆ อยู่นะ”“จับงูเป็นๆ?” เขาขมวดคิ้วแล้วตัดสินใจกระโดดลงจากหลังม้า เขาเพิ่งกลับจากบ้านตระกูลเหวิน ผ่านเส้นทางนี้เห็นเพียงมีงูอยู่เบื้องหน้าหญิงสาว แต่ไม่รู้ว่าหญิงที่ยืนอยู่คนนี้คือบุตรสาวของท่านหมอมู่ “ใช่! ข้า-ต้อง-การ-งู-เป็น-เป็น” นางพูดเน้นย้ำทุกคำแล้วถลึงตามอง เมื่อเขาก้าวมาหยุดยืนเบื้องหน้าทำให้นางรู้สึกได้ทันทีว่าความสูงของนางนั้นแค่ปลายคางของเขาเอง จ้าวจิ่นสือไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินนัก ปกติผู้หญิงเจองูก็เอาแต่กรีดร้องน่ารำคาญ ไม่ว่าจะงูตัวเล็กหรือตัวใหญ่ มีพิษหรือไม่มีพิษ นอกจากเคอหลิ่งหลินแล้ว เขาก็เพิ่งเคยเจอผู้หญิงที่ไม่กรีดร้องแต่เกรี้ยวกราดที่เขาไปฆ่างูตั
องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น
ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั
“ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา
หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั
“ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน
“เจ้าจะรีบไปไหนกัน!” “ข้าหายดีแล้ว จะไปหาฟางเหนียง” เขาควรรีบไปอธิบายกับนาง เมื่อวานส่งจดหมายแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องภารกิจลับเรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางกลับพร้อมรับมู่ฟางเหนียงไปด้วยเลย โธ่! ยังมิทันไรก็เป็นพวก ‘เกรงใจภรรยา’ เสียแล้ว เหวินเฮ่าหลันได้แต่คลี่พัดโบกไปมา ปกปิดสีหน้าระอาใจ เป็นบุรุษองอาจ ไฉนต้องมาพะวักพะวนกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ “เจ้ารออยู่นี่แหละ เดี๋ยวนางก็มาแล้ว” “เฮ่ย!” “เจ้าจะร้องอะไร” เหวินเฮ่าหลันเห็นอาการของสหายแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะไปมา ได้ยินมาจากเคอหลิ่งหลินว่าจ้าวจิ่นสือบาดเจ็บแต่ไม่ให้เรียกมู่ฟางเหนียงมาทำแผลเพราะเกรงใจที่เป็นเวลาพักผ่อนของนางแล้ว อย่างไรนางก็จะเป็นภรรยาอยู่แล้ว หน้าที่ภรรยาดูแลสามีก็ถูกแล้ว จะค่ำหรือสว่างจะเป็นไรไป เดือดร้อนต้องไปตามหมอผู้อื่นมารักษาให้ แม้จะไม่ใช่บาดแผลสาหัสก็เถอะ “ข้ายังไม่ได้อธิบายกับนาง นางมาเจอข้าแบบนี้...” “เจ้านี่! เป็นถึงรองแม่ทัพ! อย่ามาทำตัวกลัวเมียให้เสียชื่อหน่อยเลย!” เหวินเฮ่าหลันกดเสียงต่ำ เรื่องแบบนี้พ
เคอหลิ่งหลินก็เห็นหญิงสาวในชุดแดงหน้าตาซีดเซียว นางมาไม่ทันจึงไม่รู้ว่าหญิงนางนี้มีเรื่องแค้นใดกับจ้าวจิ่นสือ แต่ด้วยความสงสารในท่าทีสับสนและดูเคว้งคว้างของนางจึงเดินเข้าไปใกล้ หมายจะปลอบประโลมให้สงบใจ“แม่นาง อย่างไรแล้วค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถิด เจ้ามีบาดแผล ให้ข้าดูหน่อยจะเป็นไร” เคอหลิ่งหลินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทำให้ร่างของหญิงสาวในชุดแดงแข็งทื่อ กวาดตาจ้องมองคนทั้งหมด คนพวกนี้พูดคุยเหมือนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน แต่นางนั้นเล่า ไร้ผู้ใดไม่มีใครอีกแล้ว ความเศร้าหมองและหดหู่กัดกินจิตใจ มือบางกำด้ามกริชแน่นขึ้น หมายมั่นจะเอาชีวิตของจ้าวจิ่นสือให้ได้ นางพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดหวาดกลัวและไม่สนใจว่านางอาจถูกฝ่ามือซัดกลับจนถึงแก่ชีวิตช่างปะไร นางจะได้ไม่ต้องเดียวดายอีกแล้ว“จิ่นสือ!” เป็นเสียงเคอหลิ่งหลินที่หวีดร้องอย่างตกใจ น้องชายนางกลับไม่หลบยืนนิ่งปล่อยให้หญิงนางนั้นแทงกริชเข้าชายโครงด้านซ้ายของเขา เพราะคิดว่าจ้าวจิ่นสือจะหลบหลีกหรือตอบโต้ได้ จึงไม่มีใครขวางหรือเข้าไปช่วย ทุกคนจึงตื่นตะลึง แม้แต่หญิงผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า! ไยไม่หลบข้า!” หญิงสาวในชุดแดงปล
แต่กระนั้นอีกฝ่ายกลับไม่ลดความพยายาม เตรียมพุ่งกริชเล่มเดิมนั้นใส่จ้าวจิ่นสืออีก นั่นหมายความว่าเขาคือคนที่นางต้องการชีวิต ร่างบางง้างมือขึ้นแต่ยังไม่ทันไร แสงวาบหนึ่งก็พุ่งผ่านเฉียดมือนางไปเล็กน้อย แต่ก็กรีดผิวเรียกเลือดสีเข้มกระเซ็นออกมา หญิงสาวหวีดร้องอย่างตกใจแต่ไม่ยอมทิ้งกริชเพียงแค่ยกมือกุมบาดแผลแล้วมองมีดสั้นที่ปักบนผนังห้องก่อนจะตวัดสายตามองไปทางหน้าต่าง ผู้มาใหม่กระโจนเข้ามา ใบหน้ามีหน้ากากอสูรปกปิดครึ่งหน้าด้านบน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่เห็นนาง คราวนี้จ้าวจิ่นสือจับกระบี่ขึ้นมา แต่หัตถ์เทวะกลับยกมือโบกไปมาคล้ายไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แล้วเดินวนเวียนรอบกายหญิงสาว ดวงตาคู่งามนั้นไร้แววหวาดกลัวแต่กลับวาวโรจน์ดุจแมวป่า ‘ช่างน่าสนใจนัก!’ “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เป็นจ้าวจิ่นสือที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เห็นชัดว่าชายผู้นั้นไม่ได้รู้จักหญิงสาวในชุดสีแดง “เป็นข้าควรถามเจ้ามากกว่า” หัตถ์เทวะหันมาทางจ้าวจิ่นสือ “ข้านึกว่าเรามีเรื่องสนทนากันตามลำพัง” “เจ้าไม่ได้ส่งนางผู้นี้มาทำร้ายข้าหรอกหรือ” ฝีมืออย่างนาง... จ